หย่างหว่าน กับเริ่นเจินเดินลัดเลาะทุ่งหญ้ากว้างออกเดินทางรอนแรมตามหาท่านปรมาจารย์กกก๋งมานานนับเดือนแต่ไร้วีแวว หุบเขาชุมนุมเซียนที่สูงตะหง่านที่แห่งเดียวที่หย่างหว่านยังมาไม่ถึง
“มีเคล็ดวิชาก็ดีสินะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย”เรินเจิ่นพูดขึ้นดังๆ เดินเลาะหน้าผาสูงน่าหวาดกลัว
“เคล็ดวิชามีผู้สือบทอดก็ต้องมีผู้ริเริ่มคิดค้น เรินเจิ่นเจ้าเหมาะที่จะริเริ่มเคล็ดวิชาใหม่ๆ”
“หือเช่นนั้นข้าก็จะได้เป็นปรมาจารย์เลยใช่ไหม”
“ก็เหมาะอยู่นะ ศิษย์พี่กำลังคิดว่า การริเริ่มคิดวิชาต่างๆก็ต้องคนที่มีแรงใจในการฝึกฝนและฝึกปรือ”
“คิดถึงอาจารย์จริงๆหากอาจารย์อยู่คงให้คำปรึกษาได้ดีกว่านี้แน่”
หย่างหว่านยิ้มเศร้าผ่านไปนานแสนนานแล้วแม้ความเศร้าไม่มากเท่ากับวันแรกๆแต่ก้ยังคงคิดถึงอาจารย์ผู้ที่สูงส่งบริสุทธิ์คนนั้น ป่านนี้กำลังทำอะไรอยู่จะหาทางกลับมาเหมือนที่ศิษย์พี่หวังตาฉินพูดไว้หรือเปล่าแล้วทำไมยังไม่มา ถึงจะคิดว่าแค่คำลวงให้หายเศร้าโศกแต่ก็พอให้ได้ชื่นฉ่ำหัวใจ
“ศิษย์พี่ ถ้าเราได้เคล็ดวิชามาจากอาจารย์ปู่กกก๋งบางทีข้าอาจท่องกาลเวลา เพื่อหาวิธีริเริ่มเคล็ดวิชาดีไหม”
“เรื่องนี้เกินความคาดเดาของศิษย์พี่เรินเจิ่นทางเดียวที่จะรู้ว่าทำได้หรือเปล่าเราสองคนต้องหาวิธีได้เคล็ดวิชาท่องกลลเวลาและลองฝึกฝนดูว่าเราทั้งสองจะสามารถเทียบเคีบยงกับอาจารย์จนท่องกาลเวลาได้ดั่งเช่นอาจารย์ไหม”
“ข้าหวังแค่เพียงเป็นปรมาจารย์สูงส่งเช่นเดียวกับอาจารย์และจะเดินหน้าผดุงคุณธรรมเหมือนที่อาจารย์เคยทำเสียสละตัวเองเพื่อคนหมู่มาก”
“คนทั่วไปตอนนี้คงกำลังสมน้ำหน้าอาจารย์ที่ไม่อาจสละร่างคงพลังทิพย์พาตัวเองกลับมาได้”
“ศิษย์พี่ท่านคิดเช่นนั้นหรือ แต่ข้ากลับคิดว่าใต้หล้านี้มีใครกล้าหาญเช่นดังกับอาจารย์ไม่มี ไม่มีใครกล้าทำเช่นเดียวกับอาจารย์แน่ๆ”
“เพียงเราสรรเสริญใช่คนอื่นจะสรรเสริญ ไว้ ข้าหาทางให้อาจารย์กลับมาได้เมื่อไหร่ ค่องถามอาจารย์ดีไหมว่ารู้สึกเช่นไรกลับการที่ต้องเสียสละตัวเอง”
“ข้าไม่รู้สึกอะไรเลยศิษย์ของข้าข้าเพียงให้พวกเจ้าเดินตามทางของข้า”เรินเจิ่นเลีบยนเสียงปู้ต้านซิน
หย่างหว่านหัวเราะเสียงดัง แล้วถอนหายใจยาว
“ไปเถอะเราต้องมุ่งมั่นเดินขึ้นเขาไปอีกสามวันจะถึงหรือไม่มีอาจคาดเดา”
เรินเจิ่นก้าวเดินนำ
“พรวดตุ๊บๆๆๆๆๆ”
“เรินเจิ่น”หยางหว่านตกใจสุดขีด เมื่อเรินเจินตกลงไปในหลุมที่ชะง้อนหินก้มลงชธดงกคอมองลงไป
