ไอ้ใบ้ในความทรงจำเป็นชายหนุ่มร่างกายกำยำ ท่าทางเซื่องซึมเชื่องช้า ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง มอมแมม เขารับมันมาเลี้ยงด้วยความสงสาร เห็นว่าสติไม่ดีและไม่มีที่ไป หลังจากรักษาให้อาการดีขึ้นก็นำตัวไปฝากให้พ่อบ้าน มอบหมายงานเป็นบ่าวในจวน ไอ้ใบ้นั้นไร้ชื่อแซ่ ไร้ที่มาที่ไป พวกเขาจึงเรียกมันแค่ชื่อว่าไอ้ใบ้อย่างไม่ใส่ใจนัก หน้าที่ประจำของมันก็ดูแลคอกม้าและช่วยบ่าวชายแบกหามเป็นครั้งคราว เพราะแม้สติปัญญาจะด้อย แต่ร่างกายของมันกลับแข็งแรงบึกบึนเหนือมนุษย์
เวลานี้ไอ้ใบ้ต่างออกไป มันดูสะอาดสะอ้าน แววตาฉลาดเฉลียว กิริยาท่าทางสง่างาม ต่างจากบ่าวชายไร้การศึกษาทั่วไป ที่สำคัญคือ มันไม่ได้เป็นใบ้แล้ว มันพูดได้
“ข้าก็คือบ่าวของท่านอย่างไรเล่า”
“แต่เจ้าพูดได้แล้ว”
“ย่อมเป็นเช่นนั้น ตอนที่ข้าต่อสู้กับคนของคุณหนูเซี่ย ข้าโดนพวกมันเอาไม้ฟาดเข้าที่หัว จู่ๆ ความทรงจำที่เคยลืมเลือนไปก็กลับคืนมา”
“เจ้าจำได้แล้วหรือว่าตนเองเป็นใคร ดียิ่ง ต่อไปเจ้าก็จะได้กลับไปหาครอบครัว ลูกเมียคงรอเจ้าอยู่นานแล้ว” เหอซีซวนเอ่ยด้วยสีหน้ายินดี ทว่าไอ้ใบ้กลับยกยิ้มอ่อนราวกับบัณฑิต ก่อนจะเอ่ยตอบกลับมา
“ข้าไม่มีลูกเมีย อยู่ตัวคนเดียว บัดนี้ไม่มีที่ไปที่ไหน ข้ายินดีติดตามคอยรับใช้คุณชายเหอต่อไปขอรับ”
“ย่อมได้ แต่ข้าบอกไว้ก่อนว่ายามนี้ข้าลำบาก ข้าหาใช่ฮูหยินถานคนเดิมที่มีทรัพย์สมบัติมากมาย ชีวิตในยามนี้ไม่ต่างจากยาจก เจ้ายินดีที่จะลำบากไปกับข้าที่ตระกูลหลิวแห่งนี้หรือ”
“ข้ายินยอมร่วมหัวจมท้ายไปกับท่านทุกหนแห่ง”
ทำไมเขาถึงรู้สึกว่าคำพูดของไอ้ใบ้มันแปลกๆ ไหนจะดวงตาแพรวพราวนั่นอีก มันรู้หรือไม่ว่าใบหน้าหล่อเหลาของตนกำลังล่อลวงเขาให้อ่อนระทวย ใจเต้นแรง เห็นทีเขาต้องมองบ่าวผู้นี้ใหม่เสียแล้ว
ไอ้ใบ้ผู้นี้ไม่ธรรมดาเลย
“เช่นนั้นก็ได้ อยู่ด้วยกันไปก่อน หากเจ้ามีที่ไปเมื่อไหร่ ข้าจะไม่ขัดขวาง”
ในระหว่างที่ชีวิตกำลังตกระกำลำบาก การได้มีบ่าวข้างกายที่หล่อเข้มตรงสเปกเช่นนี้ก็ทำให้กระชุ่มกระชวยใจอยู่ไม่น้อย เขารู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนกับตาแก่ที่เก็บกดมานาน จนตบะแตกให้กับเสน่ห์ยั่วยวนของบุรุษเพศ ชีวิตก่อนเป็นดาราดังต้องปั้นหน้าเป็นชายแท้ผู้แสนดี ไม่เคยมีโอกาสได้วาดลวดลายหยอกล้อแอ๋วเอินผู้ชายเช่นนี้มาก่อน
หรือว่าสามีของเราก็คว้าเอาคนใกล้ตัวง่ายๆ นี่แหละ แล้วก็ท้องให้ท่านตาเสีย เช่นนี้ ภารกิจของตระกูลก็จบสิ้นแล้ว
“ท่านไม่รังเกียจข้าแล้วหรือ”
“รังเกียจ รังเกียจทำไม”
“ก็เป็นเพราะข้า ท่านจึงต้องแปดเปื้อน ท่านถูกกล่าวหาว่าสวมหมวกเขียวให้กับสามี” ไอ้ใบ้เอ่ยด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจ เมื่อนึกย้อนดูก็พบว่าหลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เหอซีซวนถึงกับเอ่ยปากด่าทอบ่าวใบ้อย่างโกรธเกรี้ยว ซ้ำยังทุบตีไม่ยั้ง ไม่แปลกที่ไอ้ใบ้จะคิดว่าเขารังเกียจ
“ไม่หรอก ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” ไอ้ใบ้เมื่อได้ยินเช่นนี้ก็ยกยิ้มละมุน ก่อนจะสบตาเหอซีซวนอย่างลึกล้ำ
“คุณชาย ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ข้าที่เปลี่ยนไป แม้แต่ตัวท่านเองก็เปลี่ยนไปเช่นกัน” ชายหนุ่มร่างสูงสำรวจคนตัวเล็กผู้เป็นนายที่มีใบหน้าเช่นเดิม แต่บุคลิกท่าทางและการแสดงออกนั้น ต่างจากเดิมไปมาก โดยเฉพาะดวงตาคู่นั้นที่มองมาที่เขา เขารู้ดีว่ามันไม่ใช่แววตาคู่เดิมของเจ้านายคนเก่า
