“ศิษย์น้องหยางหว่านอาจารย์ให้ข้าผนึกเจ้าเสีย”
“ศิษย์พี่ต้าฉิน หยางหว่านไร้คำกล่าวใดหากไร้ซึ่งอาจารย์ข้าก็ไม่อาจมีชีวิต”
“ข้าเสียใจไม่น้อยไปกว่าเจ้าแต่ด้วยคำสั่งเสียของอาจารย์นับต่อแต่นี้เจ้าจงอยู่ในผนึกรอเพื่อจอมมารฉูฉางที่กำลังจะฟื้นกำลังขึ้นมาไม่อาจหาเจ้าจนพบ ข้ากับเหล่าจอมยุทธ์คงต้องเผชิญชะตากรรมกันเพียงลำพังต่อแต่นี้ อีกกี่ปีจึงจะมีผู้ที่สามารถผนึกฉูฉางไว้ได้อีก”
“ไม่สู้ข้าตายไปเลยไม่ดีกว่าหรือ ที่จะต้องกลายเป็นมารเช่นเดียวกับฉูฉาง”หยางหว่านพูดขึ้นดังๆ
“ครั้งนั้นเป็นเพราะจอมมาร ใช้วิชาสลายความจำของเจ้า จึงทำให้เจ้า ทำผิดพลาดไปช่วยคัดคนบริสุทธิ์ให้จอมมารดื่มเลือดสูบเนื้อ”
“ควรเป็นข้าที่ต้องตาย คนเช่นอาจารย์ไม่ควรที่จะต้องมาสละร่าง ศิษย์พี่ท่านฆ่าข้าเสียอย่าต้องใช้ลมปราณของท่านโดยเปล่าประโยชน์เพื่อผนึกข้าอีกเลย”
“หยางหว่าน อาจารย์ให้ผนึกเจ้าเพื่อที่รอคอยว่าอาจารย์จะหวนคืนอีกครั้ง”หยางหว่านหลับตาไล่หยาดน้ำตา
“ศิษย์พี่ อาจารย์ให้ท่านมาล่อหลอกข้าใช่หรือไม่ หยางหว่านมิใช่เด็กสี่ขวบเช่นตอนที่พบอาจารย์ในครั้งแรก ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่า อาจารย์ไม่มีทางหวนคืนท่านฆ่าข้าเสียจึงดี ข้าคือสาเหตุทั้งมวลที่ทำให้อาจารย์สละร่าง แม้ศิษย์พี่หรืออาจารย์จะอภัยให้ข้าแต่ข้าไม่เคยอภัยให้ตัวเอง ท่านไม่ฆ่าข้าข้าก็คงไม่อาจมีชีวิตอยู่แบกรับความผิดของตัวเองเช่นนี้”
“หยางหว่าน เจ้าไม่ควรตายเจ้ายังทำเรื่องอื่นได้อีกมากมาย อาจารย์อาจกำลังหาทางกลับมาพบพวกเรา อาจารย์ไม่ได้ไปไหนในเมื่อฉูฉางยังไม่ถูกผนึก”หยางหว่านสีหน้าตื่นเต้นดีใจ
“ศิษย์พี่ ข้าได้ยินอาจารย์กล่าวถึง ท่านปรมาจารย์กกก๋ง มีสุดยอดเคล็ดวิชาหนึ่งในห้าอาจารย์สั่งให้ข้าไปรับมอบเคล็ดวิชากับท่านปรมาจารย์เสียก่อน”
“ท่านปรมาจารย์กกก๋ง ไปมาไร้ร่องรอยอีกทั้งเร้นกายไร้ผู้พบเห็นอาจารย์บอกเจ้าหรือไม่ว่าอาจารย์ปู่พำนักที่ใดกัน”
“เดือนสือเอ้อเยว่ปีที่สี่ข้าได้ยินเพียงเท่านี้”หยางหว่านทำท่าครุ่นคิด
“เคล็ดวิชาของเจวียนจิ่วหยาที่สามารถหาเจ้าพบได้นางอาจช่วยเจ้าหาท่านปรมาจารย์กกก๋ง”
“ศิษย์พี่ ทำไมข้าคิดเรื่องนี้ไม่ได้ ด้วยความเศร้าโศก ก่อนหน้านั้นข้าเคยได้ยินท่านพ่อเล่าให้ฟังในทำนองชื่นชมอาจารย์ว่าอาจารย์มีเคล็ดวิชาท่องกาลเวลาศิษย์พี่ หากข้าย้อนเวลาไปยังตอนที่อาจารย์ยังไม่ตาย ห้ามไม่ให้อาจารย์ต่อกรกับฉูฉาง”
“ต้นเหตุเป็นไปเราไม่อาจรู้ได้ ศิษย์น้องหากเจ้าจะรับเคล็ดวิชาท่องกาลเวลาเหตุใดถึงไม่ย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นของเรื่องทั้งหมดเสีย แก้ไขจากตรงนั้น”
“อาจารย์พลั้งปากพูดมาครั้งหนึ่งว่าที่ผ่านมาเป็นเพราะอาจารย์ใช้เคล็ดวิชาท่องกาลเวลามาจัดการอดีตจึงส่งผลให้สวรรค์ลงทัณฑ์อาจารย์จนต้องสละร่าง”
“อาจารย์ย้อนเวลาเพื่อทำสิ่งที่ถูกแล้วอย่างน้อยตอนนี้อาจารย์ก็พยายามทำดีที่สุดแต่เป็นเพราะไม่อาจระงับยับยั้งฉูฉางได้ จึงส่งผลแบบนี้ก่อนหน้านั้นข้าไม่รู้ด้วยซ้ำว่า สิ่งที่เกิดขึ้นร้ายแรงเพียงใด แต่เชื่อว่าสิ่งที่อาจารย์ทำล้วนถูกต้องเสมอ เจ้าเร่งหาตัวอาจารย์ปู่เสียจึงดี หากไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจหรือฉูฉางฟื้นกำลังมาอีกครั้งข้าคงจะต้องผนึกเจ้าอย่างที่อาจารย์บอกไว้”หว้งต้าฉินก็คือหวังต้าฉินที่มองปู้ตานซินในด้านดีเรื่อยมา
“ศิษย์พี่ท่านวางใจข้าจะพยายามอย่างที่สุดเป็นทางเดียวที่ข้าจะได้พบอาจารย์อีกครั้ง”
“ปู้ตานซิน 555กงล้ง ในที่สุดข้าก็กำจัดเจ้าได้ รอให้ข้าฟื้นตัวได้ดีกว่านี้หยางหว่านรอข้าก่อนเราสองคนจะได้เคียงคู่กันอีกครั้ง”ขมวดคิ้ว เข้าหากันเมื่อเห้นใบหน้าที่มีรอยน้ำตาของหยางหว่านในตอนที่ ปู้ตานซินสละร่าง
“เจ้ายังมีใจให้มันไม่เปลี่ยน หญิงแพศยาเช่นเจ้าเหตุใดข้ายังรักเจ้ายิ่งกว่าใคร แต่ตอนนี้ไม่มีปู้ตานซินแล้ว เจ้าคงมีข้าในหัวใจคนเดียวเสียที” สีหน้าเศร้าสร้อยรวบรวมลมปราณฟื้นพลังตัวเองในทันที
“ศิษย์พี่เคล็ดวิชานี้ ใช้สำหรับตามหาผู้คนที่เร้นกาย ข้ายินดีถ่ายทอดมันให้ท่านหากจะช่วยให้ศิษย์พี่สามารถหาท่านปรมาจารย์กงก๋งพบและท่องกาลเวลาพบเจออาจารย์อีกครั้ง”
“ขอบใจเจ้าจริงๆเจวียนจิ่วหยา”
“หากท่านพบอาจารย์ ช่วยบอกอาจารย์ด้วยว่า ...ข้าขอโทษและขอบคุณสำหรับทุกอย่าง”รอยยิ้ม หม่นหมองของเจวียนจิ่วหยาที่หยางหว่านไม่เคยเห็นมาก่อน หยางหว่านโอบรอบตัวของเจวียนจิ่วหยา“เราสองคนต่างเป็นคนที่หวังดีต่อท่านปรมาจารย์ปู้ตานซิน ศิษย์พี่ท่านคงไม่ว่าหากข้าจะบอกว่าข้าเองก็ชอบท่านปรมาจารย์ปู้ตานซินเช่นกันแต่เมื่อข้าเห็นว่าท่านร้องไห้ปานจะขาดใจ เมื่อท่านปรมาจารย์จากไปถึงได้เข้าใจว่าถึงข้าจะชอบท่านปรมาจารย์เพียงใดก็คงไม่เท่ากับที่ท่านรักท่านปรมาจารย์ปู้ตานซิน” หยางหว่านยิ้มบางๆ“ข้ายินดีหากพบอาจารย์จะเร่งบอกเขาตามที่เจ้าต้องการ”“เริ่นเจินเจ้าเดินทางพร้อมกับศิษย์พี่เพื่อพบกับอาจารย์ปู่กกก๋ง ศิษย์พี่ข้าลาแล้ว”หยางหว่านและเริ่นเจิน ประสานมือตรงหน้าหวังต้าฉิน“ศิษย์น้อง ศิษย์น้องหลงตั๋วได้ส่งคนของเขาให้ติดตามเจ้าไปในครั้งนี้ด้วย”หลงตั๋วยิ้มอยู่ไม่ห่าง“ศิษย์น้องเจ้าไม่น่าต้องลำบาก”“ศิษย์พี่เกรงใจไปแล้วความจริงข้าอยากติดตามท่าน ผิดที่ชายาเอกของข้ากำลังตั้งครรภ์จึงไม่อาจช่วยแบ่งเบาท่านได้ ข้าเพียงแต่หวังว่าท่านจะพบอาจารย์ปู่โดยเร็ว”คนมาส่งพร้อมหน้า คนกำลังจะจากไปก็พร้อมแล้ว จี้โม๋ยิ้มในร่างของฉ
“เคล็ดวิชาท่องกาลเวลา ในยุทธภพนี้มีข้า ปรมาจารย์เตี่ยงเลี่ยงและอาจารย์เจ้าเท่านั้นที่สามารถใช้มันได้ ปู้ตานซินแต่เดิมมีเคล็ดวิชาอ่านใจผู้คน แต่เขาเก็บงำเป็นความลับแต่เมื่อเขาสละร่างไปแล้ว ข้าจึงไม่จำเป็นต้องรักษาความลับให้เขาอีกต่อไป ข้ากับปรมาจารย์เตี่ยงเลี่ยงได้เคล็ดวิชาจากอาจารย์มาต่างกันออกไป เคล็ดวิชาของข้า ที่จะมอบให้เจ้าคือเคล็ดวิชาเปลี่ยนใจผู้คน” (จำได้ไหมตอนที่กกก๋งไปคุยกับปู้ตานซิน ทีแรกปู้ตานซินไม่อยากย้อนไปในตอนที่ต้นเรื่องเขากับฉูฉางแต่ท่านปรมาจารย์กกก๋งใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนใจคนกับปู้ตานซิน)“อาจารย์ปู่ท่าน จะถ่ายทอดเคล็ดวิชาทั้งสองให้ข้าได้หรือไม่”ปรมาจารย์กกก๋งหลับตาลงช้าๆ“อาจารย์เจ้าสละร่างไปแล้ว เคล็ดวิชาท่องกาลเวลาข้าไม่อาจถ่ายทอดให้ได้ทั้งหมดเจ้าจะต้องศึกษาเองเพียงลำพัง แม้แต่บิดาเจ้าป้อก้านยังไม่อาจได้ไปครอบครอง เจ้าแน่ใจหรือว่าจะสามารถสำเร็จเคล็ดวิชาได้ ส่วนเคล็ดวิชาเปลี่ยนใจคนนั้น ตอนนี้ข้าไร้ผู้สืบทอดจึงอาจจะยอมมอบมันให้เจ้าเพื่อสืบทอดต่อไป”“ตกลงข้ายินดีให้เจ้าไปด้วย”หยางหว่านใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนใจกับกวงเสี่ยวอึ้ง หยางหว่านบ่นเบาๆ“เจ้ายังอ่อนหัดนักกวงเสี่ยวอึ้งเ
