หวังต้าฉินหัวหด
“อาจารย์ แต่ว่าศิษย์น้องหยางหว่านไม่ยอมหลับนอน ร้องไห้โวยวายจะหามารดาของนาง จูจ้านจนปัญญาจึงนำศิษย์น้องมาให้ข้าช่วยดูแลทว่านางกลับยิ่งร้องไห้ หนักกว่าเดิมคราวนี้เป็นศิษย์น้องจี้โม่ ที่เห็นศิษย์น้องหยางหว่านร้องก็ตะเบ็งเสียงร้องไห้ตามกันทำเอาปั่นป่วนไปทั่วสำนัก อาจารย์ตั้งแต่หัวค่ำถึงตอนนี้ พวกเราหามีใครได้หลับนอนไม่ แต่หากอาจารย์กำลังฝึกจิตทำสมาธิเช่นนั้นต้าฉินไม่กวนแล้ว”
ปู้ตานซินส่ายหัวไปมายกหมอนที่อุดหูออกเสีย
หวังต้าฉินศิษย์เอกคนโตรุ่นแรก ที่ทุกคนในสำนักยกเว้นปู้ตานซิน ต้องเรียกว่าศิษย์พี่ใหญ่ เป็นเพียงเด็กกำพร้าที่ดั้นด้นขึ้นเขามาอย่างยากลำบาก พอสำเร็จวิชาแล้วก็ไม่ลงเขา ปวารณาตัวรับใช้เขาตั้งแต่บัดนั้นจะว่าไปหวังต้าฉินหน่วยก้านไม่เลว อีกทั้งนิสัยใจคอดีกว่าศิษย์คนอื่น หากจะพูดอีกทีหวังต้าฉินโง่งมเป็นไม้กันหมาให้เขาได้อย่างดี คำพูดติดปากของหวังต้าฉินคือ ไม่ว่าอาจารย์จะตัดสินใจอย่างไรล้วนถูกต้องเสมอ
“พวกเจ้าลำบากกันเพียงนี้ ข้ายุติการฝึกจิตไว้เพียงเท่านี้ก่อน นำเด็กน้อยทั้งสองมาที่นี่”หาได้ละอายใจคำหลอกลวงไม่ก็ใช้จนเคยตัว
“ขอบคุณอาจารย์ ศิษย์ซาบซึ้งใจยิ่งนัก”
จูจ้านกับ เหมยกัวสองศิษย์หญิงอุ้มหยางหว่านกับจี้โม่มาที่ห้องของปู้ตานซิน
ปู้ตานซิน แสดงสีหน้าเรียบเฉยกอดอกเหม่อมองออกไปนอกหน้าต่าง เสียงสะอื้นไห้ ดังแว่วเข้ามา หยางหว่านตาแดงด้วยผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก จี้โม่เมื่อเห็นปู้ตานซินกลับเงียบเสียงลงทันที
“อาจารย์”
“อืม พวกเจ้าไปพักเสียไม่ได้นอนกันทั้งคืนทิ้งพวกเขาไว้แล้วไปเสีย”
รับเอาหยางหว่านมาอุ้มไว้
คนทั้งหมดประสานมืออกไป
“ใครกันหวั่นไหวใครกันมีน้ำตาก่อนกัน”
หยางหว่านมองปู้ตานซินด้วยดวงตากลมโตทว่าแดงก่ำ
“จี้โม่น้อย ไปนอนที่นอนอาจารย์เสีย หยางหว่านบอกข้ามาเจ้าเช่นไรจึงร้องไห้”
จี้โม่เดินไปปีนขึ้นแท่นนอนอย่างว่าง่าย นอนฟังคำสนทนา
“ข้า ข้าข้า ...คิดถึงท่านแม่ปกติท่านแม่จะตบตูดให้ข้านอนในยามค่ำคืน”
“อืมแล้วทำไมไม่บอกศิษย์พี่เจ้า เอาแต่ร้องแล้วใครเขาจะรู้”
