หลังจากรักษาตัวอยู่พักใหญ่ เหอซีซวนหรือยามนี้เปลี่ยนชื่อเป็นหลิวซีซวนก็อาการดีขึ้นตามลำดับ น่าเจ็บใจเหลือเกินที่แม้เขาจะถูกเขี่ยทิ้งมาไกลถึงเหิงเยว่ แต่พวกตระกูลถานก็ยังคงทำร้ายเขาได้
อย่าให้ข้าได้กลับไปเหยียบเมืองหลวงนะ เพราะสิ่งแรกที่ข้าจะเหยียบก็คือหน้าเจ้า ถานตงหยาง
“เหตุใดท่านทำหน้าตาน่ากลัวเช่นนั้น” จางหย่งที่พยุงหลิวซีซวนมาตลอดทาง มองเจ้านายด้วยสีหน้าหวาดระแวง ไม่รู้ช่วงนี้เกิดอะไรขึ้น หลายครั้งที่นายผู้นี้มักจะมีความคิดประหลาดราวกับมาจากคนละโลก
“ท่านจะวางแผนฆ่าผู้ใด”
“ไม่ได้วางแผน แต่ถ้ากลับเมืองหลวงได้เมื่อไหร่ ข้าได้ฆ่าคนแน่ๆ น่าเสียดายที่เกิดเป็นเกอนั้นบอบบาง แม้แต่แรงจะฆ่าไก่สักตัวยังไม่มี พละกำลังไม่ต่างจากอิสตรีเพียงเล็กน้อยเท่านั้น จะหญิงก็ไม่ใช่ ชายก็ไม่เชิง เช่นนี้ใช่หรือไม่ผู้คนจึงได้รังเกียจเกอนักหนา”
“หากเป็นท่านผู้เป็นเกอรูปงามอันดับหนึ่งของเมืองหลวง ย่อมไม่มีผู้ใดรังเกียจได้ลง”
หลิวซีซวนเบ้ปากคว่ำกับคำพูดเอาใจของจางหย่ง
ไม่รังเกียจหรือ ตอนเขาเดินทางออกจากเมืองหลวงด้วยรถม้า มีผู้คนก่นด่าสาปแช่งตลอดทางด้วยซ้ำ
“มีแต่คนหัวโบราณบางกลุ่มเท่านั้นที่รังเกียจเกอ ยามนี้บ้านเมืองสงบ ไร้ศึกสงคราม เกอพวกนี้ก็ออกมาทำประโยชน์สร้างคุณงามความดีมากมายเป็นที่ประจักษ์ เรื่องที่มีคนรังเกียจเกอ ย่อมเป็นคนที่ล้าหลังเท่านั้น”
“แต่เกอเช่นข้า เคยผ่านการแต่งงานมาแล้วนะ บุรุษสมัยนี้ใครจะต้องการ”
จางหย่งชะงักไปพักใหญ่ ก่อนจะหันมาสบตากับหลิวซีซวนด้วยท่าทางจริงจัง
“การแต่งงานหรือไม่แต่งงาน ไม่ได้วัดคุณค่าความเป็นคน หากบุรุษใดเจอเพชรงามแต่กลับละทิ้งด้วยเพราะมีรอยตำหนิเพียงเล็กน้อย บุรุษผู้นั้นช่างโง่งม ไม่คู่ควรถือครองเพชรเม็ดงามชิ้นนั้น”
พูดได้ดี พูดได้ดี เช่นนั้นเจ้าก็ควรจะคว้าเพชรเม็ดงามตรงหน้านี้เสียสิ
“เพชรเม็ดงามหรือ ข้าผู้นี้เริ่มโรยรา หาใช่เกอหนุ่มแรกแย้มเมื่อหลายปีก่อน ทรัพย์สินเงินทองก็ไม่มี แบบนี้หาคงหมดโอกาสแล้วเป็นแน่”
“เหตุใดท่านจึงเอาแต่พูดถึงเรื่องพวกนี้ ท่านคิดจะมีสามีใหม่หรือ”
“ก็แล้วทำไมล่ะ มีกฎหมายข้อไหน ห้ามข้าหาสามีใหม่รึยังไง ยามนี้ข้าไม่มีใคร
มูฟออนไว ไม่ดียังไง”
“มูฟออน??”
หลิวซีซวนเอ่ยต่อ โดยไม่สนใจจางหย่งที่กำลังทำหน้างุนงง
“ข้าได้ยินว่าคนเหิงเยว่หน้าตาดี บางทีข้าอาจจะเจอใครถูกใจก็ได้ มีคนหล่อมาดามใจ ไม่ดีตรงไหน” คุณชายหลิวเอ่ยพร้อมกับส่งยิ้มยั่วเย้าให้กับบ่าวร่างสูง
“ไม่ดี” ชายร่างสูงเอ่ยเสียงเรียบด้วยใบหน้านิ่งเฉย
“ไม่ดีอย่างไร”
“ไม่ดีหรอก เชื่อข้า”
“เหอะ น่าเบื่อจริงๆ เจ้าเอาแต่กันท่าข้า แน่จริงก็มาเป็นสามีของข้าเสียสิ” จางหย่งหันขวับมามองเจ้านายผู้มีรูปงามเหนือกว่าใครที่เคยเจอ ทว่ากลับเอ่ยวาจาอาจหาญน่าขนลุก เขาเบิกตากว้างอย่างตกตะลึง ทว่าปฏิเสธไม่ได้เลยว่าก้อนเนื้อในอกนั้นกำลังเต้นแรงอย่างไม่อาจห้ามได้
ท่านช่างขยันเล่นกับใจข้าเหลือเกิน
“ข้าไม่อาจเอื้อม”
“ใช่สิ ก็ข้าท้องไม่ได้แล้ว เกอที่ท้องไม่ได้ก็ไม่ต่างจากเกอพิการ” หลิวซีซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงตัดพ้อปนสะอื้น จนชายหนุ่มข้างกายต้องรีบปลอบ
หลิวซีซวนผู้นี้ช่างรู้วิธีเล่นงานจุดอ่อนเขาเสียจริง
“ท่านอย่าเพิ่งคิดไปไกล อย่าเพิ่งรีบร้อน ตอนนี้อาการของท่านเป็นเพียงแค่มดลูกอ่อนแอเท่านั้น ข้าบอกแล้วว่ายังไงก็ไม่ปล่อยให้ท่านเป็นหมันแน่นอน ฤทธิ์หยินในกายของท่านนั้น หากไม่ได้รับยาถอนพิษก็ใช้โสมพันปีเป็นยาแก้พิษได้ เพียงนำมาต้มกินไม่ถึงเดือน อาการที่เป็นอยู่ย่อมหายขาด”
