รับรู้ปัญหา ผ่านมาแล้วครั้งหนึ่ง อีกครั้งจึงเป็นเรื่องง่าย ศิษย์รุ่นแรกถูกรับขึ้นเขา สูงส่งบริสุทธิ์เช่นนี้ ปู้ตานซินไม่จำเป็นต้องเกลือกกลั้วกับหนอนแมลง ปรมาจารย์ปู้ตานซินที่ถูกกล่าวขานในเวลาสามปีให้หลัง ฝึกศิษย์เพียงรุ่นแรกรุ่นเดียว ต่อจากนั้นเป็นศิษย์ที่จะดูแลกันเอง เคล็ดวิชาที่สำคัญ ไม่เคยจะส่งถึงใครรับศิษย์หญิง ปีละสองคน คนหนึ่งซักล้าง อีกคนทำอาหารแจกจ่าย ตัวเขามีเพียงสร้างค่ายกลฝึกศิษย์ สามเดือนปรากฏค่ายกลหนึ่งครั้ง และอาศัยเวลาทั้งหมดสุขสบายบนเขา
ค่ายกลมีไว้คัดคน คนไหนอ่อนแอก็แพ้ไป เก็บของลงเขา อย่าได้กลับมาอีก ศิษย์ที่เหลือจึงไร้เทียมทานเป็นที่เล่าขานสืบไป เกาซิ่งจึงโด่งดังในด้านความยากที่จะสำเร็จ
เพียงได้ยิน ว่าเป็นศิษย์จากสำนักเกาซิ่ง พรรคมารถึงเข่าอ่อนทรุดลงกองกับพื้น แต่ภายใต้หน้ากากเย็นชา ความนึกคิดของเขา ช่างขบขันนักทุกอย่างล้วนน่าขันสำหรับปู้ต้านชิน แต่ถูกค้ำคอด้วย คำว่าสูงส่งบริสุทธิ์
“อาจารย์ ฮ่องเต้ส่งไท่จือขึ้นเขาเพื่อฝึกวิชา มีราชสาสน์ส่งมา ไหว้วานฝากฝังให้อาจารย์ดูแลไท่จือ”
ปู้ตานซินมีสีหน้าเรียบเฉย อยากให้อยู่สบายจะต้องส่งคนมาร่วมฝึกเพื่อแทรกซึมปกป้อง ใช่จะให้ปรมาจารย์ที่สูงส่งเช่นข้าดูแลลูกไม่รู้จักโตแทนเจ้า อยากมาก็มาแต่ข้าคงไม่ไปดูแลหรือเอาใจ หากสามเดือนแรกผ่านค่ายกลไปได้จึงนับว่าเก่ง แต่คาดว่า คงต้องร้องไห้ลงเขาตั้งแต่วันแรกเพราะไม่เก่งจริงเช่นไรจะขึ้นเขามาคารวะเขาเพื่อรับเป็นศิษย์ แต่หาพูดออกมาไม่ เพียงแต่หลับตาลงช้าๆ ไม่ต่อความ
เหตุนี้เอง สำนักเกาซิ่งจึงเป็นที่พูดถึงในวงกว้างเพียงสามปีก็ยืนหยัด โด่งดังไปทั่วยุทธ์ภพ เป็นที่หมายปองของเหล่าผู้ต้องการความเทพทั้งปวง
ปู้ตานชิน สาวเท้ายังด้านล่างหุบเขา รอเวลานัดหมายกับศิษย์พี่ทั้งสอง,
ปอก้านกันกับปอคุณมาทันเวลานัดหมายพอดี
ปู้ตานชินไม่แม้แต่จะประสานมือคารวะศิษย์พี่ทั้งสอง ด้วยว่าตัวเขาเป็นถึงปรมาจารย์ ไม่จำเป็นต้องคารวะยกย่องใคร
“ศิษย์พี่ทั้งสองที่ผ่านมาท่านสบายดีหรือไม่”
เอื้อนเอ่ยวาจา ด้วยถือเพียงว่าสมควรจะทักก่อน ปกติแล้วไว้ตัวยิ่งนัก
“เราสองคน แม้ไม่ยิ่งใหญ่เท่าเจ้า ทว่าก็ก่อตั้งสำนักของตัวเองจนสำเร็จ แต่จะให้โด่งดังเท่าสำนักเกาชิ่งคงไม่อาจ ที่ผ่านมาตรากตรำยิ่งได้ยินเพียงข่าวคราวของศิษย์น้อง ยิ่งสร้างแรงใจให้เร่งก่อร้างสร้างสำนัก และสร้างชื่อมให้เทียบเคียงสำนักเกาซิ่ง”
