“อภิรดีเป็นอย่างไรบ้าง ฉันจะหาโอกาสไปเยี่ยมเยียนนะ”
คุณแม่ของภูวนนท์เป็นที่รักใคร่ของทุกคน ความจริงใจ รอยยิ้มที่ออกมาจากความบริสุทธิ์ ที่ทำให้ทุกคนมีความสุขเวลาได้อยู่ใกล้หล่อน
“อาการทรงตัวอยู่ครับเหนื่อยง่าย แต่ยังพอสู้ไหวครับ” ชายหนุ่มตอบคำถามแบบสำรวมกริยา เพราะเขาระมัดระวังตัวและคำพูดทุกครั้งที่อยู่ต่อหน้าแม่ของชิดจันทร์
ภูวนนท์ขอตัวกลับก่อน เพราะเขาคงไม่เหมาะที่จะอยู่ที่นี่นานๆ อาจเผลอไปทำอะไรให้คุณหญิงโฉมเฉลาไม่พอใจได้ ชิดจันทร์ขออนุญาตเดินมาส่งแฟนหนุ่มที่รถ เพราะคิดว่ามันเป็นมารยาทคงไม่น่าเกลียดอะไร และเธอก็อยากคุยอะไรกับภูวนนท์ในเรื่องที่เขาขอเธอแต่งงาน
“พี่ภูคะ เรื่องแต่งานของเรา เอยขอเวลาที่จะพูดคุยกับคุณแม่ก่อนนะคะ หากพี่พูดกับท่านโดยตรง เอยเกรงว่า ท่านจะโมโหก่อนที่พี่จะพูดจบ”
หญิงสาวส่งสายตาให้กำลังใจพี่ภูของเธอ ความรักมันไม่ใช่เรื่องของคนสองคน ในความคิดของชิดจันทร์ ความรักของเธอมันจะสมหวังหรือผิดหวังขึ้นอยู่กับมารดาเท่านั้น
ภูวนนท์ขับรถกลับบ้านอย่างใจเย็นเพราะเขาคิดทบทวนเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นวันนี้ ไม่ว่าความรักของเขาจะสมหวังหรือผิดหวัง อย่างน้อยวันนี้เขาได้ขอเธอแต่งงาน และที่มากกว่าการได้ขอแต่งงาน คือเขาแน่ใจว่า เขารักชิดจันทร์ และเธอเองก็รักเขาเช่นกัน พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรก็สุดแต่ฟ้าจะกำหนด ชายหนุ่มปลอบใจตัวเองให้อยู่กับปัจจุบัน
“ยายเอย...” คุณนายโฉมเฉลาใช้น้ำเสียง ที่คนถูกเรียกชื่อถึงกับขนลุก
“เราคงมีเรื่องต้องคุยกันหน่อย”
สายตาที่จ้องมองไปที่แหวนเพชรเม็ดงาม ที่สวมอยู่ที่นิ้วนางของชิดจันทร์ สายตาที่แสดงคำถาม แต่ดูแล้วเหมือนไม่ต้องการคำตอบสักเท่าไหร่
“แหวนนั่น...หมายความว่าอะไร”
จากหญิงสาวร่าเริง พูดเก่ง ตัวสั่นเทาเพราะความกลัวมารดา ชิดจันทร์รวบรวมสติคิดว่าตัวเองควรจะตอบความจริงหรือโกหกดี เธอตั้งใจจะค่อยๆกาโอกาสที่เหมาะกว่านี้บอกเรื่องการขอแต่งงานของภูวนนท์ ไม่คิดว่ามารดาจะสังเกตเห็นแหวนและถามเธอในวันนี้เลย
“นี่ยายเอย แกเป็นอะไรของแก กลัวอะไรแม่หนักหนา จะพูดอะไรก็พูด แม่ให้แกพูดแล้วนะ แล้วแม่จะได้พูดบ้าง”
โฉมเฉลารู้สึกขัดใจ กับท่าทางของลูกสาว อาการที่เหมือนสติกระเจิงเวลาที่โดนดุ โดนตวาด หรือโดนคาดคั้น ตัวจะสั่น หน้าซีด พูดจาติดๆขัดๆ ไม่รู้จะกลัวอะไรหนักหนา
“ว่า...ว่าอะไรนะคะคุณแม่” กว่าจะรวบรวมความกล้าและสติกลับคืนมา
“ฉันถามแกว่า แหวนนั่น คืออะไร หูตึงเหรอ ถึงพูดไม่ได้ยิน ”
ท่าทางของชิดจันทร์ที่เป็นแบบนี้เสมอเวลาที่รู้สึกกลัว ไม่ได้ทำให้โฉมเฉลารู้ตัวเลย ว่าเพราะตัวเองนั่นแหละที่ทำให้ลูกสาวเพียงคนเดียวกดดันมากขนาดนี้ กลายเป็นคนสองบุคลิกในคนเดียวกัน
“พี่ภู...เอ่อ..”
