เป็นเวลากว่าสองสัปดาห์แล้ว ที่ชายหนุ่มเริ่มชินกับร่างกายและกิจวัตรประจำวันของเจ้าของร่าง มีแค่บางสิ่งที่เขาไม่คุ้นเคยกับมันสักทีนั่นคือความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใยของผู้เป็นแม่
ตั้งแต่ใช้ชีวิตอยู่ในร่างอีเลน เขารู้เลยว่าหญิงวัยกลางคนรักและใส่ใจลูกตัวเองมากแค่ไหน
พ่อของเด็กชายเป็นทนายชื่อดังขึ้นศาลทุกครั้งชนะทุกรอบ เพราะความมีชื่อเสียงจึงทำให้มีงานยุ่งมากจนไม่มีเวลากลับบ้าน จะกลับมานานทีปีใหม่ไม่ก็วันสำคัญเลย
ผู้เป็นภรรยาจึงได้แต่อยู่เฝ้าบ้านพร้อมดูแลลูกชายตัวน้อยเพียงลำพัง อาจเป็นเพราะอาการเหงาจากการไม่ได้เจอสามีนาน ตลอดเวลาเธอจึงเอาใจใส่และให้ความรักมากมายกับลูกน้อยเป็นพิเศษ ยิ่งรู้ว่าลูกป่วยทางจิตยิ่งดูแลหนักขึ้นกว่าเดิม
ทุกวันเป็นไปอย่างเงียบสงบ คนเป็นแม่เฝ้ามองลูกชายที่ไม่แสดงอารมณ์ ใด ได้แต่นั่งนิ่งมองท้องฟ้าสีครามไปวัน ๆ
หญิงอายุเยอะรู้สึกปวดใจ มีบางครั้งยอมถึงขั้นออกไปซื้อศพหนูกลับมาให้เด็กชายที่เอาแต่นั่งเฉยหน้านิ่งไปวัน ๆ
เธอเข้าใจดีว่าการกระทำของตัวเองนั้นผิดมากเพียงใด แต่ขอแค่ได้เห็นใบหน้าลูกชายแสดงความรู้สึกบางอย่างออกมาบ้าง นั่นก็ทำให้หญิงคนนี้รู้สึกชื่นใจขึ้นบ้างแล้ว
ปัจจุบันชายหนุ่มที่ได้ชื่อว่าอีเลนตอนนี้นั่งคนถ้วยโกโก้ร้อนที่แม่ชงให้อยู่บนโต๊ะอาหาร สมองพลันนึกถึงเนื้อหาเหตุการณ์ในนิยายบางส่วน ในอกเขารู้สึกบีบรัดกับความรู้สึกบางอย่างแม้มันจะไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
ร่างน้อยกระเถิบตัวลงจากเก้าอี้ เดินเข้าไปกอดคนที่กำลังยืนทำอาหารเย็นอยู่ในห้องครัว ผู้เป็นแม่สัมผัสได้ถึงมือน้อย ๆ ที่โอบกอดตนจากด้านหลัง น้ำเสียงอ่อนโยนเอ่ยขึ้น
"หิวเหรอลูก รอแม่ทำอาหารอีกแป๊บเดียวนะ"
เธอบอกพลางลูบหัวเจ้าตัวน้อยของตน เมื่ออีเลนได้รับความอบอุ่น ในจิตวิญญาณของชายหนุ่มอายุยี่สิบสองปีซึ่งผ่านโลกมามากเกินกว่าอายุของกายหยาบ ตัดสินใจพูดบางสิ่งที่ตนนั่งคบคิดมานานออกไป
“แม่ลองไปหาหมอได้ไหมครับ”
อีเลนรู้สึกว่าหญิงที่ได้ชื่อว่าแม่ของตนในตอนนี้น่าจะมีอาการป่วยทางจิตอ่อน ๆ หากปล่อยไว้นานวันเข้าคงเกิดเรื่องไม่ดีแน่ ที่เขาคิดแบบนั้นเป็นเพราะตัวเองถูกปกป้องจากเธอมากเกินไป
ยิ่งสองอาทิตย์นี้หมอบอกว่าอาการดีขึ้นควรทานยาให้ตรงเวลาและนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่ ไม่นานก็ใช้ชีวิตได้อย่างปกติ คุณผู้หญิงได้ยินจึงไม่ปล่อยให้ลูกออกจากบ้านไปไหนเลย ผนวกรวมกับเนื้อหาในนิยายที่ตนรู้ อีเลนคิดว่าตอนนี้หญิงตรงหน้าเขา น่าจะมีอาการทางจิตที่ติดมาจากอีเลนคนก่อน จะปล่อยไว้อย่างนี้ไม่ได้