“ปู้ตานชินแม้จะยิ่งใหญ่เพียงใดแต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์น้องของท่านทั้งสอง อย่างไรเสียก็ยังคงเป็นพี่น้อง”
อยากจะพูดเสียจริง ว่าข้าเหนือกว่าพวกเจ้าที่มัวแต่ใจดี มีเมตตา สิ่งนี้นั่นล่ะที่ทำให้ปู้ตานซินประสบความสำเร็จรวดเร็วเกินเจ้าทั้งสอง
“เราสองคนเลื่อมใสเจ้ายิ่ง เพียงเวลาสามปีที่เลยผ่านเจ้าก็สามารถก่อตั้งสำนักที่ยิ่งใหญ่เพียงลำพัง”
แน่นอนอยู่แล้ว ปู้ตานซินหาใช่คนที่คิดอะไรแล้วไม่ลงมือประสบการณ์ผ่านมาสอนให้รู้ว่า อะไรควรทำและอะไรไม่ควร ข้าเป็นต่อพวกเจ้าอยู่ไม่น้อย
“ศิษย์พี่กล่าวเกินไปแล้ว ถึงอย่างไรเราก็เป็นพี่น้องร่วมสาบาน ไม่อาจแปลเป็นอื่น อย่างไรก็ต้องพึ่งพากันอยู่ดี ข้าเพียงแค่อาศัยโชคเพียงน้อยนิดจึงสร้างเกาซิ่งในวันนี้”
“นับว่าเป็นโชคที่ยิ่งใหญ่เสียงจริง”ป้อก้าน อดที่จะพูดเสียไม่ได้เขากับป้อคุน ก่อตั้งสำนักมีปัญหามากมายจนป่านนี้ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างอาศัยแค่ชื่อว่าเป็นศิษย์สำนักเดียวกับปรมาจายรย์ปู้ตานซิน จึงมีคนอยากจะฝากตัวเป็นศิษย์
“ ข้ามาครั้งนี้มีบางอย่างจะขอร้องศิษย์พี่ทั้งสอง”อ้อนน้อมถ่อยกายเพียงมาดหมายในใจ เรื่องผิดพลาดนี้จะต้องไม่บังเกิดซ้ำรอย
“เจ้าเป็นถึงปรมาจารย์ เช่นไรจึงเรียกว่าขอร้องเพียงแค่จะไหว้วาน เราทั้งสองก็มิอาจปฏิเสธสิ่งที่เจ้าร้องขอ”
ปอคุนกล่าวขึ้นอย่างขันอาสา
ปู้ตานชินถอนหายใจ ลูกทั้งคนหาใช่ผักปลาศิษย์พี่ทั้งสองจะยอมยกให้เขาง่ายดาย จะว่าไปในเมื่อขอแล้วสิทธิ์ขาดในการเลี้ยงดูก็ย่อมต้องเป็นของปู้ตานชินอยู่แล้ว จะบังคับก็หาดีไม่ เช่นนั้นพูดจาหว่านล้อมจึงจะดีที่สุด
“ลูกหญิงชายของท่านทั้งสอง ข้าตั้งใจนำเขาทั้งสองมาเลี้ยงดู ตั้งใจจะถ่ายทอดเคล็ดวิชา เพื่อให้เคล็ดวิชาไม่สูญหายหรือตกไปอยู่ในมือของผู้อื่น ไม่จำเป็นต้องถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ศิษย์ในสำนักคนอื่น เพียงแต่ตั้งใจจะมอบมันให้กับ…. กับเลือดเนื้อเชื้อไขของศิษย์พี่ทั้งสอง”
ปอคุนกับป้อก้านเลิกคิ้วสูงด้วยความดีใจ แม้แต่ยอดฝีมือ แค่เพียงขึ้นเขาที่มีค่ายกลนับสิบ หากขึ้นผิดช่องทางก็มีค่ายกลนับร้อยเรียงรายก็ไม่สามารถฝันฝ่าขึ้นไป(ใครจะรู้ว่าคนอย่างปู้ตานซินนึกคึกทำค่ายกล โหดหินอะไรไว้บ้าง)“เจ้ามารับเขาทั้งสองขึ้นเขาไปเช่นนั้นหรือ จะไม่เกรงข้อครหาในการฟันฝ่าค่ายกลหรือไร ที่ลูกชายหญิงของเราได้อภิสิทธิ์โดยมี ท่านปรมาจารย์มารับขึ้นไป”“ค่ายกลของข้าหากเป็นศิษย์พี่ทั้งสองถ้าจับจุดถูกก็สามารถขึ้นไปได้ไม่ยาก