“ศิษย์พี่ ศิษย์พี่ข้างล่างมีทางเดิน ข้างล่างมีบันไดไต่ขึ้นเขาได้” หยางหว่าน ตื่นเต้นดีใจมีบันไดจะต้องมาคนมาสร้างไว้
รีบหย่อนตัวเองลงไปในปล่องหิน โดยมีเรินเจิ่นคอยรับอยู่ด้านล่าง
“ศิษย์มีบันได”หยางหว่านยิ้ม
“โชคเข้าข้างเราแล้ว”บันได้ทอดยาววนขึ้นไปมองเห็นเรือนไม้อยู่ข้างบนสูงสุด
ทั้งสองคนแหงนคอตั้งบ่า
ไปกันเถอะไปหาอาจรย์ปู่กัน”
มั่นใจเหลือเกินว่าปรมาจารย์กกก๋งต้องอยู่ที่นั่น ก้าวเดินนำขึ้นบันไดไปเรื่อยๆจนมายืนอยุ่ลานหินใหญ่มหึมาบ้านไม้หลังน้อยที่ห้อยอยู่หน้าผาที่มีผนังหินใหญ่บดบังไว้ไม่ให้คนภายนอกได้เห็นมัน บนลานหินนั้นมีกระต่ายน้อย กวาง และไก่ป่าวิ่งหาอาการกิน บนแท่นหินใหญ่ ปรมาจารย์กกก๋งนั่งขัดสมาธิบนนั้นหลับตานิ่งสนิท
“ศิษย์พี่”เรินเจิ่นยิ้มกว้างหยางหว่านเองก็ถอนหายใจยาว
รอยยิ้มผุดพรายขึ้นที่ริมฝีปากของปรมาจารย์กกก๋ง กับหยางหว่านที่ตรงเข้าไปทรุดกายลงคุกเข่าตรงหน้า
“หยางหว่านคาราวะอาจารย์ปู่” เรินเจิ่นก็มาคุกเข่าข้างๆ
"มาแล้วหรือ ฟู่เหยียนหยางหว่าน พาใครมาด้วย"
"เรินเจิ่นศิษย์คนสุดท้ายของอาจารย์ข้า อาจารย์ปู่ หยางหว่านมาตามคำสั่งของอาจารย์เพื่อสืบทอดเคล็ดวิชาก่อนที่อาจารย์ปู่จะสละร่าง"
"เข้าใจแล้ว เสียดายจริงๆข้าช้าหนึ่งก้าวเดิมคิดว่าปู้ต้านซินจะรอรับบเคล้ดวิชาให้ตครบทั้งห้าเพื่อจัดการกับฉูฉางแต่ไม่คิดว่าทุกอย่างไม่อาจคาดเดา ปู้ต้านซินในที่สุดก็สละร่างก่อนที่จะได้เคล้ดวิชาไปข้าเองที่กำลังจะสละร่างเลยเสียดายที่ไม่อาจให้การสละร่างครั้งนี้ไม่ให้เปล่าประโยชน์ร่วมเคียงข้างปู้ต้านซิน"
อาจารย์ปู๋ศิษย์มาครั้งนี้เพื่อกลับไปแก้ไข หากรู้สึกไม่ดีก็แค่ ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ศิษย์"
"ดี เช่นนั้นมาเริ่มกันเลย เจ้าทั้งสองข้ารับเป็นศิษย์ ต่อไปจะต้องฝึกวิชาที่ทนี่จนกว่าจเสำเร้จเคลฃ็ดวิชาจึงจะลงเขาไปได้"เรินเจิ่นหันสบตากับหยางหว่านดีใจอย่างสุดสุด การเดินทางยังไม่ได้จบลงแต่กำลังจะเริ่มขึ้นในอีกไม่นาน
จบแล้วคร้าาา
ในเมื่อทำดีเพียงนี้ สิ่งที่ได้รับกลับมา ย่ำแย่สิ้นหวัง ระหว่างนางกับคนผู้นั้น เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ ตัวเขาเล่าเป็นแค่คนชั่วโฉดเขาไม่อาจรั้งม้าหน้าผา กลับตัวได้ทัน ในเมื่อทุกอย่างที่ผ่านมาคิดว่าดีที่สุดแล้วแต่ไยต้องเจ็บช้ำใจไม่เลิกรา ทะเลทุกข์ไม่สิ้นสุดกลับใจคือฟากฝั่งหลับตาไล่ความเจ็บปวดในใจ แม้ที่ผ่านมา ดำเนินชีวิตที่ผ่านมาทั้งมีความสุขทุกข์ปะปนถูกผิด