โสมพันปี แค่ชื่อก็ดูอลังการแล้ว หากมันช่วยเขาได้จริง จะให้ทำงานหาเงินมามากเท่าไหร่ เขาก็ยินดีทุ่ม
“ดียิ่ง มันหาได้ที่ไหน ราคาเท่าไหร่”
“ไม่มีราคาหรอก โสมพันปีเป็นของหายาก ตอนนี้มีอยู่ที่ท้องพระโรง หากอยากได้ต้องไปขอฮ่องเต้เฉินเฟยหลง”
ใบหน้าของหลิวซีซวนแข็งค้างด้วยความตกตะลึง
ขอโสมจากฮ่องเต้น่ะเหรอ เขายอมเข้าเมืองหลวงไปเค้นคอถานซงอวิ้นและถานตงหยางเสียดีกว่า
“สวรรค์กลั่นแกล้งข้าแน่ๆ ทำยังไงดี ข้าอยากมีลูก ข้าอยากมีสามี!!” หากมีลูกไม่ได้ เขาจะต้องตายในสามปีนี้
จางหย่งมองผู้เป็นนายที่ทำท่าราวกับจะหลั่งน้ำตาด้วยสีหน้างุนงง
เหตุใดต้องอยากมีลูกมีสามีขนาดนี้ หรือฟื้นมาครั้งนี้จะโดนปีศาจราคะสิงสู่ไปเสียแล้ว
หลังจากที่พากันเดินมาสักพัก หลิวซีซวนก็มาเยือนโรงเตี๊ยมของตนได้เป็นครั้งแรก ชายหนุ่มกวาดตามองไปรอบๆ พร้อมกับอ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
โอเค เขารู้ว่ามันคงไม่ได้รุ่งเรืองนักหรอก ไม่เช่นนั้นพวกเราคงมีเงินทองใช้สอยอย่างสะดวกสบาย แต่นี่มันไม่ร้างเกินไปหรือ
ในโรงเตี๊ยมมีเพียงแต่ตู้เฉิง ตู้เจ้า ตู้ลี่จูและคนงานอีกเล็กน้อยเท่านั้น
“ท่านตาตู้เฉิง เหตุใดที่นี่ถึงได้เงียบเหงาถึงเพียงนี้”
ชายชราถอนหายใจยาว ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ทายาทตระกูลหลิวฟัง
“แต่ก่อนมันไม่ได้เป็นเช่นนี้หรอก กิจการโรงเตี๊ยมของตระกูลหลิวนั้นดำเนินไปได้ด้วยดี แม้ว่าข้าจะไร้ความสามารถแต่โชคดีที่บุตรชายเก่งกาจ น่าเสียดายที่บุตรชายของข้าอายุสั้น ด่วนจากไปเสียก่อน กอปรกับช่วงหลายปีที่ผ่านมามีโรงเตี๊ยมแห่งใหม่มาเปิด ไม่ใกล้ไม่ไกลนัก เปิดตัวมาอย่างยิ่งใหญ่และหรูหรา แถมยังมีรายการอาหารแปลกใหม่จากเมืองหลวงมานำเสนอทุกเดือน โรงเตี๊ยมเล็กๆ ของเราก็ไม่รู้ว่าจะเอาอะไรไปสู้ เพราะหากให้ลงทุนสู้กับทางนั้น คงเป็นเรื่องยาก”
ตู้เจาเห็นท่านปู่เล่าเรื่องไม่หมด ก็รีบฟ้องต่อทันที
“ไม่ใช่เพียงเท่านี้ แต่ก่อนเรามีลูกค้าประจำอยู่บ้าง ด้วยรสมือของลี่จูภรรยาของข้าก็ไม่ได้ด้อยกว่าผู้ใด ซ้ำห้องพักยังสะอาดสะอ้านกว่าโรงเตี๊ยมใหม่ด้วยซ้ำ แต่เป็นเพราะคนของโรงเตี๊ยมหยางน่าส่งคนมาคอยก่อกวนอยู่เสมอ หวังให้กิจการของพวกเราล่มจม บัดนี้จึงไม่ค่อยมีลูกค้าอยากมาที่นี่อีกแล้ว”
ฉิบหายแล้วสิ เงินก็ไม่มี กิจการที่มีก็กำลังจะเจ๊ง เขาจะต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อดึงดูดลูกค้ากลับมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวให้ได้
“เจ้าคิดว่าเราควรทำเช่นไรดี” ตู้ลี่จูเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงห้วน ทายาทตระกูลหลิวนิ่งคิดไปพักใหญ่ ใบหน้างดงามนั้นเคร่งขรึมลงไป แต่กลับเผยเสน่ห์อีกด้านที่ทำเอาบ่าวข้างกายลอบมองด้วยสายตาล้ำลึก“เงียบไปแบบนี้ คงคิดอะไรดีๆ ได้แล้วใช่หรือไม่”“ใช่ ข้ากำลังคิดว่าข้าจะทำในสิ่งที่ถนัดที่สุด”“สิ่งนั้นคืออะไร”“ข้าจะทำการแสดงที่ห้องอาหารของโรงเตี๊ยมเพื่อเรียกลูกค้ากลับคืนมา” อย่าดูถูกอดีตซุปตาร์อันดับหนึ่ง เขานั้นผ่านการแสดงมาทุกบทบาท ยังไม่รวมการแสดงละครเวทีที่ต้องมีการขับร้องและร่ายรำ หากเป็นฝีมือการแสดงบนเวที เขาย่อมไม่แพ้ผู้ใด“ท่านน่ะหรือ ท่านเป็นเกอผู้อยู่ในห้องหอมาทั้งชีวิต ท่านจะแสดงสิ่งใด” จางหย่งเอ่ยถามอย่างสนใจ“โคโยตี้เป็นไง” “คือสิ่งใด”“ก็เต้นโยกซ้ายโยกขวา แต่งตัวน้อยชิ้น ยั่วยวนแขกในร้าน ดีไม่ดี ข้าอาจจะได้สามีหลังจบการแสดงเลยก็ได้” เกอรูปงามเอ่ยด้วยน้ำเสียงซุกซน ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะออกมาเมื่อเห็นว่าบ่าวข้างกายที่คอยทำหน้านิ่งอยู่เสมอมา กำลังทำท่าราวกับพร้อมจะระเบิดได้ทุกเมื่อ“หลิวซีซวน!! ท่านโดนปีศาจราคะเข้าสิงรึ วันๆ คิดแต่จะหาสามีกับมีบุตร เหตุใดถึงได้คิดจะเปลื้องผ้าต่อหน้าผ