กลิ่นหอมอ่อนๆ จากกายบางมีกลิ่นของดอกกุ้ยฮวากระจายออกมาทุกครั้งที่ขยับตัว เหอซีซวนแต่เดิมก็เป็นคนงาม แต่นี่ดูเหมือนว่าเหอซีซวนคนนี้จะเพิ่มเสน่ห์ชวนลุ่มหลงเข้าไปอีก หากบุรุษผู้ใดใจไม่แข็งพอ อาจจะตกหลุมรักเอาง่ายๆ
เขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตนเองนั้นเป็นบุรุษที่ใจแข็งหรือใจอ่อนกันแน่
“ข้าโดนขนาดนี้ จะให้เป็นคนเดิมก็นับว่าโง่งม บัดนี้เหอคือเหอซีซวนคนใหม่ จดจำให้ขึ้นใจเสีย ว่าแต่เมื่อความทรงจำกลับมา เจ้ามีชื่อหรือไม่”
“ท่านเรียกข้าว่า จางหย่ง ก็ได้ขอรับ”
“จางหย่ง” เขาเอ่ยเสียงนุ่ม ทว่าในหัวเริ่มคิดไปไกล
จางหย่ง ซีซวน แค่ชื่อก็เหมาะสมราวกับกิ่งทองใบหยกจริงๆ
วันเวลาผ่านไปไม่นาน อาการบาดเจ็บของเหอซีซวนก็เริ่มดีขึ้นโดยมีจางหย่งคอยดูแลเขาอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าว ได้มีคนหน้าตาดีเหมือนดาราตัวท็อปคอยตามประคบประหงมอยู่ไม่ห่าง ก็รู้สึกกระชุ่มกระชวย เสียอย่างเดียวก็คือบ่าวคนนี้แม้จะใส่ใจเขามากแต่บางคราก็ทำตัวห่างเหิน เหอซีซวนที่ปักหลักจะคว้าเขามาเป็นสามียิงมุกจีบไปเท่าไหร่ก็ถูกปัดทิ้งสถานเดียวอะไรกัน ใบหน้างดงามปานเทพเช่นนี้ เกิดใหม่อีกทีก็ยังนกเหรอเนี่ยไม่จริง ไม่จริ๊งเมื่ออาการเริ่มดีขึ้น วันนี้จางหย่งก็พยุงคุณชายเหอคนงามออกไปเดินดูเรือนตระกูลหลิว เขาพบว่าที่แห่งนี้นั้นเหมือนกับมิติส่วนตัวของเขาที่หลิวหงชิงอาศัยอยู่ แตกต่างเพียงแค่ ที่แห่งนี้ไม่มีข้าวของล้ำค่าประดับประดาเท่าที่ควร เรือนตระกูลหลิวนั้นกว้างใหญ่ไม่น้อย เทียบกับจวนตระกูลเหอนับว่ามีพื้นที่กว้างกว่าเสียอีก แม้จะแบ่งพื้นที่ไปทำโรงเตี๊ยมก็นับว่ากว้างใหญ่ เกินกว่าจะให้คนแก่เพียงผู้เดียวคอยดูแล จากที่กวาดตาดู เขาก็ต้องยอมรับว่าตู้เฉิงนั้นดูแลเรือนแห่งนี้ได้เป็นอย่างดี นอกจากประตูหน้าเรือนตระกูลหลิวที่ดูรกร้างราวกับเรือนร้างแล้ว ส่วนอื่นก็สะอาดสะอ้านน่าอยู่ นับว่าบรรพบุรุษเขาใช้งานคนไม่ผิด
ท่านหมอเจียงผู้นี้นับว่าเป็นคนเก่งกาจ เขาทำการฝังเข็มไม่นาน อาการปวดท้องของเหอซีซวนก็ดีขึ้น ความเจ็บปวดทรมานมลายหายไป ก่อนจะเขียนใบสั่งยาให้กับคนในบ้าน นำไปต้มให้กับคุณชายของบ้านดื่ม“ท่านหมอ คุณชายเป็นอะไรหรือ”ท่านหมอมีสีหน้าหนักใจไม่น้อย ก่อนจะเอ่ย“เฮ้อ ข้าก็พูดยากนะ ดูเหมือนว่าร่างกายของคุณชายผู้นี้จะมีหยินมากเกินไป ร่างกายไร้สมดุลราวกับพลังปราณถูกสูบออกไปหมด ถึงจะหายปวดแล้วแต่อาการที่แท้จริงก็ยังไม่สู้ดี ข้าขอถามอะไรบางอย่างกับคุณชายได้หรือไม่”“ได้ท่านหมอ”“ท่านเคยถูกวางยาพิษที่ทำให้เป็นหมันใช่หรือไม่”!!!คราวนี้ทุกคนในเรือนต่างตกตะลึงจนอ้าปากค้าง ไม่อยากจะคิดเลยว่าคุณชายเหอผู้นี้พบเจออะไรมาบ้างที่เมืองหลวง ก่อนที่จะเดินทางมาที่นี่ การลงมือฆ่าฟันนับว่าร้ายแรง แต่การวางยาให้เป็นหมันนับว่าอำมหิตไม่น้อยส่วนเหอซีซวนนั้น วิญญาณหลุดจากร่างไปแล้วตายห่า ที่เขามาเกิดที่นี่ก็เพื่อมาทำภารกิจผลิตทายาท แต่ตอนนี้เขาเป็นหมันแล้วจะให้ทำยังไงหรือว่าเขาจะต้องไปจิ้มผู้หญิงที่ไหน ไม่เอานะ เขาขอกัดลิ้นกลั้นใจตายดีกว่าเปลี่ยนขั้ว“ร่างกายของท่านตอนนี้ ยังไม่ได้เป็นหมันหรอกคุณชาย เพียงแต่ตอนนี้มด
