“อาจารย์ หยางหว่านคิดถึงท่านแม่ของนางเช่นกัน”
จี้โม้ พูดแทนหยางหว่าน ปู้ตานซินยิ้ม จี้โม้เติบโตขึ้นมากที่เขาทำล้วนเพื่อหยางหว่านหลายอย่างในเวลาเจ็ดเดือนที่ผ่านมานี่อาจเป็นเพราะร่วมทุกข์สุขกันมาจนสนิทกันดังพี่น้องหรืออาจเป็นเพราะสวรรค์ลิขิตไว้แล้วให้สองคนได้เห็นอกเห็นใจกัน
“แล้วเจ้าไม่อยากลงไปหรือจี้โม่”
“ข้าเป็นบุรุษ เรื่องอ่อนแอเช่นนี้ไม่พึงกระทำ ในวันที่ยินยอมขึ้นเขามากับท่านพ่อข้าสัญญากับท่านแม่ไว้ว่าจะเชื่อฟังอาจารย์รีบสำเร็จวิชาโดยเร็วกลับไปดูแลท่านแม่”
ปู้ตานซินยิ้มบางๆจี้โม่ก็คือจี้โม่ไม่ว่า จะเป็นจี้โม่ในวัยสามขวบเกือบจะสี่ขวบหรือว่าจี้โม่ในวัย18ปีล้วนไม่ต่างกัน
“ตกลงข้าให้ศิษย์พี่หยางหว่านของเจ้าลงไปกับข้า”เขา ให้หยางหว่านเป็นศิษย์พี่ของจี้โม่ในการที่เขากลับมาในครั้งนี้ เพื่อที่หยางหว่านจะได้รู้สึกว่าตัวเองอาวุโสกว่า ไม่คิดเกินเลยหรือมีใจให้กับจี้โม่ที่เป็นศิษย์น้องเป็นเพียงหนึ่งในหลายอย่างที่เขากลับมาเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันซ้ำรอยเดิม และเขาไม่อยากได้ยิน หยางหว่านเรียกจี้โม่ว่า..ศิษย์พี่..หรือพี่จี้โม่อย่างที่เคยได้ยินแม้คำพูดเรียก ..พี่จี้โม่..ก็บาดใจเขา
รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าน้อย หลงตั๋วเองเหมือนจะดีใจกว่าใคร รีบป่าวประกาศไปทั่วสำนักว่าเขาจะได้ลงเขา ทำเอาคนอื่นอิจฉาที่ได้ติดตามอาจารย์ลงไปเขาไป
“ก็ข้าเป็นถึงไท่จือ อาจารย์เองก็รู้ข้อนี้จึงให้ข้าลงไปด้วยเกรงใจเสด็จพ่อที่ป่านนี้คงอยากพบข้าเต็มทน”
หวังต้าฉินส่ายหน้าไปมา เขาไม่เคยลงเขา สามปีมาแล้วหากลงไปก็แค่ด้านล่างเพื่อส่งศิษย์น้องจูจ้าน กับเหมยกัวรับเสบียงขึ้นมาดูแลเลี้ยงดูศิษย์น้อยใหญ่ ข้างบนเขาอุดมสมบูรณ์มีทุกอย่างครบครัน เขาจะอยากลงไปเสี่ยงอันตรายทำไมกัน เขารู้ดีว่าหากอาจารย์นำหลงตั๋วไปด้วยต้องมีเหตุผลบางอย่าง หาใช่เกรงใจฝ่าบาทเหมือนที่หลงตั๋วคุยโม้ไว้ เพียงแต่ตอนนี้ยังไม่รู้ว่าด้วยเรื่องใดกัน
“ดีแล้วเจ้าได้ลงเขา แต่ให้รู้ไว้ว่าค่ายกลขาลงโหดหินกว่าขาขึ้น อาจารย์จึงต้องพาเจ้าลงไปด้วย อยู่ให้ตัวติดอาจารย์ไว้จึงดี”
หวังต้าฉินเตือนหลงตั่ว ที่ยังหลงคิดว่า ปู้ตานซินเห็นแก่บิดาเพียงแค่จะพาไปเยี่ยมฮ่องเต้อย่างที่เขาคิด
เพียงสะบัดมือปู้ตานซินก็พาทั้งสองคนผ่านด่านค่ายกลไปง่ายดาย