วันต่อมา หลิวซีซวนก็มานั่งวางแผนพัฒนาโรงเตี๊ยม รวมถึงวางแผนการทำการแสดงโดยมีตู้ลี่จูคอยเสนอแนะอยู่ข้างกาย พอได้พูดคุยกันบ่อยครั้งขึ้น เขาก็พบว่าแม่ลูกอ่อนผู้นี้เป็นคนตรงไปตรงมาและจริงใจผู้หนึ่ง เขาไม่ใช่คนอ่อนหวานและนอบน้อมและไม่คิดจะเสแสร้ง ตู้ลี่จูพูดคุยกับเขาแบบธรรมดาต่างจากท่านตาตู้เฉิงที่ยังให้ความเคารพเขาในฐานะเจ้านาย หากเป็นเหอซีซวนคนก่อนที่เติบโตในสังคมเมืองหลวง คงไม่ชอบคนผู้นี้สักเท่าไหร่นัก แต่หลิวซีซวนคนนี้ตายมาแล้วครั้งหนึ่ง เจอคนหลอกลวงแทงข้างหลังมานับไม่ถ้วน ได้มีสหายที่จริงใจเช่นนี้นับว่าเป็นโชคแล้ว“คุยมานาน เจ้าทานอะไรเสียหน่อย อันนี้ข้าทำให้เจ้าเอง” ตู้ลี่จูยื่นสำรับอาหารแปลกตามาให้เขา อาหารชุดนี้นั้นดูหลากหลายไม่น้อย เขาได้กลิ่นสมุนไพรมากมายตีขึ้นจมูก ก่อนจะตักเข้าปากเพื่อลิ้มรส!!!โอ้โห อร่อย อร่อยมาก อาหารปกติที่ทานในเรือนก็ว่าอร่อยแล้ว แต่อาหารในโรงเตี๊ยมนั้นอร่อยแสงออกปาก แถมยังดูพิถีพิถันขึ้นมาอีกขั้น“อร่อยมาก เจ้ามีฝีมือจริงๆ ข้าชอบมาก”“ดี กินเยอะๆ อาหารพวกนี้เป็นอาหารท้องถิ่น กินแล้วจะทำให้ท้องง่าย ดูข้าสิ ลูกสองแล้วในท้องอีกหนึ่ง ก็เพราะอาหารพวกนี้นี่แหละ
หลังจากที่วางแผนทุกอย่างเรียบร้อย หลิวซีซวนก็สั่งให้ตู้เจาไปติดต่อช่างไม้มาปรับปรุงห้องอาหารของโรงเตี๊ยมให้โล่งขึ้น ในเมื่อเขาจะทำการแสดงแล้ว เขาก็ตั้งใจว่าจะทำห้องรับรองส่วนตัวที่สามารถมองลงมายังเวทีได้ชัดเจนมากขึ้น จากนั้นหลิวซีซวนก็ควงแขนสหายคนใหม่อย่างตู้ลี่จูไปซื้ออุปกรณ์สำหรับทำการแสดงที่ตลาด โดยมีจางหย่งตามติดไม่ห่างตั้งแต่รักษาตัวมา เขาก็ไม่เคยออกไปไหนเลยสักที่ หลิวซีซวนตื่นเต้นไม่น้อยที่จะได้เที่ยวเล่นออกนอกเรือนตระกูลหลิว การมาตลาดในวันนี้จึงเป็นการมาชอปปิงครั้งแรกในโลกใหม่อย่างแท้จริง จากที่ตั้งใจในคราแรกว่าจะมุ่งตรงไปยังร้านขายผ้าและร้านขายอุปกรณ์แต่งกาย ทว่าเมื่อเห็นข้าวของละลานตา ผู้คนเดินขวักไขว่โห่ร้องเรียกลูกค้าก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้น จนเขาวิ่งเข้าวิ่งออกหลายร้าน หากมีเรื่องสงสัยก็ไม่รีรอที่จะสอบถามพ่อค้าแม่ขาย ด้วยท่าทางสดใสเป็นธรรมชาตินานเท่าไหร่แล้วนะที่เขาไม่ได้ออกมาเดินเล่นตลาดอย่างสนุกสนานเช่นนี้ โดยไม่มีซาแซงคอยเดินตามทุกที่ คงจะเป็นตั้งแต่ที่เขาได้เข้าวงการบันเทิงและโด่งดังมีชื่อเสียงกระมัง ชีวิตก่อนยอมแลกชื่อเสียงเงินทองกับความสุขใจที่เรียบง่ายเช่นนี้ เมื่อ
“เกอผู้นี้หรือที่เจ้าบอกว่ารูปงาม ช่างงามบาดตาจริงๆ เสียด้วย” บุรุษน่ากลัวผู้นี้มาพร้อมกับลูกน้องชายร่างใหญ่อีกห้าคน ท่าทางเกกมะเหรกเกเร คาดว่าคงเป็นอันธพาลที่เมืองนี้“ปล่อย” “คนงาม เหตุใดข้าต้องปล่อยเจ้าให้หลุดมือไปด้วย” สิ้นคำ ร่างใหญ่ของอันธพาลแห่งเหิงเยว่ก็ลอยละลิ่วไปไกลจนปะทะกับแผงร้านค้าด้วยฝ่าเท้าของจางหย่ง บุรุษผู้นั้นเจ็บปวดจนแทบจะกระอักเลือด รับรู้ได้ว่าพลังฝ่าเท้านั้นแฝงมาด้วยกำลังภายในไม่น้อย“นี่เจ้า กล้าดีอย่างไรมาทำกับข้าเช่นนี้ เจ้ารู้หรือไม่ว่าข้าคือใคร” “นั่นสิ เจ้าคือใครเจ้ายังไม่รู้ แล้วข้าจะรู้หรือ เจ้าคนหยาบช้า” คุณชายเกอคนงามเอ่ยอย่างไม่ยอมแพ้ ทว่าตู้ลี่จูกลับรีบมากระซิบข้างหู“ไอ้คนนี้มันคือบุตรชายของตระกูลกู้ ผู้เป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมหยางน่าที่ชอบส่งคนมาป่วนโรงเตี๊ยมของเรา มันผู้นั้นชื่อกู้หมิงเฉียว เป็นอันธพาลที่ชอบฉุดคร่า ก่อเรื่องวุ่นวาย” กู้หมิงเฉียวมีสีหน้าทะมึน ลูกสมุนข้างกายรีบเข้ามาพยุงร่างใหญ่ให้ลุกขึ้นมาเต็มความสูงช้าๆ ก่อนที่มันจะเดินตรงเข้ามาพร้อมกับประกาศกร้าว“ใช่ ข้านี่แหละกู้หมิงเฉียว ข้าเป็นเจ้าของโรงเตี๊ยมหยางน่า ท่านลุงของข้าเป็นขุนนางใ
เจ็ดวันต่อมา โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวก็ปรับโฉมใหม่ให้ดูสดใสสว่างไสว สมกับที่ซุปตาร์คนดังทะลุมิติมาเข้าร่างนักแสดงในวันนี้ โรงเตี๊ยมแห่งนี้ที่เคยดูเงียบเหงากลับเปลี่ยนเป็นคึกคักได้ในพริบตา ชื่อเสียงคนงามตระกูลหลิวขจรขจาย หากผู้ใดได้ยลโฉมเพียงครั้งย่อมเก็บไปฝันถึง หากไม่เคยพบก็ย่อมหาทางมาที่โรงเตี๊ยมตระกูลหลิวเพื่อได้ยลความงามกับตา บรรยากาศโรงเตี๊ยมคึกคัก คนงานทุกคนต่างเร่งมือกันทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ตู้ลี่จูที่รับหน้าที่ดูแลในครัวนั้นยุ่งจนหัวหมุน ตู้เจาคอยต้อนรับแขกที่หลั่งไหลมาไม่ขาดสาย ส่วนตู้เฉิงทำหน้าที่ดูแลกระเป๋าเงินและความเรียบร้อยทั้งหมด ส่วนดาวเด่นในวันนี้ที่ไปสร้างเรื่องในตลาดจนคนโจษจันนั้นกำลังเตรียมตัวทำการแสดงอยู่หลังม่านวันนี้ หลิวซีซวนอยู่ในชุดสีแดงสดขับผิวขาวให้เปล่งประกาย ผ้ารัดเอวสีแดงถูกดึงให้แน่นขึ้นราวกับคอร์เซ็ทจนคนงามที่เอวบางอยู่แล้ว ยิ่งเอวคอดน่าสัมผัสขึ้นไปอีก ลำคอเปิดกว้างเผยให้เห็นไหปลาร้าขาวสะท้อนแสงยั่วยวนจิตใจ ชุดสวยถูกดัดแปลงให้ดูทะมัดทะแมงทว่าแฝงไว้ด้วยความยั่วเย้าอันน่าหลงใหล ปลายชุดมีกระดิ่งติดเอาไว้ เมื่อเดินกรุยกรายไปทางไหนก็มีเสียงกรุ๊งกริ๊งดังเสนา
“เอาล่ะขอรับ นายท่านทุกคน ข้าขอบคุณแขกทุกท่านที่ให้เกียรติมาร่วมงานเปิดการแสดงครั้งแรกของโรงเตี๊ยมตระกูลหลิว บัดนี้ถึงเวลาที่รอคอยแล้ว เชิญทุกท่านพบกับการแสดงระบำประยุกต์จากคุณชายหลิวได้เลย”สิ้นเสียง ม่านการแสดงก็เปิดขึ้น รอบบริเวณนิ่งสงัดแม้แต่เสียงหายใจก็ยังไม่มี แขกที่เข้ารับชมการแสดงในวันนี้ ตั้งหน้าตั้งตารอชมคนงามอย่างใจจดใจจ่อจนแทบลืมหายใจ เมื่อม่านเปิดขึ้น ไฟในตะเกียงโดยรอบก็หรี่ให้มืดลง มีเพียงแสงไฟบนเวทีที่ส่องสว่างสะท้อนร่างระหงในชุดแดงให้เปล่งประกายราวกับเทพเซียนกรุ๊งกริ๊ง กรุ๊งกริ๊ง!ทันทีที่เขาเริ่มขยับกาย ทุกคนก็รู้สึกราวกับถูกมนตร์สะกด เสียงดนตรีที่บรรเลงเนิบนาบเข้ากันดีกับการขยับที่เชื่องช้า ทว่าทรงพลังของหลิวซีซวนเขาเริ่มการแสดงด้วยการร่ายรำแบบจีนซึ่งประยุกต์มาจากประสบการณ์ที่เคยเล่นเป็นนักแสดงงิ้วในฮ่องกงในหนังสั้นเรื่องหนึ่ง เขาขยับย้ายกายไปมาด้วยท่วงท่างดงามทรงเสน่ห์ ช่วงชิงหัวใจของผู้ชม ยิ่งยามที่ใบหน้างามแย้มยิ้ม แล้วปรายสายตามาทางผู้ชมด้วยดวงตาดอกท้อหวานฉ่ำ เหล่าบุรุษก็รู้สึกราวกับกำลังตกหลุมรักคนงามเข้าอย่างจังคุณชายหลิวผู้นี้เป็นนางจิ้งจอกหรือยังไง เหตุใดจ
ทางด้านบุรุษวัยกลางคนที่อยู่ในห้องรับรอง บรรยากาศกลับเงียบสงบแตกต่างจากด้านล่างราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ ชายผู้มากบารมีมองไปยังเวทีด้วยสายตาลึกล้ำ ความคิดเขานั้นหาได้ตื้นเขินเหมือนกับพวกคนหนุ่มหรือบุรุษไร้หัวคิดที่หลงใหลกับเกอรูปงาม“นายท่าน ดูเหมือนว่าโรงเตี๊ยมแห่งนี้จะฟื้นตัวในไม่ช้าเป็นแน่ หากได้เกอผู้นั้นมาร่ายรำทุกวัน” ชายที่ถูกเรียกว่านายท่านยกจอกสุราขึ้นดื่ม ก่อนจะส่ายหน้าช้าๆ“เกอผู้นั้นร่างกายอ่อนแอยิ่งนัก หลังการแสดง หอบหายใจหนัก ลมหายใจติดขัด พลังปราณมีปัญหา หยินหยางไม่สมดุล การแสดงที่ใช้พละกำลังเช่นนั้นจะทำได้เท่าไหร่กันเชียว อีกหน่อยที่นี่คงวุ่นวายไม่น้อย เพราะชาวบ้านที่ไร้สติปัญญาคงพากันยื้อแย่งเกอรูปงามกันไม่เว้นวัน”“โอ้ นายท่านช่างมีสติปัญญาเฉียบแหลมยิ่งนัก”“ข้าก็แค่พูดไปเรื่อย วันนี้ข้าก็แค่อยากมาดูหน้าทายาทตระกูลหลิวก็เท่านั้น ถึงแม้พวกมันจะทำข้าเจ็บแสบไม่น้อย แต่ดูจากสภาพแล้ว ทายาทคนนี้คงอายุไม่ยืนสักเท่าไหร่ ข้าไม่อยากเสียเวลากับเกออ่อนแอ ที่มีดีแค่ยั่วยวนบุรุษ”“จริงขอรับ นายท่าน”“คิดเสียว่าวันนี้ ข้าพาเจ้ามาผ่อนคลายก็แล้วกัน ยังมีงานใหญ่รอเราอยู่ในวันหน้า” นา
จางหย่ง หรือนามจริงก็คือ เซวียนจางหย่ง ส่ายหน้าไปมาอย่างเหนื่อยหน่าย เจอใครไม่เจอดันมาเจอกับสหายดวงดีผู้นี้“เจ้านี่มันมีโชคสมคำร่ำลือเสียจริง ข้าเดินทางมาไกลถึงเหิงเยว่ เจ้าก็ยังตามมาพบ”“นับว่าข้านั้นมีวาสนานักที่ได้เห็นหัวหน้าหน่วยสืบราชการลับตงฉางผู้เลื่องชื่อเดินตามประคบประหงมเกอคนงามไม่ห่างต่อหน้าต่อตา เกิดมาข้าไม่เคยคิดว่าจะได้เห็นคนเคร่งขรึมบ้างานเช่นเจ้า สนใจสตรีหรือเกอคนใดมาก่อน หลิวซีซวนผู้นี้มีเสน่ห์เหลือร้ายจริงๆ ที่สามารถดึงดูดขุนนางคนสำคัญของหน่วยสืบราชการลับอย่างท่านมาเป็นบ่าวรับใช้ข้างกาย” หลี่เฉียงฮุยเอ่ยด้วยสีหน้าล้อเลียน การได้เห็นบุรุษผู้ดุดันแข็งแกร่งดุจหินผา กำลังทำหน้าดำสลับแดงนั้นช่างบันเทิงใจเหลือเกิน“เจ้าอย่าพูดเหมือนข้าหนีงานได้หรือไม่ ข้าประสบอุบัติเหตุบางอย่างจนความจำเสื่อมไปพักใหญ่ จึงได้มาอยู่กับหลิวซีซวน”“อ้อ ท่านประสบเหตุร้ายนั่นเองจึงได้พบรัก สวรรค์คงเห็นใจแม่ทัพเซวียนที่อยากอุ้มหลานเต็มแก่ จึงชักนำให้ท่านได้เจอคนงาม”“เจ้าอย่าพูดไร้สาระ เขาหาใช่คนรักของข้าไม่” หลี่เฉียงฮุยกดยิ้มมุมปากอย่างขบขัน ก่อนจะส่ายหน้าไปมา“เอาเถิด เจอท่านก็ดีแล้ว ท่านควรร
ห้าปีต่อมาหลังจากเหตุการณ์วุ่นวายในเมืองหลวงเมื่อห้าปีก่อน จวนตระกูลหลิวก็ปิดเงียบมาตลอด ฮ่องเต้เฉินเฟยหลงนั้นเหนื่อยใจไม่น้อยที่อุตส่าห์พาตัวทายาทตระกูลหลิวกลับมาอยู่ในเมืองหลวง แต่อีกฝ่ายก็ยังคงมีนิสัยเหมือนกับต้นตระกูล นั่นคือเกลียดความวุ่นวาย สิ่งที่หลิวซีซวนขอพระราชทานเป็นรางวัลจากเขาคือ การที่เขาสามารถอยู่เฉยๆ ได้ และปฏิเสธการเข้าพบคนจากราชสำนักหรือใครหน้าไหนก็ตามเขาจะต้องการอะไรอีกเล่า ในเมื่อยามนี้ได้สามีแล้ว เงินทองก็มีจนไม่รู้จะใช้ยังไงหมด ทรัพย์สมบัติในคลังสมบัติตระกูลหลิวก็ถูกเก็บไว้อย่างดีที่บ้านตระกูลหลิวที่เหิงเยว่โดยมีท่านตาตู้เฉิงเป็นผู้ดูแลด้านตู้เจาและตู้ลี่จูนั้นหลังจากเริ่มกิจการของตัวเอง ยามนี้ก็กลายเป็นร้านค้าชื่อดังที่มีหลายสาขา การงานการเงินมั่นคง ส่วนบุตรชายอย่างอาจ้านก็กำลังเตรียมสอบเข้าโรงเรียนหมอตามที่ตั้งใจไว้ หลิวซีซวนภูมิใจไม่น้อยที่คนข้างกายเขากำลังไปได้ดีกันทุกคน“กรี๊ดดดด อ๊ากกกกกกก”ยามนี้เสียงกรีดร้องกลับดังออกมาจากจวนตระกูลหลิวในเมืองหลวง บ่าวไพร่พากันวิ่งวุ่น ยามนี้สองจวนทุบกำแพงเข้าหากันจนกลายเป็นจวนขนาดใหญ่ ยิ่งเป็นการเสริมบารมีให้หลิวซีซวนแ
