หน้าจอฉายภาพเคลื่อนไหวสลับตัดช่วงกับโฆษณา อีเลนนั่งดูเกี่ยวกับพวกหนังคุณธรรมจริยธรรมมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว
เขาหวังพึ่งเล็กน้อยว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เคียร์นเดินรอยตาม แม้ในใจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องมาดูแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัดสินใจอยากให้ตัวร้ายกลายเป็นคนดีก็มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น!!
ดวงตาสีแซฟไฟร์สายตาไม่ได้จับจ้องที่หน้าจอเลยตลอดระยะเวลาครึ่งชั่วโมง เขาเอาแต่ลอบสังเกตคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ด้านข้างและก็พบว่ามันน่าสนใจกว่าสิ่งที่เปิดให้ดูบนหน้าจอเสียอีก
เคียร์นพอเดาสาเหตุที่อีเลนเปิดของพวกนี้ให้ดูได้ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสนใจปลูกฝังจิตใจใฝ่ดีให้คนอื่นมากกว่าชวนออกไปเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไปนัก
หลังจากนั่งมองมาได้สักพัก เคียร์นพบว่าเพื่อนใหม่ชอบน้ำตาคลอก็ต่อเมื่อถึงช่วงเรื่องราวท้าย ๆ แล้วมีดนตรีบรรเลงประกอบฉากขึ้นมา
'สรุปซึ้งเพราะเนื้อเรื่องหรือเพราะดนตรีกันแน่'
เด็กชายตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมดูสีหน้าเพื่อนใหม่อย่างสนอกสนใจ ยิ่งเป็นช่วงโฆษณาไทยประกันภัยคนด้านข้าง ยิ่งกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่
เขาแอบขำให้การแสดงออกของอีกฝ่ายพลางคิดว่ามันตลกดีสร้างความบันเทิงใจให้ไม่น้อย
ตลอดการดูหนังอีเลนเผลออินไปกับบางเรื่องไม่ก็โฆษณามากกว่าคนที่ต้องการให้ดู เจ้าตัวรู้สึกถึงสายตาที่จ้องมาตลอดแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร อาจเพราะเคียร์นยังเด็กจึงไม่ค่อยสนใจเรื่องพวกนี้
เขาคงจะคิดตื้นไปแค่ให้ดูหนังไม่อาจเปลี่ยนให้คนคนหนึ่งดีขึ้นมาได้ ถึงดีมันก็ได้แค่แป๊บเดียวจิตสำนึกจริง ๆ มันต้องลงมือทำถึงจะเห็นผล!!!
อีเลนกดรีโมทปิดหน้าจอโทรทัศน์แล้วดันตัวเองขึ้นจากโซฟา
“เคียร์น นายหิวไหม”
ก่อนจะดำเนินแผนการต่อไป คงต้องเพิ่มค่าความสนิทและหาอะไรกินแก้หิวหลังจากทนนั่งดูหนังมาชั่วโมงกว่าก่อน ตอนนี้ท้องไส้เขาร้องประท้วงจนแสบท้องไปหมดแล้ว
“ไม่รู้สิ ถ้านายหิวฉันก็หิว” เคียร์นตอบกำกวมเผยรอยยิ้มมีเลศนัย
‘ให้ตายสิทำไมพวกตัวร้ายถึงชอบตอบคำถามกันดี ๆ ไม่ได้นะ’