หลังจากรักษาตัวอยู่พักใหญ่ เหอซีซวนหรือยามนี้เปลี่ยนชื่อเป็นหลิวซีซวนก็อาการดีขึ้นตามลำดับ น่าเจ็บใจเหลือเกินที่แม้เขาจะถูกเขี่ยทิ้งมาไกลถึงเหิงเยว่ แต่พวกตระกูลถานก็ยังคงทำร้ายเขาได้อย่าให้ข้าได้กลับไปเหยียบเมืองหลวงนะ เพราะสิ่งแรกที่ข้าจะเหยียบก็คือหน้าเจ้า ถานตงหยาง“เหตุใดท่านทำหน้าตาน่ากลัวเช่นนั้น” จางหย่งที่พยุงหลิวซีซวนมาตลอดทาง มองเจ้านายด้วยสีหน้าหวาดระแวง ไม่รู้ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น หลายครั้งที่นายผู้นี้มักจะมีความคิดประหลาดราวกับมาจากคนละโลก“ท่านจะวางแผนฆ่าผู้ใด”“ไม่ได้วางแผน แต่ถ้ากลับเมืองหลวงได้เมื่อไหร่ ข้าได้ฆ่าคนแน่ๆ น่าเสียดายที่เกิดเป็นเกอนั้นบอบบาง แม้แต่แรงจะฆ่าไก่สักตัวยังไม่มี พละกำลังไม่ต่างจากอิสตรีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง เช่นนี้ใช่หรือไม่ผู้คนจึงได้รังเกียจเกอนักหนา”“หากเป็นท่านผู้เป็นเกอรูปงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ย่อมไม่มีผู้ใดรังเกียจได้ลง”หลิวซีซวนเบ้ปากคว่ำกับคำพูดเอาใจของจางหย่งไม่รังเกียจหรือ ตอนเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงด้วยรถม้า มีผู้คนก่นด่าสาปแช่งตลอดทางด้วยซ้ำ“มีแต่คนหัวโบราณบางกลุ่มเท่านั้นที่รังเกียจเกอ ยามนี้บ้า
“เจ้าคิดว่าเราควรทำเช่นไรดี” ตู้ลี่จูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห้วน ทายาทตระกูลหลิวนิ่งคิดไปพักใหญ่ ใบหน้างดงามนั้นเคร่งขรึมลงไป แต่กลับเผยเสน่ห์อีกด้านที่ทำเอาบ่าวข้างกายลอบมองด้วยสายตาล้ำลึก“เงียบไปแบบนี้ คงคิดอะไรดีๆ ได้แล้วใช่หรือไม่”“ใช่ ข้ากำลังคิดว่าข้าจะทำในสิ่งที่ถนัดที่สุด”“สิ่งนั้นคืออะไร”“ข้าจะทำการแสดงที่ห้องอาหารของโรงเตี๊ยมเพื่อเรียกลูกค้ากลับคืนมา” อย่าดูถูกอดีตซุปตาร์อันดับหนึ่ง เขานั้นผ่านการแสดงมาทุกบทบาท ยังไม่รวมการแสดงละครเวทีที่ต้องมีการขับร้องและร่ายรำ หากเป็นฝีมือการแสดงบนเวที เขาย่อมไม่แพ้ผู้ใด“ท่านน่ะหรือ ท่านเป็นเกอผู้อยู่ในห้องหอมาทั้งชีวิต ท่านจะแสดงสิ่งใด” จางหย่งเอ่ยถามอย่างสนใจ“โคโยตี้เป็นไง” “คือสิ่งใด”“ก็เต้นโยกซ้ายโยกขวา แต่งตัวน้อยชิ้น ยั่วยวนแขกในร้าน ดีไม่ดี ข้าอาจจะได้สามีหลังจบการแสดงเลยก็ได้” เกอรูปงามเอ่ยด้วยน้ำเสียงซุกซน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าบ่าวข้างกายที่คอยทำหน้านิ่งอยู่เสมอมา กำลังทำท่าราวกับพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ“หลิวซีซวน!! ท่านโดนปีศาจราคะเข้าสิงรึ วันๆ คิดแต่จะหาสามีกับมีบุตร เหตุใดถึงได้คิดจะเปลื้องผ้าต่อหน้าผ
วันต่อมา หลิวซีซวนก็มานั่งวางแผนพัฒนาโรงเตี๊ยม รวมถึงวางแผนการทำการแสดงโดยมีตู้ลี่จูคอยเสนอแนะอยู่ข้างกาย พอได้พูดคุยกันบ่อยครั้งขึ้น เขาก็พบว่าแม่ลูกอ่อนผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจผู้หนึ่ง เขาไม่ใช่คนอ่อนหวานและนอบน้อมและไม่คิดจะเสแสร้ง ตู้ลี่จูพูดคุยกับเขาแบบธรรมดาต่างจากท่านตาตู้เฉิงที่ยังให้ความเคารพเขาในฐานะเจ้านาย หากเป็นเหอซีซวนคนก่อนที่เติบโตในสังคมเมืองหลวง คงไม่ชอบคนผู้นี้สักเท่าไหร่นัก แต่หลิวซีซวนคนนี้ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เจอคนหลอกลวงแทงข้างหลังมานับไม่ถ้วน ได้มีสหายที่จริงใจเช่นนี้นับว่าเป็นโชคแล้ว“คุยมานาน เจ้าทานอะไรเสียหน่อย อันนี้ข้าทำให้เจ้าเอง” ตู้ลี่จูยื่นสำรับอาหารแปลกตามาให้เขา อาหารชุดนี้นั้นดูหลากหลายไม่น้อย เขาได้กลิ่นสมุนไพรมากมายตีขึ้นจมูก ก่อนจะตักเข้าปากเพื่อลิ้มรส!!!โอ้โห อร่อย อร่อยมาก อาหารปกติที่ทานในเรือนก็ว่าอร่อยแล้ว แต่อาหารในโรงเตี๊ยมนั้นอร่อยแสงออกปาก แถมยังดูพิถีพิถันขึ้นมาอีกขั้น“อร่อยมาก เจ้ามีฝีมือจริงๆ ข้าชอบมาก”“ดี กินเยอะๆ อาหารพวกนี้เป็นอาหารท้องถิ่น กินแล้วจะทำให้ท้องง่าย ดูข้าสิ ลูกสองแล้วในท้องอีกหนึ่ง ก็เพราะอาหารพวกนี้นี่แหละ