หยางหว่านชื่นชมอาจารย์ยิ่งนักเพียงแต่นางอายุเพียงเท่านี้ยังรู้สึกว่าอาจารย์ช่างหล่อเหลางดงามราวเทพสวรรค์อีกทั้งฝีมือร้ายกาจจนคิดว่าคงไม่มีใครสามารถต่อกรกับอาจารย์ของหยางหว่านได้ ความชื่นชมและปลาบปลื้ม ที่ได้เดินเคียงข้างอาจารย์ ไม่เพียงแต่หยางหว่านหากแต่หลงตั๋วกับรู้สึกว่าตัวพองโตเหมือนอึ่งอ่าง รู้สึกภาคภูมิที่ได้ลงเขาโดยไม่ต้องผ่าด่านคล้ายกลที่ใครๆ ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่า แทบจะเอาชีวิตไม่รอด หากไม่ได้ฝึกกรำจนครบหนึ่งปีบนเขาเป็นศิษย์ของปู้ตานซิน แต่นี่เขากับหยางหว่านเพิ่งจะฝึกฝนไปแค่เจ็ดเดือน
“อาจารย์ศิษย์พี่ คงจะเมื่อยล้าข้าอาสาให้ศิษย์พี่ขี่หลังจะดีไหม”
ปู้ตานซินทำสีหน้าเรียบเฉย แต่ภายในใจกลับคิดว่า เจ้านี่มีน้ำใจหรือว่าแสร้งทำไปดีต่อหน้าเขาเท่านั้น
“อาจารย์หยางหว่านอยากให้ท่านอุ้ม”
"ศิษย์พี่อย่าได้รบกวนอาจารย์เลยขี่หลังข้าไปดีกว่า ระยะทางจากนี่ไปในเมืองยังอีกไกล อาจารย์จะอุ้มอย่างไรไหว”
ปู้ตานซินเอ๊ยปู้ตานซิน เจ้ามองเด็กน้อยผู้นี้อย่างไรกัน แขนแข็งแรงตวัดอุ้มร่างเล็กขึ้นมาแนบอก
หยางหว่านหากที่ผ่านมาเจ้าเดียงสาเหมือนกับตอนนี้ก็ดี ปู้ตานซินคงมีความสุขกว่าใคร แต่ที่ผ่านมาหาใช่เป็นเช่นนี้ ในเมื่อเขาใช้หลงตั๋วเป็นตัวล่อเช่นไรจะให้เขา อุ้มหยางหวาน ก็จบเห่กันพอดี
“เจ้าเดินนำไปข้างหน้า”
“ขอรับอาจารย์”แผนการถูกกำหนดไว้แล้วใครกันจะแปรเปลี่ยนได้หากไม่ใช่ผู้วางแผนการ เขกลับมาเพื่อสิ่งนี้
ที่ลำธารใสกลางป่า
เรื่องอะไรจะต้องเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตราย ไท่จือเป็นคนสำคัญ ชาวบ้านเดือดร้อน ฮ่องเต้ละเลยปล่อยให้ปีศาจพรายน้ำกินคนอาละวาด ฮ่องเต้ไม่ส่งมือดีมาจัดการ ชีวิตวังหลวงสะดวกสบายข้างในมีการอารักขาแน่นหนาไม่มีทางที่ปีศาจร้ายจะเข้าไปจัดการคนในวังหลวงเคราะห์ร้ายจึงตกอยู่กับชาวบ้านตาดำๆ ฮ่องเต้ดีประชาชนมีสุขแต่นี่หาแยแสเรื่องทุกข์เข็ญของชาวบ้าน เช่นนั้นหากเป็นไท่จือถูกจับตัวไปเกรงว่า จะต้องรีบนำคนมาช่วย วันก่อนที่เขาเห็นคือหญิงม่ายกับลูกน้อยถูกปีศาจจับไป ป่านนี้คงหาชีวิตไม่แล้ว ร้อนถึงมือเขาที่ไม่อาจละเลย
“เปลี่ยนอาภรณ์เสีย เรากำลังจะไปที่วังหลวงอาภรณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นศิษย์ของข้าเจ้าก็ควรเปลี่ยนมันใหม่เสียหมด”ปู้ตานซินล่อหลอกหลงตั๋วให้ทำตามแผนการเขาส่วนเขาก็เปลี่ยนอาภรณ์ที่งามสง่าให้เป็นอาภรณ์สีทึมทึบ“อาจารย์อาจารย์จงใจพาข้ามาเยี่ยมเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ”เพียงพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้อธิบายอะไรปู้ตานซินไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดให้ใครฟังเขาเองทำสิ่งใดเพียงลำพังมาตลอด“ออกเดินทางต่อได้แล้ว