อีกอย่างเขาอยากได้เวลาส่วนตัวหาวันว่างลองพิสูจน์ว่าร่างกายนี้ยังตอบสนองกับเลือดไหม แม้จิตวิญญาณจะถูกสับเปลี่ยนแต่ร่างกายอาจจะยังตอบสนองเหมือนเดิมก็ได้ ยิ่งคิดยิ่งรู้สึกใจสั่น คนเป็นแม่มองมือเล็กที่กำลังสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
เธอคิดไปเองว่าลูกชายคงเข้าใจผิดว่าตัวเธอป่วยเลยแสดงอาการแบบนี้ออกมา ในใจรู้สึกเบิกบานที่ลูกตนแสดงอารมณ์ได้หลากหลายขึ้น เริ่มใช้ชีวิตเหมือนเด็กปกติทั่วไป แต่ถึงกระนั้นก็ยังรู้สึกปวดใจกับอาการเหล่านี้ของลูกอยู่ดี
“ก็ได้ แม่จะลองไปหาหมอดูนะ” เธอพูดหวังให้ลูกรักสบายใจ
อีเลนเบิกตากว้าง ยิ้มแป้นมือจับชายเสื้อหญิงซึ่งกำลังถือทัพพีคนหม้อซุปไว้แน่น
“จริงนะครับแม่ แม่ต้องไปหาหมอจิตแพทย์นะ ไม่ใช่หมอธรรมดาแต่ต้องเป็นหมอจิตแพทย์นะครับ แล้วแม่ต้องเอาใบตรวจมาให้ผมดูเป็นหลักฐานด้วย!!”
คุณผู้หญิงได้ยินลูกชายพูดดังนั้น ริมฝีปากมีรอยเหี่ยวย่นพลันแย้มยิ้ม แม้ในใจบางครั้งจะคิดว่าลูกชายมักชอบพูดจาเหมือนกับคนที่โตแล้วไปบ้างก็ตาม
เช้าวันต่อมา อีเลนโบกมือให้คนเป็นแม่ซึ่งตอนนี้ใส่เสื้อคลุมสะพายกระเป๋าเดินออกจากบ้านไปขึ้นรถแท็กซี่ เหตุเพราะเมื่อวาน เขาออดอ้อนขอให้เธอไปหาหมอวันพรุ่งนี้เลย จึงเป็นเหตุให้มายืนโบกมือลากันอย่างตอนนี้ ชายหนุ่มรู้ตัวเองดีว่าตนไม่ใช่ลูกแท้ ๆ เป็นแค่คนทะลุมิติเข้ามาสิงร่างเท่านั้น ถึงงั้นก็ต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน เขาอยากตอบแทนความอบอุ่นและความรักที่หญิงคนนี้มอบให้
ถึงตนไม่ใช่ลูกที่แท้จริงแต่ก็จะดูแลอีกฝ่ายให้ดีที่สุด เพื่อเป็นการตอบแทนเจ้าของร่างซึ่งทำให้เขาได้สัมผัสถึงไออุ่นที่เฝ้าฝันด้วย
เด็กชายมองรถที่แล่นออกไปจนลับตา ก่อนกลับมาโฟกัสกับตัวเอง‘เอาละ ตอนนี้จะทดสอบร่างนี้ยังไงดี’
ร่างเล็กเดินวกไปวนมาอยู่หน้าบ้าน พยายามนึกว่าอีเลนคนเก่าไปหาพวกศพสัตว์มาได้ยังไง ยืนแช่อยู่นานในที่สุดภาพ ภาพหนึ่งก็แล่นเข้ามาในสมองประหนึ่งดื่มยาช่วยกระตุ้นความทรงจำ
สองเท้ารีบก้าวตรงไปยังหลังบ้านทันที เขาพบกำแพงรั้วไม้สีขาวเป็นรูโหว่มีแผ่นไม้สีน้ำตาลปิดทับอย่างที่คาดไว้
มือเล็กค่อยๆ เลื่อนแผ่นไม้ออก คาดเดาเอาว่าแม่เจ้าของร่างต้องเป็นคนเอามาปิดรูนี้ไว้แน่
ร่างน้อยนั่งรอบนพื้นหญ้าอย่างใจเย็นอยู่สักพัก ไม่นานเจ้าเหมียวตัวน้อยก็เดินสองเท้าเตาะแตะคาบลูกหนูที่อยู่ในปากเข้ามาหา
ในส่วนนี้ไม่มีอธิบายเนื้อเรื่องอยู่ในนิยาย แต่ได้ความทรงจำของอีเลนคนเก่า สมัยที่เจ้าตัวชอบแอบแม่มานั่งทำลับลมคมในบริเวณหลังบ้านแทนในวันหนึ่งที่อีเลนกำลังเหม่อมองท้องฟ้าอยู่ดังวันปกติ