ตอนนี้แก้ไข อะไรได้ ในเมื่อทุกอย่างล้วนผ่านมาแล้ว หากตอนนั้นบังเกิดความโลภติดครอบครองและเป็นใหญ่ในสำนักเพียงผู้เดียว ไม่รับฟังความคิดเห็นของศิษย์พี่ทั้งสองที่ระงับยับยั้งไม่ให้เขา ลงมือกวาดล้าง สำนักนอกรีตด้วยความโหดเหี้ยมไร้ปรานี ในไม่ช้าความขัดแย้งเริ่มรุนแรงเขาไม่ปล่อยโอกาสเคล็ดวิชาที่ท่านปรมาจารย์เตี่ยงเลี่ยง ถ่ายทอดยังศิษย์คนสุดท้ายอย่างเขาที่ลงทุนเฝ้าปรนนิบัติท่านปรมาจารย์ในวันที่สละร่างมุ่งสู่สรวงสวรรค์ จนสามารถใช้เคล็ดวิชานั้น เอาชนะศิษย์พี่ทั้งสองได้อย่างง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือแล้วจากนั้นเล่า เขายังทำผิดซ้ำซากเมื่อแทนที่จะตัดรากถอนโคนเขากลับรับเอาเลือดเนื้อเชื้อไขของศิษย์พี่ทั้งสองมาเลี้ยงดู ต้นเหตุของความทุกข์ทรมาน ความขมขื
รับรู้ปัญหา ผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง อีกครั้งจึงเป็นเรื่องง่าย ศิษย์รุ่นแรกถูกรับขึ้นเขา สูงส่งบริสุทธิ์เช่นนี้ ปู้ตานซินไม่จำเป็นต้องเกลือกกลั้วกับหนอนแมลง ปรมาจารย์ปู้ตานซินที่ถูกกล่าวขานในเวลาสามปีให้หลัง ฝึกศิษย์เพียงรุ่นแรกรุ่นเดียว ต่อจากนั้นเป็นศิษย์ที่จะดูแลกันเอง เคล็ดวิชาที่สำคัญ ไม่เคยจะส่งถึงใครรับศิษย์หญิง ปีละสองคน คนหนึ่งซักล้าง อีกคนทำอาหารแจกจ่าย ตัวเขามีเพียงสร้างค่ายกลฝึกศิษย์ สามเดือนปรากฏค่ายกลหนึ่งครั้ง และอาศัยเวลาทั้งหมดสุขสบายบนเขา ค่ายกลมีไว้คัดคน คนไหนอ่อนแอก็แพ้ไป เก็บของลงเขา อย่าได้กลับมาอีก ศิษย์ที่เหลือจึงไร้เทียมทานเป็นที่เล่าขานสืบไป เกาซิ่งจึงโด่งดังในด้านความยากที่จะสำเร็จเพียงได้ยิน ว่าเป็นศิษย์จากสำนักเกาซิ่ง พรรคมารถึงเข่าอ่อนทรุดลงกองกับพื้น แต่ภายใต้หน้ากากเย็นชา ความนึกคิดของเขา ช่างขบขันนักทุกอย่างล้วนน่าขันสำหรับปู้ต้านชิน แต่ถูกค้ำคอด้วย คำว่าสูงส่งบริสุทธิ์“อาจารย์ ฮ่องเต้ส่งไท่จือขึ้นเขาเพื่อฝึกวิชา มีราชสาสน์ส่งมา ไหว้วานฝากฝังให้อาจารย์ดูแลไท่จือ”ปู้ตานซินมีสีหน้าเรียบเฉย อยากให้อยู่สบายจะต้องส่งคนมาร่วมฝึกเพื่อแทรกซึมปกป้อง ใช่จะให้ปรม