หยางหว่านอยู่ข้างอาจารย์อาจารย์จะอุ้มเจ้าหากเหนื่อยนักก็ต้องพัก ระหว่างนี้ห้ามออกห่างอาจารย์”หยางหว่านพยักหน้ากอดรอบลำคอ เหมือนพ่อกับลูกสาวตัวน้อย ปีศาจพรายน้ำแอบมองคนทั้งสามไม่วางตา สองสามวันมานี่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องชาวบ้านล้วนหวาดกลัว ไม่มีใครเข้าใกล้ลำธารสองคนพ่อลูกแม้จะเหมือนไม่ระวังตัว และสองคนทำให้อิ่มไปหลายวัน แต่บางอย่างในตัวคนเป็นพ่อทำเอาเจ้าปีศาจไม่อยากเข้าใกล้ จะว่าไปบุรุษหนุ่มหล่อเหลาเช่นไรถึงต้องแบกลูกสาวเพียงลำพัง เป็นม่ายตั้งแต่ยังหนุ่ม ส่วนเจ้าหนุ่มหน้าตาเหลอหลานั่นมองอย่างไรก็โง่งม แม้ผิวพรรณหน้าตาจะต่างจากชาวบ้านทั่วไป จากที่ดูแล้วคาดว่าแม้แต่ธนูยังยิงไม่เป็น เอาเป็นว่าเจ้าหนุ่มนั่นล่
ปู้ตานซินทำสีหน้าเรียบเฉยยังคงสูงส่งบริสุทธิ์เช่นเดิม เรื่องใดกันที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อชาวบ้านเช่นนี้หากไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้เสียงร่ำลือน่ารำคาญดังมาถึงหูของเขาว่าด้วยเรื่อง ไม่มีใครสนใจเรื่องทุกข์ร้อนของชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์หรือฮ่องเต้ จึงไม่จัดตัวเองอยู่ในคนที่ไม่สนใจความทุกข์ร้อนของชาวบ้านด้วยเป็นคนขี้รำคาญหาใช่อยากจะเป็นคนดีอะไรถ้ำใต้น้ำ“เจ้าจะต้อง ถูกอาจารย์ของข้าจัดการราบคาบเจ้าพรายน้ำหน้าโง่”“อาจารย์เจ้าใครกันจะต้องกลัว ในเมื่อใต้น้ำนี่เป็นที่ของข้า อาจารย์เจ้าเก่งแค่ไหนเมื่อลงมาใต้น้ำก็ต้องเป็นรองข้า มนุษย์ธรรมดาเช่นไรจึงจะสามารถมาถึงนี่ได้ ต้องเก่งกาจเพียงใดจึงจะลงมาเมืองบาดาลของข้า”“อาจารย์ข้าเป็นถึงปรมาจารย์”“555ได้ยินมาหลายคนแล้วที่อ้างตัวเป็นปรมาจารย์เพียงแค่ข้าฉีกเนื้อกินเสียก็สารภาพจนสิ้นว่าแอบอ้าง”“เจ้าปีศาจร้าย ไม่เชื่อที่ข้าพูดก็เรื่องของเจ้าแต่หากอาจารย์มาจะต้องจัดการเจ้าปางตายแน่ทางที่ดีปล่อยข้าไปเสีย”“เรื่องใดกันข้าต้องปล่อยเจ้า ดูจากท่าทางแล้ว คงอร่อยไม่เบา น่าลิ้มลองเสียจริง”“เฮ้ยไม่ได้นะ จะกินข้าไม่ได้ข้าเป็นถึงไท่จือ”“555เดี๋ยวก็เอาอาจารย์