กวงเสี่ยวอึ้งเอ๊ยกวงเสี่ยวอึ้งเจ้าพลาดเสียแล้ว มาครั้งนี้หยางหว่านจะจับให้มั่นคั้นให้ตายเสียจะได้ไม่ต้องผิดพลาดเหมือนที่ผ่านมา“เจ้ามีนางร่วมเดินทาง ข้าเองก็มีนางมารน้อยผู้หนึ่งร่วมเดินทางเช่นกัน”หยางหว่านเลิกคิ้วสูงเมื่อเห็นว่า ร่างบางของอีกคนในอาภรณ์ของบุรุษนั่นคือเจวียนจิ่วหยานั่นเอง“เจวียนจิ่วหยาคารวะท่านพี่ทั้งสองข้าเองตั้งใจท่องยุทธภพกับฉูฉางท่านนี้”“ข้าเองก็ยากที่จะสลัดนางหลุดได้เช่นกัน กวงเสี่ยวอึ้งเราสองคนล้วนมีชะตากรรมเดียวกัน นางมารนี่ตามข้าไม่หยุด”หยางหว่านยิ้มเคล็ดวิชาเปลี่ยนใจคงจะต้องได้ใช้ในอีกไม่นานนี้ในเมื่อตอนนี้ฉูฉางไม่ได้มีใจให้กับเจวียนจิ่วหยาแต่ก่อนจะใช้ต้องอาศัยลิขิตสวรรค์ดูก่อนจึงดี และกวงเสี่ยวอึ้งเองในใจเขาคิดเช่นไร หยางหว่านไม่อาจรู้ได้คงต้องรอให้สวรรค์เป็นผู้กำหนดต่อจากนี้สามปีผ่านไป“กงล้ง ฉูฉางสำเร็จเคล็ดวิชาของสำนักกระบี่ฟ้าแล้วหวังว่าเจ้าทั้งสองจะนำเคล็ดวิชาเหล่านี้ ไปสืบทอดให้กับศิษย์น้องรุ่นต่อๆ ไป”“น้อมคำสั่งอาจารย์”ทั้งสองประสานมือพร้อมกันก่อนจะหันมายิ้มให้กันทั้งคู่“ข้า เพื่อจะบอกกับท่านกงล้งว่าข้ามาถึงเวลาที่ต้องบอกลา เพื่อที่จะใช้โอกาสนี้ท่
“อาจารย์อา..อาจารย์อา...จะต้องตบตูด หยางหว่านให้หลับไปไม่อย่างนั้นข้าก็จะนอนไม่หลับ”หยางหว่านในวัยสี่ขวบพูดเจื้อยแจ้ว“ข้ารู้แล้ว ด้วยประสบการณ์ที่สั่งสมมาข้ารู้แล้วว่าจะต้องตบตูดให้พวกเจ้านอนกันเสีย พรุ่งนี้ข้าจะพาเจ้าสองคนชมสำนักเกาซิ่ง”จี้โม๋น้อยยิ้มหวาน“อาจารย์อา ข้าเพิ่งจะพบกับศิษย์พี่ เจวียนจิ่วหยา นางอายุอานามไม่ต่างจากเรา อาจารย์ยอมให้นางดื่มน้ำสาบานเป็นสหายข้าสองคนจะได้ไหม”ปู้ตานซินยิ้มลูบหัวจี้โม่กับหยางหว่านพร้อมกันเบาๆ“มานี่เพื่อศึกษาเคล็ดวิชา อาจารย์ไม่ได้พาพวกเจ้ามากักขังเสียหน่อย แค่เพียงดื่มน้ำร่วมสาบานเป็นสหาย ไม่ได้ฆ่าคนวางเพลิง พรุ่งนี้ให้ศิษย์พี่หวังต้าฉินจัดการเรื่องนี้ให้พวกเจ้าทั้งสามคน”“อาจารย์ศิษย์น้องจี้โม๋ ดื่มน้ำสาบานเป็นสหายกับเจวียนจิ่วหยา ข้าหยางหว่านอยากดื่มน้ำสาบานเป็น ภรรยาอาจารย์คอยดูแลอาจารย์ต่อจากนี้จะดีไหม”ปู้ตานซินยิ้ม ก้มลงจุมพิตหน้าผากของ หยางหว่านเบาๆ นี่เขาเลี้ยงต้อยศิษย์ไว้เพื่อเป็นภรรยาหรือไร“ได้สิอาจารย์มัดจำไว้ด้วยจูบนี้ที่หน้าผากเจ้า อีกสิบปีจึงแต่งเป็นภรรยาอาจารย์จะดีไหม”หยางหว่านยิ้ม จี้โม๋เบ้ปากอมยิ้ม ปู้ตานซินถอนหายใจเอนกายลงพิง