หยางหว่าน ซุกใบหน้าน้อยลงบนอก
“อาจารย์ก็กล่อมข้าน้อย ท่านพ่อป้อก้านบอกข้าว่าอาจารย์ใจดีที่สุด”
“ท่านพ่อก็บอกข้าว่าอาจารย์ใจดีที่สุดอยู่ใกล้อาจารย์จึงดี เช่นนั้นอาจารย์ตบตูดให้ข้าหลับไปด้วยจะได้ไหม”
จี้โม่พูดเจื้อยแจ้ว ปู้ตานซินถอนหายใจ เจ้าเด็กสองคนนี้หากรู้ว่าเขาจะทำอย่างไรกับพวกเขาจะยังพูดแบบนี้ไหม
“เช่นนั้นนอนเสียข้าตบตูดให้เจ้าทั้งสองนอนหลับจะดีไหม ต่อไปห้ามร้องโยเยขึ้นเขามาแล้วยากจะลงไปได้ หากไม่สำเร็จวิชาเช่นไรพวกเจ้าจึงจะกลับลงไปได้ต้องใช้เวลาสิบปีขึ้นไป”
หยางหว่านยิ้มปาดน้ำตาดวงตาใสซื่อ จี้โม่เองก็กะตือรือล้นที่จะขยับตัวมาให้ ปู้ตานซินตบตูดให้หลับใหลไปด้วยความง่วงงุน จะไม่ง่วงได้อย่างไรก็นี่มันยามอิ๋นแล้ว
เผลอหลับไปพร้อมกับร่างน้อยๆข้างกายสองร่าง ปู้ต้านซินกำลังคิดว่าเขาเหตุใดต้องทำถึงเพียงนี้ เพื่อสิ่งใดกันในเมื่อเขาเพียงแค่ปลิดชีพศิษย์พี่ทั้งสอง ปลิดชีพจี้โม่จะหาข้ออ้างร้อยแปดล่อหลวงปั้นน้ำเป็นตัวเพื่อให้หยางหว่านรักเขาหรือหลงรักเขาก็ไม่ยากแต่นี่เขาทำไปทั้งหมดเพื่อสิ่งใดกัน ยิ่งคิดวิ่งวนเวียนพันเกี่ยวกันวุ่นวาย
“อาจารย์ อาจารย์ขอรับ”
เสียงดังเข้ามาข้างในอีกแล้ว เจ้าซื่อบื้อหวังต้าฉิน น้ำเสียงร้อนรนเรื่องใดก้นอีก หรือว่ามีใครมาเผาสำนัก ยามไหนกันแล้วเขาเผลอหลับไปพร้อมเด็กน้อยทั้งสอง จนตะวันสายโด่ง
“อาจารย์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”
เรื่องใหญ่ เรื่องอะไรก็ช่างสำหรับหวังต้าฉินมักจะเป็นเรื่องใหญ่เสมอ
“เรื่องใดกัน”
ปรับเสียงให้เป็นปกติแม้จะงัวเงียเต็มทน เด็กน้อยสองคนพาลตื่นตามเขาไปด้วย
“อาจารย์สำนักหงซิ่งนำโดยจ้าวสำนักอาวุโส ผ่านค่ายกลขึ้นเขามาเพื่อชิงป้ายสำนักตอนนี้ศิษย์สำนักเราน้อยใหญ่ต่างพากันรวมกำลังปกป้องป้ายสำนัก บาดเจ็บกันจำนวนมาก ด้วยจ้าวสำนักอาวุโสหงซิ่งฝีมือร้ายกาจ ตอนนี้จึงเข้าถึงป้ายสำนักเรียบร้อยแล้ว”
ปู้ตานซินถอนหายใจลุกขึ้นหยิบเสื้อคุลม ทำสีหน้าเรียบเฉยหาได้ตื่นตระหนกไม่ ก้าวเดินออกจากห้องไปหยางหว่านและจี้โม่ตามไปติดๆ
“ดูแล ศิษย์น้องของเจ้าทั้งสองระวังจะเกิดอันตราย”