หลังจากที่วางแผนทุกอย่างเรียบร้อย หลิวซีซวนก็สั่งให้ตู้เจาไปติดต่อช่างไม้มาปรับปรุงห้องอาหารของโรงเตี๊ยมให้โล่งขึ้น ในเมื่อเขาจะทำการแสดงแล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะทำห้องรับรองส่วนตัวที่สามารถมองลงมายังเวทีได้ชัดเจนมากขึ้น จากนั้นหลิวซีซวนก็ควงแขนสหายคนใหม่อย่างตู้ลี่จูไปซื้ออุปกรณ์สำหรับทำการแสดงที่ตลาด โดยมีจางหย่งตามติดไม่ห่างตั้งแต่รักษาตัวมา เขาก็ไม่เคยออกไปไหนเลยสักที่ หลิวซีซวนตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เที่ยวเล่นออกนอกเรือนตระกูลหลิว การมาตลาดในวันนี้จึงเป็นการมาชอปปิงครั้งแรกในโลกใหม่อย่างแท้จริง จากที่ตั้งใจในคราแรกว่าจะมุ่งตรงไปยังร้านขายผ้าและร้านขายอุปกรณ์แต่งกาย ทว่าเมื่อเห็นข้าวของละลานตา ผู้คนเดินขวักไขว่โห่ร้องเรียกลูกค้าก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น จนเขาวิ่งเข้าวิ่งออกหลายร้าน หากมีเรื่องสงสัยก็ไม่รีรอที่จะสอบถามพ่อค้าแม่ขาย ด้วยท่าทางสดใสเป็นธรรมชาตินานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้ออกมาเดินเล่นตลาดอย่างสนุกสนานเช่นนี้ โดยไม่มีซาแซงคอยเดินตามทุกที่ คงจะเป็นตั้งแต่ที่เขาได้เข้าวงการบันเทิงและโด่งดังมีชื่อเสียงกระมัง ชีวิตก่อนยอมแลกชื่อเสียงเงินทองกับความสุขใจที่เรียบง่ายเช่นนี้ เมื่อ
“เกอผู้นี้หรือที่เจ้าบอกว่ารูปงาม ช่างงามบาดตาจริงๆ เสียด้วย” บุรุษน่ากลัวผู้นี้มาพร้อมกับลูกน้องชายร่างใหญ่อีกห้าคน ท่าทางเกกมะเหรกเกเร คาดว่าคงเป็นอันธพาลที่เมืองนี้“ปล่อย” “คนงาม เหตุใดข้าต้องปล่อยเจ้าให้หลุดมือไปด้วย” สิ้นคำ ร่างใหญ่ของอันธพาลแห่งเหิงเยว่ก็ลอยละลิ่วไปไกลจนปะทะกับแผงร้านค้าด้วยฝ่าเท้าของจางหย่ง บุรุษผู้นั้นเจ็บปวดจนแทบจะกระอักเลือด รับรู้ได้ว่าพลังฝ่าเท้านั้นแฝงมาด้วยกำลังภายในไม่น้อย“นี่เจ้า กล้าดีอย่างไรมาทำกับข้าเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร” “นั่นสิ เจ้าคือใครเจ้ายังไม่รู้ แล้วข้าจะรู้หรือ เจ้าคนหยาบช้า” คุณชายเกอคนงามเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าตู้ลี่จูกลับรีบมากระซิบข้างหู“ไอ้คนนี้มันคือบุตรชายของตระกูลกู้ ผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมหยางน่าที่ชอบส่งคนมาป่วนโรงเตี๊ยมของเรา มันผู้นั้นชื่อกู้หมิงเฉียว เป็นอันธพาลที่ชอบฉุดคร่า ก่อเรื่องวุ่นวาย” กู้หมิงเฉียวมีสีหน้าทะมึน ลูกสมุนข้างกายรีบเข้ามาพยุงร่างใหญ่ให้ลุกขึ้นมาเต็มความสูงช้าๆ ก่อนที่มันจะเดินตรงเข้ามาพร้อมกับประกาศกร้าว“ใช่ ข้านี่แหละกู้หมิงเฉียว ข้าเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมหยางน่า ท่านลุงของข้าเป็นขุนนางใ