มีเจ้าแมวสีขาววิ่งไล่หนูตัวน้อยหลงมายังหลังบ้าน เด็กชายมองภาพหนูตัวเล็กดิ้นรนต่อสู้กับแมวตัวใหญ่กว่ามันด้วยความรู้สึกตื่นเต้น ในใจเกิดความยินดี เมื่อเห็นเลือดสีเข้มหยดลงจากตัวหนูซึ่งนอนแน่นิ่งไม่ขยับ
จากวันนั้นเขาจึงเฝ้ารอให้แมวสีขาวเข้ามาอีก เขาคอยให้อาหารและเล่นกับแมวจรจัดเพื่อหวังว่ามันจะแสดงโชว์แบบในวันแรกให้ชมแต่มันก็ทำให้แค่นานครั้งเท่านั้น
ปัจจุบันชายหนุ่มในร่างเด็กเล็กมองแมวตัวสีขาวที่คาบลูกหนูตัวกลมเดินมาให้ เขาแค่เสี่ยงทายมาลองนั่งแบบในความทรงจำไม่คิดว่าแมวน้อยจะมาแสดงโชว์ให้ดูจริง ๆ
อีเลนตัดสินใจนั่งมองแมวเหมียวตะปบหนูอ้วนวิ่งไปวิ่งมา เขาอยากพิสูจน์ว่าร่างกายนี้จะตอบสนองกับเลือดหรือไม่
หนูตัวจ้อยวิ่งไปซ้ายทีขวาทีก็ถูกแมวขาวดักทางไว้หมด เจ้าเหมียวคาบหนูตัวเล็กกลับมาให้เขาอีกครั้ง พอไม่รับก็ปล่อยให้มันวิ่งหนีไป ก่อนจะตามกลับไปคาบมาใหม่
เป็นแบบนี้ซ้ำ ๆ จนเลือดสีสดเริ่มออกมาจากตัวเหยื่อผู้น่าสงสาร อีเลนใจระส่ำระสายไม่ใช่เพราะเขาตื่นเต้นแต่เพราะเขากลัวเลือด!!! ในจิตวิญญาณเขากลัวเลือดขั้นสุดขีด
ผู้ใหญ่ในร่างเด็กรีบวิ่งไปไล่แมวเหมียวที่กำลังจะตะปบหนูใกล้สิ้นลมอีกครั้งด้วยใจรู้สึกผิด หัวใจเต้นรัวแรง ตอนนี้เขารู้แล้วว่าร่างกายภาพของเจ้าของเดิมไม่ส่งผลต่อความรู้สึกเขา
อีเลนมองแมวสีขาววิ่งหนีเตลิดกลับเข้าไปในรูเดิม มือเล็กค่อย ๆ ยกแผ่นไม้เลื่อนเข้ามาปิดทับไว้ดังเดิมก่อนจะหันหลังกลับมามองหนูตัวอ้วนที่นอนซมเลือดซิบอยู่ตอนนี้
'เอาไงกับเจ้านี่ดี'
ยามมองสัตว์ผู้โชคร้ายนอนแน่นิ่ง ร่างกายเล็กเกิดสั่นเทาเล็กน้อยเพราะตนไม่ถูกกับเลือด อีเลนกลั้นใจก่อนเดินเข้าไปสำรวจอาการว่ามันมีโอกาสรอดหรือไม่ หนูแฮมสเตอร์ตัวกลมสีขาวลายด่างน้ำตาลร้องจี๊ด ๆ สายตาพลันสบกับดวงตาสีส้มเฉดเหลืองคล้ายอ้อนวอนขอชีวิต อีเลนรู้สึกผิดขึ้นมาในทันที คิดว่าตนไม่น่าทดลองกับสิ่งมีชีวิตเลย ทั้งที่มันก็เจ็บเป็นและมีหัวใจเหมือนกัน “ขอโทษนะ ที่ฉันไม่ช่วยแกให้เร็วกว่านี้” กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อยพลันรู้สึกกระวนกระวาย เมื่อเห็นว่ามันอยู่ในสภาพใกล้หมดแรงเต็มที อีเลนสีหน้าไม่สู้ดี ยืนคิดอยู่สักพักว่าควรทำยังไงก่อนตัดสินใจรีบพุ่งตัวเข้าไปในบ้าน หยิบผ้าผืนเล็กสีขาวสะอาดเข้ามาโอบอุ้มเจ้าหนูลายด่างไว้ในอุ้มมือ เขามองเลือดที่ซึมไปกับผืนผ้าสีขาวเล็กน้อย ในใจหวาดผวาเกิดอาการมือสั่น ยังดีที่หนูแฮมสเตอร์เลือดออกไม่มาก ถ้าเกิดเยอะกว่านี้คงกลั้นใจอุ้มมันขึ้นมาไม่ได้แน่ ๆ “ดีละ!!” คนตัวเล็กตัดสินใจเดินไปยังคลินิกสัตวแพทย์ซึ่งอยู่แถวบ้าน เขาคิดว่าถ้ามัวแต่นั่งรอจนกว่าแม่จะกลับเหยื่อผู้น่