แต่คนอื่นหรือศิษย์ต่างสำนักล้วนไม่อาจ”มองก็รู้ว่าว่างเกิน ในแต่ละวันสามปีที่รอคอยเขาไม่เคยสั่งสอนศิษย์มีเพียงศิษย์รุ่นแรกที่เขาต้องตรากตรำ ต่อจากนั้นก็เพียงสร้างค่ายกลแล้วก็สร้างค่ายกล ที่เป็นเหมือนการเล่นสนุกสำหรับเขา ใครจะรู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังปู้ตานซินชอบแกล้ง ผู้อื่นยิ่งยากยิ่งสาใจ“เจ้าจะให้เราสองคนพาเขาขึ้นไปอย่างนั้นหรือ”“เป็นเช่นนั้น ค่ายกลของข้าล้วนมีจุดอ่อน หากเป็นศิษย์พี่ที่เก่งกาจทั้งสองจึงผ่านขึ้นไปง่ายดายยิ่ง”เรื่องอะไรจะยอมเสียชื่อ หากนำเด็กสองคนขึ้นไปต้องถูกครหา แถมยังเรื่องเล่าจากปากของสองศิษย์ที่จะต้องป่าวประกาศว่าเขาตั้งใจจะมอบเคล็ดวิชาให
ในเมื่อรับมาแล้ว ต่อไปก็ปู้ตานชินจึงจูงแขนเด็กน้อยทั้งสองยังสะพานชมจันทร์ซึ่งครั้งหนึ่งที่ตรงนี้. อีกสิบปีต่อมาจากที่เขาใช้วิชาท่องกาลเวลาสับเปลี่ยนหมุนย้อนให้มามาถึงจุดเริ่มต้นใหม่หวังว่าจะไม่ซ้ำรอยเดิม“ข้ามีเรื่องสำคัญจะพูดกับเจ้า หยางหว่าน"“อาจารย์มีเรื่องใดจะบอกกล่าวกับศิษย์เชิญอาจารย์ว่ามาได้เลย”น้ำเสียงเรียบเฉยบ่งบอกอารมณ์“ข้า ข้า..ข้า…. ปีนี้เจ้าก็สิบเจ็ดปีแล้ว จะพูดอย่างไรกับเจ้าดี ในเมื่อเราล้วนเป็นศิษย์อาจารย์ ความปรารถนาในตัวเจ้าข้าไม่อาจปิดบัง”“อาจารย์!! อาจารย์ได้โปรด สิทธิ์ต่ำต้อยไม่อาจเทียบเคียงอาจารย์”เอื้อมมือกุมมือหยางหว่านไว้ หยางหว่านเบี่ยงตัวหลบ จะว่าไม่รังเกียจก็ไม่ใช่ นางแสดงออกซึ่งความรังเกียจในตัวเขา ปู้ต้านชินจ้องมองใบหน้างดงาม“เจ้าไม่ได้มีใคร ข้ารู้”“อาจารย์ข้ากับจี้โม่เติบใหญ่มาพร้อมกัน เพียงแค่ข้าไม่พูดเขาไม่พูด จึงไม่มีใครรู้ แต่ในใจข้ารู้ดี ว่าข้าไม่อาจชอบใครได้ นอกจากเขา ““หยางหว่านแต่ในใจข้ามีแต่เจ้า”“อาจารย์ ในใจข้ามีแต่เขา อาจารย์ได้โปรดอย่าบังคับข้าเลย”“หากไม่แต่งกับข้าข้าจะฆ่าเขาเสีย”“เช่นนั้นอาจารย์ก็ฆ่าข้าด้วย”“หยางหว่าน เจ้าเป็นดั่ง
หวังต้าฉินหัวหด“อาจารย์ แต่ว่าศิษย์น้องหยางหว่านไม่ยอมหลับนอน ร้องไห้โวยวายจะหามารดาของนาง จูจ้านจนปัญญาจึงนำศิษย์น้องมาให้ข้าช่วยดูแลทว่านางกลับยิ่งร้องไห้ หนักกว่าเดิมคราวนี้เป็นศิษย์น้องจี้โม่ ที่เห็นศิษย์น้องหยางหว่านร้องก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้ตามกันทำเอาปั่นป่วนไปทั่วสำนัก อาจารย์ตั้งแต่หัวค่ำถึงตอนนี้ พวกเราหามีใครได้หลับนอนไม่ แต่หากอาจารย์กำลังฝึกจิตทำสมาธิเช่นนั้นต้าฉินไม่กวนแล้ว”ปู้ตานซินส่ายหัวไปมายกหมอนที่อุดหูออกเสียหวังต้าฉินศิษย์เอกคนโตรุ่นแรก