อีเลนนึกในใจก่อนถามเด็กเจ้าเล่ห์ต่อ “โอเค งั้นฉันหิวแล้ว มีกับข้าวที่แม่ฉันทำทิ้งไว้ในห้องครัวอยู่พอดี นายพอกินได้ไหม”
“ไม่เอา”
คนโดนปฏิเสธอึ้ง เขาคิดว่าเด็กชายตรงหน้าดูมีนิสัยโตเหมือนผู้ใหญ่มากพอที่จะไม่เลือกกินเสียอีก
“ฉันอยากกินฝีมือนาย”
“หะ”
ยังไม่ทันหายอึ้งความไม่เข้าใจก็เข้ามาแทนที่ ปกติเด็กตัวแค่นี้ทำอาหารได้ใช่ไหม แม่กลับมาเห็นจะไม่ช็อกไปเลยเหรอ
แต่ถึงจะอยากทำให้จริงๆ ก็คงไม่ได้หรอกเพราะเขาทำอาหารไม่เป็น โลกก่อนก็เอาแต่กินของสำเร็จรูป เข้าห้องครัวทีก็แค่ตอนล้างจานไม่ก็ตอนไปเอาขนมกิน
“ฉันทำอาหารไม่เป็นนะ แต่ต้มบะหมี่ซองให้นายได้เอาไหม”
เคียร์นไม่พูดเขาเพียงทำการพยักหน้า อีเลนเดินไปในห้องครัวเสียบกาน้ำร้อนก่อนหยิบซองบะหมี่น้ำข้นที่วางอยู่บนชั้นล่างมาแกะซองใส่ชาม รอน้ำเดือดสักพักเสร็จแล้วลงมือเทน้ำใสร้อนระอุลงไปในชามขาว
ใช้เวลาเพียงไม่นาน บะหมี่กลิ่นหอมฟุ้งผสมเครื่องเทศรสเปรี้ยวก็มาวางเสิร์ฟตรงหน้าคนนั่งรออยู่บนโต๊ะอาหาร
“ได้แล้ว กินเลย กินตอนยังร้อน ๆ นะ”
อีเลนพูดเสริม เข้าใจไปเองว่าเคียร์นคงเป็นลูกคุณหนูคงไม่เคยกินของพวกนี้มาก่อน แต่เขาก็ไม่ได้เข้าใจผิดไปเองซะทีเดียวเพราะเจ้าตัวไม่เคยกินของสำเร็จรูปเลยจริง ๆ
เด็กชายทานก็แต่อาหารที่แม่บ้านทำให้อย่างมีโภชนาการ ถึงแม้เคียร์นจะเป็นลูกคนมีเงินแต่เขาก็ไม่ได้เรื่องมากในการกิน ทำอะไรให้ก็กินแบบนั้น
ร่างเล็กยืนรอลุ้นรสชาติจากคนที่นั่งอยู่บนโต๊ะ แม้เขาจะทำแค่แกะซองใส่น้ำร้อนเฉย ๆ แต่ก็อยากฟังความรู้สึกจากคนชิมอยู่ดี
ดวงตาสีแซฟไฟร์วูบไหว จะกินก็ไม่กินมัวแต่นั่งวนช้อนเล่นแกล้งคนที่ยืนรอลุ้น มุมปากกดลึกเผยรอยยิ้มนึกสนุก
“เมื่อไหร่นายจะกินสักที”
อีเลนหลุดปากเมื่อรู้สึกว่าตนกำลังโดนกวน
“ฉันไม่รีบ”
เขาถึงกับคิ้วกระตุกให้กับเด็กบ้านรวยหน้าหล่อผู้เอาแต่ใจ ‘อ่าาาาไม่แปลกใจเลยทำไมอีเลนคนเก่าถึงอยากไล่ฆ่าจะเป็นจะตาย ขี้แกล้งตั้งแต่เด็กเลยเจ้าเด็กนี่!!’
เคียร์นเมื่อเห็นปฏิกิริยาท่าทางอย่างที่ต้องการจนพอใจ เขาเริ่มทำการตักน้ำซุปเข้าปากชิมรสชาติก่อนจะตามด้วยเส้นสีเหลืองยาวเข้าไป ดวงตาสีแซฟไฟร์เบิกกว้างเล็กน้อยเมื่อได้ลิ้มรสไปคำแรก
“……..”
“รสชาติเป็นไงบ้าง” ชายหนุ่มในร่างเด็กถามอย่างอยากรู้คำตอบ
“อยากรู้ก็มาลองชิมเองสิ เดี๋ยวบอกให้ฟัง” เคียร์นยักคิ้วก่อนตักเส้นบะหมี่และน้ำซุปใส่ช้อนพอดีคำ ยื่นไปจ่อปากคนที่ยืนอยู่ไม่ไกล
อีเลนได้แต่ลังเลคิดกับตนเองว่าปกติคนเป็นเพื่อนกันเขาชอบกินของร่วมกันเหรอ ถึงสงสัยไปแต่ก็ยอมเอาเข้าปากอยู่ดี
