ผ่านไปสามวันหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดีขึ้นจากแต่เดิมอยู่มาก แม้กระทั่งฮ่องเต้และฮองเฮายังรู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ บุตรชายเปลี่ยนไปมากเพียงนั้น
กระนั้นก็ทำให้พวกเขาทั้งคู่พอจะวางใจไปได้บ้างเพราะสุดท้ายแล้วการแต่งงานแก้เคล็ดในครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่า
แรกเริ่มที่พวกเขาได้ยินจากปากของอู๋ฮูหยินว่าบุตรสาวของนางแอบรักองค์ชายสามมานานแล้วก็ได้แต่คิดว่าอู๋เยว่ชิงช่างน่าสงสารที่ถูกบุตรชายของตนผลักไสไล่ส่ง
ยิ่งต้องให้นางช่วยผูกดวงชะตาเพื่อรักษาอาการของเขาแล้วก็ยังรู้สึกว่าละอายใจไม่น้อยที่ต้องขอให้ช่วยเช่นนี้ แต่อู๋เยว่ชิงกลับรับปากและบอกว่านางจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาอย่างสุดความสามารถ
คราวนี้ได้เห็นว่าความรักของนางได้รับการตอบแทนกลับมาบ้างแล้วจึงโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก
หากแต่เรื่องราวลับคมคมในนี้มีเพียงแค่ฝ่ายจอมมารเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่สักวันหลินซีเวยจะหักหลังอู๋เยว่ชิงและสังหารนางอย่างเจ็บปวด
การถูกหักหลังจากคนที่รักและไว้ใจที่สุดจะเป็นอย่างไร หลินซีเวยแทบรอที่จะได้เห็นสีหน้าของนางในวันนั้นไม่ไหวแล้ว
นานวันผ่านไปอาการเจ็บป่วยขององค์ชายเหมือนจะหายดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่บางครั้งกลับอาเจียนเป็นเลือดโดยไม่รู้สาเหตุจนล้มป่วยต้องกลับมารักษาดูแลตั้งแต่ต้นอีกครั้งหนึ่ง
อู๋เยว่ชิงอดหลับอดนอนเพื่อดูแลเขาตลอดทั้งวันทั้งคืน ไม่เคยปริปากบ่น สีหน้าของนางกังวลใจเมื่อเห็นว่าหลินซีเวยกำลังทรมานกับโรคนั้น
“องค์ชาย พระองค์ทรงเจ็บมากหรือไม่เพคะ” นางเอ่ยปากกระซิบถามเบา ๆ เพราะเขาดื่มโอสถบรรเทาปวดแล้วเผลอหลับไป
น้ำตาของนางรินอาบแก้ม แอบร้องไห้ไม่มีเสียงเพราะสงสารคนตรงหน้าพลางเช็ดร่างกายที่ร้อนรุ่มดังไฟแผดเผาไปด้วย
ครั้นหลินซีเวยขยับตัวลืมตาตื่นขึ้นมาเมื่อใด นางก็จะอดทนไม่แสดงอาการอ่อนแอให้เขาเห็น ทั้งยังกระตือรือร้นปรนนิบัติคนที่นางรักเป็นอย่างดี
“เหนื่อยหรือไม่” หลินซีเวยถามนางกลับเพราะเห็นสีหน้าอ่อนล้าของนาง
“ไม่เหนื่อยเพคะ”
“ข้ามันใช้ไม่ได้เลย ทำให้เจ้าต้องลำบาก” มือข้างซ้ายพยายามเอื้อมแตะใบหน้าของอู๋เยว่ชิง หากแต่ไร้เรี่ยวแรง “ข้าไม่อยากรั้งเจ้า”
“ต่อให้พระองค์ทรงไล่หม่อมฉันเหมือนที่ผ่านมา หม่อมฉันก็จะไม่ไปไหนแต่จะอยู่ดูแลพระองค์ที่ตำหนักแห่งนี้” คำพูดของบุตรสาวแม่ทัพใหญ่จริงจัง แววตาแน่วแน่และเต็มไปด้วยความรัก
“พักผ่อนบ้างเถอะ หากเจ้าเป็นอันใดไปอีกคน ข้าจะทำเช่นไร” น้ำเสียงหลินซีเวยเจือปนความห่วงใย ดวงตาสีม่วงแดงอ่อนโยนยามมองคนตรงหน้า
“หม่อมฉัน...”
