หนึ่งเดือนผ่านไป
ราวกับว่ากำลังใจจากอู๋เยว่ชิงเป็นโอสถชั้นดี ร่างกายของหลินซีเวยจึงดีขึ้นเป็นลำดับแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เวลานี้จึงพอที่จะเดินเล่นนอกตำหนักได้บ้างแล้ว
นับเป็นครั้งแรกที่เหล่าขันทีและนางในได้เห็นองค์ชายสามและชายาประทับอยู่ในสวนดอกไม้ สายตาทุกคู่เห็นพ้องต้องกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาราวกับคนรักกันก็มิปาน
การกระทำของหลินซีเวยไม่มีปิดบัง การแสดงออกของเขาทำให้หลายคนได้ตระหนักว่าองค์ชายสามผู้นี้ก็มีด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยนเช่นกัน
“เทศกาลชมจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าอยากไปเที่ยวชมหรือไม่เยว่ชิง” หลินซีเวยเอ่ยปากชวนนาง สีหน้าคาดคั้นหวังว่านางจะตอบรับคำขอ
“เพคะ” รอยยิ้มบางของนางถือเป็นคำตอบ อู๋เยว่ชิงไม่เคยปฏิเสธคำขอของเขาสักครั้ง
“เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดีเถิด” เขาบอกกล่าวอย่างมีเลศนัยพลางเอื้อมมือมากุมมือสองข้างของนางไว้ “ขอบคุณที่ดูแลข้ามาตลอด”
“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มให้เขา “หม่อมฉันไม่หวังสิ่งใดไปมากกว่านี้แล้ว”
“เพราะรักข้าน่ะหรือ” หลินซีเวยหยอกล้อนางอย่างเคย
“เพคะ เพราะรักพระองค์”
“ข้าก็รักเจ้า เยว่ชิง” สีหน้าของหลินซีเวยจริงจังยามพูดคำนี้ พลางถามลองใจนางอีกหนึ่งอย่าง “หากข้าไม่ใช่คนดีอย่างที่เจ้าเห็น จะยังคงรักข้าอยู่อีกหรือไม่”
“...”
“สัญญากับข้า ไม่ว่าจะเกิดอันใดขึ้น เจ้าจะยังคงรักข้าไม่เปลี่ยนแปลง”
อู๋เยว่ชิงไม่รู้ว่าทำไมหลินซีเวยจึงอยากได้คำสัญญาเรื่องนี้มากถึงเพียงนั้น ทั้งที่การกระทำและคำพูดของนางตั้งแต่วันนั้นจนถึงวันนี้ยังคงเป็นดังเดิม “สัญญาเพคะ”
หลินซีเวยโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้พลางประกบริมฝีปากอู๋เยว่ชิง สายตามองลึกเข้าไปในดวงตาคู่สวย ถอนจุมพิตแล้วพูดว่า “ทำสัญญาเรียบร้อย”
อู๋เยว่ชิงถอนหายใจแล้วเป็นฝ่ายทำสัญญากลับคืนบ้างก่อนจะเขินจนหน้าแดงเพราะการกระทำของตนเอง เขาจึงโอบกอดนางเอาไว้หอมแก้มทางซ้ายทีขวาทีจนสติของอู๋เยว่ชิงแทบจะหลุดลอย
ไม่ไกลนักใต้ร่มเงาต้นไม้ใหญ่ เฉินซือหยางถามสหายสัตว์อสูรว่า “นายท่านมีความรักหรือ”
“ไม่รู้สิ” เขาเองก็ไม่แน่ใจ