เจ็ดวันต่อมา โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวก็ปรับโฉมใหม่ให้ดูสดใสสว่างไสว สมกับที่ซุปตาร์คนดังทะลุมิติมาเข้าร่างนักแสดงในวันนี้ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ที่เคยดูเงียบเหงากลับเปลี่ยนเป็นคึกคักได้ในพริบตา ชื่อเสียงคนงามตระกูลหลิวขจรขจาย หากผู้ใดได้ยลโฉมเพียงครั้งย่อมเก็บไปฝันถึง หากไม่เคยพบก็ย่อมหาทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวเพื่อได้ยลความงามกับตา บรรยากาศโรงเตี๊ยมคึกคัก คนงานทุกคนต่างเร่งมือกันทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ตู้ลี่จูที่รับหน้าที่ดูแลในครัวนั้นยุ่งจนหัวหมุน ตู้เจาคอยต้อนรับแขกที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ส่วนตู้เฉิงทำหน้าที่ดูแลกระเป๋าเงินและความเรียบร้อยทั้งหมด ส่วนดาวเด่นในวันนี้ที่ไปสร้างเรื่องในตลาดจนคนโจษจันนั้นกำลังเตรียมตัวทำการแสดงอยู่หลังม่านวันนี้ หลิวซีซวนอยู่ในชุดสีแดงสดขับผิวขาวให้เปล่งประกาย ผ้ารัดเอวสีแดงถูกดึงให้แน่นขึ้นราวกับคอร์เซ็ทจนคนงามที่เอวบางอยู่แล้ว ยิ่งเอวคอดน่าสัมผัสขึ้นไปอีก ลำคอเปิดกว้างเผยให้เห็นไหปลาร้าขาวสะท้อนแสงยั่วยวนจิตใจ ชุดสวยถูกดัดแปลงให้ดูทะมัดทะแมงทว่าแฝงไว้ด้วยความยั่วเย้าอันน่าหลงใหล ปลายชุดมีกระดิ่งติดเอาไว้ เมื่อเดินกรุยกรายไปทางไหนก็มีเสียงกรุ๊งกริ๊งดังเสนา
ห้าปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน จวนตระกูลหลิวก็ปิดเงียบมาตลอด ฮ่องเต้เฉินเฟยหลงนั้นเหนื่อยใจไม่น้อยที่อุตส่าห์พาตัวทายาทตระกูลหลิวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีนิสัยเหมือนกับต้นตระกูล นั่นคือเกลียดความวุ่นวาย สิ่งที่หลิวซีซวนขอพระราชทานเป็นรางวัลจากเขาคือ การที่เขาสามารถอยู่เฉยๆ ได้ และปฏิเสธการเข้าพบคนจากราชสำนักหรือใครหน้าไหนก็ตามเขาจะต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อยามนี้ได้สามีแล้ว เงินทองก็มีจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมด ทรัพย์สมบัติในคลังสมบัติตระกูลหลิวก็ถูกเก็บไว้อย่างดีที่บ้านตระกูลหลิวที่เหิงเยว่โดยมีท่านตาตู้เฉิงเป็นผู้ดูแลด้านตู้เจาและตู้ลี่จูนั้นหลังจากเริ่มกิจการของตัวเอง ยามนี้ก็กลายเป็นร้านค้าชื่อดังที่มีหลายสาขา การงานการเงินมั่นคง ส่วนบุตรชายอย่างอาจ้านก็กำลังเตรียมสอบเข้าโรงเรียนหมอตามที่ตั้งใจไว้ หลิวซีซวนภูมิใจไม่น้อยที่คนข้างกายเขากำลังไปได้ดีกันทุกคน“กรี๊ดดดด อ๊ากกกกกกก”ยามนี้เสียงกรีดร้องกลับดังออกมาจากจวนตระกูลหลิวในเมืองหลวง บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่น ยามนี้สองจวนทุบกำแพงเข้าหากันจนกลายเป็นจวนขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นการเสริมบารมีให้หลิวซีซวนแ
“เจ้ารู้ข่าวของถานตงหยางแล้วใช่หรือไม่”“ตอนนั้น ข้าเห็นเขาจากในภาพนิมิตแล้ว สุดท้ายคนผู้นั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้ค่ายิ่งนัก”“แล้วเจ้า..ไม่เสียใจหรือ” เซวียนจางหย่งนั้นเป็นบุรุษใจกว้าง เขารู้ดีว่าเขากำลังแต่งให้กับคนงามที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว เขาตระหนักอยู่เสมอว่า แม้หลิวซีซวนจะเลิกรากับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เยื่อใย อย่างไรก็คนที่เคยอยู่กินกันมาหลายปี“ไม่หรอก เขาสมควรตายจริงๆ คนเช่นนั้นอย่างไรก็คิดไม่ได้ วันข้างหน้าย่อมต้องก่อการเลวร้ายอีกแน่ นับว่าความแค้นระหว่างข้าและเขาได้จบสิ้นในชาตินี้อย่างสมบูรณ์แล้ว” หลิวซีซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เรียกรอยยิ้มจากบุรุษรูปงามได้ไม่น้อยตัดเวรกันได้แล้วก็ดีชายหนุ่มก้าวเข้ามา ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดแนบชิดทั้งสองร่างจากทางด้านหลัง แก้มนวลขึ้นสีเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาเหอซีซวนนั้นเป็นคนซุกซนชอบเรื่องสนุกสนาน แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ซึมลงไปถนัดตาจนน่าเป็นห่วง เขานึกไปว่าอีกฝ่ายเสียอกเสียใจเรื่องอดีตสามีเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังมีบางเรื่องรบกวนจิตใจเกอคนงามอยู่“แล้วเมื่อกี้ เจ้ากำลั