เสียงร้องไห้ของเด็กอ้วนดังไปทั่วสนามเด็กเล่น อีเลนกะพริบตาสองสามที เขามองคนที่นั่งฟันหลุด ใจจริงไม่ได้กะต่อยแรงขนาดนั้นแค่เผลอออกแรงมากเกินไปเพราะเห็นภาพซ้อนทับกับเด็กเกเรที่ชอบแกล้งเหล่าน้อง ๆ ในอดีตของตนจนบาดเจ็บเป็นประจำ อีเลนเดินเข้าไปใกล้เพื่อดูอาการเด็กน้ำมูกน้ำตาไหลที่ดูแทบไม่ได้ มือหนึ่งยื่นไปให้จับหวังช่วยพยุงตัวขึ้น “เป็นไรไหม” เขาถามออกไปอย่างเป็นห่วงเพราะรู้สึกผิดที่ตนทำเกินกว่าเหตุ แม้ภายในลึก ๆ จะอยากให้เด็กคนนี้จำฝังใจว่าไม่ควรไปหาเรื่องใครแบบนี้อีก “แงงงงงง แม่จ๋า” เด็กน้อยไม่สนใจอีกฝ่ายเลยสักนิด เอาแต่นั่งร้องไห้ โหวกเหวกท่าเดียวและไม่มีทีท่าว่าจะหยุดง่าย ๆ ด้วย “เฮ้ย!! มึงทำเพื่อนกูแล้วอย่าคิดว่าจะรอดไปได้นะเว้ย พ่อกูเป็นตำรวจ จะสั่งให้จับพวกมึงให้หมดเลย พวกมึงไม่รอดแน่ พ่อแม่มึงต้องถูกจับ บ้านมึงต้องถูกยึด โทษฐานมาหาเรื่องกับกู ไอ้เชี่ย!!" เด็กหัวโจกหน้าดำหน้าแดงควันออกหู โกรธจัดที่มีคนกล้าท้าทายอำนาจ ตั้งแต่เกิดมายังไม่มีใครกล้าขัดใจเขาเลยสักครั้ง แค่มีพ่อเป็นตำรวจไม่ว
เรื่องราวในนิยายเล่าถึงช่วงเวลาสมัยเด็กของพระเอกและนางเอกไว้ไม่กี่บท ทั้งคู่ได้เจอกัน เกิดมาจากโรคจิตเวชของอีเลนคนเก่ากำเริบ วันหนึ่งคุณแม่ของเด็กชายออกไปรับของทางไปรษณีย์ข้างนอกโดยใช้เวลาไม่ถึงห้านาที พอกลับมาพัสดุยังไม่ทันวางพลันร่วงหลุดมือ เมื่อเธอเห็นลูกชายหัวแก้วหัวแหวนยืนถือมีดปอกผลไม้ ที่แขนเล็กตรงข้อพับมีรอยกรีดลึกยาว เลือดสีเข้มไหลซึมออกมาทีละหยดสองหยด ผู้เป็นแม่แข้งขาอ่อนแรง ทรุดฮวบลงกับพื้นทันที หญิงวัยกลางคนมีอาการตัวสั่นหน้าซีดเผือด ตกตะลึงกับการกระทำของลูกน้อย หลังจากนั้นไม่นานเสียงทะเลาะปนสะอื้นไห้ดังแซดไปทั่วบ้าน เธอต่อสายถกเถียงกับสามีเรื่องลูกชายของตน กล่าวโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้ลูกเป็นแบบนี้ กล่าวว่าสามีที่ไม่มีเวลาให้ลูกบ้างก็ดี กล่าวว่าตัวเองที่ดูแลลูกไม่ดีบ้างก็ดี ผู้เป็นสามีเคร่งเครียดถอนหายใจดังลั่นจนปลายสายได้ยินเสียง ‘เฮ้อ’ “งั้นเอางี้ คุณย้ายบ้านไปอยู่เมืองหลวงซะ ที่นั่นมีหมอเก่งด้านจิตเวช เดี๋ยวผมส่งเขาไปเป็นหมอประจำตัวอีเลนให้” พูดจบก็วางสายไป คนเป็นแม่สะอื้นไห้โผเข้า
หน้าจอฉายภาพเคลื่อนไหวสลับตัดช่วงกับโฆษณา อีเลนนั่งดูเกี่ยวกับพวกหนังคุณธรรมจริยธรรมมาได้ครึ่งชั่วโมงกว่าแล้ว เขาหวังพึ่งเล็กน้อยว่าสิ่งเหล่านี้จะเป็นแบบอย่างที่ดีให้เคียร์นเดินรอยตาม แม้ในใจจะรู้สึกเบื่อหน่ายกับการต้องมาดูแต่มันก็ช่วยไม่ได้ ในเมื่อตัดสินใจอยากให้ตัวร้ายกลายเป็นคนดีก็มีแต่ต้องอดทนเท่านั้น!! ดวงตาสีแซฟไฟร์สายตาไม่ได้จับจ้องที่หน้าจอเลยตลอดระยะเวลาครึ่งชั่วโมง