“เดินทางต่อหากช้าเกรงว่าไท่จือจะพบกับอันตราย”หยางหว่านแหงนหน้ามอง หลินอี้หลิว ด้วยแววตาชื่นชมที่นางช่างงดงามแล้วยังมีท่าทีองอาจดุจชายชาตรี มือข้างหนึ่งกำกระบี่ไว้ในมือนั่นอีกเล่าช่างงดงามยิ่งนัก“น้องสาวนั่งบนหลังม้าไปกับข้าดีไหม”หยางหว่านพยักหน้าช้าๆ ปู้ตานซินเบือนหน้าหนีเสีย หากมองนางเกรงว่าจะคิดว่าเขาสนใจ เขาจึงพึงกระทำเช่นนี้ประจำไม่เคยมองหรือสบตาหญิงใดนอกจากหยางหว่านคนเดียวลำธารกลางป่า“ที่นี่ ไท่จือหายไปที่ตรงนี้”“ตรงกับที่ข้าได้ยินมาจากชาวบ้านหลายคนหายไปที่นี่”หลินอี้หลิว พูดขึ้น“ท่านปรมาจารย์จะทำเช่นไรจึงจะพบตัวไท่จือ”แม่ทัพที่มาด้วยประสานมือพูดด้วยความนอบน้อม“ข้า เปิดทางน้ำไปจนถึงเมืองบาดาลได้ไม่ยาก พวกท่านก็แค่ช่วยไท่จือ”“ง่ายดายเช่นนั้น เชียวหรือ”หลินอี้หลิวถามขึ้นดังๆอยากจะพูดโต้ตอบไปว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าจะรู้อะไร ว่านี่มันคือแผนการ ที่เขาวางไว้หมดแล้วเขาก็แค่ทำในสิ่งที่องครักษ์กับทหารพวกนั้นทำไม่ได้รอรับคำสรรเสริญ แต่เรื่องจัดการกับเจ้าปีศาจปลายแถวนั่นต้องเป็นหน้าที่ของทหารพวกนั้น หรืออาจเป็นนาง ปู้ตานซินก็เพียงแค่นั่งมอง พวกเขาจัดการกับปีศาจให้ชาวบ้านโจษขานก
“โอหังเจ้าปีศาจชั้นต่ำพวกข้าเป็นถึงองครักษ์เกราะทองเกราะเงินเช่นไรจึงจะกินพวกข้าได้”“ฮ่องเต้ข้าก็จะกิน ไท่จือยังเกือบถูกข้ากินไปแล้วหากช้าอีกนิดคงต้องเป็นอาหารเข้าไปแล้ว”ใช้เล็บจิกเข้าไปในคอของหลงตั๋ว“พวกเจ้ามัวแต่ต่อปากต่อคำรีบจัดการมันเสีย อะอะอาจารย์ช่วยข้าด้วย”ปู้ตานซิน สะบัดฝ่ามือ แรงลมมหาศาลปะทะใบหน้าของปีศาจพรายน้ำจนกระเด็นไปเกือบสามจั๋ง หลงตั๋วหลุดออกจากการเกาะกุม เหล่าองครักษ์รีบพยุงร่างของไท่จือ“ไม่เลว ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่ถึงได้พร่ำพูดถึงอาจารย์”เ้าปีศาจพรายน้ำรวบรวมกำลังลมปราณก่อนจะผลักก้อนพลังกลมสีแดงใส่ ปู้ตานซินอย่างแรง เพียงคิดว่ายืนเฉยๆ อย่างสง่างามก็ไม่มีพลังใดทำอันตรายเขาได้ด้วยเศษพลังอันน้อยนิดที่เจ้าปีศาจพรายน้ำรวบรวมมานั้น ปู้ตานซินสัมผัสได้ว่ามันไม่ทำให้สะทกสะท้านแต่อย่างใดแต่ หลินอี้หลิวคนโง่เขลานั้น ถลาเข้ามาขว้างก้อนพลังไว้ ก้อนพลังสีแดง ถูกผลักเข้าเต็มอกของหลินอี้หลิว ที่สะอึกกระอักเลือดสดๆ ออกมา ปู้ตานซินถอนหายใจส่ายหน้าด้วยความเบื่อระอานางคิดว่านางเป็นใครกันสบประมาทเขาเพียงนั้นเชียวหรือช่างไม่น่าไห้อภัยอย่างยิ่ง หญิงโง่งม ไร้ความเฉลียวฉลาด คิดว่าตัวเองม