“การกระทำเช่นนั้น ไม่ใช่ความรักจะเรียกว่าอันใดเล่า” ปีศาจหนุ่มเข้าใจเป็นอย่างดีเพราะครั้งหนึ่งเขาเองก็เคยมีความรู้สึกอย่างนั้นมาก่อน “หนังสือในมือเจ้ามันคืออะไรกัน”
โจวเหวินหลงยื่นให้อีกฝ่ายดู สีหน้างุนงงไม่แพ้กัน “นายท่านจะดูภาพวังวสันต์พวกนี้ไปทำไม”
“อย่าบอกนะว่าคืนเทศกาลชมจันทร์นั่นนะ...” เฉินซือหยางคาดเดาว่าหลินซีเวยจะทำสิ่งใด
“อย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ หากไม่รักคงไม่ทำเช่นนี้หรอกกระมัง” โจวเหวินหลงยอมรับกลาย ๆ “ไม่แน่ว่านายท่านอาจจะเปลี่ยนใจไม่ทำตามแผนเดิมไปแล้วก็ได้”
หลังจากคุยกันสองคนเสร็จเรียบร้อย โจวเหวินหลงก็นำภาพวังวสันต์ไปให้หลินซีเวยตามคำสั่ง เมื่ออยู่ตามลำพัง จอมมารยิ้มมุมปากพลางมองภาพเหล่านั้น สีหน้าตั้งใจเรียนรู้ไม่ให้ขาดตกบกพร่อง คาดหวังให้เทศกาลชมจันทร์มาถึงโดยเร็วเพราะแทบจะอดใจรอไม่ไหว
เทศกาลชมจันทร์
หลินซีเวยยิ้มแป้นรออู๋เยว่ชิงอยู่ที่ด้านนอกตำหนัก สีหน้าสดชื่นมีน้ำมีนวลทำให้นางโล่งใจที่ร่างกายของเขาไม่เจ็บป่วยอีกต่อไป แต่ไม่ได้รู้เลยว่าองค์ชายผู้นี้กำลังวางแผนอันใดอยู่
“พร้อมแล้วเพคะ” นางยื่นมือมาคล้องแขนของหลินซีเวยพลางมองหน้าเขา เอ่ยปากถามด้วยความสงสัย “องค์ชาย ทรงคิดสิ่งใดอยู่หรือเพคะ”
หลินซีเวยตื่นจากภวังค์ความคิดของตนเอง แล้วบอกนางกลับไปว่า “คิดว่าค่ำคืนนี้จะทำอย่างไรกับเจ้าดี เยว่ชิง” เสียงลมหายใจของเขาทำให้นางใจเต้นตึกตักหันขวับมองดวงตาสีม่วงแดงที่สะท้อนแสงจันทร์ยามค่ำคืน
“หม่อมฉันไม่อยากรู้” นางส่ายหน้าแล้วรีบเปลี่ยนเรื่อง “หม่อมฉันตกแต่งโคมของเราสองคนเอาไว้ เก็บอยู่ตรงด้านโน้นเพคะ”
“เวลานี้ข้ายอมเจ้าไปก่อนก็ได้เยว่ชิง” เขาพูดหยอกล้อนางเพราะยิ่งแกล้ง นางยิ่งทำตัวไม่ถูกและเขาก็มองว่าท่าทางของนาง น่ารักยิ่งนัก
คืนนั้น ทั้งสองคนเดินเล่นชมเทศกาลด้วยความสนุกสนาน รอยยิ้มของความสุขปรากฏบนใบหน้าของพวกเขา หลินซีเวยถือโคมลอยลายดอกไม้ที่อู๋เยว่ชิงตั้งใจทำไว้ ค่อย ๆ จุดไฟด้านในแล้วหลับตาอธิษฐาน
เขาแอบลืมตาข้างหนึ่งมองคนข้าง ๆ ที่กำลังตั้งใจขอพรด้วยความจริงจังจนอยากรู้ว่านางคิดสิ่งใดอยู่
“เยว่ชิง เจ้าอธิษฐานว่าอันใดหรือ”
“ความลับเพคะ” นางยิ้มน้อย ๆ แล้วส่ายหน้า “แน่นอนว่าหม่อมฉันอธิษฐานให้พระองค์ด้วยเพคะ”