เขาเอาแต่ลอบสังเกตคนที่มีสีหน้าเปลี่ยนไปมาอยู่ด้านข้างและก็พบว่ามันน่าสนใจกว่าสิ่งที่เปิดให้ดูบนหน้าจอเสียอีก เคียร์นพอเดาสาเหตุที่อีเลนเปิดของพวกนี้ให้ดูได้ แต่แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมเด็กอายุรุ่นราวคราวเดียวกันถึงสนใจปลูกฝังจิตใจใฝ่ดีให้คนอื่นมากกว่าชวนออกไปเล่นสนุกเหมือนเด็กทั่วไปนัก หลังจากนั่งมองมาได้สักพัก เคียร์นพบว่าเพื่อนใหม่ชอบน้ำตาคลอก็ต่อเมื่อถึงช่วงเรื่องราวท้าย ๆ แล้วมีดนตรีบรรเลงประกอบฉากขึ้นมา 'สรุปซึ้งเพราะเนื้อเรื่องหรือเพราะดนตรีกันแน่' เด็กชายตั้งคำถามกับตัวเอง พร้อมดูสีหน้าเพื่อนใหม่อย่างสนอกสนใจ ยิ่งเป็นช่วงโฆษณาไ
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
นักเรียนห้อง S ของโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัด ไม่ว่าใครก็ตามที่ได้อยู่ห้องนี้ล้วนไม่ใช่เด็กธรรมดา บางคนสอบเข้ามาได้ด้วยคะแนนสูงสุดเกือบเต็มร้อยนับว่าเป็นเด็กอัจฉริยะ บางคนพ่อแม่มีอำนาจทางการเมือง ใช้เงินยัดใต้โต๊ะหวังให้ลูกหลานมีภาพลักษณ์เด็กเก่งเรียนดีมีหน้าตาทางสังคม เด็กนักเรียนส่วนใหญ่เกินครึ่งในห้อง S จึงล้วนเป็นเด็กที่สอบเข้ามาได้ด้วยเงิน มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้นที่สอบเข้ามาได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริง ๆ เด็กจิ้มลิ้มเขามีชื่อว่า เฮนรี่ เป็นเน็ตไอดอลชื่อดังที่กำลังได้รับความนิยมจากบรรดาวัยรุ่นหนุ่มสาวด้วยหน้าตาสุดน่ารักน่าชัง ภาพลักษณ์ดูเป็นเด็กน้อยใสซื่อบริสุทธิ์อ่อนต่อโลก ทำให้บรรดาชาวเน็ตต่างพากันชื่นชมหลงใหลไปกับความน่ารักไร้เดียงสา
เริ่มวันใหม่กับการเป็นเด็กมัธยมต้นครั้งแรกเมื่อผ่านพ้นการเรียนปรับพื้นฐานมาเป็นเวลากว่าสองอาทิตย์ อีเลนคิดว่ามันก็ไม่ได้แย่มากที่มีเชาว์กับเพิร์ซเพิ่มเข้ามาในชีวิตประจำวัน แม้มันจะน่าปวดหัวมากแต่ก็สนุกดี ยิ่งได้เห็นสีหน้าซีดเซียวของครูอันผู้รับชะตากรรมแบบเดียวกับเขาแล้วทำให้มีแรงฮึดสู้ไปเรียนมากยิ่งขึ้น ด้วยความคิดว่าอย่างน้อยตนก็ไม่ได้โดนอยู่คนเดียว ยังมีครูอันเป็นเพื่อน!! “คิดอะไรอยู่” ดวงตาสีแซฟไฟร์ถามขณะจูงมือกับเพื่อนตัวน้อยเดินทางไปยังโรงเรียน คนโดนกุมมือมองปลายนิ้วที่ผสานกันพลางคิดว่าขึ้นมัธยมต้นแล้วยังต้องมาเดินจับมือกันเหมือนเมื่อก่อนอีกเหรอ ตอนเจอกันแรก ๆ เขายังไม่อะไรมากกับการสกินชิพของอีกฝ่ายเพราะยังไงก็ถือว่าเป็นเด็กอายุแค่สิบสองปี แต่ตอนนี้มันไม่เหมือนกัน พวกเขากำลังย่างเข้าสู่ช่วงวัยแตกเนื้อหนุ่ม การกระทำเช่นเดินจับมือถือแขนควรเว้นระยะห่างไว้บ้าง เมื่ออีเลนพยายามจะดึงมือหนีเคียร์นกลับยิ่งจับแน่นขึ้น “เคียร์น ฉันว่าเราควรเว้นระยะห่างกันไว้บ้างนะ” อีเลนพูดเตือน เขา