เขาไม่นึกรังเกียจอีกฝ่ายอยู่แล้ว ตอนอยู่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็แลกขนมกินรวมกับพวกน้อง ๆ ออกจะบ่อย
“เป็นไงบ้าง”
“อร่อย”
“ก็ตามนั้น”
เคียร์นยิ้มมุมปากก่อนตักบะหมี่กินต่ออย่างไม่รู้สึกรู้สา ผิดกับอีเลนที่รู้สึกเหมือนตนพลาดท่าเรื่องอะไรไปสักอย่างแต่ก็นึกไม่ออก
เขาเดินไปเอาอาหารที่แม่ตนทำไว้มาอุ่นไมโครเวฟ ก่อนจะนั่งลงด้านตรงข้ามเอ่ยปากชวนคุย
“นายได้เรียนรู้อะไรจากหนังคุณธรรมบ้างไหม” คนนั่งกินข้าวถามด้วยสายตาคาดหวัง อยากรู้ว่าสิ่งที่ตนเองทำนั้นมีประโยชน์บ้างรึเปล่า
“อืม ได้เรียนรู้เยอะเลยละ”
(ได้เรียนรู้เรื่องของนายอ่ะนะ)
อีเลนผู้ไม่รู้ตัวว่าเรื่องที่ตัวเองทำนั้นไม่ส่งผลอะไรเลยแต่กลับได้ผลตรงกันข้าม พอเจ้าตัวได้ยินเคียร์นบอกแบบนั้นก็พึงพอใจริมฝีปากฉีกยิ้มแป้น คิดว่าอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงที่เสียไปก็ไม่เปล่าประโยชน์……
“ตอนนั่งรถมาเมื่อเช้า ฉันเห็นนายอุ้มหนูตัวเล็กไปไหนเหรอ” เด็กตาสีน้ำเงินถามขึ้นอย่างสงสัย อีเลนได้ฟังก็กลืนข้าวลงท้องก่อนตอบ
“มันโดนแมวตะปบฉันเลยพาไปหาหมอ คุณหมอบอกว่าให้ฉันกลับไปก่อนค่อยมาใหม่อีกทีพร้อมคุณแม่ตอนเย็น” พูดเสร็จก็ตักข้าวอีกคำ
“หนูน้อยนั่นเป็นสัตว์เลี้ยงนายเหรอ”
“เปล่า ฉันแค่รู้สึกผิดไม่อยากปล่อยให้มันตาย”
เคียร์นได้ฟังอีเลนพูด ดวงตาสีแซฟไฟร์ฉายแววครุ่นคิดเกี่ยวกับคนตรงหน้า ก่อนจะนั่งทานบะหมี่ของตนต่อให้เสร็จ
ทั้งคู่ใช้เวลาทานข้าวเรียบร้อยก็มายืนล้างจานด้วยกัน ตอนเเรกอีเลนปฏิเสธเพราะตนจะล้างคนเดียวในฐานะที่เป็นเจ้าบ้าน แต่ในเมื่อเคียร์นอยากอาสาช่วยจัดการ เขาจะไปห้ามอะไรได้ ดีเสียอีกถือว่าเป็นพฤติกรรมการเกรงอกเกรงใจที่ดี
เมื่อทำอะไรให้เข้าที่เข้าทางอีเลนชวนเคียร์นคุยเรื่องเรื่อยเปื่อยก่อนจะวกเข้าเรื่องคุณธรรมจริยธรรมเอย การฆ่าคนถือเป็นบาป ไหน ๆ แล้วก็สอนเรื่องศาสนาที่ตนรู้จักให้ด้วยเลยแล้วกัน
สาดศีลธรรมใส่อีกฝ่ายเข้าไว้ เวลาเจอหน้านางเอกจะได้ไม่ต้องผีบ้า เข้าไปลักพาตัวเหมือนเนื้อเรื่องในนิยายอีก
เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ไม่รู้ว่าควรรู้สึกยังไงดี เขาพึ่งเคยเจอเด็กที่จริงจังกับการสอนคนอื่นเรื่องพวกนี้เป็นครั้งแรก
อีเลนทำให้เขารู้สึกเหมือนว่าตัวเองจะโตไปเป็นคนไม่ดีเอามาก ๆ ยังไงยังงั้น เขาไม่ทำร้ายใครหรอกถ้าอีกฝ่ายไม่เริ่มก่อน ถือคติถ้าเริ่มเกมแล้วก็ต้องเล่นให้จบ!!