“ข้าก็เช่นกัน แต่คำอธิษฐานของข้าล้วนมีแต่เรื่องของเจ้าเพียงผู้เดียว” หลินซีเวยไม่ยอมน้อยหน้าจึงกล่าวออกไปอย่างนั้นกระตุ้นให้อู๋เยว่ชิงอยากรู้ว่าเขาขอพรอะไรไป
“ทรงบอกหม่อมฉันไม่ได้หรือ”
“ความลับ”
จากนั้นพวกเขาจึงค่อย ๆ ปล่อยให้โคมอธิษฐานลอยขึ้นไปบนท้องฟ้ากว้างใหญ่ที่เวลานี้มีโคมหลายดวงส่องแสงระยิบระยับราวกับเป็นดวงดาว
ครั้นเดินเที่ยวชมจันทร์จนพึงพอใจแล้ว หลินซีเวยจึงพาอู๋เยว่ชิงกลับตำหนักด้วยสีหน้ากรุ้มกริ่ม
มือข้างหนึ่งลูบใบหน้าของนางอย่างแผ่วเบา กระซิบข้างหูไม่มีเขินอายใด ๆ “ร่างกายของข้าดีขึ้นมากแล้ว คืนนี้ควรจะเป็นคืนแรกของเราทั้งคู่เสียที เจ้าคิดอย่างนั้นหรือไม่”
“...” ครั้นได้ยินคำพูดเชิญชวน อู๋เยว่ชิงขนลุกซู่ในพริบตา
“ข้ารอวันนี้มานานแล้ว เจ้าจะปฏิเสธข้าหรือเยว่ชิง” หลินซีเวยได้ทีโน้มน้าวใจนาง สีหน้าอ้อนวอนพร้อมคำหวานที่พรั่งพรูและสัมผัสเล้าโลมดึงดูดให้คนตรงหน้าไม่อาจขยับกายหนีได้
หลินซีเวยทำทีราวชำนาญอาจเป็นเพราะสองสามวันที่ผ่านมาศึกษาเรื่องเหล่านี้จากภาพวาดวังวสันต์จนจำได้ทุกท่วงท่าแล้วกระมัง มือไม้สองข้างของเขาจึงคอยจะลูบไล้ร่างบางจนอ่อนระทวยอยู่ร่ำไป
ริมฝีปากหลินซีเวยค่อย ๆ สัมผัสใบหน้า ใบหู ลำคอ ไล่ต่ำลงมาเรื่อย ๆ เสียงลมหายใจของเขาราวกับตั้งใจยั่วยวนให้อู๋เยว่ชิงหลงกล
ครั้นจุดอ่อนไหวโดนโลมเลียนางจึงไม่อาจกลั้นเสียงของตนเองเอาไว้ได้ ใบหน้าจึงแดงแปร๊ดเพราะเขินอายโดยไม่รู้ตัว
หลินซีเวยหัวเราะเบา ๆ เพราะความไร้เดียงสาของนางพลางโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้เอ่ยปากบอกว่า “ครั้งแรกของเจ้า ข้าจะทำอย่างอ่อนโยน”
พลันเสื้อผ้าอาภรณ์ของนางถูกคลี่ถอดทีละชิ้น จังหวะรุกเร้าของหลินซีเวยทำใจนางเต้นรัวจนแทบลืมหายใจ อีกฝ่ายเห็นดังนั้นจึงจุมพิตริมฝีปากบาง สอดเรียวลิ้นตวัดโพรงอุ่นด้านในอย่างดูดดื่ม ขณะที่มือหนาสอดใส่ด้านล่างทำให้นางคุ้นชินก่อนจะเคลื่อนส่วนนั้นเข้าหานางทีละนิด
หลินซีเวยจับสะโพกของคนตรงหน้าแนบชิดไม่เว้นช่องว่าง โยกขยับเป็นจังหวะอย่างช้า ๆ
หากแต่เห็นสีหน้าของอู๋เยว่ชิงแล้วเกิดอดใจไม่ได้เร่งจังหวะให้เร็วถี่ขึ้น ยิ่งส่วนนั้นครูดผนังเนื้อด้านในก็ยิ่งรัดแน่นจนเขารู้สึกเสียวซ่านไปด้วย
“องค์ชาย... อือ” อู๋เยว่ชิงเม้มปากกลั้นเสียงเอาไว้ หากแต่หลินซีเวยพูดหยอกล้อนางอย่างเคยชิน “ข้าอยากได้ยินเสียงของเจ้า ได้หรือไม่”
“...”
