“เดินทางต่อหากช้าเกรงว่าไท่จือจะพบกับอันตราย”หยางหว่านแหงนหน้ามอง หลินอี้หลิว ด้วยแววตาชื่นชมที่นางช่างงดงามแล้วยังมีท่าทีองอาจดุจชายชาตรี มือข้างหนึ่งกำกระบี่ไว้ในมือนั่นอีกเล่าช่างงดงามยิ่งนัก
“น้องสาวนั่งบนหลังม้าไปกับข้าดีไหม”
หยางหว่านพยักหน้าช้าๆ ปู้ตานซินเบือนหน้าหนีเสีย หากมองนางเกรงว่าจะคิดว่าเขาสนใจ เขาจึงพึงกระทำเช่นนี้ประจำไม่เคยมองหรือสบตาหญิงใดนอกจากหยางหว่านคนเดียว
ลำธารกลางป่า
“ที่นี่ ไท่จือหายไปที่ตรงนี้”
“ตรงกับที่ข้าได้ยินมาจากชาวบ้านหลายคนหายไปที่นี่”หลินอี้หลิว พูดขึ้น
“ท่านปรมาจารย์จะทำเช่นไรจึงจะพบตัวไท่จือ”แม่ทัพที่มาด้วยประสานมือพูดด้วยความนอบน้อม
“ข้า เปิดทางน้ำไปจนถึงเมืองบาดาลได้ไม่ยาก พวกท่านก็แค่ช่วยไท่จือ”
“ง่ายดายเช่นนั้น เชียวหรือ”หลินอี้หลิวถามขึ้นดังๆ
อยากจะพูดโต้ตอบไปว่าเด็กเมื่อวานซืนอย่างเจ้าจะรู้อะไร ว่านี่มันคือแผนการ ที่เขาวางไว้หมดแล้วเขาก็แค่ทำในสิ่งที่องครักษ์กับทหารพวกนั้นทำไม่ได้รอรับคำสรรเสริญ แต่เรื่องจัดการกับเจ้าปีศาจปลายแถวนั่นต้องเป็นหน้าที่ของทหารพวกนั้น หรืออาจเป็นนาง ปู้ตานซินก็เพียงแค่นั่งมอง พวกเขาจัดการกับปีศาจให้ชาวบ้านโจษขานกันว่าเขาเป็นคนนำกำลังหทารมา หรืออาจจะแย่หน่อยอาจมีคนสรรเสริญฮ่องเต้ที่ส่งทหารมาจัดการปีศาจ แต่เรื่องเปิดทางน้ำที่เป็นวิชาเอกของสำนักเขา หากพวกทหารเห็นหรือชาวบ้านเห็นเอาไปเล่าต่อ เขายิ่งได้รับชื่อเสียงเพียงแค่ทำเรื่องน้อยนิดแต่เป็นเรื่องที่ผู้อื่นทำไม่ได้ จึงถูกมองว่ายิ่งใหญ่ หารู้ไม่ว่าเขาวางแผนการให้ไท่จือถูกจับเป็นตัวล่อไม่ใช่แค่เจ้าปีศาจที่หลงกล ฮ่องเต้ก็หลงกล ปู้ตานซินเผลอยิ้มให้กับแผนอันแยบยลของตัวเอง
“เดี่ยวพอเจ้าพบปีศาจพรายน้ำก็จะรู้เอง” ไม่มีใครอาสาออกหน้าเอาเนื้อไปรองหน้าเขียงมีเพียงเขาที่มองการณ์ไกล สำนักกระบี่ฟ้าเองก็นับว่าหัวไวมองการณ์ไกลเช่นเขา ความจริงเจ้าปีศาจตัวนี้ไม่ได้ร้ายกาจอะไรเพียงแต่ทุกคนไม่มีใครคิดที่จะเสนอตัวออกมาปราบปีศาจให้กับชาวบ้าน ในเมื่อเขาเป็นคนเสนอตัวเขาจึงเหมาะที่จะได้คำเยินยอ พรรคน้อยใหญ่โง่เขลาคิดไม่ไกลเท่ากับปู้ตานซิน