สำทับหวังต้าฉิน ก่อนจะสาวเท้าด้วยท่าทีสง่างามยังด้านหน้าที่เป็นที่ติดตั้งป้ายสำนักที่ทำจากไม้แผ่นใหญ่ สลักคำว่า ดุจสวรรค์สร้าง..เกาซิ่ง
ร่างสูงในอาภรณ์สีขาวสง่ามงามราวกับเทพมาจุติก้าวเดินด้วยท่วงท่าทรนง
“อาจารย์”
เสียงโห่ร้องด้วยความยินดีของบรรดาศิษย์น้อยใหญ่ เหล่าผู้บุกรุกต่างหันมามองท่าทีองอาจผ่าเผยกับใบหน้าหล่อเหลาที่เดินออกจากช่องทางเดิน ที่ทอดยาวด้วยหิน สองข้างเป็นแนวหินใหญ่ทอดยาวโอบล้อม ไม่บอกก็รู้ว่าต้องมีวรยุทธ์สูงส่งเพียงใดกันจึงสามารถเนรมิต ช่องทางเดินอลังการนี้ได้ เคลื่อนย้ายหินใหญ่โตมาใช้เป้นช่องทางเดิน แต่ผิดแล้วปู้ต้านซินแค่อาศัยศิษย์นับร้อยช่วยกันในวันพบปะสังสรรค์ศิษย์สำนักเกาซิ่งเมื่อปีก่อน
การต่อสู้พันตูหน้าป้ายสำนักเกาซิ่งที่บ่งบอกว่าผู้ที่มาต้องการจะได้มันไปครอบครอง ส่วนผู้ที่ปกป้องก็สู้ยิบตาต่างยืนลิ้นห้อยหอบเหนื่อยจากการสู้รบ“ปู้ตานซิน มอบป้ายสำนักมาให้ข้าเสียแต่โดยดี”เสียงคำรามดังลั่นปู้ตานซินถอนหายใจ พยักหน้าให้กับหวังต้าฉิน“อาจารย์ศิษย์โง่งมไม่เข้าใจความหมาย”หวังต้าฉินยิ้มเจื่อนๆ“ปลดป้าย สำนักลงมาให้ ท่านอาวุโสเง็กเต็กเสีย”“อาจารย์ยยยยยยยย”เสียงทัดทานด้วยความตกใจของเหล่าศิษย์ระงมไปทั่วบริเวณ“ปลดลงมาให้เขาเสีย”พูดดังๆด้วยเสียงเข็มดุ หวังต้าฉินทะยานขึ้นไปปลดป้ายลงมา ยื่นส่งให้อาวุโสเง็กเต็กไปถือไว้ อย่างนอบน้อม“555 ข้าประเมินท่านสูงจนเกินไป แม้จะคิดไว้ล่วงหน้าว่าสำนักเกาซิ่งในเวลาสามปียิ่งใหญ่ได้เพียงนี้ก็เพียงแค่ราคาคุย เจ้าสำนักที่เหล่าศิษย์หลายรุ่นเรียกว่าปรมาจารย์ก็ยังหนุ่มแน่น จะมีฝีมือเพียงใดกัน ข้ากำลังคิดว่าประมือกับท่านคงไม่ต้องออกแรง ส่งป้ายสำนักมาแต่โดยดีแบบนี้นับว่าทำถูกแล้ว จึงจะได้ไม่ต้องมีใครบาดเจ็บ”แววตาเย้ยหยันศิษย์หลายคนทิ้งกระบี่ทรุดกายลงด้วยความผิดหวัง บ้างก็ปาดน้ำตาและหยาดเหงื่อลงทุนปกป้องป้ายสำนัก บ้างก็คิดว่าข้าเหตุใดถึงได้โง่งมเสี่