“เยว่ชิง รู้สึกหรือไม่ว่าร่างกายของเราสอดประสานแนบแน่นเพียงใด” หลินซีเวยไม่หยุดขยับขณะที่พูดเล้าโลม สายตาหวานเยิ้มมองนางด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ เขาตั้งใจทำเสียงครางยามที่กระแทกเข้ามาในแต่ละครั้งพลางเรียกชื่อนางไม่หยุด
“ซี...”
“หืม” รอยยิ้มบางปรากฏบนใบหน้าเจ้าของชื่อนั้น รอฟังอย่างใจจดใจจ่อ พอเห็นนางไม่ยอมเรียกชื่อของตนสักทีจึงแกล้งสอดใส่ลึกขึ้นแล้วแตะส่วนอ่อนไหวที่สุดของนาง
“ซี... ซีเวย”
“ไม่ได้ยินเลย”
“ซีเวย... ตรงนั้นไม่ได้นะ” นางเสียวซ่านจนทนแทบไม่ไหวแต่อีกฝ่ายกลับหยอกเย้าแกล้งนางสีหน้าระรื่นก่อนจะพูดให้อู๋เยว่ชิงหน้าแดงมากกว่าที่เป็นอยู่ “ข้าจะทำกับเจ้าเช่นนี้ทุกคืนจนกว่าจะได้พยานรักของเราสองคน เยว่ชิง”
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ภพสวรรค์เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อนสวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่างครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุจอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบ
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
สำนักเซียนดาราสวรรค์“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักคล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า &ld
ช่วงเวลานั้นเกิดเสียงหวีดร้องและเสียงปะทะพลังของทั้งสองฝ่ายกระหึ่มดังไปทั่วบริเวณเซียนหนุ่มหันไปมองสหายด้วยสายตากังวล“ไม่เป็นอันใดหรอก เลี่ยงหวง” เซียนสาวบอกศิษย์ร่วมสำนักด้วยท่าทีใจเย็นเพราะมีประสบการณ์เรื่องต่อสู้มามาก “จำที่อาจารย์สอนเจ้าได้หรือไม่”เลี่ยงหวงพยักหน้าแล้วรวบรวมพลังเซียนวิชาหนึ่งของสำนักตนเอง พลันแสงสีขาวก่อตัวพองโตเป็นลูกกลม ๆ ขึ้นทีละนิด เขาขมวดคิ้วกลั้นหายใจอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ศิษย์พี่ ข้าพร้อมแล้ว”เฉินซือหยางมัวแต่วอกแวกเพื่อกวนประสาทเซียนทั้งสองจึงไม่ทันระวังตัวโดนพลังเซียนขั้นสูงสาดใส่ร่างปีศาจเข้าเต็มเหนี่ยวกระเด็นทะลุบ้านเรือนไปหลายหลังเขายันตัวลุกขึ้นเอียงคอจัดกระดูกที่หักไปหลายท่อนกลับมาดังเดิมแล้วเช็ดเลือดที่มุมปากพลางปัดฝุ่นดินบนเสื้อผ้า แสยะยิ้มที่ไม่ได้เจอผู้ใดมีฤทธิ์เดชรุนแรงเท่าสองคนข้างหน้ามานานมากแล้ว“เฉินซือหยาง เจ้าอย่าลืมว่าพวกเขามิใช่เซียนธรรมดา”มังกรดำเอ่ยปากเตือนเพราะไม่อยากให้สหายเพลี่ยงพล้ำจนเสียการงาน