“เอ่อ...อะไร จะเอ่ออีกนานไหม ”
ความหงุดหงิดและโมโห ทำให้คุณนายโฉมเฉลาเสียงดังขึ้น จนคนรับใช้ทั้งบ้านได้ยินกันหมด แต่ไม่มีใครกล้าออกมาดู เอาจริงๆ ก็คือชินกับเหตุการณ์แบบนี้ แต่แค่แอบสงสารนายน้อยของตัวเอง
“พี่ภูซื้อให้ค่ะ” ชิดจันทร์โล่งใจที่ได้พูดออกไป และหลังจากประโยคแรก เธอตั้งใจแล้วว่า ประโยคต่อไปคงไม่ใช่ประโยคที่เป็นความจริง
“ซื้อให้ทำไม อย่า...บอกนะ ว่าเขาขอแกแต่งงาน เพราะฉันไม่ให้แกแต่งหรอก...”
คุณนานโฉมเฉลายืนกอดอกส่งสายตาดุดัน มายังลูกสาวที่นั่งก้มหน้ามองแต่มือตัวเอง จกนิ้วกับฝ่ามือ จนเป็นร่องลึก
“ไม่ใช่ค่ะคุณแม่ ซื้อให้เฉยๆ ไม่ได้ขอแต่งงาน ไม่ได้ซื้อเพราะโอกาสอะไรทั้งนั้น”
สำหรับชิดจันทร์การโกหกไม่ใช่สิ่งที่ดี และเธอก็ไม่เคยอยากทำมัน แต่ทั้งชีวิตของเธอตั้งแต่เล็กจนโต เธอโกหกมารดาไม่รู้สักกี่ครั้ง เพียงเพราะต้องการปกป้องตัวเองจากการโดนดุ จนทุกวันนี้ชิดจันทร์เริ่มรู้สึกว่าบางครั้งเธอก็โกหกกระทั่งตัวเอง
“โล่งไป เพราะถ้าเขาขอแกแต่งงาน แล้วแกรับแหวนเขามาแบบนี้ ฉันจะตีแกให้ตายเลย” ไม่ใช่แค่คำขู่แต่ชิดจันทร์รู้ ว่ามันจะเกิดขึ้นจริง ถ้าลองมารดาของเธอโมโห
“ฉันถามแกจริงๆนะยายเอย แกไม่คิดจะมองผู้ชายคนไหนบ้างเหรอ หน้าตาแกก็ออกจะสะสวย มันต้องมีคนมาชอบแกบ้างแหละ” คำพูดซ้ำๆที่มารดาชอบพูดกับชิดจันทร์เวลาที่โมโหเรื่องเธอกับภูวนนท์
บางครั้งความกดดันที่สุมเข้ามาในจิตใจ ทำให้ชิดจันทร์คิดทบทวนหลายครั้ง ถ้าเธอเลิกกับภูวนนท์มารดาของเธอจะมีความสุข และเลิกมีอารมณ์เกรี้ยวกราดกับเธอแบบนี้ไหม แต่เวลาที่เห็นหน้าคนรัก ชิดจันทร์ก็ตัดภูวนนท์ไม่ได้จริงๆ ไม่ว่าจะเพราะความรักหรือความผูกพัน แค่คิดว่าพรุ่งนี้จะไม่เขาและเธออีกต่อไป ความว้าเหว่ เหงา เศร้า ก็ทำให้เธอไม่กล้าที่พูดตัดความสัมพันธ์ออกไป
ตอนที่2ตอบแทน เรื่องราวความรักของเธอจะเป็นอย่างไรต่อไป ชิดจันทร์ยังหาคำตอบไม่ได้ แต่เธอคิดว่าอีกไม่นาน ชะตาลิขิตจะพาเธอไปหาคำตอบ ที่มันควรจะเป็น“คุณแม่ครับตื่นนานหรือยัง” ภูวนนท์รีบมาหามารดาก่อนทำสิ่งอื่นใดเมื่อเขากลับถึงบ้าน เพราะทั้งเขาและมารดาต่างก็รู้ว่าเวลาสำหรับสี่คนพ่อแม่ลูกยังมีพราวพลอยน้องเล็กของบ้านที่ถูกส่งให้ไปเรียนโรงเรียนประจำจะได้อยู่พร้อมหน้ากัน มันใกล้หมดลงแล้วอภิรดีใช้รอยยิ้มแทนคำตอบ เพราะวันนี้หล่อนเหนื่อยกับการถูกเคลื่อนย้ายไปที่สวนหน้าบ้าน จึงหลับนานกว่าทุกวัน สีหน้าที่สดชื่นขึ้นของอภิรดีเป็นของขวัญชิ้นพิเศษให้กับทุกคนในครอบครัว“ภู... เป็นอย่างไรบ้างลูก ความสัมพันธ์ระหว่างเรากับหนูชิดจันทร์ คบกันก็หลายปีแล้ว เมื่อไหร่จะแต่งงานเป็นเรื่องเป็นราว ผู้หญิงเขาจะรอเราไหมตาภู”กฤษฎาถามลูกชาย เพราะเข้าใจว่าที่ความสัมพันธ์ของทั้งคู่ยังพัฒนาไปไม่ถึงขั้นแต่งงาน เป็นเพราะภูวนนท์ยังไม่คิดเรื่องนี้“วันนี้ผมขอเอยแต่งงาน แต่เธอไม่สามารถตัดสินใจเรื่องนี้ได้ ต้องแล้วแต่คุณแม่ของเธอครับ” ภูวนนท์ตอบคำถามของผู้เป็นพ่อด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักกฤษฎารับรู้มาตลอดเรื่องที่คุณนา
ระหว่างทางกลับบ้าน กฤษฎารู้สึกจิตใจเขาไม่ปกติสุขเลย หรือเขาจะหลงเสน่ห์ของฟ้ารุ่งเข้าให้แล้ว อีกทั้งตัวเขาเองก็ห่างหายจากการใช้ชีวิตแบบสามีภรรยากับอภิรดีมาเกือบสองปีแล้วตั้งแต่รู้ว่าเธอเริ่มป่วย แต่เขาก็ไม่เคยคิดจะนอกใจภรรยา แต่ครั้งนี้ทำไมหัวใจเขามันเต้นผิดจังหวะเขาได้แต่บอกกับตัวเองว่าเดี๋ยวเขากลับถึงบ้านก็คงหาย“เอ้า! พี่ขอโทษไม่ได้ยินเสียงคุณกดกริ่งเรียก” กฤษฎานั่งเหม่อใจลอย จนไม่ได้ยินอภิรดีเรียกเพราะอยากพลิกตัว เริ่มเมื่อยกับการนอนท่าเดิม“คุณผู้ชายหนูเดินทางแล้วนะคะ” สาวใช้มาลาเพื่อเดินทางกลับบ้านตามที่ได้บอกตั้งแต่ช่วงเช้า เพราะแม่ล้มป่วยกะทันหัน เขาจึงให้เงินพิเศษไปไว้เพื่อรักษาแม่ และเขาคิดออกแล้วว่าจะหางานให้ฟ้ารุ่งได้ที่ไหน“สวัสดีครับ ผมหางานให้คุณทำได้แล้วนะ” กฤษฎาโทรศัพท์หาฟ้ารุ่งทันที เขาบอกเล่าเรื่องราวต่างเกี่ยวกับงานที่เขาต้องการให้เธอมาทำ เงินเดือนที่ให้เป็นค่าตอบแทน ฟ้ารุ่งคงหาไม่ได้ที่ไหนอีกแล้ว“ขอบคุณมากสำหรับงานใหม่และเงินเดือนที่สูงมาก เริ่มงานเมื่อไหร่ดีคะ”การเป็นหนี้ไม่ทำให้ชีวิตของฟ้ารุ่งมีความสุข โดยเฉพาะเจ้าหนี้ที่ใจดีมีน้ำใจแบบผู้ชายคนนี้ เธอจึงอยากหาเง