“ข้าบอกพวกเจ้าแล้วอาจารย์ล้วนมีเหตุผลทุกอย่างเป็นอาจารย์ที่ตัดสินใจได้ถูกต้องเสมอ”เหล่าศิษย์น้องทั้งหลายพยักหน้าหงึกหงักต่างยิ้มด้วยความปลาบปลื้มใจที่ตัวเองคิดถูกผ่าด่านค่ายกลหฤโหด มาขอเป็นศิษย์ต่อไปเมื่อสำเร็จวิชาแล้วจึงจะไม่ต้องอายใคร“ศิษย์พี่ใหญ่ ไท่จือขึ้นเขามาตอนนี้อีกคน อาจารย์ยินดีรับเขาเป็นศิษย์หรือไม่เพราะอาจารย์เคยบอกไว้แล้วว่า เดือนจิวเยว่ไม่รับศิษย์”“ไท่จือ”“หลงตั๋วไท่จือผู้ยโสที่ใครต่างเล่าขาน”“เจ้ารีบไปรับหน้าไท่จือข้าจะไปรายงานอาจารย์ให้ทราบ”สะพานชมจันทร์“อาจารย์ ทำไมต้องฝึกจิต”จี้โม่ถามเมื่อปู้ตานซินให้นั่งฝึกจิตห้ามขยับกาย“จิตใจเจ้าจะได้สงบ ยิ่งสงบก็ยิ่งทำให้ซึมซับสิ่งที่ข้าต้องการสอน”“ข้าอยากเรียนเพลงกระบี่และฝึกยุทธ์”จี้โม่ มีความกระตือรือร้นตั้งแต่อายุยังน้อย มิน่าเมื่อภพก่อนเข้าถึงได้รู้สึกว่าจี้โม่มีความมักใหญ่ใฝ่สูง ผิดกับหยางหว่านที่พูดน้อย ไม่แสดงท่าทีอยากได้ใคร่มีสิ่งใดเหมือนจี้โม่“รอจนกว่า ข้าเห็นสมควรพวกเจ้าจึงจะฝึกยุทธ์ได้”“อาจารย์ เกิดเรื่องใหญ่แล้ว”หวังต้าฉินลนลานเหมือนเคย และเป้นเรื่องใหญ่เหมือนเคย“หวังต้าฉินข้าสอนเจ้าสามปีผ่านไปให้เจ้าส่ง
คนผู้หนึ่งจะกลับไปแก้ไขสิ่งใดในอดีตได้ดีเพียงใดหากเพียงแต่ทำวันนี้ให้ดี ชีวิตเขาล้วนสิ้นแล้วความทุกข์หยางหว่านกับจี้โม่ กอดก่ายกันบนแท่นนอนเสร็จสมอารมณ์หมายลักลอบพบกันในคืนเดือนมืด“พี่จี้โม่ ทุกอย่างที่เราทำล้วนไม่ผิดเป็นอาจารย์ที่กดดันเราทั้งคู่ ข้าไม่เคยมีใจให้อาจารย์มีเพียงความแค้นฆ่าพ่อที่ไม่อาจลืมเลือนในเมื่อใจเราสองคนต่างรู้ดีแต่อาจารย์กลับ โป้ปดว่าเขาเป็นผู้ที่ชุบเลี้ยงเราทั้งคู่มา”“หากฆ่าเขาเคล็ดวิชาที่ สืบทอดจึงหายไปจนสิ้น เจ้าก็รู้ว่าอาจารย์เป็นเพียงผู้เดียวที่ได้รับการสืบทอดเคล็ดวิชามาจากอาจายร์ปู่เตี่ยงเลี่ยง”จี้โม่ยังไม่อยากจะให้หยางหว่านสังหาร ปู้ตานซิน เพราะด้วยสุดยอดเคล็ดวิชานั้น เป็นหนึ่งในสุดยอดเคล็ดวิชาที่ใต้หล้าล้วนยอมสยบ“พี่จี้โม่แล้วท่านจะปล่อยให้ข้าต้องเป็นของอาจารย์ ท่านทนได้หรือ”“แน่นอนว่าข้าไม่อาจทนรับมัน แต่หยางหว่าน หากเราได้ครอบครองสำนักเกาซิ่งซึ่งควรเป็นของเราแต่เดิม ปู้ตานซินอายุเพียง28ปีก็ได้เป็นเจ้าสำนัก อีกทั้งยังได้ครอบครองสุดยอดเคล็ดวิชาแต่เพียงผู้เดียว ปลิดชีพบิดาของเราทั้งสองอ้างคุณธรรม นำเราสองคนมาชุบเลี้ยงใต้หล้าต่างชื่นชมยกย่องเขา มิใช่เ