“เยว่ชิง เจ้าห่มผ้าให้ข้าตั้งหลายชั้นแต่ยังไม่อุ่นเท่ามีเจ้าอยู่ข้าง ๆ ขึ้นมานอนบนเตียงกับข้าได้หรือไม่” หลินซีเวยเอ่ยปากเพราะรู้ว่าอย่างไรนางจะไม่ยอมพักผ่อนจนกว่าจะได้รู้ว่าตัวเขาอาการดีขึ้นบ้างแล้ว
การเอ่ยกับนางเช่นนั้นจึงคล้ายทำให้นางจำยอมต้องทำตามโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
ครั้นอู๋เยว่ชิงสอดตัวเข้ามาใต้ผ้าห่มหนาแล้ว หลินซีเวยจึงพลิกตะแคงตัวโอบกอดร่างบางมาแนบชิดตนเอง “ตัวเจ้าอุ่นยิ่งนัก” พูดจบพลางกระชับตัวนางแนบแน่นกว่าเดิม ปลายจมูกไล้เส้นผมของอีกฝ่าย ริมฝีปากจุมพิตหน้าผากของนางแผ่วเบาจนทำให้เจ้าตัวหน้าแดงระเรื่อและหลินซีเวยก็สัมผัสได้ว่าหัวใจของนางกำลังเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ
“นอนเถอะ ข้าง่วงแล้ว” เขากระซิบข้างหูพลันหลับตาลงแต่มือสองข้างยังคงโอบกอดนางเอาไว้
“...” อู๋เยว่ชิงซุกตัวเข้าในอ้อมแขนของคนตรงหน้าพยายามข่มตาหลับอย่างที่เขาบอก “หวังว่าพระองค์จะหายประชวรในเร็ววันเพคะ”
เช้าวันต่อมา
หลังจากตระเตรียมของทุกอย่างเพื่อดูแลหลินซีเวยเรียบร้อยแล้ว อู๋เยว่ชิงจึงรีบเดินทางไปที่วัดประจำวังหลวงเพื่อขอพรให้คนรักหายป่วย
คำขอเดียวของนางคือหวังจะให้เขาสุขภาพแข็งแรง อย่าได้ทรมานกับโรคภัยเช่นนี้อีกเลย
ครั้นลงมาจากวัดบนเนินเขาแล้ว นางจึงแวะไปหาครอบครัวที่จวนแม่ทัพใหญ่เพราะไม่ได้กลับมานานตั้งแต่อาการขององค์ชายสามแย่ลง
“เสี่ยวเยว่ชิง” เสียงของฮูหยินเรียกบุตรสาวของตนเอง “ซูบผอมไปหมดแล้ว”
“ท่านแม่” อู๋เยว่ชิงสวมกอดมารดา “ข้าคิดถึงท่านพ่อกับท่านแม่” สายตาของนางมองไปยังแม่ทัพใหญ่ราวกับว่ายังเป็นเด็กตัวน้อย ๆ ในวันวาน
“แม่รู้ว่าเจ้าเป็นห่วงองค์ชาย” นางลูบศีรษะบุตรสาวปลอบใจ “ขอเพียงเจ้าเข็มแข็ง ทุกอย่างจะต้องดีขึ้น”
“ลูกพ่อทำได้อยู่แล้ว ใช่หรือไม่” แม่ทัพใหญ่ให้กำลังใจบุตรสาวของตนเองอย่างเช่นเคย
“เจ้าค่ะ” อู๋เยว่ชิงพยักหน้าแล้วสูดหายใจลึก ๆ “ข้าแวะไปที่วัดมา ขอพรให้ท่านพ่อกับท่านแม่ด้วย” พลันยื่นของมงคลที่นักพรตมอบให้กับทั้งสองคน “ปัดเป่ามารปีศาจไม่ให้ย่างกรายเข้าใกล้เจ้าค่ะ”
“พ่อกับแม่ไม่เป็นอันใดหรอก เจ้าน่าจะเก็บไว้ให้องค์ชายไม่ดีกว่าหรือ” แม่ทัพใหญ่เอ่ยปาก ตัวเขาเองก็เป็นห่วงหลินซีเวยไม่น้อยเพราะอย่างไรก็ถือว่าเป็นบุตรชายของสหายร่วมรบ ทั้งยังเป็นบุตรเขยของตนเองอีกด้วย
หากหลินซีเวยเป็นอันใดไป เสี่ยวเยว่ชิงของเขาจะต้องเสียใจเหลือคณา
“ข้าเก็บขององค์ชายไว้แล้วเจ้าค่ะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มให้ทั้งคู่ “ข้าไม่ค่อยได้กลับจวน ท่านพ่อท่านแม่ดูแลตัวเองดี ๆ นะเจ้าคะ”
“กังวลมากไปแล้วเสี่ยวเยว่ชิง แม่น่ะเป็นห่วงเจ้ามากกว่าอีก ดูสิเนี่ย ร่างกายผ่ายผอม ขอบตาดำคล้ำ แก้มตอบเพียงนี้ กลัวว่าจะทรุดไปอีกคนจริง ๆ” อู๋ฮูหยินลูบใบหน้าของบุตรสาว “วันนี้อยู่ทานข้าวที่บ้านสักมื้อดีหรือไม่ แม่จะทำอาหารที่เจ้าชอบให้ทาน เผื่อจะได้มีแรงขึ้นมาบ้าง”
“จริงหรือเจ้าคะ” รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าที่แม้จะซูบเซียวไปบ้างแต่ยังคงงดงามเช่นเดิม “คิดถึงอาหารฝีมือท่านแม่จริง ๆ เลย”