ฟ้ารุ่งรู้สึกตัวเองมีค่าตัวที่สูงมากหลังจากได้รับรู้หน้าที่ และนำมาเทียบกับค่าตอบแทนที่เธอได้ หน้าที่ทำกับข้าวเป็นงานที่เธอถนัดมาก แต่ระยะหลังเธอก็ไม่ได้เข้าครัวนานแล้วเพราะใช้ชีวิตอยู่ตามลำพัง จึงเลือกที่จะกินอยู่อย่างง่ายๆเอาพยาบาลเรียกตัวเธอไปสอนวิธีการดูแลคนป่วย ฟ้ารุ่งเธอมีมารดาเป็นพยาบาลจึงไม่ยากที่เรียนรู้ และเธอก็ยินดีที่จะได้ดูแลภรรยาของคนที่มีพระคุณกับเธอเมนูอาหารมื้อแรกที่แม่ครัวคนใหม่เลือกที่จะทำ ก็เกิดจากการสอบถามจากยิ้มสาวใช้ของบ้านถึงเมนูโปรดของคนในบ้าน“หนูทำกับข้าวไม่ได้เรื่องเลย โดนคุณภูบ่นประจำ ฝากน้าด้วยนะคะ” ยังโชคดีอยู่บ้างที่เธอถูกเรียกว่าน้านึกว่าจะกลายเป็นป้าซะแล้วฟ้ารุ่งยิ้มในใจ“แม่ครัวคนใหม่ของคุณพ่อฝีมือใช้ได้เลยนะครับ” ภูวนนท์กินอาหารจนเกลี้ยงจานเพราะถูกปากกับรสมือของแม่ครัวคนใหม่“เมื่อเย็นแม่ของลูกกินข้าวต้มได้เกือบหมดถ้วยเลย” ปกติอภิรดีจะกินข้าวเย็นเพียงไม่กี่คำ เพราะหล่อนไม่ชอบกินข้าวต้ม แต่ด้วยรสชาติที่ถูกใจวันนี้เลยกินได้มากคืนแรกในบ้านหลังใหญ่ที่มีสมาชิกหลายคนอาศัยอยู่ ฟ้ารุ่งคุยเรื่องราวต่างๆให้ลูกสาวได้รับรู้ผ่านทางเฟสบุ๊ค นานแล้วที่เธอใช้ชีวิ
บทที่3 ดูแล “พรุ่งนี้น้องจะปิดเทอมแล้วนะ” กฤษฎาบอกลูกชายที่กำลังนอนเล่นบนโซฟาข้างๆมารดา “ไม่ต้องกลับไปเรียนแล้วใช่ไหมครับ” พราวพลอยเธอถูกส่งให้ไปเรียนที่โรงเรียนนานาชาติตั้งแต่เด็กๆ เพราะช่วงนั้นกฤษฎาโหมทำงานหนัก อภิรดีก็ต้องคอยตามไปช่วยตลอด ทั้งคู่ไม่มีเวลาดูแลลูกอย่างใกล้ชิด ภูวนนท์เป็นเด็กผู้ชายยังไม่ค่อยเป็นห่วง พราวพลอยเลยถูกส่งไปเรียนโรงเรียนประจำเพียงคนเดียว “ไม่ต้อง เข้ามหาวิทยาลัยแล้ว กลับมาอยู่ด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาดีกว่า” เป็นคำตอบที่คนถามได้ยินแล้วก็สุขใจ ถึงแม้พราวพลอยและภูวนนท์จะมีเวลาที่อยู่ด้วยกันไม่มากนัก แต่สำหรับพี่ชายคนนี้เธอคือแก้วตาดวงใจของเขาเลย เพราะพราวพลอยเป็นเด็กสาวที่สดใส น่ารัก และมีน้ำใจกับทุกๆคน “เรามีงานเลี้ยงต้อนรับยายพลอยกันดีไหมครับพ่อ” ตั้งแต่มารดาของเขาป่วยหนัก ภูวนนท์ก็ไม่เคยเห็นบ้านหลังนี้มีงานเลี้ยงรื่นเริงเลยสักครั้ง คราวนี้คงเป็นโอกาสที่ดี มารดาของเขาเองก็คงอยากให้บ้านหลังนี้ได้มีความรื่นเริงบ้าง เพราะก่อนที่แม่ของเขาจะล้มป่วย อภิรดีชอ