เวลาล่วงเลยไปถึงยามเย็น รถแท็กซี่คันสีเหลืองจอดตรงหน้าบ้านก่อนที่ร่างหญิงคุ้นตาจะเปิดประตูก้าวขาออกมา
อีเลนเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์เจ้าตัวตื่นเต้นดีอกดีใจรีบวิ่งไปหาผู้เป็นแม่ เคียร์นซึ่งมองตามแผ่นหลังคนตัวเล็กกว่าลุกวิ่งออกไปก็ค่อย ๆ ยันตัวเองขึ้นก้าวเดินตาม
“แม่ครับ คุณหมอว่ายังไงบ้างครับ”
เด็กชายโผเข้ากอดหญิงวัยกลางคนอย่างแนบแน่น เธอมองลูกชายตัวน้อยด้วยสายตาอบอุ่นพลางลูบหัวอย่างอ่อนโยน
“แม่ไม่เป็นไร คุณหมอให้ยาแม่มาทานนิดหน่อย แค่แม่นอนพักผ่อนทานยาให้ตรงเวลาก็หายแล้ว”
“จริงนะครับแม่ ผมจะช่วยดูแลแม่เองครับ” อีเลนออดอ้อนดีใจ ดีที่เธอไม่ค่อยมีอาการหนักมาก
แม่อีเลนได้ฟังเช่นนั้นก็ชื่นใจ เธอรู้สึกสดชื่นจิตใจแจ่มใสกว่าเดิมตั้งแต่ที่ลูกเปลี่ยนไป แม้จะรู้สึกดีมากแค่ไหนแต่ลึก ๆ ภายในสักแห่งกลับรู้สึกเหมือนตนสูญเสียสิ่งสำคัญบางอย่าง ในอกซ้ายพลันวูบโหวงเหมือนขาดอะไรไปแต่ก็นึกไม่ออก
“สวัสดีครับคุณน้า”
ผู้เป็นแม่เห็นเด็กผู้ชายหน้าตาหล่อเหลาราวกับตุ๊กตาเดินได้ออกมาจากบ้านของตัวเองก็ตกใจ
เธอสงสัยว่าเด็กคนนี้เป็นใครทำไมถึงเดินออกมาจากบ้านเธอ อีเลนเห็นแม่ทำสีหน้าสับสนจึงรีบแทรกขึ้น
“เพื่อนผมเองครับแม่ เขาพึ่งย้ายมาแถวนี้”
“ขุ่นพระ”
หญิงมีอายุยกมือขึ้นปิดปาก ไม่อยากจะเชื่อหูตัวเองว่าลูกชายคนที่เอาแต่นั่งเหม่อมองท้องฟ้าไปวัน ๆ ไม่สนใจใครนอกจากเลือดที่ทำให้หันมาได้กลับมีเพื่อนเป็นตัวเป็นตน แถมยังพามาเล่นที่บ้านอีกด้วย เธอน้ำตารื้น รีบกล่าวต้อนรับเด็กชายด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าเปี่ยมสุข
“ยินดีต้อนรับจ้ะ แม่ดีใจที่ได้เจอเรานะ แล้วลูก ๆ ไปรู้จักกันได้ยังไงเนี่ย ไหนลองเล่าให้แม่ฟังหน่อยสิ”
ภายในห้องนั่งเล่นบนโซฟา ทั้งสามคนใช้เวลานั่งคุยกันสักพักใหญ่ก่อนเคียร์นจะขอตัวกลับบ้านเพราะเป็นเวลายามเย็นแล้ว
อีเลนไม่สบายใจที่ปล่อยให้เด็กน้อยเดินกลับตัวคนเดียว ยังไงก็ต้องแวะไปเอาหนูแฮมสเตอร์ด้วยเขาจึงเสนอให้เคียร์นติดรถไปพร้อมกันแต่ดันถูกเจ้าตัวปฏิเสธ
“ขอโทษนะ พอดีฉันชอบเดินเล่นก่อนกลับน่ะ”
เด็กตาน้ำเงินกล่าวเช่นนั้นด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ก่อนลุกขึ้นยืนไหว้ลาคุณแม่แล้วขอตัวเดินออกจากบ้านไป
อีเลนหน้ามุ่ยเดินตามเจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์มาส่งถึงหน้าบ้าน เงาร่างเล็กของทั้งสองทอดยาวอยู่บนพื้นถนน
ดวงตาสีน้ำเงินวาวระยับรับกับแสงอัสดง ใบหน้าหน้าหล่อเหลาค่อย ๆ เคลื่อนมาไว้ตรงใบหูเล็กทำให้อีกฝ่ายรู้สึกจั๊กจี้
อีเลนเผลอกลั้นหายใจเมื่อลมอุ่นร้อนของเคียร์นเฉียดสัมผัสกับใบหูอย่างบางเบา เจ้าตัวปั้นหน้าไม่ถูก เขาหดคอสู้อย่างเกร็ง ๆ
ดวงตาสีแซฟไฟร์โค้งเป็นสระอิ หัวเราะในลำคอเล็กน้อยเปล่งเสียงกระซิบแผ่วเบาเชิงหยอกล้อ
“บ้านฉันอยู่ข้างนายนี่เอง ไม่ต้องเดินไปส่งก็ได้”
เคียร์นยิ้มเจ้าเล่ห์ ก่อนจะถอยตัวจากไปอย่างอารมณ์ดี
“……….”
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก