“ยอมเหรอ เรามีสิทธิ์ที่จะไม่ยอมด้วยเหรอ เขาตัดความสัมพันธ์แบบไม่เยื่อใยขนาดนั้น” เขามองไม่เห็นทาง
“นายเป็นแฟนกับชิดจันทร์มาเกือบสิบปี ทำไมนายจะไม่มีสิทธิ์ ไอ้หน้าตี๋คนนั้น มันเป็นใครมาจากไหนเราก็ไม่รู้ แม่ของเอยอาจเอามันมาเพื่อทำให้นายกับเอยเลิกกันก็ได้”
“นายคิดแบบนั้นจริงๆเหรอ”
ใจส่วนลึกเขาก็ไม่ต้องการที่จะยอมง่ายๆอยู่แล้ว แต่แค่คิดว่าเขาไม่มีสิทธ์ เมื่อได้ยินเพื่อนพูดแบบนี้ ภูวนนท์เริ่มรู้สึกอยากแย่งชิงคนรักของเขากลับมา
“จริงสิ นายมีสิทธิ์เต็มตัว รอให้งานแม่ของนายเสร็จก่อน แล้วเดินหน้าทวงคืนให้ได้” เหมราชตบไหล่อย่างสนับสนุน
“เออ...”
เลือดความเป็นชายมันวิ่งซู่ไปทั้งร่างกาย ถ้าไม่ติดพรุ่งนี้เป็นวันที่เขาต้องส่งดวงวิญญาณของมารดาขึ้นสู่สรวงสวรรค์ คืนนี้คงมีการลุยกันเกิดขึ้น
“เป็นอะไรคะ เห็นขยับหลังหลายทีแล้ว” ตลอดทางที่ขับรถกลับจากวัด ฟ้ารุ่งสังเกตเจ้านายของเธอขยับหลังตลอดเวลา
“มันปวดอย่างไรไม่รู้ สงสัยจะยกของผิดท่า ไม่ได้ทำงานหนักเสียนาน ” สีหน้าบอกถึงความปวด
“เดี๋ยวคุณอาบน้ำแล้วฉันจะเอายาไปนวดให้”
“หึ! คุณนวดเป็นเหรอ” กฤษฎาทำสีหน้าไม่เชื่อใจ
“ตอนที่ฉันยังไม่ได้เลิกกับสามีชาวต่างชาติ ฉันเคยเปิดร้านนวดมาก่อน ถึงแม้ไม่ได้นวดเอง แต่ก็ไปเรียนมาค่ะ ไว้ใจได้ ไม่ทำคุณหลังหักแน่นอน เดี๋ยวฉันไปอาบน้ำก่อน คุณก็ไปอาบให้เรียบร้อยเดี๋ยวดิฉันจะเตรียมยามา”
กฤษฎาอาบน้ำนานกว่าทุกวัน เพราะนอกจากอภิรดีแล้วไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนได้เข้าใกล้ตัวเขา กลัวตัวเองจะมีกลิ่นตัวแบบคนแก่ทั่วไป
ก๊อกๆ
“เข้ามาได้เลย”
“ขออนุญาตนะคะ ถอดเสื้อด้วยค่ะ”
กฤษฎาใส่ชุดนอนเต็มยศ ความจริงแล้วตัวเขาเองก็รู้ ว่าถ้าจะนวดหลังก็ต้องทายา และคงทายาผ่านเสื้อไม่ได้ แต่ทำไมไม่รู้ เขาเขินหมอนวดจำเป็นคนนี้จัง
“อ๋อ...ครับๆ”
“ตรงนี้ใช่ตรงที่คุณปวดไหมคะ”
“ไม่ครับ ลงไปทางขวาอีกนิด นั่นแหละ ใช่ๆ ปวดจี๊ดเลย” กฤษฎาสะดุ้งเมื่อฟ้ารุ่งบีบถูกจุด
“สงสัยจะจริงอย่างที่คุณคิด คงจะไปยกของผิดท่าเข้า เจ็บหน่อยนะคะ”
“โอ๊ยๆ”