“พวกเจ้าต้องเห็นตอนที่ท่านปรมาจารย์สะบัดฝ่ามือเปิดทางน้ำให้พวกข้าเดินลงไปในเมืองบาดาล จะบอกให้ตั้งแต่ข้าเกิดมา ไม่เคยเห็นว่ามีปรมาจารย์ท่านใดทำเรื่องเช่นนี้ได้มาก่อน”ดวงตาทุกคู่ในที่นั้นล้วนแสดงถึงความตื่นเต้น“เสียดายที่พวกข้าไม่ได้รับบัญชาให้ตามไป นับเป็นบุญตาขององครักษ์เกราะเงินและเกราะทอง และแปดกองธงคราวหลังองครักษ์เสื้อแพรคงต้องขันอาสาตามติดท่านปรมาจารย์ ไปให้ได้”“ยังไม่หมดเท่านั้น ตอนที่ท่านปรมาจารย์พลิกฝ่ามือผนึกเจ้าปีศาจพรายน้ำจนกลายเป็นหินพวกข้าแทบไม่กะพริบตาเลยทีเดียว ท่วงท่างดงาม ราวกับเทพลงมาจุติเป็นโชคดีของไท่จือที่ได้เป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์ปู้ตานซิน”“ท่านปรมาจารย์ น่าสรรเสริญเสียจริง ข้าพูดแล้วอยากมีลูกขึ้นมาจะส่งไปฝึกวิชากับ ท่านปรมาจารย์เสียเลย”“ว่ากันว่าขึ้นเขาต้องผ่านค่ายกลที่ท่านปรมาจารย์สร้างขึ้นเอง บางคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะผ่านได้ วนมาเวียนไปหลายปีกว่าจะขึ้นเขาไปคารวะเป็นศิษย์ แต่ได้ยินมาว่าไท่จือ เพียงแค่แอบขึ้นไปเดือนจิ่วเยว่ที่ค่ายกลอ่อนแอ”“อย่าได้พูดไป ปกติท่านปรมาจารย์ไม่รับศิษย์เดือนจิ่วเยว่ถึงขึ้นไปได้ก็ไม่รับ แต่นี่เพียงแค่ อาศัยรับศิษย์ที่เป็นหลานลูก
“ข้าเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ที่นั่นเป็นที่ผนึกร่างมารของจอมมารฉูฉางที่ปรมาจารย์กงล้งในอดีตใช้สุดยอดเคล็ดวิชาผนึกไว้จนตัวเองต้องแตกดับสลายร่างกลับสู่สรวงสวรรค์ช่างน่าค้นหาเสียจริง”“น้องเล็กเจ้าคิดเห็นเช่นไร”ป้อก้านหันไปทางปู้ตานซิน“ไม่ควรเข้าไปอย่างยิ่งหากประเหมาะเคราะห์ร้ายทำผนึกแตก แล้วจะต่อกรกับจอมมารได้อย่างไร”วิเคราะห์ตามแบบของปู้ตานซิน“เป็นเพียงตำนาน ล่อลวงไม่ให้ผู้คนย่างกรายเข้าไปเสียมากกว่า แต่เดิมเหล่าจอมยุทธ์ล้วนแวะเวียบนเข้าไปทว่าบัดนี้ฝ่าบาทกลับให้องครักษ์เฝ้าระวัง สร้างเรือนอารักขาไว้ด้านหน้าเสียงร่ำลือยังบอกอีกว่า”ปอคุนกระซิบเบาสุดเบา“ฝ่าบาทต้องการหวงแหนเคล็ดวิชานั่นเอาไว้ให้กับไท่จือเพียงผู้เดียว”ปู้ตานซินคิดถึงใบหน้ายะโสของหลงตั๋วไท่จือที่ไม่แม้แต่จะทักทายเขาในวันที่เขากับศิษย์พี่ทั้งสองเข้าไปในวังหลวงตามคำเชิญของฮ่องเต้เพื่อให้หลงตั๋วในตอนนั้นคัดเลือกใครสักคน ในพวกเขาสามคนเป็นอาจารย์ อดีตเป็นบทเรียน หลงตั๋วไท่จือชี้มือมายังปู้ตานซินต้องการให้เขาเป็นอาจารย์“ท่านจะต้องมาอาศัยในวังหลวงคอยสั่งสอนข้าเรื่องจะให้ข้าขึ้นเขาคงไม่อาจ ด้วยฐานะไท่จือของข้าสูงส่งยิ่ง ไม่เหมาะท