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมืองหลวง ก็ถึงเวลาแห่งการฟื้นฟู โชคดีที่นอกจากจัตุรัสกลางเมืองแล้ว ไม่มีสิ่งใดพังทลาย ทว่าก็มีชาวบ้านโดนลูกหลงจนบาดเจ็บเป็นจำนวนไม่น้อย จนฮ่องเต้ต้องประกาศเรียกตัวหมอตามเมืองต่างๆ ให้เร่งเข้ามาช่วยรักษาอาการให้ปลอดภัยสิ่งที่ทำให้ผู้คนนึกทึ่งในช่วงเวลาวิกฤตก็คือ องค์ชายห้าจอมเสเพลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าของที่แท้จริงของห้องอาหารส่องดาว พระองค์นำอาหารจากห้องอาหารมาเปิดโรงทานแจกจ่ายให้กับผู้คนอย่างไม่รอช้า เหล่าองค์ชายคนอื่นก็ไม่น้อยหน้า เมื่อได้เวลาแสดงความสามารถก็ต่างพากันช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันอย่างเต็มกำลังสถานการณ์ในเมืองจึงกลับมาสู่สภาพปกติดังเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลุ่มขุนนางชั่ว งานนี้ความผิดประจักษ์เห็นต่อหน้า จวิ้นอ๋องกำเริบเสิบสาน ตั้งใจชิงบัลลังก์ถึงขั้นกล้าลงมือกับประชาชนโดยมีขุนนางหลายคนหนุนหลัง ฮ่องเต้แต่ไหนแต่ไรประนีประนอม ใจอ่อนให้จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจฝั่งมารดาถ่วงดุลอยู่ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือกับพวกขุนนางทั้งหมดที่ร่วมก่อการในครั้งนี้หนึ่งในนั้นก็คือ เสนาบดีเซี่ยโม่โฉว วันนั้นเลี่ยงชิงและเลี่ยงหรงใ
“หลานรัก” เสียงเพรียกดังขึ้นมาแต่ไกล เขาหลับตาลง ก่อนจะพบว่าตนเองมาโผล่อยู่ในมิติส่วนตัวของตนอีกครั้งในที่นี้นั้นสงบเงียบและปลอดโปร่ง ต่างจากโลกแห่งความจริงที่เขากำลังเผชิญ ท่านตาหลิวหงชิงกำลังจิบชาร้อนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา“ท่านตา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา”“แต่ท่านตา ผู้คนกำลังจะตาย ข้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว”“ชู่ หลานรัก ทำใจให้สบาย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่า วันนี้เจ้าต้องมีสติให้มาก” หลิวหงชิงยกยิ้มอ่อนโยนให้กับหลานคนเดียว ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ท่านตา แต่ข้าจัดการพวกมันไม่ได้ ข้าช่วยใครไม่ได้เลย”“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำดีแล้ว เด็กดี ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ได้สร้างครอบครัวดั่งที่ใจปรารถนา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าต้องรับศึกหนักเช่นนี้” ชายชราปลอบหลานชาย ก่อนจะเอ่ยต่อ“เวลาที่ผ่านมา ข้าติดอยู่ในมิติส่วนตัวนี้มานานเกินไปเหลือเกิน ยามนี้เหอซีซวนได้รับการปลดปล่อยแล้ว ตัวข้าที่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณก็ควรถึงเวลาต้องไปแล้วเช่นกัน”“ท่านตา ท่านจะไปไหน ท่านไปแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร” “เจ้าก็อยู่กับสามี