ปอคุนกับป้อก้านเลิกคิ้วสูงด้วยความดีใจ แม้แต่ยอดฝีมือ แค่เพียงขึ้นเขาที่มีค่ายกลนับสิบ หากขึ้นผิดช่องทางก็มีค่ายกลนับร้อยเรียงรายก็ไม่สามารถฝันฝ่าขึ้นไป(ใครจะรู้ว่าคนอย่างปู้ตานซินนึกคึกทำค่ายกล โหดหินอะไรไว้บ้าง)“เจ้ามารับเขาทั้งสองขึ้นเขาไปเช่นนั้นหรือ จะไม่เกรงข้อครหาในการฟันฝ่าค่ายกลหรือไร ที่ลูกชายหญิงของเราได้อภิสิทธิ์โดยมี ท่านปรมาจารย์มารับขึ้นไป”“ค่ายกลของข้าหากเป็นศิษย์พี่ทั้งสองถ้าจับจุดถูกก็สามารถขึ้นไปได้ไม่ยาก แต่คนอื่นหรือศิษย์ต่างสำนักล้วนไม่อาจ”มองก็รู้ว่าว่างเกิน ในแต่ละวันสามปีที่รอคอยเขาไม่เคยสั่งสอนศิษย์มีเพียงศิษย์รุ่นแรกที่เขาต้องตรากตรำ ต่อจากนั้นก็เพียงสร้างค่ายกลแล้วก็สร้างค่ายกล ที่เป็นเหมือนการเล่นสนุกสำหรับเขา ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังปู้ตานซินชอบแกล้ง ผู้อื่นยิ่งยากยิ่งสาใจ“เจ้าจะให้เราสองคนพาเขาขึ้นไปอย่างนั้นหรือ”“เป็นเช่นนั้น ค่ายกลของข้าล้วนมีจุดอ่อน หากเป็นศิษย์พี่ที่เก่งกาจทั้งสองจึงผ่านขึ้นไปง่ายดายยิ่ง”เรื่องอะไรจะยอมเสียชื่อ หากนำเด็กสองคนขึ้นไปต้องถูกครหา แถมยังเรื่องเล่าจากปากของสองศิษย์ที่จะต้องป่าวประกาศว่าเขาตั้งใจจะมอบเคล็ดวิชาให
ในเมื่อรับมาแล้ว ต่อไปก็ปู้ตานชินจึงจูงแขนเด็กน้อยทั้งสองยังสะพานชมจันทร์ซึ่งครั้งหนึ่งที่ตรงนี้. อีกสิบปีต่อมาจากที่เขาใช้วิชาท่องกาลเวลาสับเปลี่ยนหมุนย้อนให้มามาถึงจุดเริ่มต้นใหม่หวังว่าจะไม่ซ้ำรอยเดิม“ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า หยางหว่าน"“อาจารย์มีเรื่องใดจะบอกกล่าวกับศิษย์เชิญอาจารย์ว่ามาได้เลย”น้ำเสียงเรียบเฉยบ่งบอกอารมณ์“ข้า ข้า..ข้า…. ปีนี้เจ้าก็สิบเจ็ดปีแล้ว จะพูดอย่างไรกับเจ้าดี ในเมื่อเราล้วนเป็นศิษย์อาจารย์ ความปรารถนาในตัวเจ้าข้าไม่อาจปิดบัง”“อาจารย์!! อาจารย์ได้โปรด สิทธิ์ต่ำต้อยไม่อาจเทียบเคียงอาจารย์”เอื้อมมือกุมมือหยางหว่านไว้ หยางหว่านเบี่ยงตัวหลบ จะว่าไม่รังเกียจก็ไม่ใช่ นางแสดงออกซึ่งความรังเกียจในตัวเขา ปู้ต้านชินจ้องมองใบหน้างดงาม“เจ้าไม่ได้มีใคร ข้ารู้”“อาจารย์ข้ากับจี้โม่เติบใหญ่มาพร้อมกัน เพียงแค่ข้าไม่พูดเขาไม่พูด จึงไม่มีใครรู้ แต่ในใจข้ารู้ดี ว่าข้าไม่อาจชอบใครได้ นอกจากเขา ““หยางหว่านแต่ในใจข้ามีแต่เจ้า”“อาจารย์ ในใจข้ามีแต่เขา อาจารย์ได้โปรดอย่าบังคับข้าเลย”“หากไม่แต่งกับข้าข้าจะฆ่าเขาเสีย”“เช่นนั้นอาจารย์ก็ฆ่าข้าด้วย”“หยางหว่าน เจ้าเป็นดั่ง