กฤษฎาหันหน้ามาหาคนนวดด้วยความตกใจที่ฟ้ารุ่งกดตรงจุดที่เขาปวด หน้าที่หันมาอย่างไม่เจตนาแต่มันเกือบจะติดกับใบหน้าของคนที่กำลังนวดด้วยความตั้งใจ ตาประสานตา ความรู้สึกบางอย่าง มันเข้ามาป่วนในหัวใจของคนทั้งคู่ ใบหน้าของผู้หญิงตรงหน้าเหมือนมีแรงดึงดูดบางอย่าง ที่ทำให้ผู้ชายในวัยร่วงโรยอย่างกฤษฎากลับมามีความรู้สึกฮึกเหิมอีกครั้ง
“คุณคะ คุณปล่อยฉันเถอะ” ฟ้ารุ่งพยายามเรียกสติคนที่กำลังซุกไซร้อยู่ที่ซอกคอของเธอ
“ไม่...ผมหยุดไม่ได้” เสียงกระเส่าฟังแล้วดูแหบแห้ง แต่มันกลับยิ่งสร้างพลังงานบางอย่างให้กลับคนฟัง
“ค่ะ...ฉันก็...หยุดไม่ได้”
จากที่เคยใช้ทั้งสองมือพยายามดึงร่างของเจ้านายให้ออกไปให้พ้นตัว กลับกลายเป็นว่าสองมือนั้น เกี่ยวรัดต้นคอของเขาไว้อย่างรัดตรึง ปากที่เคยร้องเรียกให้เขาปล่อยเธอ ตอนนี้มันกลับเป็นฝ่ายรุกเร้าซอกคอของอีกฝ่าย
“ฟ้ารุ่ง คุณ...” กฤษฎาพยายามจะพูดอะไรบางอย่าง แต่กลับถูกริมฝีปากบางของอีกฝ่ายบดขยี้ไว้ เขาจึงสนองต่อปากนั้นด้วยลิ้นที่แสนจะซุกซน มันเข้าไปรวมกับลิ้นของอีกฝ่ายอย่างไม่มีใครยอมใคร
เสื้อผ้าของคนทั้งสอง มันถูกถอดออกตั้งแต่เมื่อไหร่ คนทั้งคู่ปล่อยร่างกายให้ทำตามหัวใจเรียกร้อง พายุที่โหมกระหน่ำ เกรียวคลื่นม้วนตัวตามกระแสลมที่พัดแรง กระแทกชายฝั่งอย่างบ้าครั่ง กระแสน้ำไม่มีความปราณี กระแทกซอกหินครั้งแล้วครั้งเล่า
“คุณคะ ฉัน ฉันจะไม่ไหวแล้ว ฮืม...” เสียงพูดที่ดูไม่เป็นเสียงพูดเท่าไหร่ มันสั่นเครือ เหมือนเจ้าของเสียงกำลังเจ็บปวดทรมานแต่ในเสียงนั้นมันมีเสียงครางแห้งความพอใจอยู่
พายุที่พัดด้วยแรงลมแห่งความปรารถนา ที่ถูกเก็บกดไว้ด้วยความรู้สึกที่ซื่อสัตย์ของกฤษฎาที่มีต่อภรรยา วันนี้มันขาดลงเพราะหัวใจของเขามันแห้งเหี่ยว อ่อนล้า เมื่อเจอชายฝั่งให้พึ่งพึง มันก็พัดขึ้นฝั่งอย่างสุดกำลัง และในที่สุดเมื่อพายุสงบทุกอย่างก็กลับมาสู่จุดเดิม
บทที่6ต่างคนต่างความรู้สึก“ทุกอย่างในคืนนี้ มันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ฉันจะลืมทุกอย่างค่ะ” ฟ้ารุ่งไม่ต้องการจะใช้ร่างกายในการผูกมัดให้เขาต้องรับผิดชอบเธอ“ทุกอย่างมันเกิดขึ้นจริง และมันเกิดขึ้นเพราะความตั้งใจ อย่าคิดมาก เสร็จงานอภิรดีเมื่อไหร่ ผมจะจัดการเรื่องของเรา” กฤษฎาหันมากอดภรรยาคนใหม่ที่นอนเอียงข้างมองหน้าเขาอยู่สำหรับกฤษฎาแล้ว เขารู้สึกแบบที่พูดจริงๆ ตั้งแต่ที่เขาได้เจอกับฟ้ารุ่งวันแรก เธอก็มีอะไรบางอย่าง ที่ทำให้เขารู้สึกอยากอยู่ใกล้ พอเขาตัดสินใจ รับเธอเข้ามาดูแลอภิรดี ยิ่งสร้างความผูกพันให้เขาถึงจะรู้สึกพอใจใจตัวสาวใช้คนใหม่มากแค่ไหน กฤษฎาก็ไม่เคยคิดจะยุ่งกับเธอฉันชู้สาว จนไม่กี่วันนี้ก่อนที่อภิรดีจะจากไป เธอเหมือนมองความรู้สึกของสามีออก เธอเปิดทางให้สามีหาคนมาดูแล แทนเธอหลังจากที่เธอจากไป และวันนี้กฤษฎาก็หาคนดูแลเจอแล้วงานเสร็จสิ้นไปอย่างเรียบร้อย ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงต่างพากันมาส่งดวงวิญญาณของอภิรดี พราวพลอยร้องไห้จนแทบจะสิ้นสติ เพราะเธอรู้สึกว่าตัวเองมีโอกาสได้ดุแลใกล้ชิดแม่น้อยที่สุด บรรยากาศเต็มไปด้วยความโศกเศร้า ถึงแม้ทุกคนจะเตรียมใจไว้ตั้งแต่ที่รู้ข่าวอาการป่วย แต่เ
“แล้วคุณจะให้พบแอบซ่อนๆกับความรู้สึกตัวเองแบบนี้ไปนานเท่าไหร่”“เมื่อถึงเวลาที่ดีกว่านี้ค่ะ” ฟ้ารุ่งตอบตามที่เธอคิด เพราะตัวเธอเองก็ไม่รู้ว่าเวลานั้นคือเมื่อไหร่ รู้แค่เพียงไม่ใช่เวลานี้ ตอนนี้“คุณคะ...ฉันจะขอคุณออกไปอยู่กับลูกสาว เธอกำลังเดินทางกลับมาอยู่เมืองไทยเป็นการถาวร ฉันจะพยายามหาเงินมาใช้ในส่วนที่เหลือให้หมด ฉันไม่หนีหายไปแน่ๆค่ะ” ฟ้ารุ่งรอที่จะพูดเรื่องนี้กับกฤษฎามาหลายวัน พอมาเกิดเรื่องเมื่อคืน เธอเลยตัดสินใจที่ต้องพูดเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด“ผมไม่อนุญาต คุณไปแล้วผมล่ะ ใครจะดูแลผม” กฤษฎาเหยียบเบรกรถทันที“ลูกๆคุณ คุณยังมีลูก แต่ทั้งชีวิตของฉันมีแค่ลูกสาวเพียงคนเดียว ฉันทำผิดกับลูกมามาก ฉันขอใช้เวลาที่เหลือดูแลมินรญาให้ดีที่สุด เท่าที่แม่คนหนึ่งจะทำได้ คุณเข้าใจฉันนะ”ฟ้ารุ่งเข้าใจว่าลูกสาวของเธอยังไม่ได้เดนทางมาจากต่างประเทศ เพราะมินรญาเองไม่ได้บอกกำหนดการจริงในการเดินทาง เธออยากท่องเที่ยวให้ทั่วก่อน เพราะสังคมของที่นี่ คงดูไม่ดีถ้าลูกสาวออกไปเที่ยวกลางคืนทุกคืน“ลูกคุณจะมาถึงเมื่อไหร่” กฤษฎาอยากรู้ว่าเขายังมีเวลาที่จะเหนี่ยวรั้งเธอได้นานแค่ไหน“อาทิตย์หน้าค่ะ”“ทำไมคุณเพิ่