“อาจารย์ หยางหว่านคิดถึงท่านแม่ของนางเช่นกัน”จี้โม้ พูดแทนหยางหว่าน ปู้ตานซินยิ้ม จี้โม้เติบโตขึ้นมากที่เขาทำล้วนเพื่อหยางหว่านหลายอย่างในเวลาเจ็ดเดือนที่ผ่านมานี่อาจเป็นเพราะร่วมทุกข์สุขกันมาจนสนิทกันดังพี่น้องหรืออาจเป็นเพราะสวรรค์ลิขิตไว้แล้วให้สองคนได้เห็นอกเห็นใจกัน“แล้วเจ้าไม่อยากลงไปหรือจี้โม่”“ข้าเป็นบุรุษ เรื่องอ่อนแอเช่นนี้ไม่พึงกระทำ ในวันที่ยินยอมขึ้นเขามากับท่านพ่อข้าสัญญากับท่านแม่ไว้ว่าจะเชื่อฟังอาจารย์รีบสำเร็จวิชาโดยเร็วกลับไปดูแลท่านแม่”ปู้ตานซินยิ้มบางๆจี้โม่ก็คือจี้โม่ไม่ว่า จะเป็นจี้โม่ในวัยสามขวบเกือบจะสี่ขวบหรือว่าจี้โม่ในวัย18ปีล้วนไม่ต่างกัน“ตกลงข้าให้ศิษย์พี่หยางหว่านของเจ้าลงไปกับข้า”เขา ให้หยางหว่านเป็นศิษย์พี่ของจี้โม่ในการที่เขากลับมาในครั้งนี้ เพื่อที่หยางหว่านจะได้รู้สึกว่าตัวเองอาวุโสกว่า ไม่คิดเกินเลยหรือมีใจให้กับจี้โม่ที่เป็นศิษย์น้องเป็นเพียงหนึ่งในหลายอย่างที่เขากลับมาเปลี่ยนแปลงไม่ให้มันซ้ำรอยเดิม และเขาไม่อยากได้ยิน หยางหว่านเรียกจี้โม่ว่า..ศิษย์พี่..หรือพี่จี้โม่อย่างที่เคยได้ยินแม้คำพูดเรียก ..พี่จี้โม่..ก็บาดใจเขารอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าน้
“เปลี่ยนอาภรณ์เสีย เรากำลังจะไปที่วังหลวงอาภรณ์ที่บ่งบอกว่าเป็นศิษย์ของข้าเจ้าก็ควรเปลี่ยนมันใหม่เสียหมด”ปู้ตานซินล่อหลอกหลงตั๋วให้ทำตามแผนการเขาส่วนเขาก็เปลี่ยนอาภรณ์ที่งามสง่าให้เป็นอาภรณ์สีทึมทึบ“อาจารย์อาจารย์จงใจพาข้ามาเยี่ยมเสด็จพ่ออย่างนั้นหรือ”เพียงพยักหน้าน้อยๆ ไม่ได้อธิบายอะไรปู้ตานซินไม่จำเป็นต้องอธิบายสิ่งใดให้ใครฟังเขาเองทำสิ่งใดเพียงลำพังมาตลอด“ออกเดินทางต่อได้แล้ว หยางหว่านอยู่ข้างอาจารย์อาจารย์จะอุ้มเจ้าหากเหนื่อยนักก็ต้องพัก ระหว่างนี้ห้ามออกห่างอาจารย์”หยางหว่านพยักหน้ากอดรอบลำคอ เหมือนพ่อกับลูกสาวตัวน้อย ปีศาจพรายน้ำแอบมองคนทั้งสามไม่วางตา