หลังการสอบเข้าโรงเรียนชื่อดังประจำจังหวัดเสร็จ ต้องรอการประกาศคะแนนประมาณสองอาทิตย์ ไม่นานผลสอบได้ถูกจัดตั้งขึ้นบนบอร์ดกลางโดมของโรงเรียนชื่อดัง รายชื่อนักเรียนตั้งแต่ลำดับแรกจนถึงลำดับสุดท้ายถูกจัดเรียงตามคะแนนสอบจากมากไปน้อย “เคียร์น มีรายชื่อนายไหม” อีเลนถามขณะยืนมองตัวเลขอันน่าภาคภูมิใจสมกับความพยายามของตนเอง “อืม มีแน่นอนอยู่แล้ว” คนถามหันหน้ามองเด็กมั่นหน้าอย่างหมั่นไส้ ‘เก่งแล้วยังอวดอีกเจ้าเด็กนี่!’ เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์ลอบยิ้มในแววตา รู้ว่าเพื่อนตัวน้อยกำลังคิดถึงอะไรอยู่ นึกเอ็นดูกับท่าทางของคนตรงหน้าก่อนน้ำเสียงทรงเสน่ห์จะเอ่ยขึ้น “ดูเหมือนเราจะได้อยู่ห้องเดียวกันนะ” เด็กตาน้ำเงินมองไปยังผลคะแนนสอบในแถว A ทางโรงเรียนจะจัดรายชื่อคะแนนของเด็กที่ได้ใกล้เคียงกันไล่ไปแต่ละแถวตามตัวอักษร แถว S คือเด็กอัจฉริยะที่ทำคะแนนรวมได้เกือบเต็มร้อยของคะแนนเต็ม แถว A ไล่ตั้งแต่คะแนนแปดสิบสองจนถึงเจ็ดสิบคะแนน และแถว B ไล่ตั้งแต่คะแนนเจ็ดสิบถึงหกสิบสองคะแนนลดหล
สถานที่สอบของอีเลนอยู่ห้องท้ายสุดของทางเดิน ซึ่งเขาต้องลอบผ่านกลุ่มนักเรียนซึ่งยืนรุมล้อมบุคคลทั้งสองโดยไม่ให้เชาว์สังเกตเห็น ‘เฮ้ออ อยากจะบ้าตาย เราไปทำเวรทำกรรมอะไรไว้เนี่ยถึงเจอแต่เรื่องแบบนี้!!’ เจ้าตัวบ่นกับตัวเองในใจ คนที่เขาไม่อยากเจอมากที่สุดคือเชาว์ แต่ยังโลกยังเหวี่ยงให้ได้พบกันอีกจนได้ เด็กชายคิดว่าเจอกันครั้งนั้นแค่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่นึกไม่ฝันเลยว่าเจ้าตัวจะมาสอบที่โรงเรียนเดียวกันอีก “นั่นแหละเอาเลย สายตาของนายมันกำลังทิ่มแทงความบริสุทธิ์ของผม ทำให้ผมดูน่าสมเพชมากกว่านี้อีกสิ อ๊า!” ขนาดอีเลนได้ยินยังรู้สึกรับไม่ได้กับคำพูดของเด็กหน้าสวย แล้วคนที่โดนพูดใส่ล่ะจะรู้สึกยังไง คิดได้ดังนั้นจึงลอบแอบมองสีหน้าของคนที่ยืนอยู่กลางวงสนทนา “คนอย่างนายมันน่าสะอิดสะเอียน” เด็กแว่นพูดพร้อมทำสายตาว่างเปล่า เบ้ปากรับไม่ได้ขั้นสุดกับการกระทำของคนตรงหน้า ก่อนจะพยายามเดินหนีไปเข้าห้องสอบ เมื่อเชาว์เห็นดังนั้นจึงรีบยื่นมือเข้าไปจับแขนเสื้ออีกฝ่ายรั้งเอาไว้ เด็กชายกุหลาบพยายามระงับลม