หนึ่งเดือนผ่านไปราวกับว่ากำลังใจจากอู๋เยว่ชิงเป็นโอสถชั้นดี ร่างกายของหลินซีเวยจึงดีขึ้นเป็นลำดับแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เวลานี้จึงพอที่จะเดินเล่นนอกตำหนักได้บ้างแล้วนับเป็นครั้งแรกที่เหล่าขันทีและนางในได้เห็นองค์ชายสามและชายาประทับอยู่ในสวนดอกไม้ สายตาทุกคู่เห็นพ้องต้องกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาราวกับคนรักกันก็มิปานการกระทำของหลินซีเวยไม่มีปิดบัง การแสดงออกของเขาทำให้หลายคนได้ตระหนักว่าองค์ชายสามผู้นี้ก็มีด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยนเช่นกัน“เทศกาลชมจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าอยากไปเที่ยวชมหรือไม่เยว่ชิง” หลินซีเวยเอ่ยปากชวนนาง สีหน้าคาดคั้นหวังว่านางจะตอบรับคำขอ“เพคะ” รอยยิ้มบางของนางถือเป็นคำตอบ อู๋เยว่ชิงไม่เคยปฏิเสธคำขอของเขาสักครั้ง“เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดีเถิด” เขาบอกกล่าวอย่างมีเลศนัยพลางเอื้อมมือมากุมมือสองข้างของนางไว้ “ขอบคุณที่ดูแลข้ามาตลอด”“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มให้เขา “หม่อมฉันไม่หวังสิ่งใดไปมากกว่านี้แ
ผ่านไปสามวันหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดีขึ้นจากแต่เดิมอยู่มาก แม้กระทั่งฮ่องเต้และฮองเฮายังรู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ บุตรชายเปลี่ยนไปมากเพียงนั้นกระนั้นก็ทำให้พวกเขาทั้งคู่พอจะวางใจไปได้บ้างเพราะสุดท้ายแล้วการแต่งงานแก้เคล็ดในครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่าแรกเริ่มที่พวกเขาได้ยินจากปากของอู๋ฮูหยินว่าบุตรสาวของนางแอบรักองค์ชายสามมานานแล้วก็ได้แต่คิดว่าอู๋เยว่ชิงช่างน่าสงสารที่ถูกบุตรชายของตนผลักไสไล่ส่งยิ่งต้องให้นางช่วยผูกดวงชะตาเพื่อรักษาอาการของเขาแล้วก็ยังรู้สึกว่าละอายใจไม่น้อยที่ต้องขอให้ช่วยเช่นนี้ แต่อู๋เยว่ชิงกลับรับปากและบอกว่านางจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาอย่างสุดความสามารถคราวนี้ได้เห็นว่าความรักของนางได้รับการตอบแทนกลับมาบ้างแล้วจึงโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกหากแต่เรื่องราวลับคมคมในนี้มีเพียงแค่ฝ่ายจอมมารเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่สักวันหลินซีเวยจะหักหลังอู๋เยว่ชิงและสังหารนางอย่างเจ็บปวดการถูกหักหลังจากคนที่รักและไว้ใจที่สุดจะเป็นอย่างไร หลินซีเวยแทบรอที่จะได้เห็นสี