หวังต้าฉินหัวหด“อาจารย์ แต่ว่าศิษย์น้องหยางหว่านไม่ยอมหลับนอน ร้องไห้โวยวายจะหามารดาของนาง จูจ้านจนปัญญาจึงนำศิษย์น้องมาให้ข้าช่วยดูแลทว่านางกลับยิ่งร้องไห้ หนักกว่าเดิมคราวนี้เป็นศิษย์น้องจี้โม่ ที่เห็นศิษย์น้องหยางหว่านร้องก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้ตามกันทำเอาปั่นป่วนไปทั่วสำนัก อาจารย์ตั้งแต่หัวค่ำถึงตอนนี้ พวกเราหามีใครได้หลับนอนไม่ แต่หากอาจารย์กำลังฝึกจิตทำสมาธิเช่นนั้นต้าฉินไม่กวนแล้ว”ปู้ตานซินส่ายหัวไปมายกหมอนที่อุดหูออกเสียหวังต้าฉินศิษย์เอกคนโตรุ่นแรก ที่ทุกคนในสำนักยกเว้นปู้ตานซิน ต้องเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ดั้นด้นขึ้นเขามาอย่างยากลำบาก พอสำเร็จวิชาแล้วก็ไม่ลงเขา ปวารณาตัวรับใช้เขาตั้งแต่บัดนั้นจะว่าไปหวังต้าฉินหน่วยก้านไม่เลว อีกทั้งนิสัยใจคอดีกว่าศิษย์คนอื่น หากจะพูดอีกทีหวังต้าฉินโง่งมเป็นไม้กันหมาให้เขาได้อย่างดี คำพูดติดปากของหวังต้าฉินคือ ไม่ว่าอาจารย์จะตัดสินใจอย่างไรล้วนถูกต้องเสมอ“พวกเจ้าลำบากกันเพียงนี้ ข้ายุติการฝึกจิตไว้เพียงเท่านี้ก่อน นำเด็กน้อยทั้งสองมาที่นี่”หาได้ละอายใจคำหลอกลวงไม่ก็ใช้จนเคยตัว“ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”จูจ้านก
การต่อสู้พันตูหน้าป้ายสำนักเกาซิ่งที่บ่งบอกว่าผู้ที่มาต้องการจะได้มันไปครอบครอง ส่วนผู้ที่ปกป้องก็สู้ยิบตาต่างยืนลิ้นห้อยหอบเหนื่อยจากการสู้รบ“ปู้ตานซิน มอบป้ายสำนักมาให้ข้าเสียแต่โดยดี”เสียงคำรามดังลั่นปู้ตานซินถอนหายใจ พยักหน้าให้กับหวังต้าฉิน“อาจารย์ศิษย์โง่งมไม่เข้าใจความหมาย”หวังต้าฉินยิ้มเจื่อนๆ“ปลดป้าย สำนักลงมาให้ ท่านอาวุโสเง็กเต็กเสีย”“อาจารย์ยยยยยยยย”เสียงทัดทานด้วยความตกใจของเหล่าศิษย์ระงมไปทั่วบริเวณ“ปลดลงมาให้เขาเสีย”พูดดังๆด้วยเสียงเข็มดุ หวังต้าฉินทะยานขึ้นไปปลดป้ายลงมา ยื่นส่งให้อาวุโสเง็กเต็กไปถือไว้ อย่างนอบน้อม“555 ข้าประเมินท่านสูงจนเกินไป แม้จะคิดไว้ล่วงหน้าว่าสำนักเกาซิ่งในเวลาสามปียิ่งใหญ่ได้เพียงนี้ก็เพียงแค่ราคาคุย เจ้าสำนักที่เหล่าศิษย์หลายรุ่นเรียกว่าปรมาจารย์ก็ยังหนุ่มแน่น จะมีฝีมือเพียงใดกัน ข้ากำลังคิดว่าประมือกับท่านคงไม่ต้องออกแรง ส่งป้ายสำนักมาแต่โดยดีแบบนี้นับว่าทำถูกแล้ว จึงจะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บ”แววตาเย้ยหยันศิษย์หลายคนทิ้งกระบี่ทรุดกายลงด้วยความผิดหวัง บ้างก็ปาดน้ำตาและหยาดเหงื่อลงทุนปกป้องป้ายสำนัก บ้างก็คิดว่าข้าเหตุใดถึงได้โง่งมเสี่