“การพนันใช่ไหม” นาธานพอรู้มาบ้างว่าฟ้ารุ่งติดการพนัน “ใช่...แต่แม่บอกว่าจะเลิก ไม่กลับไปยุ่งกับมันอีก” “อีกแล้ว เลิกอีกแล้ว” นาธานทำเสียงให้เพื่อนสาวของเขารู้ว่าเขาไม่เชื่อในสิ่งที่มารดาของเธอบอก “แต่เธอทำถูกแล้ว อย่างไรเขาก็แม่ เงินเราก็เหมือนเงินแม่ พระคุณที่ทำให้เราเกิดมายิ่งใหญ่จนคิดเป็นมูลค่าไม่ได้หรอก” มินรญาโผเข้ากอดเพื่อนชาย ใบหน้าขาวคมซบลงกับอกกว้าง เขาเป็นมากกว่าเพื่อนๆจริงๆ ทุกๆครั้งที่เธอมีทุกข์ใดๆก็ตาม ไม่เคยมีสักครั้งที่เขาจะเป็นที่พักพิงให้เธอไม่ได้ “ขอบคุณนะที่อยู่ข้างๆกัน และเข้าใจเรามาตลอด ขอบคุณจริงๆ” น้ำใสๆไหลออกจากดวงตาสีน้ำตาลอ่อนคู่สวยที่กำลังสับสนกับความคิดกับตัวเอง มินรญาตัดสินใจกับเส้นทางชีวิตของตัวเองได้แล้ว เธอคงต้องหาโอกาสเหมาะๆ บอกให้พ่อของเธอรู้ และหวังว่าเขาคงเข้าใจและไม่คัดค้านเธอ เพราะถ้ามีการคัดค้านมินรญาเองก็ไม่เชื่อใจตัวเองเหมือนกัน ว่าตัวเธอเองจะไม่เปลี่ยนแปลงความคิด เพราะในหัวใจส่วนลึก เธอก็รักอิมรานและแคโรลีนมากเหมือนกัน “งานอะไรคะนี่” พราวพ
“ดีจ๊ะ เห็นทุกคนมีความสุข น้าก็พลอยสุขไปด้วย” คนป่วยตอบช้าๆอย่างเหนื่อยๆด้วยรอยยิ้ม ภูวนนท์พาชิดจันทร์เดินมานั่งที่โต๊ะอาหารกลางสนามหญ้า อาหารมากมายถูกจัดวางอย่างสวยงาม พราวพลอยเลือกเปิดเพลงที่ดูรื่นเริงมีความสุข สมกับบรรยากาศที่มีแต่รอยยิ้ม อาหารมากมายยังวางเรียงอยู่เหมือนเดิม เพราะพราวพลอยตักอาหารไปนั่งกินกับแม่และพ่อของเธอที่ชานบ้าน ส่วนชิดจันทร์และภูวนนท์นั่งคุยกันเพียงลำพังอยู่ที่โต๊ะกลางสนาม เสียงโทรศัพท์ทำให้ชิดจันทร์ต้องขอตัวเดินห่างออกไปจากแฟนหนุ่ม ภูวนนท์รู้สึกแปลกใจ ทำไมชิดจันทร์ต้องเดินออกไปคุยโทรศัพท์ไกลจากเขา ตั้งแต่คบกันมาเขากับชิดจันทร์ไม่เคยมีความลับต่อกัน รวมทั้งเรื่องที่แม่ของเธอไม่ชอบเขา ภูวนนท์คิดไม่ออกถึงเหตุผลที่แฟนสาวลุกเดินไกลออกไปหลังจากมีโทรศัพท์เข้ามา แต่ด้วยมารยาทก็คงทำได้แค่เพียงนั่งรออยู่ที่เดิม “ภูคะ ดึกแล้วเอยขอตัวกลับบ้านก่อนนะคะ” ยังไม่ทันที่ภูวนนท์จะเอ่ยถามอะไร ชิดจันทร์ก็เป็นคนพูดก่อนเมื่อเดินถึงโต๊ะอาหาร เธอมาถึงที่นี่ยังไม่ถึงชั่วโมง อาหารที่จัดวางไว้เธอก็ยังไม่ได้กินสักอย่าง ท่าทางเร่งร