ก๊อกๆ“ใครนั่น” กฤษฎาแปลกใจที่ใครมาเคาะประตูในเวลาดึกแบบนี้“ผมเอง”“เข้ามาสิลูก” กฤษฎาตกใจที่ลูกชายของเขาเข้ามาเคาะประตูหลังจากเข้าเพิ่งเสร็จภารกิจรักได้ไม่นาน แต่ก็พยายามเก็บกักความรู้สึกไว้“พ่อยังไม่นอนเหรอ ทำอะไร ดึกขนาดนี้” เป็นคำถามที่ภูวนนท์ไม่เคยใช้กับบิดา สีหน้าแววตาที่แสดงออกถึงความโกรธได้ชัดเจน“มีอะไรก็พูดกับพ่อมาตรงๆ เราเป็นผู้ชายเหมือนกัน และ...เราคือครอบครัวเดียวกัน” กฤษฎาทนไม่ไว้แล้ว ทีจะปิดกั้นความรู้สึกเอาไว้ เขาเป็นพ่อ เขาไม่จำเป็นต้องกลัวลูกชายขนาดนั้น“ครอบครัวเดียวกัน ที่หมายถึงน้าฟ้ารุ่งด้วยใช่ไหมครับ พ่อทำไมทำกับแม่แบบนี้ แม่เพิ่งเผาเสร็จ พ่อก็เอาผู้หญิงไม่รู้หัวนอนปลายเท้ามานอนทับที่ของแม่ พ่อมันเห็นแก่ตัว”หมัดของผู้เป็นพ่อถูกสาวลงที่แกล้มของลูกชาย อย่างที่สุดหัวใจจะรั้งไว้ กฤษฎาเจ็บปวดกับประโยคหลังสุด จนไม่สามารถควบคุมอารมณ์ไว้ได้“การที่ฉันจะมีใครสักคน มาคอยดูแลในแบบที่ผู้หญิงกับผู้ชายเขาทำกัน ทั้งที่ตอนนี้แม่เขาก็ไม่อยู่แล้ว มันเห็นแก่ตัวมากใช่ไหม ตั้งแต่ฉันแต่งงานกับแม่ของแกมา ไม่มีสักครั้งที่ฉันจะมีคนอื่นให้แม่แกช้ำใจ แม่แก่ป่วยเขาบอกให้ฉันไปหาเศษหาเลยน
เจอกัน...อีกครั้ง “คุณคะ เย็นนี้ลูกสาวฉันจะมาถึงค่ะ” ฟ้ารุ่งตัดสินใจบอกเจ้านาย เธอสองจิตสองใจไม่รู้ว่ามันควรบอกไหม แต่คืนนี้เธอคงต้องให้มินรญานอนที่นี่ก่อน เพราะเขาเป็นเจ้าของบ้าน เธอเลยตัดสินใจบอก “กี่โมงล่ะ เดี๋ยวเราไปรับที่สนามบินกัน” “ลูกบอกจะมาที่นี่เองค่ะ ไม่ได้บอกเวลาที่เครื่องลง บอกแต่เพียงว่า จะมาถึงที่นี่ไม่เกินหกโมงเย็น” มินรญาไม่ได้บอกความจริงกับมารดา ว่าเธอมาถึงที่นี่หลายวันแล้ว เพราะกลัวจะโดนต่อว่าที่ไม่ยอมเข้ามาหาแม่ อีกทั้งตัวมินรญาเองก็จากเมืองไทยไปนาน ถ้ามารดารู้คงมีแต่ความเป็นห่วง “ฉันจะขออนุญาตให้ลูกสาวได้มาที่นี่สักสองสามคืนนะคะ” “ไม่ใช่แค่สองสามคืน ตลอดไปก็ได้” กฤษฎาลุกขึ้นจากโซฟาหน้าบ้าน วางหนังสือพิมพ์ที่อยู่ในมือ และเอื้อมือมาโอบไหล่ของภรรยาคนใหม่ของเขา “อย่าเลยค่ะ แค่นี้คุณนนท์ก็รู้สึกไม่ดีแล้ว คุณพราวก็ไม่รู้ว่ารู้เรื่องหรือยัง ฉันไม่อยากทำให้ครอบครัวคุณต้องมีปัญหา” ฟ้ารุ่งเข้าใจความรู้สึกของลูกๆของกฤษฎาและตัวเธอเองก็ต้องการออกไปใช้ชีวิตกับลูกสาวของเธอแค่สองคน “ทุ