“ท่านปรมาจารย์เชิญท่านเถิดหากช้าเกรงว่าไท่จือจะพบกับอันตราย”
เดินกำลังลมปราณเพียงน้อยนิดปู้ต่านซินใช้โบกมือ ม่านน้ำให้แยกออกจากกันจนเห็นพื้นหินพื้นทราย เป็นทางกว้างเหล่าทหารเบิกตากว้าง บางคนถึงกับกระโดดตัวลอย ด้วยความตื่นเต้น หลินอี้หลิวยิ้มรู้สึกว่ามองไม่ผิดปรมาจารย์หนุ่มมากฝีมือ จะเป็นของใครหากไม่ใช่ของหลินอี้หลิว นางจะต้องใช้โอกาสอันดีนี้สร้าง เรื่องราวให้มีความผูกพันกันจน ปู้ตานซินไม่อาจมองข้ามนาง หยางหว่านปรบมือเปาะแปะ
“ท่านปรมาจารย์ม่านน้ำนี่อยู่ได้นานแค่ไหน”
ท่านแม่ทัพเอ่ยปากถามกล้าๆ กลัวๆ กลัวว่าหากเดินลงไปแล้วม่านน้ำปิดลงไปเสียพวกเขามิต้องตายอยู่ในนี้หรือ
“ไม่ต้องห่วง มันจะอยู่จนกว่าข้าจะสั่งให้มันปิดลง”
“โอ้ไม่น่าเชื่อท่านปรมาจารย์ท่านช่างเยี่ยมยุทธ์เสียจริงไม่น่าเชื่อว่าในใต้หล้านี้ยังมีปรมาจารย์ท่านไหนที่จะเก่งกาจเช่นปรมาจารย์ปู้ตานซิน”
เพียงวางท่าเชิดหน้าให้สูงส่งหาได้ ตอบรับหรือปฏิเสธไม่ ด้วยว่าการเป็นปู้ตานซินนั้นยากที่จะแสดงอารมณ์ชัดเจน ให้เป็นที่ประจักร ท่านแม่ทัพยิ้มจนเก้อในเมื่อปู้ตานซินไม่ยิ้มตอบแม้นจะเยินยอเพียงใดเขาก็หาใช่ผู้ที่ลุ่มหลงคำเยินยอ
“ พวกเจ้าตามข้ามา ระวังกันให้มาก หยางหว่าน มาอยู่ข้างๆ อาจารย์”หย่างหว่านน้อยเดินไปสอดมือในอุ้งมืออุ่นของปู้ตานซินรู้สึกอบอุ่นที่เหมือนดังบิดาก็ไม่ปาน
“ท่านจ้าวสำนักขาอาสาดูแลศิษย์ของท่านให้เอง”
“ไม่ ข้าดูแลนางได้”
ไม่วางใจ ให้ใครปกป้อง ...หัวใจของเขา หากเป็นหยางหว่านเป็นอะไรไป ปู้ตานซินมิต้องใช้วิชาท่องกาลเวลาอีกครั้งหรือในเมื่อการมาครั้งนี้ก็เพื่อนาง แม้เจ้าปีศาจ พรายน้ำจะไม่มีพิษสงอะไรก็เพื่อไม่ประมาทเขาจะไม่มีทางเอาหยางหว่านไปเสี่ยง
“ท่านห่วงใยศิษย์ยิ่งนักมิน่า ศิษย์ของท่านแต่ละคนล้วนพูดไปในทางเดียวกันว่าปรมาจารย์ปู้ตานซิน ห่วงใยดูแลศิษย์ในสำนักดียิ่งกว่าจ้าวสำนักคนไหน”
ปู้ตานซินยิ้มบางๆ ขยับกายจูงมือหยางหว่านยังใต้บาดาลที่ มองเป็นเพียงความมืดดำทะมึนปู้ตานซิน ไม่มีสีหน้าสะทกสะท้านแม้แต่น้อย
“อาจารยยยยยย์ ช่วยศิษย์ด้วย”ปู้ตานซินส่งสายตา ห่วงใยไปให้กับหลงตั๋วที่สีหน้าแช่มชื่นเมื่อเห็นว่าปู้ตานซินกลับมาช่วยเขา อย่างที่คาดหวังไว้
“สะบัดมือเพียงพริบตาโซ่เหล็กขาดสะบั้น เจ้าปีศาจพรายน้ำเข้ามาขว้างไว้ทั้งตัว
“555มาหลายคนดีเหลือเกิน ข้ามีอาหารกินไปอีกหลายวัน"
“โอหังเจ้าปีศาจชั้นต่ำพวกข้าเป็นถึงองครักษ์เกราะทองเกราะเงินเช่นไรจึงจะกินพวกข้าได้”“ฮ่องเต้ข้าก็จะกิน ไท่จือยังเกือบถูกข้ากินไปแล้วหากช้าอีกนิดคงต้องเป็นอาหารเข้าไปแล้ว”ใช้เล็บจิกเข้าไปในคอของหลงตั๋ว“พวกเจ้ามัวแต่ต่อปากต่อคำรีบจัดการมันเสีย อะอะอาจารย์ช่วยข้าด้วย”ปู้ตานซิน สะบัดฝ่ามือ แรงลมมหาศาลปะทะใบหน้าของปีศาจพรายน้ำจนกระเด็นไปเกือบสามจั๋ง หลงตั๋วหลุดออกจากการเกาะกุม เหล่าองครักษ์รีบพยุงร่างของไท่จือ“ไม่เลว ถึงว่าเจ้าหนุ่มนี่ถึงได้พร่ำพูดถึงอาจารย์”เ้าปีศาจพรายน้ำรวบรวมกำลังลมปราณก่อนจะผลักก้อนพลังกลมสีแดงใส่ ปู้ตานซินอย่างแรง เพียงคิดว่ายืนเฉยๆ อย่างสง่างามก็ไม่มีพลังใดทำอันตรายเขาได้ด้วยเศษพลังอันน้อยนิดที่เจ้าปีศาจพรายน้ำรวบรวมมานั้น ปู้ตานซินสัมผัสได้ว่ามันไม่ทำให้สะทกสะท้านแต่อย่างใดแต่ หลินอี้หลิวคนโง่เขลานั้น ถลาเข้ามาขว้างก้อนพลังไว้ ก้อนพลังสีแดง ถูกผลักเข้าเต็มอกของหลินอี้หลิว ที่สะอึกกระอักเลือดสดๆ ออกมา ปู้ตานซินถอนหายใจส่ายหน้าด้วยความเบื่อระอานางคิดว่านางเป็นใครกันสบประมาทเขาเพียงนั้นเชียวหรือช่างไม่น่าไห้อภัยอย่างยิ่ง หญิงโง่งม ไร้ความเฉลียวฉลาด คิดว่าตัวเองม
“พวกเจ้าต้องเห็นตอนที่ท่านปรมาจารย์สะบัดฝ่ามือเปิดทางน้ำให้พวกข้าเดินลงไปในเมืองบาดาล จะบอกให้ตั้งแต่ข้าเกิดมา ไม่เคยเห็นว่ามีปรมาจารย์ท่านใดทำเรื่องเช่นนี้ได้มาก่อน”ดวงตาทุกคู่ในที่นั้นล้วนแสดงถึงความตื่นเต้น“เสียดายที่พวกข้าไม่ได้รับบัญชาให้ตามไป นับเป็นบุญตาขององครักษ์เกราะเงินและเกราะทอง และแปดกองธงคราวหลังองครักษ์เสื้อแพรคงต้องขันอาสาตามติดท่านปรมาจารย์ ไปให้ได้”“ยังไม่หมดเท่านั้น ตอนที่ท่านปรมาจารย์พลิกฝ่ามือผนึกเจ้าปีศาจพรายน้ำจนกลายเป็นหินพวกข้าแทบไม่กะพริบตาเลยทีเดียว ท่วงท่างดงาม ราวกับเทพลงมาจุติเป็นโชคดีของไท่จือที่ได้เป็นศิษย์ของท่านปรมาจารย์ปู้ตานซิน”“ท่านปรมาจารย์ น่าสรรเสริญเสียจริง ข้าพูดแล้วอยากมีลูกขึ้นมาจะส่งไปฝึกวิชากับ ท่านปรมาจารย์เสียเลย”“ว่ากันว่าขึ้นเขาต้องผ่านค่ายกลที่ท่านปรมาจารย์สร้างขึ้นเอง บางคนใช้เวลาหลายปีกว่าจะผ่านได้ วนมาเวียนไปหลายปีกว่าจะขึ้นเขาไปคารวะเป็นศิษย์ แต่ได้ยินมาว่าไท่จือ เพียงแค่แอบขึ้นไปเดือนจิ่วเยว่ที่ค่ายกลอ่อนแอ”“อย่าได้พูดไป ปกติท่านปรมาจารย์ไม่รับศิษย์เดือนจิ่วเยว่ถึงขึ้นไปได้ก็ไม่รับ แต่นี่เพียงแค่ อาศัยรับศิษย์ที่เป็นหลานลูก
“ข้าเคยได้ยินอาจารย์พูดว่า ที่นั่นเป็นที่ผนึกร่างมารของจอมมารฉูฉางที่ปรมาจารย์กงล้งในอดีตใช้สุดยอดเคล็ดวิชาผนึกไว้จนตัวเองต้องแตกดับสลายร่างกลับสู่สรวงสวรรค์ช่างน่าค้นหาเสียจริง”“น้องเล็กเจ้าคิดเห็นเช่นไร”ป้อก้านหันไปทางปู้ตานซิน“ไม่ควรเข้าไปอย่างยิ่งหากประเหมาะเคราะห์ร้ายทำผนึกแตก แล้วจะต่อกรกับจอมมารได้อย่างไร”วิเคราะห์ตามแบบของปู้ตานซิน“เป็นเพียงตำนาน ล่อลวงไม่ให้ผู้คนย่างกรายเข้าไปเสียมากกว่า แต่เดิมเหล่าจอมยุทธ์ล้วนแวะเวียบนเข้าไปทว่าบัดนี้ฝ่าบาทกลับให้องครักษ์เฝ้าระวัง สร้างเรือนอารักขาไว้ด้านหน้าเสียงร่ำลือยังบอกอีกว่า”ปอคุนกระซิบเบาสุดเบา“ฝ่าบาทต้องการหวงแหนเคล็ดวิชานั่นเอาไว้ให้กับไท่จือเพียงผู้เดียว”ปู้ตานซินคิดถึงใบหน้ายะโสของหลงตั๋วไท่จือที่ไม่แม้แต่จะทักทายเขาในวันที่เขากับศิษย์พี่ทั้งสองเข้าไปในวังหลวงตามคำเชิญของฮ่องเต้เพื่อให้หลงตั๋วในตอนนั้นคัดเลือกใครสักคน ในพวกเขาสามคนเป็นอาจารย์ อดีตเป็นบทเรียน หลงตั๋วไท่จือชี้มือมายังปู้ตานซินต้องการให้เขาเป็นอาจารย์“ท่านจะต้องมาอาศัยในวังหลวงคอยสั่งสอนข้าเรื่องจะให้ข้าขึ้นเขาคงไม่อาจ ด้วยฐานะไท่จือของข้าสูงส่งยิ่ง ไม่เหมาะท
“เกรงใจแล้ว ไท่จือไม่จำเป็นจะต้องเรียกข้าว่าอาจารย์ก็ได้ ในเมื่อไท่จือสูงส่งเพียงนี้”“ที่ข้าเลือกอาจารย์ให้เป็นอาจารย์ของข้าด้วยท่าทีของท่านช่างต้องตาข้า ท่านท่าทีองอาจเกินใครอีกทั้งมีบางอย่างที่ข้าไม่อาจรู้ได้ว่าท่านมีสิ่งใดซ่อนอยู่ภายในต้องเป็นสิ่งที่ดีแน่นอน”ทำสีหน้าเรียบเฉย เขานะหรือ มีสุดยอดเคล็ดวิชาของอาจารย์อย่างไรเล่า โดยที่ศิษย์พี่ทั้งสองของเขาไม่มี“วันนี้ข้ายังไม่อยากจะร่ำเรียนสิ่งใด ความจริงบอกไว้ก่อนที่ข้ายอมเลือกอาจารย์เพราะว่าไม่อยากให้เสด็จพ่อที่คอยเร่งเร้าให้ข้าเปลี่ยนตัวเองเสียใหม่ข้า ยังรักการเที่ยวเล่น เป็นไท่จือจะต้องทำเรื่องอื่นทำไมกันรอให้นั่งบัลลังก์ก็ต้องทำเพื่อคนอื่น ตอนนี้ขอทำเพื่อตัวเอง ข้ามานี่เพื่อเข้าไปในถ้ำอาจารย์มาก็ดีแล้วข้าอยากรู้ว่าในถ้ำที่หลายชั่วคนต้องลงทุน สร้างเรือนอารักขาไว้ คอยเฝ้าเพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่ แล้วยังเรื่องเล่าที่บอกว่าเก็บเคล็ดวิชาไว้เพื่อไท่จือ ข้าก็เป็นไท่จือจึงเหมาะที่จะได้เคล็ดวิชานั้นไปไม่จำเป็นต้องฝึกฝนให้เหนื่อยหนัก” ปู้ตานซินเหลือบตามองหลงตั๋ว ช่างใจตรงกันกับศิษย์พี่ทั้งสองของเขา วันอื่นมากมายไม่เข้ามาวันนี้หลงตั๋วมีสิ่ง
ปู้ตานซินกลับออกมาจากถ้ำ ที่ผนึกฉูฉางไว้“ศิษย์น้องเจ้าเป็นอย่างไรบ้างข้ากับป้อคุนหลงไปอีกฝั่งของถ้ำไม่สามารถหาทางกลับไปได้”“ไม่เป็นไรข้าแค่ตกใจกับสิ่งที่พบ จอมมารฉูฉางน่ากลัว อีกทั้งมีลมปราณที่แข็งแกร่งข้าอยู่ใกล้แล้วรู้สึกไม่ค่อยดี”“เจ้าปลอดภัยก็ดีแล้ว ไว้คราวหลังเราทั้งหมดค่อยให้เจ้านำไปที่นั่นอีกครั้ง”“เรื่องเล่าเหล่านั้นหามีความจริงไม่ ศิษย์พี่ทั้งสองเลิกล้มความตั้งใจเสียเถิด มีเพียงการมุ่งมั่นในการคัดสรรศิษย์และสั่งสอนพวกเขาให้ดี เรื่องเล่าของสำนักเราคงโด่งดังเช่นกัน และย่อมจะมีคนอยากมาคารวะเป็นศิษย์”“อืมเจ้าพูดมีเหตุผลว่าแต่เราจะรับใครเป็นศิษย์ในเมื่อสำนักเราเพิ่งจะก่อตั้งขึ้นมาไม่นาน”“ตอนนี้ ปีศาจกินคนพรายน้ำกำลังอาละวาดจับผู้คนไปเมืองบาดาล ข้าเห็นว่าเราควรปราบปีศาจตนนั้นเสีย