“เหม...ดื่มเหล้ากัน” เหมราชเพื่อนสนิทคนเดียวของภูวนนท์ เขาเป็นชายโสดที่พร้อมจะว่างเสมอ ถ้าภูวนนท์โทรชวนมากินเหล้า “เครียดอะไรอีกล่ะไอ้ภู” ปลายสายรู้ใจคนโทรมา “สมกับเป็นเพื่อนรัก เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ฉันไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนว่ะ” ภูวนนท์ไม่ได้พักอยู่บ้านหลังเดียวกับกฤษฎาและอภิรดี แต่อยู่ในรั้วเดียวกัน การชวนเพื่อนมานั่งดื่มที่บ้าน จึงเป็นเรื่องที่เขาไม่ต้องขออนุญาตใครก่อน และเขาก็มักจะชวนเหมราชอยู่บ่อยๆ เพียงไม่กี่นาที เหมราชก็พาตัวเองมาถึงบ้านของเกลอคนสนิท เพราะเวลานี้เริ่มดึกแล้ว รถไม่ติด เขาเตรียมเสื้อผ้ามานอนที่นี่ด้วยเลย เพราะทำเช่นนี้เป็นประจำ “ไหนเล่าให้ฟังสิ คนอย่างคุณภูมีเรื่องอะไรทุกข์ใจ” เหมราชไม่รอคนนั่งรอเล่า เขาขอจู่โจมถามก่อนเลยด้วยความอยากรู้ ภูวนนท์บอกเล่าเรื่องราวของความสงสัยที่ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ จนต้องโทรตามเพื่อนคนสนิทมาดื่มเพื่อขอคำปรึกษา แค่ได้ยินว่าเป็นเรื่องของชิดจันทร์ก็ทำเอาเหมราชให้ความสนใจอย่างเห็นได้ชัด “นี่นายกำลังคิดว่า เอยมีคนอื่นเหรอ บ้า! ไปแล้ว” เหมราชตะคอกใส่หน้าภูวนนท์
บทที่4สูญเสีย “หากมันคือความต้องการของลูก พ่อก็ไม่ห้าม” มินรญาตัดสินใจ คุยถึงอนาคตที่เธอคิดไว้ แล้วทุกอย่างก็เป็นเหมือนที่เธอคาดการณ์ พ่อและแม่เลี้ยงของเธอ เข้าใจและเห็นด้วยกับการที่เธอตัดสินใจจะกลับไปดูแม่ ที่อยู่ที่เมืองไทยเพียงคนเดียว “ลูกตั้งใจว่าจะไปสมัครงานตามร้านเสื้อผ้า เขาคงอยากรับลูกอยู่ เพราะดีกรีความเป็นนักเรียนนอก ลูกจะขอเงินเดือนไม่มากนัก ขอให้มีงานทำก็พอ” มินรญาตั้งใจแบบที่พูด เพราะเธอไม่อยากรบกวนเงินของบิดาอีกแล้ว “โอ้! ไม่ๆ ถ้าจะไปเมืองไทยแล้วต้องไปเป็นลูกจ้างเขาแบบนั้นแม่ไม่ยอม” แคโรลีนเธอเป็นแค่แม่เลี้ยงของมินรญาก็จริง แต่เธอรักและห่วงลูกเลี้ยงคนนี้เหมือนลูกแท้ๆ เพราะเธอและอิมรานไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้ และหญิงสาวก็ทำให้เธอตกหลุมรักอย่างสุดหัวใจ เธอจึงแทนตัวเองว่าแม่ทุกคำ “ทำไมล่ะคะ ทำไมมิ้นจะไปเป็นลูกจ้างใครไม่ได้ มิ้นไม่ได้มีเงินมีทองมากมาย” “แต่! พ่อมี และทุกอย่างของพ่อก็คือของลูก” อิมรานยืนพูดอย่างเอาจริง “ร้านเสื้อผ้าของเรายังไม่มีสาขาที่เมืองไทย เคยมีอยู่แค่สาขาเดียว แต่ก็ปิดตัวลง