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วอาจารย์ล้วนมีเหตุผลทุกอย่างเป็นอาจารย์ที่ตัดสินใจได้ถูกต้องเสมอ”เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายพยักหน้าหงึกหงักต่างยิ้มด้วยความปลาบปลื้มใจที่ตัวเองคิดถูกผ่าด่านค่ายกลหฤโหด มาขอเป็นศิษย์ต่อไปเมื่อสำเร็จวิชาแล้วจึงจะไม่ต้องอายใคร“ศิษย์พี่ใหญ่ ไท่จือขึ้นเขามาตอนนี้อีกคน อาจารย์ยินดีรับเขาเป็นศิษย์หรือไม่เพราะอาจารย์เคยบอกไว้แล้วว่า เดือนจิวเยว่ไม่รับศิษย์”“ไท่จือ”“หลงตั๋วไท่จือผู้ยโสที่ใครต่างเล่าขาน”“เจ้ารีบไปรับหน้าไท่จือข้าจะไปรายงานอาจารย์ให้ทราบ”สะพานชมจันทร์“อาจารย์ ทำไมต้องฝึกจิต”จี้โม่ถามเมื่อปู้ตานซินให้นั่งฝึกจิตห้ามขยับกาย“จิตใจเจ้าจะได้สงบ ยิ่งสงบก็ยิ่งทำให้ซึมซับสิ่งที่ข้าต้องการสอน”“ข้าอยากเรียนเพลงกระบี่และฝึกยุทธ์”จี้โม่ มีความกระตือรือร้นตั้งแต่อายุยังน้อย มิน่าเมื่อภพก่อนเข้าถึงได้รู้สึกว่าจี้โม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูง ผิดกับหยางหว่านที่พูดน้อย ไม่แสดงท่าทีอยากได้ใคร่มีสิ่งใดเหมือนจี้โม่“รอจนกว่า ข้าเห็นสมควรพวกเจ้าจึงจะฝึกยุทธ์ได้”“อาจารย์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”หวังต้าฉินลนลานเหมือนเคย และเป้นเรื่องใหญ่เหมือนเคย“หวังต้าฉินข้าสอนเจ้าสามปีผ่านไปให้เจ้าส่ง
คนผู้หนึ่งจะกลับไปแก้ไขสิ่งใดในอดีตได้ดีเพียงใดหากเพียงแต่ทำวันนี้ให้ดี ชีวิตเขาล้วนสิ้นแล้วความทุกข์หยางหว่านกับจี้โม่ กอดก่ายกันบนแท่นนอนเสร็จสมอารมณ์หมายลักลอบพบกันในคืนเดือนมืด“พี่จี้โม่ ทุกอย่างที่เราทำล้วนไม่ผิดเป็นอาจารย์ที่กดดันเราทั้งคู่ ข้าไม่เคยมีใจให้อาจารย์มีเพียงความแค้นฆ่าพ่อที่ไม่อาจลืมเลือนในเมื่อใจเราสองคนต่างรู้ดีแต่อาจารย์กลับ โป้ปดว่าเขาเป็นผู้ที่ชุบเลี้ยงเราทั้งคู่มา”“หากฆ่าเขาเคล็ดวิชาที่ สืบทอดจึงหายไปจนสิ้น เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์เป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับการสืบทอดเคล็ดวิชามาจากอาจายร์ปู่เตี่ยงเลี่ยง”จี้โม่ยังไม่อยากจะให้หยางหว่านสังหาร ปู้ตานซิน เพราะด้วยสุดยอดเคล็ดวิชานั้น เป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาที่ใต้หล้าล้วนยอมสยบ“พี่จี้โม่แล้วท่านจะปล่อยให้ข้าต้องเป็นของอาจารย์ ท่านทนได้หรือ”“แน่นอนว่าข้าไม่อาจทนรับมัน แต่หยางหว่าน หากเราได้ครอบครองสำนักเกาซิ่งซึ่งควรเป็นของเราแต่เดิม ปู้ตานซินอายุเพียง28ปีก็ได้เป็นเจ้าสำนัก อีกทั้งยังได้ครอบครองสุดยอดเคล็ดวิชาแต่เพียงผู้เดียว ปลิดชีพบิดาของเราทั้งสองอ้างคุณธรรม นำเราสองคนมาชุบเลี้ยงใต้หล้าต่างชื่นชมยกย่องเขา มิใช่เ