‘R r r r r r r r…….’ ‘R r r r r r r r.............’ เสียงโทรศัพท์ดังแผ่วในห้องนอนสไตล์เรียบหรูออกแนวมินิมอล โทนสีเทาอ่อน “จี๊ด ๆ” เสียงหนูแฮมสเตอร์กำลังวิ่งบนกงล้อดังผสานเข้ากับเสียงรอสาย ดวงตาสีแซฟไฟร์อ่อนลงเมื่อมองเจ้าหนูอิวคิวที่ตอนนี้ตัวกลมดิ๊กกำลังวิ่งเล่นอย่างสนุกสนาน ก่อนจะละสายตามองออกไปนอกหน้าต่างยังท้องฟ้าสีครามพร้อมถือโทรศัพท์แนบหู [สวัสดีครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหรอครับ] ไม่นานเสียงของคนที่รอคอยอยู่ก็ดังขึ้น ดวงตาสีแซฟไฟร์แปรเปลี่ยนกลับมาเยือกเย็นท่าทางดูจริงจัง น้ำเสียงติดเย็นชาเอ่ยถาม “คนพวกนั้นเป็นไงบ้าง” [ถ้าพวกญาติของคุณตอนนี้กำลังระมัดระวังไว้อยู่ครับ] “ดี…แล้วเรื่องเด็กคนนั้นล่ะ” ปลายสายชะงักค้างเมื่อน้ำเสียงที่เรียกเด็กคนนั้นแลอ่อนโยน ไม่เหลือมาดเย็นชาดั่งทุกทีก่อนจะตั้งสติแล้วคุยต่อ [เด็กคนนั้นไม่เกี่ยวข้องกับญาติคนไหนครับ] เมื่อคนฟังได้รับคำตอบดวงตาสีแซฟไฟร์สั่นไหวก่อนจะข่มตาลงสักพักจึงค่อยปรับมาดังเดิม [จะอยู่ก
"ตีผม ตีผมเลย!! เอาสิครับเด็กน้อย ทำให้จิตใจบอบช้ำ อันแสนงดงามของผม ยิ่งป่นปี้ด้วยไม้เรียวสวยท่อนนั้น ฟาดสิครับ ฟาด!!!" หากคนทั่วไปมาเจอเด็กนี่คงพากันทำหน้าแหยงเผ่นหนีป่าราบ ไม่ก็รุมสกรัมเจ้าโรคจิตกันไปหมดแล้ว แต่คงไม่ใช่กับอีเลนเพราะเขารู้เนื้อเรื่องในนิยายและรู้ว่าตัวละครเชาว์ไม่ใช่คนเลวร้ายหรือทำอันตรายคนอื่น แม้พฤติกรรมภายนอกจะดูเหมือนพวกภัยสังคมก็ตาม ในเรื่องรักสุดซาดิสม์ เชาว์เป็นตัวละครหนุ่มลูกครึ่งหน้าสวยเจ้าสำอาง นิสัยปกติเจ้าตัวยามไม่โดนความรุงแรงก็เป็นแค่ชายหน้าสวยอารมณ์ดีชอบโอเวอร์แอคติ้งเล่นใหญ่เกินเบอร์ เป็นหนุ่มกุหลาบผู้หลงใหลในความงามของตัวเองจนน่าหมั่นไส้! แต่อีกร่างหนึ่งเมื่อได้รับความรุงแรงทางร่างกาย กลับเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชอบให้ผู้อื่นกระทำชำเราแบบปู้ยี่ปู้ยำ คอยตามตื๊ออีกฝ่ายให้ลงมือกับตนเองแบบกัดไม่ปล่อยจนคนโดนรบเร้าทนไม่ไหว โทรหาตำรวจให้มาจับตัวไปสงบสติอารมณ์ในคุกแทน อีเลนรู้วิธีรับมือกับคนโรคจิตดี วิธีแก้ให้อีกฝ่ายเลิกตามตื๊อง่าย ๆ มีอยู่สองหัวข้อใหญ่ หนึ่งคือใช้ความรุ
ข่าวหน้าหนึ่งเรื่องลูกชายกรมตำรวจทำร้ายเด็กในสถานรับเลี้ยงดังสนั่นทั่วโลกอินเทอร์เน็ต ผู้คนต่างหลั่งไหลเข้ามาแสดงความคิดเห็น เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ ส่วนใหญ่เป็นไปทางด้านลบ แม้ว่าท่านตำรวจยศใหญ่จะพยายามปิดข่าวสักแค่ไหนก็ไม่อาจได้ผล นานวันเรื่องยิ่งทวีคูณจนไปถึงหูผู้มีอิทธิพลสูงสุดเข้า ตั้งแต่วันนั้น เวลาก็ผ่านเลยมาได้สองสามเดือน จนย่างเข้าสู่ช่วงหน้าร้อนของเดือนพฤษภาคม เป็นช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านของเด็กวัยประถมสู่การเป็นเด็กมัธยมต้น “ไม่ไหวแล้ว เหมือนหัวจะระเบิด” ร่างเล็กสไลด์ตัวฟุบหน้าลงกับโต๊ะไม้อย่างปวดหมอง ‘แน่ใจแน่นะว่ามันเป็นแนวข้อสอบของพวกเด็กมอต้น’ อีเลนขมวดคิ้วมองแบบฝึกหัดตัวเลข แม้จะฝ่าฟันจนเรียนจบชั้นมัธยมปลายมาได้แต่ก็แค่พอแค่ถูไถเท่านั้น เวลาคุณครูเข้าสอน เขามักเผลอหลับบนโต๊ะเรียนทุกครั้ง เหตุเกิดจากความเหนื่อยล้าด้วยทำงานพิเศษเป็นประจำเพราะค่าเงินรัฐไม่เพียงพอต่อการศึกษาจำพวกซื้อของจิปาถะ ทำให้เขาต้องทำงานพิเศษหาเงินเพิ่มตั้งแต่อายุยังน้อย ถึงจะเคยพยายามฝืนร่างกายเอาไว้ท้ายที่สุดก