หย่างหว่าน กับเริ่นเจินเดินลัดเลาะทุ่งหญ้ากว้างออกเดินทางรอนแรมตามหาท่านปรมาจารย์กกก๋งมานานนับเดือนแต่ไร้วีแวว หุบเขาชุมนุมเซียนที่สูงตะหง่านที่แห่งเดียวที่หย่างหว่านยังมาไม่ถึง“มีเคล็ดวิชาก็ดีสินะอย่างน้อยก็ไม่ต้องเดินให้เหนื่อย”เรินเจิ่นพูดขึ้นดังๆ เดินเลาะหน้าผาสูงน่าหวาดกลัว“เคล็ดวิชามีผู้สือบทอดก็ต้องมีผู้ริเริ่มคิดค้น เรินเจิ่นเจ้าเหมาะที่จะริเริ่มเคล็ดวิชาใหม่ๆ”“หือเช่นนั้นข้าก็จะได้เป็นปรมาจารย์เลยใช่ไหม”“ก็เหมาะอยู่นะ ศิษย์พี่กำลังคิดว่า การริเริ่มคิดวิชาต่างๆก็ต้องคนที่มีแรงใจในการฝึกฝนและฝึกปรือ”“คิดถึงอาจารย์จริงๆหากอาจารย์อยู่คงให้คำปรึกษาได้ดีกว่านี้แน่”หย่างหว่านยิ้มเศร้าผ่านไปนานแสนนานแล้วแม้ความเศร้าไม่มากเท่ากับวันแรกๆแต่ก้ยังคงคิดถึงอาจารย์ผู้ที่สูงส่งบริสุทธิ์คนนั้น ป่านนี้กำลังทำอะไรอยู่จะหาทางกลับมาเหมือนที่ศิษย์พี่หวังตาฉินพูดไว้หรือเปล่าแล้วทำไมยังไม่มา ถึงจะคิดว่าแค่คำลวงให้หายเศร้าโศกแต่ก็พอให้ได้ชื่นฉ่ำหัวใจ“ศิษย์พี่ ถ้าเราได้เคล็ดวิชามาจากอาจารย์ปู่กกก๋งบางทีข้าอาจท่องกาลเวลา เพื่อหาวิธีริเริ่มเคล็ดวิชาดีไหม”“เรื่องนี้เกินความคาดเดาของศิษย์พี่เรินเจ
ในเมื่อทำดีเพียงนี้ สิ่งที่ได้รับกลับมา ย่ำแย่สิ้นหวัง ระหว่างนางกับคนผู้นั้น เป็นเหมยเขียวม้าไม้ไผ่ ตัวเขาเล่าเป็นแค่คนชั่วโฉดเขาไม่อาจรั้งม้าหน้าผา กลับตัวได้ทัน ในเมื่อทุกอย่างที่ผ่านมาคิดว่าดีที่สุดแล้วแต่ไยต้องเจ็บช้ำใจไม่เลิกรา ทะเลทุกข์ไม่สิ้นสุดกลับใจคือฟากฝั่งหลับตาไล่ความเจ็บปวดในใจ แม้ที่ผ่านมา ดำเนินชีวิตที่ผ่านมาทั้งมีความสุขทุกข์ปะปนถูกผิด ตอนนี้แก้ไข อะไรได้ ในเมื่อทุกอย่างล้วนผ่านมาแล้ว หากตอนนั้นบังเกิดความโลภติดครอบครองและเป็นใหญ่ในสำนักเพียงผู้เดียว ไม่รับฟังความคิดเห็นของศิษย์พี่ทั้งสองที่ระงับยับยั้งไม่ให้เขา ลงมือกวาดล้าง สำนักนอกรีตด้วยความโหดเหี้ยมไร้ปรานี ในไม่ช้าความขัดแย้งเริ่มรุนแรงเขาไม่ปล่อยโอกาสเคล็ดวิชาที่ท่านปรมาจารย์เตี่ยงเลี่ยง ถ่ายทอดยังศิษย์คนสุดท้ายอย่างเขาที่ลงทุนเฝ้าปรนนิบัติท่านปรมาจารย์ในวันที่สละร่างมุ่งสู่สรวงสวรรค์ จนสามารถใช้เคล็ดวิชานั้น เอาชนะศิษย์พี่ทั้งสองได้อย่างง่ายดายเพียงพลิกฝ่ามือแล้วจากนั้นเล่า เขายังทำผิดซ้ำซากเมื่อแทนที่จะตัดรากถอนโคนเขากลับรับเอาเลือดเนื้อเชื้อไขของศิษย์พี่ทั้งสองมาเลี้ยงดู ต้นเหตุของความทุกข์ทรมาน ความขมขื