เมื่อได้ยินดังนั้นหลินซีเวยจึงถามต่ออีกว่า “หากนางรักข้า ข้าควรทำเช่นไรให้นางรักจนยอมตายเพื่อข้าได้เล่า”เรียวคิ้วของเฉินซือหยางขมวดชนกัน “ข้าเป็นปีศาจอาจจะไม่สามารถล่วงรู้ความรู้สึกของมนุษย์ได้แน่ชัด นายท่านลองอ่านหนังสือพวกนั้นดูเถิดขอรับ”เขาชี้ไปที่ตู้ไม้มุมห้อง ในนั้นมีหนังสือเขียนเกี่ยวกับมนุษย์มากมายให้ค้นหา หลินซีเวยกวาดสายตามองแต่ไกลเพื่อเลือกหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง“ไม่เห็นจะมีอันใดน่าสนใจ” เขาส่ายหน้าแล้วร่ายพลังเผามันทิ้งอย่างไม่ใยดีเฉินซือหยางคิดหนักกว่าเดิมแล้วบอกให้เจ้านายรออยู่ครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมหนังสือกองใหญ่ “นายท่านลองอ่านพวกนี้ดูก่อนขอรับ ข้าเห็นมนุษย์หลายคนชอบอ่านยิ่งนัก”จอมมารผู้อ่อนต่อโลกสุ่มหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน ในเวลาหนึ่งก้านธูปเขากลับอ่านหนังสือเล่มหนาได้จนจบเล่ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงผุดขึ้นมาในทันทีแล้วหยิบหนังสือเล่มอื่น ๆ มาอ่านต่อโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างคืนนั้น จอมมารอ่านหนังสือกองพะเนินจนครบทุกเล่มโดยไม่หลับไม่นอนพลั
ในวันต่อมาหลินซีเวยยังคงปฏิบัติกับอู๋เยว่ชิงเหมือนเดิม ทั้งพูดจาไม่เข้าหู ปัดถ้วยโอสถกระเด็น และอีกสารพัดที่นึกอยากจะทำเพื่อให้อีกฝ่ายไปให้พ้นหน้าทว่า อู๋เยว่ชิงยังคงอดทนทำให้เขาตามที่นักพรตชราสั่งเอาไว้ไม่ขาดตกบกพร่องจนกระทั่งผ่านพ้นวันต้องห้าม“องค์ชาย ทรงเป็นอย่างไรบ้าง” ฮองเฮาเข้ามาเยี่ยมบุตรชายทันทีที่พ้นฤกษ์ยาม เวลานี้สีหน้าของหลินซีเวยดีขึ้นเล็กน้อย นางจึงเชื่อว่าการทำพิธีแต่งงานกับอู๋เยว่ชิงจะช่วยปัดเป่าไอมารปีศาจจากองค์ชายสามได้“ข้าไม่เป็นอันใด” เขาตอบอย่างขอไปที “รีบให้นางออกไปจากตำหนักของข้าได้แล้ว”“เจ้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกน้องสาม” ไท่จื่อส่ายหน้าแล้วอธิบายว่า “ท่านนักพรตบอกว่าดวงชะตาของพวกเจ้าผูกพันกัน เพราะมีนางอยู่ข้างกาย เจ้าจึงไม่ถูกไอมารปีศาจครอบงำ”“เสี่ยวเยว่ชิงตั้งใจดูแลองค์ชายเป็นอย่างดี พ่อว่าไม่มีใครเหมาะสมกับเจ้าไปมากกว่านางอีกแล้ว” ฮ่องเต้พูดขึ้นมา สีหน้าพึงพอใจและกำลังคิดบางอย่างอยู่ “เจ้าและนางก็ถึงวั
สายตาของทุกคนหันไปมองอู๋เยว่ชิงอย่างพร้อมเพรียงกัน นึกสงสัยว่าเหตุใดนางจึงมีดวงชะตากำราบมาร ครั้นเมื่อฟังสิ่งที่นักพรตชรากล่าวแล้วจึงเข้าใจในที่สุดแม้วิธีแก้เคล็ดนั้นจะไม่ถูกใจหลินซีเวยแต่เวลานี้เขาไม่มีแรงมากพอที่จะคัดค้านสิ่งใด ทั้งยังไม่สามารถใช้พลังมารบังคับคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นหรือโน้มน้าวตามใจตัวเองได้เพราะเสี่ยงที่นักพรตจะจับได้ในทันทีว่าตัวเขาคือจอมมารที่แฝงอยู่ในร่างของมนุษย์การโดนกำจัดไม่ได้ยุ่งยากหรือลำบากจอมมารนัก อย่างไรเสียเขาสามารถฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่พลังมารมากพออยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเกรงว่าจะตามหาตัวผู้มีดวงกำราบมารไม่ทันการจนส่งผลเสียต่อตัวเขาเองมากกว่าจึงต้องยั้งมือเอาไว้แล้วค่อยหาทางแก้ในคราวหลัง“ท่านนักพรตหมายความให้ข้าน้อยแต่งงานกับองค์ชายสามหรือเจ้าคะ” อู๋เยว่ชิงไม่เชื่อหูตนเอง สายตาของนางเหลือบมองหลินซีเวยที่หลับนิ่งอยู่บนเตียงเมื่อนักพรตชราพยักหน้า ฮองเฮาจึงเดินมากุมมืออู๋เยว่ชิงไว้พลางขอร้องให้ช่วยบุตรชายของนาง ไม่ว่าจวนแม่ทัพต้องการสิ่งใด นางจะหามาให้ทั้งหมดเพื่อเป็นการ
ครั้นได้ยินข่าวลือจากในวังหลวงว่าหลินมู่หลงจะต้องอภิเษกกับองค์หญิงต่างเมือง อู๋เยว่ชิงก็รีบวิ่งไปถามความจริงจากอีกฝ่ายในทันทีสายตาของใครบางคนที่แอบอยู่ด้านหลังต้นหลิวมองทั้งคู่ด้วยความเจ้าเล่ห์ ยิ่งเห็นว่านางร้องไห้ฟูมฟาย น้ำตานองหน้าก็ยิ่งสะใจจนอดไม่ได้ยิ้มร้ายออกมาอู๋เยว่ชิงไม่มีโอกาสได้ทำใจมากกว่านั้นเพราะช่วงเวลาที่หลินมู่หลงจะต้องเดินทางไปยังเมืองหมิงเหวินมาถึงเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มาก“เหตุใดจะต้องเร่งไปถึงเพียงนี้ หม่อมฉันยังทำใจจากองค์ชายไปไม่ได้เลย” นางเม้มปากพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้เอ่อไหล“ข้าสัญญาว่าจะเขียนจดหมายมาหาเจ้าบ่อย ๆ” องค์ชายเจ็ดสวมกอดนางปลอบโยนด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่ให้เวลานางได้ทำใจสักหน่อย “เห็นเจ้าร้องไห้เช่นนี้แล้ว ข้าควรทำอย่างไรดีเยว่ชิง”“จะทำอย่างไรได้ รีบไปเสียทีสิ” เสียงของใครบางคนไม่สบอารมณ์ปรายตามองทั้งสองคนอยู่อีกมุมหนึ่งโดยไม่สนว่าบรรยากาศในที่แห่งนั้นกำลังเศร้าสร้อยนับตั้งแต่หลินมู่หลงไม่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้แล้ว อู๋เยว
สิบเหมันต์ผันผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างอู๋เยว่ชิงและองค์ชายเจ็ดแน่นแฟ้นขึ้น สายตาของคนนอกต่างมองว่าพวกเขาเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก“บุตรสาวเจ้าถึงวัยออกเรือนแล้ว ข้าเห็นว่านางสนิทสนมกับองค์ชายเจ็ดพอสมควร วันนี้จึงมาปรึกษา” ฮองเฮารับหน้าที่เป็นแม่สื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งอู๋ฮูหยินขมวดคิ้วมีสีหน้าครุ่นคิดแล้วตอบสหายสนิทไปว่า “เรื่องของหัวใจ หม่อมฉันว่าปล่อยให้เด็ก ๆ เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนจะดีกว่า”“กังวลเรื่องใดอยู่หรือ ข้านึกว่าเจ้าจะตอบตกลงทันทีที่ข้าเอ่ยปากเสียอีก” นางนึกสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใด“หม่อมฉันไม่แน่ใจนัก” สายตาของนางมองไปที่บุตรสาว