“สองคนนี้รู้จักกันมาก่อนเหรอคะ” พราวพลอยถาม “ใช่ค่ะ” มินรญาตอบตามความจริง “ไม่ ผมไม่เคยรู้จักคุณ” ภูวนนท์ปดคำโต “ตกลงมันอย่างไรกันคะ พราวงงไปหมดแล้ว” “ตกลงมันอย่างไรเจ้านนท์” กฤษฎาลุกยืนและหันหน้าไปคาดคั้นเอาคำตอบจากลูกชาย “ไม่รู้จักค่ะ มิ้นคงจำคนผิด คนที่มิ้นรู้จัก รูปร่างหน้าตาเหมือนลูกชายของคุณลุงมาก แต่ต่างตรงที่เขาดูเป็นลูกผู้ชายมากกว่านี้ มิ้นคงเพิ่งลงจากเครื่องสายตาเลยฝ้าฟางไปหน่อยค่ะ” ทุกคนมองดูท่าทางของคนทั้งคู่ ต่างก็ไม่มีใครเชื่อในสิ่งที่ทั้งคู่พูดตอนนี้ แต่ถ้ายิ่งคาดคั้นไปสถานการณ์อาจจะยิ่งแย่ลง “ขอโทษนะคะ ที่คุณพูดจาดูแคลนแม่ฉันแบบนั้น คุณคงจะเข้าใจอะไรผิด รบกวนใช้หูทั้งสองข้างของคุณ ฟังในสิ่งที่เป็นความจริงหน่อย ที่ฉันกับแม่ยังอยู่ที่นี่ เพราะพ่อของคุณขอร้องไว้ ซึ่งฉันเองก็ไม่ได้อยากอยู่นักหรอก แต่เห็นกับบุญคุณที่พ่อของคุณช่วยเหลือแม่ฉันไว้ เลยทำให้ท่านสบายใจ เมื่อรู้แล้ว กรุณาใช้กิริยาที่ดีกว่านี้ กับคนที่อายุคราวแม่ของคุณ” บรรยากาศดูตรึงเครียด สถานการณ์ไม่สู้ดี พราวพลอยมองสบ
“พ่อของลูก เขารักลูกมากนะ อย่าทำให้พ่อเขาผิดหวัง” การหย่าร้างทำให้สถานะความเป็นสามีภรรยาขาดลง แต่ความเป็นพ่อและแม่จะคงอยู่ตลอดไป เพราะฟ้ารุ่งรู้ว่าอิมรานรักมินรญามากแค่ไหน เธอถึงได้ยอมตัดสินใจส่งลูกสาวคนเดียวที่เธอทั้งรักทั้งห่วง ให้ไปอยู่ไกลถึงอังกฤษ ไม่มีทางที่คนเป็นพ่ออย่างอิมรานจะยอมให้ลูกของเขาต้องลำบาก “มิ้นก็รักพ่อกับแม่มากค่ะ” มินรญาเอนตัวลงนอนหนุนตักมารดา ก่อนหลับไปอย่างไม่รู้ตัว “คุณคะ ขอฉันเข้าไปคุยอะไรด้วยหน่อย” ฟ้ารุ่งเดินขึ้นมาหากฤษฎาที่ห้องนอน “ผมคิดว่าคุณจะไม่มาหาผมเสียแล้ว” ประตูถูกเปิดคนข้างในเอื้อมมือมาดึงมือหญิงวัยใกล้เคียงกับเขา ให้เข้าไปข้างใน ห้องนอนของพราวพลอยอยู่ไม่ไกลจากห้องของบิดา มีแค่เพียงห้องทำงานและห้องน้ำคั่นไว้ เสียงเคาะประตูของฟ้ารุ่ง ทำให้เธอลุกขึ้นมาดู จนเห็นภาพที่ฟ้ารุ่งเดินเข้าห้องบิดาของเธอไป พราวพลอยตัดสินใจที่จะแอบฟังคนทั้งคู่คุยกัน เพราะเธอเองก็ยังไม่ไว้ใจในตัวของแม่เลี้ยงคนใหม่นี้สักเท่าไหร่ “คิดถึงผมเหรอ” สองมือลูบหน้าลูบผมด้วยความคิดถึงแบบชายวันดึก “ไม่ใช่หร