เขาจะทำอะไรได้ ยามนี้แค่ทรงตัวยืนอยู่ แล้วตั้งรับดาบที่เข้ามารอบทิศก็ลำบากมากแล้ว และก่อนที่เขาพลาดท่าก็มีใครบางคน ปรี่มาช่วยเขาเสียก่อน“คุณชายหลี่” ใช่แล้ว คือพ่อหนุ่มดวงมหาโชคคนดีคนเดิมนั่นเอง ดูจากฝีไม้ลายมือ เขาก็พอจะดูออกว่าคนผู้นี้นั้นไม่สันทัดเรื่องการใช้กำลังเท่าไหร่นัก ไม่แปลกใจที่ได้ทำงานสายผู้ตรวจการมากกว่าจะไปทางทหาร แบบเซวียนจางหย่ง“หลิวซีซวน เจ้าระวังตัวด้วย”“สามีข้าเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่เฉียงฮุยถึงกับหันกลับมามองเขา ด้วยสายตาเหลือเชื่อ“เจ้าห่วงชีวิตสหายข้ามากกว่าชีวิตตนเองอีกหรือ รีบเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าต้านไว้ได้มากเพียงใด”“คุณชายหลี่ ท่านช่วยหยุดโจวเฟิง มันจะจุดเทียนอีกครั้ง ค่ายกลชิงดวงจะกลับมาทำงานได้ใหม่” หลี่เฉียงฮุยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เขาสองคนถูกรุมล้อมรอบด้าน จนแทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ จะทำอะไรได้“งั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” หลี่เฉียงฮุยถือคติว่า อะไรทำได้ก็ให้ทำไปก่อน เขาดึงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมา ก่อนจะปาไปทางโจวเฟิงหวังปลิดชีพถึงจะปลิดชีพไม่ได้ แต่ทำลายสมาธิมันได้ก็ยังดีแต่ใครจะไปคาดคิดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีดสั้นพ
หลิวซีซวนค่อยๆ ลุกขึ้นมาช้าๆ ด้วยแรงแค้นที่แน่นอก หากคนตกใจสามารถยกโอ่งหนีไฟไหม้ได้ คนที่กำลังโกรธก็น่าจะยกภูเขาได้ไม่ต่างกัน โดยที่ไม่มีใครคาดฝัน เกอคนงามร่างบางที่เมื่อครู่ยังซวนเซ กลับเดินไปยกแท่นพิธีที่หักครึ่งแล้วทุ่มไปทางโจวเฟิงอย่างไม่ออมมือตู้ม!!!โจวเฟิงนั้นแม้บาดเจ็บอยู่ แต่ประสาทสัมผัสยังคงเฉียบคม เขาจึงกระโดดหลบแท่นหินขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด“นี่เจ้า”“หมาลอบกัด เจ้าแอบซ่อนอยู่ข้างกายข้าและจางหย่งมาตลอด” หลิวซีซวนตวาดดังลั่น เสียงสั่นด้วยความโมโห“แล้วอย่างไร บุรุษผู้นี้มันโง่เอง มันกล้าบุกเข้ามาสอบสวนข้าเพียงลำพัง ทั้งที่รู้ว่าข้านั้นเป็นหลวงจีนที่มีวิชาอาคม สุดท้ายมันก็ถูกข้าใช้วิชาสับเปลี่ยนวิญญาณ และปล่อยให้มันตายไปกับร่างเดิมของข้าในคุก ฮ่าๆๆ”“เจ้ามันสารเลว เพราะเจ้า ผู้คนถึงได้เดือดร้อน เจ้าไม่ได้ต้องการช่วยจวิ้นอ๋องให้ครองบัลลังก์ เจ้าก็แค่ต้องการละเลงเลือดทาแผ่นดินก็เท่านั้น เจ้ามันปีศาจชัดๆ ไม่ต้องพูดมาก เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่ กล้าทำร้ายคนของข้า เช่นนั้นเจ้าก็จงรับผลกรรม” หลิวซีซวนหยิบดาบขึ้นมาถือไว้พร้อมกับกระชับไว้แน่น พร้อมที่จะโ
ไต้ซือไป๋ในร่างของโจวเฟิงล้วงเข้าไปในปกเสื้อ ดึงเทียนทำพิธีสีแดงแท่งใหม่มาถือไว้อย่างหมายมาด เวลาเหลืออีกไม่มากนัก หากว่าเทียนเล่มเก่าดับ เช่นนั้นเขาก็จะจุดแท่งใหม่ด้วยตัวเองถึงอย่างไร เขาก็ต้องทำภารกิจวันนี้ให้สำเร็จให้ได้เขาควบม้ามุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมือง ถึงแม้เทียนจะดับ แต่หากเขาสามารถจุดเทียนสำรองนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามโดยที่เหยื่อบูชายัญทั้งสี่ทิศยังคงอยู่ที่เดิม ค่ายกลก็ยังกลับมาทำงานได้อีกครั้งไม่แน่ว่าป่านนี้ คนที่บุกไปทำลายพิธีอาจจะโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่างจนตายไปแล้วก็ได้โจวเฟิงมองออกไปไกลยังใจกลางเมือง ก็เห็นเมฆก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีอัสนีฟาดลงมาที่กลางเมืองจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแผ่นดินสะเทือนเปรี้ยง!!สายฟ้าฟาดลงมากลางแท่นพิธีที่จัตุรัสกลางเมืองเก้าครั้งติดกันไม่หยุด วันนี้ที่เมืองหลวงนั้นเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวมืดครึ้มเดี๋ยวสว่าง จู่ๆ ท้องฟ้านั้นกลับส่งสายฟ้าฟาดลงมา ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย“แฮ่กๆๆ รอดจริงๆ ด้วย” หลิวซีซวนที่ร่ายรำอยู่นาน สุดท้ายเขาก็สามารถเอาตัวรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้ เขามองไปรอบกายก็พบว่าจัตุรัสกลางเมืองนั้นเละ ไม่เหลือชิ้น