ที่ทุกคนในสำนักยกเว้นปู้ตานซิน ต้องเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ดั้นด้นขึ้นเขามาอย่างยากลำบาก พอสำเร็จวิชาแล้วก็ไม่ลงเขา ปวารณาตัวรับใช้เขาตั้งแต่บัดนั้นจะว่าไปหวังต้าฉินหน่วยก้านไม่เลว อีกทั้งนิสัยใจคอดีกว่าศิษย์คนอื่น หากจะพูดอีกทีหวังต้าฉินโง่งมเป็นไม้กันหมาให้เขาได้อย่างดี คำพูดติดปากของหวังต้าฉินคือ ไม่ว่าอาจารย์จะตัดสินใจอย่างไรล้วนถูกต้องเสมอ“พวกเจ้าลำบากกันเพียงนี้ ข้ายุติการฝึกจิตไว้เพียงเท่านี้ก่อน นำเด็กน้อยทั้งสองมาที่นี่”หาได้ละอายใจคำหลอกลวงไม่ก็ใช้จนเคยตัว“ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”จูจ้านก
การต่อสู้พันตูหน้าป้ายสำนักเกาซิ่งที่บ่งบอกว่าผู้ที่มาต้องการจะได้มันไปครอบครอง ส่วนผู้ที่ปกป้องก็สู้ยิบตาต่างยืนลิ้นห้อยหอบเหนื่อยจากการสู้รบ“ปู้ตานซิน มอบป้ายสำนักมาให้ข้าเสียแต่โดยดี”เสียงคำรามดังลั่นปู้ตานซินถอนหายใจ พยักหน้าให้กับหวังต้าฉิน“อาจารย์ศิษย์โง่งมไม่เข้าใจความหมาย”หวังต้าฉินยิ้มเจื่อนๆ“ปลดป้าย สำนักลงมาให้ ท่านอาวุโสเง็กเต็กเสีย”“อาจารย์ยยยยยยยย”เสียงทัดทานด้วยความตกใจของเหล่าศิษย์ระงมไปทั่วบริเวณ“ปลดลงมาให้เขาเสีย”พูดดังๆด้วยเสียงเข็มดุ หวังต้าฉินทะยานขึ้นไปปลดป้ายลงมา ยื่นส่งให้อาวุโสเง็กเต็กไปถือไว้ อย่างนอบน้อม“555 ข้าประเมินท่านสูงจนเกินไป แม้จะคิดไว้ล่วงหน้าว่าสำนักเกาซิ่งในเวลาสามปียิ่งใหญ่ได้เพียงนี้ก็เพียงแค่ราคาคุย เจ้าสำนักที่เหล่าศิษย์หลายรุ่นเรียกว่าปรมาจารย์ก็ยังหนุ่มแน่น จะมีฝีมือเพียงใดกัน ข้ากำลังคิดว่าประมือกับท่านคงไม่ต้องออกแรง ส่งป้ายสำนักมาแต่โดยดีแบบนี้นับว่าทำถูกแล้ว จึงจะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บ”แววตาเย้ยหยันศิษย์หลายคนทิ้งกระบี่ทรุดกายลงด้วยความผิดหวัง บ้างก็ปาดน้ำตาและหยาดเหงื่อลงทุนปกป้องป้ายสำนัก บ้างก็คิดว่าข้าเหตุใดถึงได้โง่งมเสี่
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วอาจารย์ล้วนมีเหตุผลทุกอย่างเป็นอาจารย์ที่ตัดสินใจได้ถูกต้องเสมอ”เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายพยักหน้าหงึกหงักต่างยิ้มด้วยความปลาบปลื้มใจที่ตัวเองคิดถูกผ่าด่านค่ายกลหฤโหด มาขอเป็นศิษย์ต่อไปเมื่อสำเร็จวิชาแล้วจึงจะไม่ต้องอายใคร“ศิษย์พี่ใหญ่ ไท่จือขึ้นเขามาตอนนี้อีกคน อาจารย์ยินดีรับเขาเป็นศิษย์หรือไม่เพราะอาจารย์เคยบอกไว้แล้วว่า