.บทที่8ขิงก็รา...ข่าก็แรง“เช้านี้อากาศสดใสดีไหม” ฟ้ารุ่งทักทายลูกสาวที่ยืนสูดอากาศอยู่ด้านนอกของห้องครัว“อากาศดีค่ะแม่ วันนี้เราต้องกินข้าวร่วมกับคนบ้านใหญ่ไหมคะ” มินรญาไม่อยากเจอหน้าลูกชายเจ้าของบ้าน เพราะกลัวจะเก็บกดอารมณ์โมโหของตัวเองไว้ไม่ไหว“ไม่ต้องหรอก แม่ทำกับข้าวไว้ให้พวกเขาเรียบร้อยแล้ว เราก็กินของเราที่ครัวนี่แหละ” ฟ้ารุ่งตั้งใจไว้แล้วที่จะไม่ให้คนทั้งคู่ได้ปะทะกัน“ดีจังค่ะ วันนี้มิ้นจะได้กินข้าวอย่างมีความสุข ฝีมือแม่ครัวคนเก่งคนนี้ไม่เคยตก จะกินให้เรียบเลยค่ะ” หญิงสาวโอบเอว หอมแก้มมารดาอย่างเอาใจ“ปากหวานจริง ๆ ลูกสาวคนสวยของแม่” มือเรียวที่เริ่มเหี่ยวย่นตามกาลเวลา จับหัวลูกสาวอย่างเอ็นดู“แม่คะ วันนี้มิ้นจะออกไปสำรวจดูว่ามีแถวไหนบ้างที่เหมาะกับการเปิดสาขาใหม่ ไม่ได้อยู่เมืองไทยเสียนาน อะไร ๆ ก็เปลี่ยนไปหมด ต้องออกไปใช้ชีวิตข้างนอกให้คุ้นเคยกับเมืองไทยให้มากกว่านี้ แม่ไม่ต้องห่วงมิ้นนะคะ ”“ ให้แม่ไปด้วยไหม” ผู้เป็นแม่ห่วงกลัวมินรญาจะหลงหรือเกิดอันตราย“ไม่ต้องหรอกค่ะ มิ้นกลัวแม่จะเหนื่อยและเป็นลมไปก่อนมิ้นจะได้ทำเลดี ๆค่ะ”มินรญาเธอกะว่าวันนี้เธอจะขึ้นรถเมล์บ้าง แท็ก
“ฉันไม่ได้อยู่กรุงเทพมาหลายปี ก็เลยอยากทำความรู้จักว่าเดี๋ยวนี้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง จอดข้างหน้าเลยค่ะ ฉันจะลงตรงนี้” สิ้นเสียงคนพูดภูวนนท์กลับเลี้ยวขึ้นถนนใหญ่ แทนที่จะจอดหน้าปากซอย ตามคำบอกของมินรญา เขาทำเหมือนไม่ได้ยินที่เธอพูดเลย “คุณไม่ได้ยินที่ฉันบอกเหรอ ฉันบอกให้จอด จอด!! จอดเดี๋ยวนี้” ปากก็พูดมือก็หันไปจับแขนคนขับเขย่าด้วยความโมโห “คุณจะโวยวายอะไรนักหนา และมาจับแขนผมแบบนี้ เดี๋ยวก็รถชนตายกันพอดี ผมไม่พาคุณไปทำอะไรหรอก ผมไม่ได้พิศวาสอะไรคุณนักหนา” “แล้วคุณทำไมไม่จอด คุณต้องการอะไร” มินรญาถลึงตากลมโตเหมือนแขกใส่คู่สนทนาอย่างไม่เกรงกลัว “คุณไม่ได้อยู่เมืองไทยมานาน ผมก็กลัวคุณจะไปทำเซ่อ ๆ ซ่า สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น แล้วพาลทำให้คุณพ่อของผมอายไปด้วย คุณจะไปไหน เดี๋ยวผมพาไป นั่งเงียบ ๆ ก็พอ” “ไม่รู้” ตอบเพียงสั้นๆ เพราะไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหนและก็แสนจะหงุดหงิดกับคำพูดของคนนั่งข้างๆ ที่ประชดประชัน เหน็บแนม อยู่ตลอดเวลา “ผมจะยอมสงบศึกกับคุณชั่วคราว เอาดี ๆ คุณอยากไปที่ไหน ผมว่าง เบื่อๆ ไม่มีอะไ