แล้วชาวบ้านจึงซาบซึ้งบุญคุณล้วนกล่าวขานชื่นชม เมื่อนั้นจึงจะสร้างชื่อเสียง”“ความคิดของเจ้าไม่เลว ไม่มีใครคิดได้เช่นเจ้าใครก็ล้วนไม่อยากเอาตัวเองไปเสี่ยงแต่สำนักเกาซิ่งของเรา หวังสร้างชื่อเสียง เราทั้งสามคงต้องทำเหมือนที่เจ้าบอก”ในครั้งนั้น ปู้ตานซินปล่อยให้ปีศาจพรายน้ำอาละวาดจับชาวบ้านเป็นอาหารถึงส
“อาจารย์ หยางหว่านอย่างเรียนเคล็ดวิชานั้นกับอาจารย์”เขาแสยะยิ้มพลิกร่างบางลงใต้ร่างเขาเสพสมจนพอใจ แลกกับเคล็ดวิชา แต่เรื่องนี้ หยางหว่านหารู้ไม่ว่าเขามิได้ถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้จนเสร็จสมบูรณ์เพียงแค่ผิวเผิน เพียงแค่ผิวเผินเท่านั้นแลกกับร่างกายของนางให้เขาเสพสมจนอิ่มหนำหากจะได้ทั้งหมดจะต้องแลกด้วยความภักดี เสียงครางนามของจี้โม่ยังติดอยู่ในใจ เรื่องใดกันในเมื่อนางไม่จริงใจเหตุใดเขาต้องจริงใจตอบปู้ตานซินหลับตาลงช้าๆ สลายร่างคงพลังทิพย์ ด้านมืดสลายหายไปเขากลับเป็นปู้ตานซินคนเดิมก่อนที่จะเข้าไปในถ้ำที่ผนึกฉูฉาง หากว่าต้องเข้าไปที่นั่นอีกครั้งเขาจะต้องจัดการเช่นไรตอนนี้ยังคิดไม่ออก ในตอนนั้นเขาถึงกับฆ่าศิษย์พี่ทั้งสอง ฆ่าทุกคนไร้ซึ่งเมตตา และทำทุกอย่างให้ได้ครอบครองยุทธภพและหยางหว่าน แต่ครั้งนี้เขากลับมาแก้ไข แต่จอมมารฉูฉางยังอยู่ที่นั่น แม้เขาจะหาทางเลี่ยงแต่ผนึกก็ปริแตก ปู้ตานซินคิดไม่ออกว่าจะทำอย่างไรดีในตอนนั้นปู้ตานซิน อ่อนหัดยิ่งนักแม้จะผ่านเรื่องราวมา อีกครั้งก็ยังคิดว่าตัวเองไม่ได้แข็งแกร่งเพียงนั้น แค่เพียงสร้างเกราะขึ้นมาก็เท่านั้น ตอนนั้นเขาไม่ลังเลที่จะฆ่าปีศาจพรายน้ำให้ตายลงต่อ
“สำนักของข้า อาจดูคับแคบแต่หวังว่าศิษย์น้องจะไม่ถือสา”ยิ้มบางๆ ก้าวเท้าเดิน เข้าไปในห้องพักนั่งลงเดินลมปราณ เพื่อทดสอบกำลังของตัวเอง ตั้งใจถอดวิญญาณ ไปยังถ้ำที่ผนึกจอมมารฉูฉางเพื่อตรวจดูว่าผนึกที่ปริแตกเสียหายมากน้อยแค่ไหน“อาจารย์”หยางหว่านเดินหอบหมอนเข้ามาข้างใน“เจ้าไม่นอนกับมารดาหรือไร ไหนบ่นว่าคิดถึงพ่อกับแม่”อดที่จะทอดเสียอ่อนโยนเสียไม่ได้ ในเมื่อภาพความทรงจำเก่าๆ ที่หยางหว่านเสแสร้งเป็นว่า รักและภักดีกับเขา ยังวนเวียนในหัว“หยางหว่านอนไม่หลับ ต้องให้ใครสักคนตบตูด”“แม่ของเจ้าเล่า”“อาจเป็นเพราะห่างบ้านไปเสียนาน อาจารย์หยางหว่านคุ้นชินกับการนอนกับท่านเสียมากกว่า”ปู้ตานซินถอนหายใจยาวนางเสแสร้งหรือไม่ในเมื่อเพิ่งจะสี่ขวบแล้วเขาจะเชื่อคำพูดนางได้มากน้อยแค่ไหนในเมื่อที่ผ่านมาเขาไม่อาจแยกแยะว่าจริงหรือหลอก“กลับไปนอนกับแม่ของเจ้าเสียหยางหว่านอาจารย์มีเรื่องจะต้องทำในคืนนี้ ไม่ว่างมาทำเรื่อง แบบนั้นเพื่อเจ้า”“แง…..ฮืออออออออาจารย์ใจร้ายอาจารย์ใจร้ายที่สุดดดด”หยางหว่านวิ่งออกจากห้องไป ปู้ตานซินถอนหายใจเรื่องราวก่อนนั้น“อาจารย์ ข้านอนไม่หลับ”ปู้ตานซินลุกขึ้นจากแท่นนอน ตบมือลงบนแท่น
“ศิษย์ลงเขาไปครั้งนี้แม้ไม่อันตรายเท่าไหร่ ทว่าบนเขายังมีเรื่องให้ต้องห่วง”ไม่ต้องเอ่ยปากปู้ตานซินก็เข้าใจว่าจี้โม่ห่วงใยหยางหว่านกลัวว่านางจะคิดถึงเขา เหอะ ไม่มีทางข้าจะทำให้นางลืมเลือน ม้าไม้ไผ่เช่นเจ้าไปเสีย“บนเขาปลอดภัยยิ่งมีสิ่งใดให้ห่วงใย”แสร้งทำเป็นไขสือ“ข้าห่วงยิ่งคืออาจารย์ ที่จะขาดคนคอยปรนนิบัติ อีกทั้งคนอื่นอาจไม่ถูกใจทันใจเช่นจี้โม่ ครั้งนี้หวังว่าศิษย์พี่จะรับปากปรนนิบัติอาจารย์แทนข้า ข้าจึงวางใจลงไปทำหน้าที่แทนศิษย์ทั้งหลายของสำนักเกาซิ่ง อย่างดีที่สุด”ปู้ตานซินอยากจะใช้เคล็ดวิชาอ่านใจ ก่อนจะยิ้ม ห่วงข้าเจ้าแน่ใจหรือว่าห่วงข้ามิได้ห่วงหยางหว่าน“ศิษย์น้องจี้โม่เจ้าไม่ต้องห่วงอาจารย์ ศิษย์พี่ต้าฉินจะปรนนิบัติอาจารย์แทนเจ้าลงเขาไปด้วยความวางใจเจ้าทำเพื่อสำนักของเรา ล้วนเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง”ปู้ตานซินลืมตาขึ้นช้าๆ“หยางหว่านข้าดูแลนางแทนเจ้าไม่ต้องห่วง นางเป็นศิษย์พี่ของเจ้า นางก็เป็นศิษย์ของข้าเช่นกัน”พูดในสิ่งที่อ่านใจได้มา จี้โม่ซ่อนยิ้มบางๆ เมื่ออาจารย์ล่วงรู้สิ่งที่เก็บงำในใจ“ข้าห่วงนางเพียงส่วนหนึ่งในเมื่อข้ากับนาง ขึ้นเขาพร้อมกัน ตอนนี้วรยุทธ์ของเราสองก็ก้าวหน้า