เดือนจิวเยว่ไม่รับศิษย์”“ไท่จือ”“หลงตั๋วไท่จือผู้ยโสที่ใครต่างเล่าขาน”“เจ้ารีบไปรับหน้าไท่จือข้าจะไปรายงานอาจารย์ให้ทราบ”สะพานชมจันทร์“อาจารย์ ทำไมต้องฝึกจิต”จี้โม่ถามเมื่อปู้ตานซินให้นั่งฝึกจิตห้ามขยับกาย“จิตใจเจ้าจะได้สงบ ยิ่งสงบก็ยิ่งทำให้ซึมซับสิ่งที่ข้าต้องการสอน”“ข้าอยากเรียนเพลงกระบี่และฝึกยุทธ์”จี้โม่ มีความกระตือรือร้นตั้งแต่อายุยังน้อย มิน่าเมื่อภพก่อนเข้าถึงได้รู้สึกว่าจี้โม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูง ผิดกับหยางหว่านที่พูดน้อย ไม่แสดงท่าทีอยากได้ใคร่มีสิ่งใดเหมือนจี้โม่“รอจนกว่า ข้าเห็นสมควรพวกเจ้าจึงจะฝึกยุทธ์ได้”“อาจารย์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”หวังต้าฉินลนลานเหมือนเคย และเป้นเรื่องใหญ่เหมือนเคย“หวังต้าฉินข้าสอนเจ้าสามปีผ่านไปให้เจ้าส่ง
คนผู้หนึ่งจะกลับไปแก้ไขสิ่งใดในอดีตได้ดีเพียงใดหากเพียงแต่ทำวันนี้ให้ดี ชีวิตเขาล้วนสิ้นแล้วความทุกข์หยางหว่านกับจี้โม่ กอดก่ายกันบนแท่นนอนเสร็จสมอารมณ์หมายลักลอบพบกันในคืนเดือนมืด“พี่จี้โม่ ทุกอย่างที่เราทำล้วนไม่ผิดเป็นอาจารย์ที่กดดันเราทั้งคู่ ข้าไม่เคยมีใจให้อาจารย์มีเพียงความแค้นฆ่าพ่อที่ไม่อาจลืมเลือนในเมื่อใจเราสองคนต่างรู้ดีแต่อาจารย์กลับ โป้ปดว่าเขาเป็นผู้ที่ชุบเลี้ยงเราทั้งคู่มา”“หากฆ่าเขาเคล็ดวิชาที่ สืบทอดจึงหายไปจนสิ้น เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์เป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับการสืบทอดเคล็ดวิชามาจากอาจายร์ปู่เตี่ยงเลี่ยง”จี้โม่ยังไม่อยากจะให้หยางหว่านสังหาร ปู้ตานซิน เพราะด้วยสุดยอดเคล็ดวิชานั้น เป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาที่ใต้หล้าล้วนยอมสยบ“พี่จี้โม่แล้วท่านจะปล่อยให้ข้าต้องเป็นของอาจารย์ ท่านทนได้หรือ”“แน่นอนว่าข้าไม่อาจทนรับมัน แต่หยางหว่าน หากเราได้ครอบครองสำนักเกาซิ่งซึ่งควรเป็นของเราแต่เดิม ปู้ตานซินอายุเพียง28ปีก็ได้เป็นเจ้าสำนัก อีกทั้งยังได้ครอบครองสุดยอดเคล็ดวิชาแต่เพียงผู้เดียว ปลิดชีพบิดาของเราทั้งสองอ้างคุณธรรม นำเราสองคนมาชุบเลี้ยงใต้หล้าต่างชื่นชมยกย่องเขา มิใช่เ