“หนูจะไปฟ้องพี่เลี้ยง!! พี่เป็นเด็กไม่ดีต้องถูกลงโทษ!!!” เด็กสาวผมเปียโมโหจัด เธอตัวสั่นเทาแต่ยังต่อต้าน พูดเสียงดังใส่เด็กกร่างอย่างไม่เกรงกลัว “เหอะ เด็กไม่มีพ่อแม่อย่างเธอกับลูกตำรวจแบบฉันคิดว่าพวกนั้นจะเข้าข้างใครมากกว่า เผลอ ๆ เธอเองนั่นแหละที่จะโดนหาว่ามารยา ใส่ร้ายคนอื่นไปทั่ว!!” เด็กสาวตัวน้อยดวงตาแดงก่ำ คำพูดของคนตัวโตกว่าเสียดแทงเข้ามาในใจเธอยังจัง ถูกต้องแล้ว เธอเป็นแค่เด็กกำพร้าตัวเล็กซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้ง จะไปสู้อะไรกับลูกคนใหญ่คนโตได้ “ไม่มีพ่อแม่แล้วไง ถ้าต้องเกิดมาเป็นเด็กสถุลอย่างนายฉันขอไม่เกิดมาแต่แรกเลยดีกว่า ถ้าจะเลี้ยงออกมาได้สันดานเสียขนาดนี้” อีเลนกัดฟันกรอดพูดอย่างขบเคี้ยว เขารู้สึกอยากวิ่งเข้าไปซัดเด็กตรงหน้าปรับนิสัยสักสองสามที ถ้าไม่ติดว่าอีกฝ่ายยังเป็นเด็กปานนี้คงโดนกระทืบจมดินไปแล้ว เด็กชายพยายามเว้นระยะห่างออกจากเด็กหัวโจกพอสมควร กลัวใจจะเผลออารมณ์ชั่ววูบ ต่อยหน้าเต็มแรงฟันหลุดสองซี่เหมือนเด็กอ้วนอีก เด็กบ้าอำนาจพอเห็นหน้าอีเลนเข้าดวงตาพลันแข็งค้าง ถลึงตาใส่อี
ปิ๊งป่อง~ เสียงกดกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น เจ้าของดวงตาสีแซฟไฟร์แย้มยิ้มเมื่อเห็นการมาเยือนของร่างน้อยคุ้นตา อีเลนสะพายกระเป๋าเป้ข้างหนึ่งพลางหิ้วกรงหนูแฮมสเตอร์ไว้ในมืออีกข้าง เขากล่าวทักทายเจ้าบ้านที่เดินมาเปิดประตูให้ก่อนก้าวขาเข้าไปข้างใน โทนบ้านสไตล์เรียบหรูมินิมอลปรากฏสู่สายตา เด็กชายมุ่งตรงไปยังห้องนั่งเล่น วางกรงเหล็กลงบนโต๊ะกระจกใสค่อยหย่อนกายนั่งลงบนโซฟา ตั้งแต่วันที่ไปรับเจ้าตัวกลมกลับบ้าน เวลาก็ล่วงเลยไปได้สามวันกว่าแล้ว ตลอดระยะเวลาอีเลนไม่ค่อยออกไปไหน เขาเอาแต่อยู่เฝ้าดูแลหนูน้อยอ้วนพีอย่างทะนุถนอม คุณหมอบอกว่าใช้เวลาประมาณอาทิตย์กว่าคอยดูแลทำความสะอาดให้แผลไม่ให้ติดเชื้อไม่นานก็หาย ตอนนี้แม่อีเลนไม่กักตัวเขาอยู่ในบ้านเหมือนแต่ก่อนแล้ว เมื่อคุณหมอที่มาตรวจอาการให้ไม่กี่วันที่แล้วบอกกับคุณแม่ว่า ถ้าถึงขนาดเอาสัตว์เลี้ยงตัวเป็น ๆ ไปหาหมอ คบกับเด็กคนอื่นเป็นเพื่อนได้อาการคงดีขึ้นมาก สามารถใช้ชีวิตเหมือนเด็กทั่วไปได้ตามปกติ ในเมื่อถูกปล่อยให้เป็นอิสระก็ต้องใช้โอกาสนี้ หนีมาเที่ยวบ้านเพื่อนสัก