รับรู้ปัญหา ผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง อีกครั้งจึงเป็นเรื่องง่าย ศิษย์รุ่นแรกถูกรับขึ้นเขา สูงส่งบริสุทธิ์เช่นนี้ ปู้ตานซินไม่จำเป็นต้องเกลือกกลั้วกับหนอนแมลง ปรมาจารย์ปู้ตานซินที่ถูกกล่าวขานในเวลาสามปีให้หลัง ฝึกศิษย์เพียงรุ่นแรกรุ่นเดียว ต่อจากนั้นเป็นศิษย์ที่จะดูแลกันเอง เคล็ดวิชาที่สำคัญ ไม่เคยจะส่งถึงใครรับศิษย์หญิง ปีละสองคน คนหนึ่งซักล้าง อีกคนทำอาหารแจกจ่าย ตัวเขามีเพียงสร้างค่ายกลฝึกศิษย์ สามเดือนปรากฏค่ายกลหนึ่งครั้ง และอาศัยเวลาทั้งหมดสุขสบายบนเขา ค่ายกลมีไว้คัดคน คนไหนอ่อนแอก็แพ้ไป เก็บของลงเขา อย่าได้กลับมาอีก ศิษย์ที่เหลือจึงไร้เทียมทานเป็นที่เล่าขานสืบไป เกาซิ่งจึงโด่งดังในด้านความยากที่จะสำเร็จเพียงได้ยิน ว่าเป็นศิษย์จากสำนักเกาซิ่ง พรรคมารถึงเข่าอ่อนทรุดลงกองกับพื้น แต่ภายใต้หน้ากากเย็นชา ความนึกคิดของเขา ช่างขบขันนักทุกอย่างล้วนน่าขันสำหรับปู้ต้านชิน แต่ถูกค้ำคอด้วย คำว่าสูงส่งบริสุทธิ์“อาจารย์ ฮ่องเต้ส่งไท่จือขึ้นเขาเพื่อฝึกวิชา มีราชสาสน์ส่งมา ไหว้วานฝากฝังให้อาจารย์ดูแลไท่จือ”ปู้ตานซินมีสีหน้าเรียบเฉย อยากให้อยู่สบายจะต้องส่งคนมาร่วมฝึกเพื่อแทรกซึมปกป้อง ใช่จะให้ปรม
ปอคุนกับป้อก้านเลิกคิ้วสูงด้วยความดีใจ แม้แต่ยอดฝีมือ แค่เพียงขึ้นเขาที่มีค่ายกลนับสิบ หากขึ้นผิดช่องทางก็มีค่ายกลนับร้อยเรียงรายก็ไม่สามารถฝันฝ่าขึ้นไป(ใครจะรู้ว่าคนอย่างปู้ตานซินนึกคึกทำค่ายกล โหดหินอะไรไว้บ้าง)“เจ้ามารับเขาทั้งสองขึ้นเขาไปเช่นนั้นหรือ จะไม่เกรงข้อครหาในการฟันฝ่าค่ายกลหรือไร ที่ลูกชายหญิงของเราได้อภิสิทธิ์โดยมี ท่านปรมาจารย์มารับขึ้นไป”“ค่ายกลของข้าหากเป็นศิษย์พี่ทั้งสองถ้าจับจุดถูกก็สามารถขึ้นไปได้ไม่ยาก แต่คนอื่นหรือศิษย์ต่างสำนักล้วนไม่อาจ”มองก็รู้ว่าว่างเกิน ในแต่ละวันสามปีที่รอคอยเขาไม่เคยสั่งสอนศิษย์มีเพียงศิษย์รุ่นแรกที่เขาต้องตรากตรำ ต่อจากนั้นก็เพียงสร้างค่ายกลแล้วก็สร้างค่ายกล ที่เป็นเหมือนการเล่นสนุกสำหรับเขา ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังปู้ตานซินชอบแกล้ง ผู้อื่นยิ่งยากยิ่งสาใจ“เจ้าจะให้เราสองคนพาเขาขึ้นไปอย่างนั้นหรือ”“เป็นเช่นนั้น ค่ายกลของข้าล้วนมีจุดอ่อน หากเป็นศิษย์พี่ที่เก่งกาจทั้งสองจึงผ่านขึ้นไปง่ายดายยิ่ง”เรื่องอะไรจะยอมเสียชื่อ หากนำเด็กสองคนขึ้นไปต้องถูกครหา แถมยังเรื่องเล่าจากปากของสองศิษย์ที่จะต้องป่าวประกาศว่าเขาตั้งใจจะมอบเคล็ดวิชาให