“เจ้ารู้ข่าวของถานตงหยางแล้วใช่หรือไม่”“ตอนนั้น ข้าเห็นเขาจากในภาพนิมิตแล้ว สุดท้ายคนผู้นั้นก็ถูกฆ่าตายอย่างไร้ค่ายิ่งนัก”“แล้วเจ้า..ไม่เสียใจหรือ” เซวียนจางหย่งนั้นเป็นบุรุษใจกว้าง เขารู้ดีว่าเขากำลังแต่งให้กับคนงามที่เคยผ่านการแต่งงานมาแล้ว เขาตระหนักอยู่เสมอว่า แม้หลิวซีซวนจะเลิกรากับอีกฝ่ายไปแล้ว แต่ก็ใช่ว่าจะไร้เยื่อใย อย่างไรก็คนที่เคยอยู่กินกันมาหลายปี“ไม่หรอก เขาสมควรตายจริงๆ คนเช่นนั้นอย่างไรก็คิดไม่ได้ วันข้างหน้าย่อมต้องก่อการเลวร้ายอีกแน่ นับว่าความแค้นระหว่างข้าและเขาได้จบสิ้นในชาตินี้อย่างสมบูรณ์แล้ว” หลิวซีซวนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเด็ดขาด เรียกรอยยิ้มจากบุรุษรูปงามได้ไม่น้อยตัดเวรกันได้แล้วก็ดีชายหนุ่มก้าวเข้ามา ก่อนจะดึงอีกฝ่ายเข้าสู่อ้อมกอดแนบชิดทั้งสองร่างจากทางด้านหลัง แก้มนวลขึ้นสีเล็กน้อยทำให้ชายหนุ่มรู้สึกอุ่นใจขึ้นมาบ้าง ที่ผ่านมาเหอซีซวนนั้นเป็นคนซุกซนชอบเรื่องสนุกสนาน แต่หลังจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เขาก็ซึมลงไปถนัดตาจนน่าเป็นห่วง เขานึกไปว่าอีกฝ่ายเสียอกเสียใจเรื่องอดีตสามีเสียอีก แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้กำลังมีบางเรื่องรบกวนจิตใจเกอคนงามอยู่“แล้วเมื่อกี้ เจ้ากำลั
หลังจากเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นเมืองหลวง ก็ถึงเวลาแห่งการฟื้นฟู โชคดีที่นอกจากจัตุรัสกลางเมืองแล้ว ไม่มีสิ่งใดพังทลาย ทว่าก็มีชาวบ้านโดนลูกหลงจนบาดเจ็บเป็นจำนวนไม่น้อย จนฮ่องเต้ต้องประกาศเรียกตัวหมอตามเมืองต่างๆ ให้เร่งเข้ามาช่วยรักษาอาการให้ปลอดภัยสิ่งที่ทำให้ผู้คนนึกทึ่งในช่วงเวลาวิกฤตก็คือ องค์ชายห้าจอมเสเพลนั้น แท้จริงแล้วเป็นเจ้าของที่แท้จริงของห้องอาหารส่องดาว พระองค์นำอาหารจากห้องอาหารมาเปิดโรงทานแจกจ่ายให้กับผู้คนอย่างไม่รอช้า เหล่าองค์ชายคนอื่นก็ไม่น้อยหน้า เมื่อได้เวลาแสดงความสามารถก็ต่างพากันช่วยฟื้นฟูบ้านเมืองกันอย่างเต็มกำลังสถานการณ์ในเมืองจึงกลับมาสู่สภาพปกติดังเดิม แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือกลุ่มขุนนางชั่ว งานนี้ความผิดประจักษ์เห็นต่อหน้า จวิ้นอ๋องกำเริบเสิบสาน ตั้งใจชิงบัลลังก์ถึงขั้นกล้าลงมือกับประชาชนโดยมีขุนนางหลายคนหนุนหลัง ฮ่องเต้แต่ไหนแต่ไรประนีประนอม ใจอ่อนให้จวิ้นอ๋องที่มีอำนาจฝั่งมารดาถ่วงดุลอยู่ไม่น้อย แต่เมื่ออีกฝ่ายตายไปแล้ว เขาก็ไม่คิดจะยั้งมือกับพวกขุนนางทั้งหมดที่ร่วมก่อการในครั้งนี้หนึ่งในนั้นก็คือ เสนาบดีเซี่ยโม่โฉว วันนั้นเลี่ยงชิงและเลี่ยงหรงใ
“หลานรัก” เสียงเพรียกดังขึ้นมาแต่ไกล เขาหลับตาลง ก่อนจะพบว่าตนเองมาโผล่อยู่ในมิติส่วนตัวของตนอีกครั้งในที่นี้นั้นสงบเงียบและปลอดโปร่ง ต่างจากโลกแห่งความจริงที่เขากำลังเผชิญ ท่านตาหลิวหงชิงกำลังจิบชาร้อนด้วยท่าทางผ่อนคลาย ก่อนจะหันมายิ้มให้เขา“ท่านตา เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”“ข้ารู้แล้ว เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา”“แต่ท่านตา ผู้คนกำลังจะตาย ข้าเองก็จะไม่ไหวแล้ว”“ชู่ หลานรัก ทำใจให้สบาย ข้าบอกเจ้าแล้วใช่หรือไม่ว่า วันนี้เจ้าต้องมีสติให้มาก” หลิวหงชิงยกยิ้มอ่อนโยนให้กับหลานคนเดียว ก่อนจะเดินเข้ามาใกล้“ข้าพยายามเต็มที่แล้ว ท่านตา แต่ข้าจัดการพวกมันไม่ได้ ข้าช่วยใครไม่ได้เลย”“ไม่ใช่ความผิดของเจ้า เจ้าทำดีแล้ว เด็กดี ข้าพาเจ้ามาที่นี่เพื่อให้มีชีวิตที่ดี ได้สร้างครอบครัวดั่งที่ใจปรารถนา ข้าไม่ได้ตั้งใจจะให้เจ้าต้องรับศึกหนักเช่นนี้” ชายชราปลอบหลานชาย ก่อนจะเอ่ยต่อ“เวลาที่ผ่านมา ข้าติดอยู่ในมิติส่วนตัวนี้มานานเกินไปเหลือเกิน ยามนี้เหอซีซวนได้รับการปลดปล่อยแล้ว ตัวข้าที่เป็นเพียงแค่เศษเสี้ยววิญญาณก็ควรถึงเวลาต้องไปแล้วเช่นกัน”“ท่านตา ท่านจะไปไหน ท่านไปแล้ว ข้าจะอยู่กับใคร” “เจ้าก็อยู่กับสามี
เขาจะทำอะไรได้ ยามนี้แค่ทรงตัวยืนอยู่ แล้วตั้งรับดาบที่เข้ามารอบทิศก็ลำบากมากแล้ว และก่อนที่เขาพลาดท่าก็มีใครบางคน ปรี่มาช่วยเขาเสียก่อน“คุณชายหลี่” ใช่แล้ว คือพ่อหนุ่มดวงมหาโชคคนดีคนเดิมนั่นเอง ดูจากฝีไม้ลายมือ เขาก็พอจะดูออกว่าคนผู้นี้นั้นไม่สันทัดเรื่องการใช้กำลังเท่าไหร่นัก ไม่แปลกใจที่ได้ทำงานสายผู้ตรวจการมากกว่าจะไปทางทหาร แบบเซวียนจางหย่ง“หลิวซีซวน เจ้าระวังตัวด้วย”“สามีข้าเป็นอย่างไรบ้าง”หลี่เฉียงฮุยถึงกับหันกลับมามองเขา ด้วยสายตาเหลือเชื่อ“เจ้าห่วงชีวิตสหายข้ามากกว่าชีวิตตนเองอีกหรือ รีบเอาตัวเองให้รอดก่อนเถอะ ข้าเองก็ไม่รู้จะช่วยเจ้าต้านไว้ได้มากเพียงใด”“คุณชายหลี่ ท่านช่วยหยุดโจวเฟิง มันจะจุดเทียนอีกครั้ง ค่ายกลชิงดวงจะกลับมาทำงานได้ใหม่” หลี่เฉียงฮุยมีสีหน้าเคร่งเครียดขึ้นทันที เขาสองคนถูกรุมล้อมรอบด้าน จนแทบจะเอาตัวไม่รอดเช่นนี้ จะทำอะไรได้“งั้นเอาเช่นนี้ก็แล้วกัน” หลี่เฉียงฮุยถือคติว่า อะไรทำได้ก็ให้ทำไปก่อน เขาดึงมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ออกมา ก่อนจะปาไปทางโจวเฟิงหวังปลิดชีพถึงจะปลิดชีพไม่ได้ แต่ทำลายสมาธิมันได้ก็ยังดีแต่ใครจะไปคาดคิดในสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นมีดสั้นพ
หลิวซีซวนค่อยๆ ลุกขึ้นมาช้าๆ ด้วยแรงแค้นที่แน่นอก หากคนตกใจสามารถยกโอ่งหนีไฟไหม้ได้ คนที่กำลังโกรธก็น่าจะยกภูเขาได้ไม่ต่างกัน โดยที่ไม่มีใครคาดฝัน เกอคนงามร่างบางที่เมื่อครู่ยังซวนเซ กลับเดินไปยกแท่นพิธีที่หักครึ่งแล้วทุ่มไปทางโจวเฟิงอย่างไม่ออมมือตู้ม!!!โจวเฟิงนั้นแม้บาดเจ็บอยู่ แต่ประสาทสัมผัสยังคงเฉียบคม เขาจึงกระโดดหลบแท่นหินขนาดใหญ่ได้อย่างหวุดหวิด“นี่เจ้า”“หมาลอบกัด เจ้าแอบซ่อนอยู่ข้างกายข้าและจางหย่งมาตลอด” หลิวซีซวนตวาดดังลั่น เสียงสั่นด้วยความโมโห“แล้วอย่างไร บุรุษผู้นี้มันโง่เอง มันกล้าบุกเข้ามาสอบสวนข้าเพียงลำพัง ทั้งที่รู้ว่าข้านั้นเป็นหลวงจีนที่มีวิชาอาคม สุดท้ายมันก็ถูกข้าใช้วิชาสับเปลี่ยนวิญญาณ และปล่อยให้มันตายไปกับร่างเดิมของข้าในคุก ฮ่าๆๆ”“เจ้ามันสารเลว เพราะเจ้า ผู้คนถึงได้เดือดร้อน เจ้าไม่ได้ต้องการช่วยจวิ้นอ๋องให้ครองบัลลังก์ เจ้าก็แค่ต้องการละเลงเลือดทาแผ่นดินก็เท่านั้น เจ้ามันปีศาจชัดๆ ไม่ต้องพูดมาก เจ้าจะเป็นใครก็ช่าง ข้าจะไม่ปล่อยให้เจ้ารอดไปได้แน่ กล้าทำร้ายคนของข้า เช่นนั้นเจ้าก็จงรับผลกรรม” หลิวซีซวนหยิบดาบขึ้นมาถือไว้พร้อมกับกระชับไว้แน่น พร้อมที่จะโ