ในขณะพวกเขายังสู้กันต่อ แต่หลิวซีซวนกำลังตัวสั่นอยู่กลางพิธี ดวงตาสีทองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแตกตื่นนี่เราลืมอะไรไปรึเปล่าอ๋อ เราลืมไปใช่หรือไม่ว่าหลังจากทำลายค่ายกลชิงดวงแล้ว จะได้รับทัณฑ์สวรรค์เป็นสายฟ้าฟาดเวรเอ๊ย กูจะโดนฟ้าผ่าอีกแล้วเหรอวะเนี่ย ครั้งที่แล้วโดนไปยังเกือบตายสักพัก เขากลับได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากภายใน เป็นเสียงของท่านตาที่คงอดทนไม่ไหว จึงแอบมาบอกเขา“ค่ายกลเทวาร่ายรำ” เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆตั้งเค้าอีกรอบด้วยความสยอง เวลานี้จำเป็นต้องงัดวิชาทุกวิชาของตระกูลหลิวออกมาเพื่อปกป้องตนเองเสียก่อน เทวาร่ายรำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อสร้างเกราะกำบังกายให้กับตนเองจะรออะไรล่ะ ร่ายรำไปเลยสิจ๊ะหลิวซีซวนขยับร่างกายไปพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เขาต้องเรียกสติตนเองตลอดเวลาเพราะหาไม่แล้วอาจจะเผลอก่นด่าสวรรค์ไปแล้วหลายรอบ รอบกายของเกอคนงามเปล่งประกายสีทอง ราวกับแผ่ออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัย ตัวของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด กล้ามเนื้อถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก จนเริ่มรับพลังมหาศาลที่ไหลเวียนในกายไม่ไหว เขาไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่เขาจะไม่ยอมโดนฟ้าผ่าตายอีกหนแน่ๆที่หน้าประตูเม
เซวียนจางหย่งถึงกับมีสีหน้ามืดครึ้ม ทัพของจวิ้นอ๋องและแม่ทัพหวงจะมีอะไรให้น่ากังวล ต่อให้พวกเขาบุกเข้ามาเวลานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชัยเหนือคนที่เหลือสิ่งที่น่ากลัวคือ ทัพของหยวนหลี่เฉียงต่างหาก คนผู้นั้นเด็ดขาดโหดเหี้ยม ไม่เคยแพ้ให้กับผู้ใด ไม่เคยมีใครคิดระแวงว่าเขาจะย้ายฝั่งไปสนับสนุนจวิ้นอ๋อง“ข้านี่โชคดีเหลือเกินที่เลือกออกเดินทางไปศึกษาวิชากับพวกหลวงจีนและนักพรตตามเมืองต่างๆ จึงได้รู้จักหลวงจีนที่เชี่ยวชาญวิชานอกรีตอย่างหาตัวจับได้ยาก เขาเก่งถึงขนาดที่สามารถสับเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองกับผู้อื่นได้ เช่นนี้ข้าคงไม่เหลืออะไรให้กังวล แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ยังต้องยอมสยบให้กับข้า หึหึ” จวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับมองสงครามกลางเมืองที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้ว่ายามนี้จะมีกองกำลังน้อยกว่าแต่กลับได้เปรียบกว่าทหารหาญและราชองครักษ์ในที่นี้ เซวียนจางหย่งต้องต่อสู้ไปพร้อมกับเฝ้าสังเกตอาการของคนรักที่อยู่กลางแท่นพิธีเพียงลำพังหลิวซีซวนหวนคิดถึงท่านตา ถึงว่าเมื่อคืนถึงคอยกำชับให้เราตั้งสติ เพราะจะเกิดเรื่องแบบนี้นี่เอง ครั้งก่อนเขาเป็นผู้ที่ทำลายพิธีชิงดวงของหลี่เฉียงฮุยเพียงผู้เดียว ครา