สองสามวันมานี่ยังไม่มีอาหารตกถึงท้องชาวบ้านล้วนหวาดกลัว ไม่มีใครเข้าใกล้ลำธารสองคนพ่อลูกแม้จะเหมือนไม่ระวังตัว และสองคนทำให้อิ่มไปหลายวัน แต่บางอย่างในตัวคนเป็นพ่อทำเอาเจ้าปีศาจไม่อยากเข้าใกล้ จะว่าไปบุรุษหนุ่มหล่อเหลาเช่นไรถึงต้องแบกลูกสาวเพียงลำพัง เป็นม่ายตั้งแต่ยังหนุ่ม ส่วนเจ้าหนุ่มหน้าตาเหลอหลานั่นมองอย่างไรก็โง่งม แม้ผิวพรรณหน้าตาจะต่างจากชาวบ้านทั่วไป จากที่ดูแล้วคาดว่าแม้แต่ธนูยังยิงไม่เป็น เอาเป็นว่าเจ้าหนุ่มนั่นล่
ปู้ตานซินทำสีหน้าเรียบเฉยยังคงสูงส่งบริสุทธิ์เช่นเดิม เรื่องใดกันที่เขาจะต้องรับผิดชอบต่อชาวบ้านเช่นนี้หากไม่ใช่เพราะเขาไม่อยากให้เสียงร่ำลือน่ารำคาญดังมาถึงหูของเขาว่าด้วยเรื่อง ไม่มีใครสนใจเรื่องทุกข์ร้อนของชาวบ้านไม่ว่าจะเป็นปรมาจารย์หรือฮ่องเต้ จึงไม่จัดตัวเองอยู่ในคนที่ไม่สนใจความทุกข์ร้อนของชาวบ้านด้วยเป็นคนขี้รำคาญหาใช่อยากจะเป็นคนดีอะไรถ้ำใต้น้ำ“เจ้าจะต้อง ถูกอาจารย์ของข้าจัดการราบคาบเจ้าพรายน้ำหน้าโง่”“อาจารย์เจ้าใครกันจะต้องกลัว ในเมื่อใต้น้ำนี่เป็นที่ของข้า อาจารย์เจ้าเก่งแค่ไหนเมื่อลงมาใต้น้ำก็ต้องเป็นรองข้า มนุษย์ธรรมดาเช่นไรจึงจะสามารถมาถึงนี่ได้ ต้องเก่งกาจเพียงใดจึงจะลงมาเมืองบาดาลของข้า”“อาจารย์ข้าเป็นถึงปรมาจารย์”“555ได้ยินมาหลายคนแล้วที่อ้างตัวเป็นปรมาจารย์เพียงแค่ข้าฉีกเนื้อกินเสียก็สารภาพจนสิ้นว่าแอบอ้าง”“เจ้าปีศาจร้าย ไม่เชื่อที่ข้าพูดก็เรื่องของเจ้าแต่หากอาจารย์มาจะต้องจัดการเจ้าปางตายแน่ทางที่ดีปล่อยข้าไปเสีย”“เรื่องใดกันข้าต้องปล่อยเจ้า ดูจากท่าทางแล้ว คงอร่อยไม่เบา น่าลิ้มลองเสียจริง”“เฮ้ยไม่ได้นะ จะกินข้าไม่ได้ข้าเป็นถึงไท่จือ”“555เดี๋ยวก็เอาอาจารย์
“เดินทางต่อหากช้าเกรงว่าไท่จือจะพบกับอันตราย”หยางหว่านแหงนหน้ามอง หลินอี้หลิว ด้วยแววตาชื่นชมที่นางช่างงดงามแล้วยังมีท่าทีองอาจดุจชายชาตรี มือข้างหนึ่งกำกระบี่ไว้ในมือนั่นอีกเล่าช่างงดงามยิ่งนัก“น้องสาวนั่งบนหลังม้าไปกับข้าดีไหม”หยางหว่านพยักหน้าช้าๆ ปู้ตานซินเบือนหน้าหนีเสีย หากมองนางเกรงว่าจะคิดว่าเขาสนใจ เขาจึงพึงกระทำเช่นนี้ประจำไม่เคยมองหรือสบตาหญิงใดนอกจากหยางหว่านคนเดียวลำธารกลางป่า“ที่นี่ ไท่จือหายไปที่ตรงนี้”“ตรงกับที่ข้าได้ยินมาจากชาวบ้านหลายคนหายไปที่นี่”หลินอี้หลิว พูดขึ้น“ท่านปรมาจารย์จะทำเช่นไรจึงจะพบตัวไท่จือ”แม่ทัพที่มาด้วยประสานมือพูดด้วยความนอบน้อม“ข้า เปิดทางน้ำไปจนถึงเมืองบาดาลได้ไม่ยาก พวกท่านก็แค่ช่วยไท่จือ”“ง่ายดายเช่นนั้น เชียวหรือ”หลินอี้หลิวถามขึ้นดังๆอยากจะพูดโต้ตอบไปว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าจะรู้อะไร ว่านี่มันคือแผนการ ที่เขาวางไว้หมดแล้วเขาก็แค่ทำในสิ่งที่องครักษ์กับทหารพวกนั้นทำไม่ได้รอรับคำสรรเสริญ แต่เรื่องจัดการกับเจ้าปีศาจปลายแถวนั่นต้องเป็นหน้าที่ของทหารพวกนั้น หรืออาจเป็นนาง ปู้ตานซินก็เพียงแค่นั่งมอง พวกเขาจัดการกับปีศาจให้ชาวบ้านโจษขานก
“โอหังเจ้าปีศาจชั้นต่ำพวกข้าเป็นถึงองครักษ์เกราะทองเกราะเงินเช่นไรจึงจะกินพวกข้าได้”“ฮ่องเต้ข้าก็จะกิน ไท่จือยังเกือบถูกข้ากินไปแล้วหากช้าอีกนิดคงต้องเป็นอาหารเข้าไปแล้ว”ใช้เล็บจิกเข้าไปในคอของหลงตั๋ว“พวกเจ้ามัวแต่ต่อปากต่อคำรีบจัดการมันเสีย อะอะอาจารย์ช่วยข้าด้วย”ปู้ตานซิน สะบัดฝ่ามือ แรงลมมหาศาลปะทะใบหน้าของปีศาจพรายน้ำจนกระเด็นไปเกือบสามจั๋ง หลงตั๋วหลุดออกจากการเกาะกุม เหล่าองครักษ์รีบพยุงร่างของไท่จือ“ไม่เลว ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่ถึงได้พร่ำพูดถึงอาจารย์”เ้าปีศาจพรายน้ำรวบรวมกำลังลมปราณก่อนจะผลักก้อนพลังกลมสีแดงใส่ ปู้ตานซินอย่างแรง เพียงคิดว่ายืนเฉยๆ อย่างสง่างามก็ไม่มีพลังใดทำอันตรายเขาได้ด้วยเศษพลังอันน้อยนิดที่เจ้าปีศาจพรายน้ำรวบรวมมานั้น ปู้ตานซินสัมผัสได้ว่ามันไม่ทำให้สะทกสะท้านแต่อย่างใดแต่ หลินอี้หลิวคนโง่เขลานั้น ถลาเข้ามาขว้างก้อนพลังไว้ ก้อนพลังสีแดง ถูกผลักเข้าเต็มอกของหลินอี้หลิว ที่สะอึกกระอักเลือดสดๆ ออกมา ปู้ตานซินถอนหายใจส่ายหน้าด้วยความเบื่อระอานางคิดว่านางเป็นใครกันสบประมาทเขาเพียงนั้นเชียวหรือช่างไม่น่าไห้อภัยอย่างยิ่ง หญิงโง่งม ไร้ความเฉลียวฉลาด คิดว่าตัวเองม