ไต้ซือไป๋ในร่างของโจวเฟิงล้วงเข้าไปในปกเสื้อ ดึงเทียนทำพิธีสีแดงแท่งใหม่มาถือไว้อย่างหมายมาด เวลาเหลืออีกไม่มากนัก หากว่าเทียนเล่มเก่าดับ เช่นนั้นเขาก็จะจุดแท่งใหม่ด้วยตัวเองถึงอย่างไร เขาก็ต้องทำภารกิจวันนี้ให้สำเร็จให้ได้เขาควบม้ามุ่งหน้าเข้าไปใจกลางเมือง ถึงแม้เทียนจะดับ แต่หากเขาสามารถจุดเทียนสำรองนี้ได้ภายในเวลาหนึ่งชั่วยามโดยที่เหยื่อบูชายัญทั้งสี่ทิศยังคงอยู่ที่เดิม ค่ายกลก็ยังกลับมาทำงานได้อีกครั้งไม่แน่ว่าป่านนี้ คนที่บุกไปทำลายพิธีอาจจะโดนทัณฑ์สวรรค์ผ่าร่างจนตายไปแล้วก็ได้โจวเฟิงมองออกไปไกลยังใจกลางเมือง ก็เห็นเมฆก่อตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว ก่อนจะมีอัสนีฟาดลงมาที่กลางเมืองจนเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว จนแผ่นดินสะเทือนเปรี้ยง!!สายฟ้าฟาดลงมากลางแท่นพิธีที่จัตุรัสกลางเมืองเก้าครั้งติดกันไม่หยุด วันนี้ที่เมืองหลวงนั้นเดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว เดี๋ยวมืดครึ้มเดี๋ยวสว่าง จู่ๆ ท้องฟ้านั้นกลับส่งสายฟ้าฟาดลงมา ท่ามกลางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่าย“แฮ่กๆๆ รอดจริงๆ ด้วย” หลิวซีซวนที่ร่ายรำอยู่นาน สุดท้ายเขาก็สามารถเอาตัวรอดจากทัณฑ์สวรรค์ได้ เขามองไปรอบกายก็พบว่าจัตุรัสกลางเมืองนั้นเละ ไม่เหลือชิ้น
ในขณะพวกเขายังสู้กันต่อ แต่หลิวซีซวนกำลังตัวสั่นอยู่กลางพิธี ดวงตาสีทองมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยสีหน้าแตกตื่นนี่เราลืมอะไรไปรึเปล่าอ๋อ เราลืมไปใช่หรือไม่ว่าหลังจากทำลายค่ายกลชิงดวงแล้ว จะได้รับทัณฑ์สวรรค์เป็นสายฟ้าฟาดเวรเอ๊ย กูจะโดนฟ้าผ่าอีกแล้วเหรอวะเนี่ย ครั้งที่แล้วโดนไปยังเกือบตายสักพัก เขากลับได้ยินเสียงกระซิบแผ่วเบาจากภายใน เป็นเสียงของท่านตาที่คงอดทนไม่ไหว จึงแอบมาบอกเขา“ค่ายกลเทวาร่ายรำ” เขามองท้องฟ้าที่เริ่มมีเมฆตั้งเค้าอีกรอบด้วยความสยอง เวลานี้จำเป็นต้องงัดวิชาทุกวิชาของตระกูลหลิวออกมาเพื่อปกป้องตนเองเสียก่อน เทวาร่ายรำก็เป็นอีกอย่างหนึ่งที่ทำเพื่อสร้างเกราะกำบังกายให้กับตนเองจะรออะไรล่ะ ร่ายรำไปเลยสิจ๊ะหลิวซีซวนขยับร่างกายไปพร้อมกับบริกรรมคาถาไปด้วย เขาต้องเรียกสติตนเองตลอดเวลาเพราะหาไม่แล้วอาจจะเผลอก่นด่าสวรรค์ไปแล้วหลายรอบ รอบกายของเกอคนงามเปล่งประกายสีทอง ราวกับแผ่ออกมาเพื่อเป็นเกราะกำบังภัย ตัวของเขาสั่นเทิ้มไม่หยุด กล้ามเนื้อถูกเคี่ยวกรำอย่างหนัก จนเริ่มรับพลังมหาศาลที่ไหลเวียนในกายไม่ไหว เขาไม่รู้ว่าจะรอดหรือไม่ แต่เขาจะไม่ยอมโดนฟ้าผ่าตายอีกหนแน่ๆที่หน้าประตูเม
เซวียนจางหย่งถึงกับมีสีหน้ามืดครึ้ม ทัพของจวิ้นอ๋องและแม่ทัพหวงจะมีอะไรให้น่ากังวล ต่อให้พวกเขาบุกเข้ามาเวลานี้ ก็ไม่แน่ว่าจะมีชัยเหนือคนที่เหลือสิ่งที่น่ากลัวคือ ทัพของหยวนหลี่เฉียงต่างหาก คนผู้นั้นเด็ดขาดโหดเหี้ยม ไม่เคยแพ้ให้กับผู้ใด ไม่เคยมีใครคิดระแวงว่าเขาจะย้ายฝั่งไปสนับสนุนจวิ้นอ๋อง“ข้านี่โชคดีเหลือเกินที่เลือกออกเดินทางไปศึกษาวิชากับพวกหลวงจีนและนักพรตตามเมืองต่างๆ จึงได้รู้จักหลวงจีนที่เชี่ยวชาญวิชานอกรีตอย่างหาตัวจับได้ยาก เขาเก่งถึงขนาดที่สามารถสับเปลี่ยนดวงวิญญาณของตนเองกับผู้อื่นได้ เช่นนี้ข้าคงไม่เหลืออะไรให้กังวล แม่ทัพที่ยิ่งใหญ่ยังต้องยอมสยบให้กับข้า หึหึ” จวิ้นอ๋องเอ่ยอย่างอารมณ์ดี พร้อมกับมองสงครามกลางเมืองที่กำลังห้ำหั่นกันอย่างดุเดือด แม้ว่ายามนี้จะมีกองกำลังน้อยกว่าแต่กลับได้เปรียบกว่าทหารหาญและราชองครักษ์ในที่นี้ เซวียนจางหย่งต้องต่อสู้ไปพร้อมกับเฝ้าสังเกตอาการของคนรักที่อยู่กลางแท่นพิธีเพียงลำพังหลิวซีซวนหวนคิดถึงท่านตา ถึงว่าเมื่อคืนถึงคอยกำชับให้เราตั้งสติ เพราะจะเกิดเรื่องแบบนี้นี่เอง ครั้งก่อนเขาเป็นผู้ที่ทำลายพิธีชิงดวงของหลี่เฉียงฮุยเพียงผู้เดียว ครา