“อาจารย์ หยางหว่านคิดถึงท่านแม่ของนางเช่นกัน”จี้โม้ พูดแทนหยางหว่าน ปู้ตานซินยิ้ม จี้โม้เติบโตขึ้นมากที่เขาทำล้วนเพื่อหยางหว่านหลายอย่างในเวลาเจ็ดเดือนที่ผ่านมานี่อาจเป็นเพราะร่วมทุกข์สุขกันมาจนสนิทกันดังพี่น้องหรืออาจเป็นเพราะสวรรค์ลิขิตไว้แล้วให้สองคนได้เห็นอกเห็นใจกัน“แล้วเจ้าไม่อยากลงไปหรือจี้โม่”“ข้าเป็นบุรุษ เรื่องอ่อนแอเช่นนี้ไม่พึงกระทำ ในวันที่ยินยอมขึ้นเขามากับท่านพ่อข้าสัญญากับท่านแม่ไว้ว่าจะเชื่อฟังอาจารย์รีบสำเร็จวิชาโดยเร็วกลับไปดูแลท่านแม่”ปู้ตานซินยิ้มบางๆจี้โม่ก็คือจี้โม่ไม่ว่า จะเป็นจี้โม่ในวัยสามขวบเกือบจะสี่ขวบหรือว่าจี้โม่ในวัย18ปีล้วนไม่ต่างกัน“ตกลงข้าให้ศิษย์พี่หยางหว่านของเจ้าลงไปกับข้า”เขา ให้หยางหว่านเป็นศิษย์พี่ของจี้โม่ในการที่เขากลับมาในครั้งนี้ เพื่อที่หยางหว่านจะได้รู้สึกว่าตัวเองอาวุโสกว่า ไม่คิดเกินเลยหรือมีใจให้กับจี้โม่ที่เป็นศิษย์น้องเป็นเพียงหนึ่งในหลายอย่างที่เขากลับมาเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันซ้ำรอยเดิม และเขาไม่อยากได้ยิน หยางหว่านเรียกจี้โม่ว่า..ศิษย์พี่..หรือพี่จี้โม่อย่างที่เคยได้ยินแม้คำพูดเรียก ..พี่จี้โม่..ก็บาดใจเขารอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าน้
“เปลี่ยนอาภรณ์เสีย เรากำลังจะไปที่วังหลวงอาภรณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นศิษย์ของข้าเจ้าก็ควรเปลี่ยนมันใหม่เสียหมด”ปู้ตานซินล่อหลอกหลงตั๋วให้ทำตามแผนการเขาส่วนเขาก็เปลี่ยนอาภรณ์ที่งามสง่าให้เป็นอาภรณ์สีทึมทึบ“อาจารย์อาจารย์จงใจพาข้ามาเยี่ยมเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ”เพียงพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้อธิบายอะไรปู้ตานซินไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดให้ใครฟังเขาเองทำสิ่งใดเพียงลำพังมาตลอด“ออกเดินทางต่อได้แล้ว หยางหว่านอยู่ข้างอาจารย์อาจารย์จะอุ้มเจ้าหากเหนื่อยนักก็ต้องพัก ระหว่างนี้ห้ามออกห่างอาจารย์”หยางหว่านพยักหน้ากอดรอบลำคอ เหมือนพ่อกับลูกสาวตัวน้อย ปีศาจพรายน้ำแอบมองคนทั้งสามไม่วางตา สองสามวันมานี่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องชาวบ้านล้วนหวาดกลัว ไม่มีใครเข้าใกล้ลำธารสองคนพ่อลูกแม้จะเหมือนไม่ระวังตัว และสองคนทำให้อิ่มไปหลายวัน แต่บางอย่างในตัวคนเป็นพ่อทำเอาเจ้าปีศาจไม่อยากเข้าใกล้ จะว่าไปบุรุษหนุ่มหล่อเหลาเช่นไรถึงต้องแบกลูกสาวเพียงลำพัง เป็นม่ายตั้งแต่ยังหนุ่ม ส่วนเจ้าหนุ่มหน้าตาเหลอหลานั่นมองอย่างไรก็โง่งม แม้ผิวพรรณหน้าตาจะต่างจากชาวบ้านทั่วไป จากที่ดูแล้วคาดว่าแม้แต่ธนูยังยิงไม่เป็น เอาเป็นว่าเจ้าหนุ่มนั่นล่