เวลานี้อู๋เยว่ชิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาอีกฝั่งหนึ่งอยู่เพียงลำพังครั้นผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อู๋เยว่ชิงจึงออกไปเดินเล่นทางสวนดอกไม้ฝั่งวังหลวงบ้างเหมือนเช่นเคย โดยไม่ลืมถือของฝากไปให้องค์ชายเจ็ดที่ตำหนักของเขาบ่อยครั้งจึงมักสวนทางกับหลินซีเวย แม้นางจะยิ้มให้อีกฝ่ายหรือทำท่าเอ่ยปากทักทายแต่องค์ชายสามผู้เคร่งขรึมก็มักจะเบือนหน้าหนีอย่างไม่ใยดีทำให้นางรู้สึกเศร้าใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อมาถึงตำหนักของหลินมู่หลง เขาจึงปลอบใจนางยกใหญ่ ไม่นานนักรอยยิ้มสดใสข
ความหวังดีของอู๋เยว่ชิงยิ่งทำให้จอมมารน้อยรำคาญมากขึ้น เขาใช้แรงที่มีอยู่ผลักนางออกจนมือข้างซ้ายกระแทกกับก้อนหินแหลมทว่า อู๋เยว่ชิงไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อยแต่มือข้างซ้ายของหลินซีเวยกลับมีรอยบาดจากคมหินแหลมเป็นทางยาวจนได้เลือดเพิ่มขึ้นมาอีก“องค์ชายทรงมีประชวรอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสียงตื่นตกใจของขันทีเอ่ยปากถามพลางสั่งให้นางกำนัลไปตามหมอหลวงแม้ว่าทุกวันนี้พวกเขาจะเห็นว่าองค์ชายสามมักจะมีอาการเช่นนี้บ่อย ๆ แต่ก็กังวลทุกครั้งเพราะเป็นอาการที่หมอหลวงไม่อาจหาสาเหตุได้เคราะห์ยังดีที่ดื่มยาสมุนไพรชั้นดีไปสองสามวัน ร่างกายขององค์ชายสามก็กลับมาเป็นปกติราวกับไม่เคยเจ็บป่วยใด ๆ มาก่อนหลินซีเวยถอนหายใจอีกครั้งแล้วนั่งนิ่งบนเสลียงกลับตำหนักของตน บ่นพึมพำ “ทำไม่สำเร็จอีกแล้ว”อู๋เยว่ชิงมองตามหลังด้วยความเป็นห่วงแล้วถามองค์ชายเจ็ดที่ยืนอยู่ข้าง ๆ &ldq
เจ็ดปีผ่านไปเมืองไท่หยางจัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองประจำฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศระหว่างนี้จึงมีแต่ความสนุกสนานสดใส ใครต่อใครต่างรอคอยช่วงเวลาค่ำคืนเพื่อที่จะชมดอกไม้ไฟด้วยใจจดจ่ออู๋เยว่ชิงวัยเจ็ดขวบวิ่งหน้ายิ้มแป้นมาแต่ไกลร้องเรียกสหายคนสนิทที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน “องค์ชายเจ็ด คืนนี้ทรงมารอดูดอกไม้ไฟด้วยกันหรือไม่เพคะ”หลินมู่หลง หรือองค์ชายเจ็ด น้องชายต่างมารดาของหลินซีเวยผู้ที่เกิดก่อนนางไม่กี่เดือนกลายมาเป็นเพื่อนรักรุ่นเดียวกันตั้งแต่แรกเกิดเพราะมีนิสัยหลายอย่างคล้ายคลึงกัน“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ารอเจ้ามาชวนอยู่พอดีเลย” เขายิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะยื่นขนมหวานที่นางชอบให้อย่างเป็นมิตร “ข้าแอบไปขอมาเพิ่มให้เจ้าเชียว รีบกินเร็วเข้า”“องค์ชายทรงเลี้ยงหม่อมฉันให้เป็นหมูอยู่หรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงมองดวงตาสีน้ำตาล ท่าทีหยอกล้อทำให้เขาหัวเราะออกมา