“เกรงใจแล้ว ไท่จือไม่จำเป็นจะต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ได้ ในเมื่อไท่จือสูงส่งเพียงนี้”“ที่ข้าเลือกอาจารย์ให้เป็นอาจารย์ของข้าด้วยท่าทีของท่านช่างต้องตาข้า ท่านท่าทีองอาจเกินใครอีกทั้งมีบางอย่างที่ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าท่านมีสิ่งใดซ่อนอยู่ภายในต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน”ทำสีหน้าเรียบเฉย เขานะหรือ มีสุดยอดเคล็ดวิชาของอาจารย์อย่างไรเล่า โดยที่ศิษย์พี่ทั้งสองของเขาไม่มี“วันนี้ข้ายังไม่อยากจะร่ำเรียนสิ่งใด ความจริงบอกไว้ก่อนที่ข้ายอมเลือกอาจารย์เพราะว่าไม่อยากให้เสด็จพ่อที่คอยเร่งเร้าให้ข้าเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ข้า ยังรักการเที่ยวเล่น เป็นไท่จือจะต้องทำเรื่องอื่นทำไมกันรอให้นั่งบัลลังก์ก็ต้องทำเพื่อคนอื่น ตอนนี้ขอทำเพื่อตัวเอง ข้ามานี่เพื่อเข้าไปในถ้ำอาจารย์มาก็ดีแล้วข้าอยากรู้ว่าในถ้ำที่หลายชั่วคนต้องลงทุน สร้างเรือนอารักขาไว้ คอยเฝ้าเพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่ แล้วยังเรื่องเล่าที่บอกว่าเก็บเคล็ดวิชาไว้เพื่อไท่จือ ข้าก็เป็นไท่จือจึงเหมาะที่จะได้เคล็ดวิชานั้นไปไม่จำเป็นต้องฝึกฝนให้เหนื่อยหนัก” ปู้ตานซินเหลือบตามองหลงตั๋ว ช่างใจตรงกันกับศิษย์พี่ทั้งสองของเขา วันอื่นมากมายไม่เข้ามาวันนี้หลงตั๋วมีสิ่ง
ปู้ตานซินกลับออกมาจากถ้ำ ที่ผนึกฉูฉางไว้“ศิษย์น้องเจ้าเป็นอย่างไรบ้างข้ากับป้อคุนหลงไปอีกฝั่งของถ้ำไม่สามารถหาทางกลับไปได้”“ไม่เป็นไรข้าแค่ตกใจกับสิ่งที่พบ จอมมารฉูฉางน่ากลัว อีกทั้งมีลมปราณที่แข็งแกร่งข้าอยู่ใกล้แล้วรู้สึกไม่ค่อยดี”“เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ไว้คราวหลังเราทั้งหมดค่อยให้เจ้านำไปที่นั่นอีกครั้ง”“เรื่องเล่าเหล่านั้นหามีความจริงไม่ ศิษย์พี่ทั้งสองเลิกล้มความตั้งใจเสียเถิด มีเพียงการมุ่งมั่นในการคัดสรรศิษย์และสั่งสอนพวกเขาให้ดี เรื่องเล่าของสำนักเราคงโด่งดังเช่นกัน และย่อมจะมีคนอยากมาคารวะเป็นศิษย์”“อืมเจ้าพูดมีเหตุผลว่าแต่เราจะรับใครเป็นศิษย์ในเมื่อสำนักเราเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาไม่นาน”“ตอนนี้ ปีศาจกินคนพรายน้ำกำลังอาละวาดจับผู้คนไปเมืองบาดาล ข้าเห็นว่าเราควรปราบปีศาจตนนั้นเสีย แล้วชาวบ้านจึงซาบซึ้งบุญคุณล้วนกล่าวขานชื่นชม เมื่อนั้นจึงจะสร้างชื่อเสียง”“ความคิดของเจ้าไม่เลว ไม่มีใครคิดได้เช่นเจ้าใครก็ล้วนไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงแต่สำนักเกาซิ่งของเรา หวังสร้างชื่อเสียง เราทั้งสามคงต้องทำเหมือนที่เจ้าบอก”ในครั้งนั้น ปู้ตานซินปล่อยให้ปีศาจพรายน้ำอาละวาดจับชาวบ้านเป็นอาหารถึงส