อู๋เยว่ชิงจึงได้ใช้เวลาอยู่กับครอบครัวเกือบสองชั่วยาม เติมพลังใจจากครอบครัวอันแสนอบอุ่นของนางจนพร้อมที่จะต่อสู้กับทุกปัญหาที่ถาโถมเข้ามา
ครั้นกลับมายังตำหนักจึงรีบเข้ามาดูอาการของหลินซีเวยทันที พอเห็นว่าเขายังคงนอนนิ่งจึงนั่งลงข้าง ๆ สายตามองใบหน้าของคนที่หลับใหลจนเผลอเอื้อมมือลูบใบหน้าของเขา
รอยยิ้มน้อย ๆ ของหลินซีเวยผุดขึ้นมา เขาจับมือข้างนั้นของอู๋เยว่ชิงแล้วจุมพิตที่ฝ่ามือ “รอเจ้าอยู่นาน วันนี้ทำอันใดมาบ้างหรือ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่”
“หม่อมฉันไปอธิษฐานขอพรให้พระองค์เพคะ” อู๋เยว่ชิงยื่นของมงคลขับไล่มารปีศาจให้หลินซีเวยดู
ในใจของจอมมารยักยิ้มด้วยความเจ้าเล่ห์เพราะของพรรค์นี้ไม่สามารถทำให้มารปีศาจระคายเคืองได้เลย แต่กลับเข้าใจความหวังดีของนางที่พยายามทำทุกทางเพื่อช่วยเหลือ เขาจึงรับของมงคลนั้นมาเก็บไว้กับตัวราวกับทำไปเพื่อให้นางสบายใจอย่างไรอย่างนั้น
“วันนี้พระอาการเป็นอย่างไรบ้างเพคะ”
“ดีขึ้นมากแล้ว คำอธิษฐานของเจ้าคงได้ผลดีกระมัง” น้ำเสียงหยอกล้อของเขาทำให้อู๋เยว่ชิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
“เช่นนั้น หม่อมฉันจะไปอธิษฐานขอพรทุกวันเพคะ” นางคิดในใจว่าหากทำอย่างนั้นแล้วอาการของคนรักดีขึ้น นางจะทำอย่างที่บอกไว้
“แต่ถ้าเจ้าไปที่นั่นบ่อย ๆ เวลาที่ข้าจะได้อยู่กับเจ้าคงจะน้อยลง” ดวงตาสีม่วงแดงสบประสานอย่างอ่อนโยน “ท่านนักพรตเคยบอกไว้มิใช่หรือว่าขอเพียงเจ้าอยู่ข้างกายข้า อาการทุกอย่างจะดีขึ้นในเร็ววัน...ไม่ต้องไปที่ใด อยู่กับข้านะเยว่ชิง” น้ำเสียงออดอ้อนของหลินซีเวยทำให้นางใจอ่อนยวบ แพ้ทางอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พระองค์ทรงขอร้องเช่นนี้แล้วหม่อมฉันจะทำอย่างไรได้เล่าเพคะ” อาการเขินม้วนปิดไม่มิดจนอีกฝ่ายเผลออมยิ้มไปด้วย
หนึ่งเดือนผ่านไปราวกับว่ากำลังใจจากอู๋เยว่ชิงเป็นโอสถชั้นดี ร่างกายของหลินซีเวยจึงดีขึ้นเป็นลำดับแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เวลานี้จึงพอที่จะเดินเล่นนอกตำหนักได้บ้างแล้วนับเป็นครั้งแรกที่เหล่าขันทีและนางในได้เห็นองค์ชายสามและชายาประทับอยู่ในสวนดอกไม้ สายตาทุกคู่เห็นพ้องต้องกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาราวกับคนรักกันก็มิปานการกระทำของหลินซีเวยไม่มีปิดบัง การแสดงออกของเขาทำให้หลายคนได้ตระหนักว่าองค์ชายสามผู้นี้ก็มีด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยนเช่นกัน“เทศกาลชมจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าอยากไปเที่ยวชมหรือไม่เยว่ชิง” หลินซีเวยเอ่ยปากชวนนาง สีหน้าคาดคั้นหวังว่านางจะตอบรับคำขอ“เพคะ” รอยยิ้มบางของนางถือเป็นคำตอบ อู๋เยว่ชิงไม่เคยปฏิเสธคำขอของเขาสักครั้ง“เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดีเถิด” เขาบอกกล่าวอย่างมีเลศนัยพลางเอื้อมมือมากุมมือสองข้างของนางไว้ “ขอบคุณที่ดูแลข้ามาตลอด”“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มให้เขา “หม่อมฉันไม่หวังสิ่งใดไปมากกว่านี้แ
ความสงบสุขเรียบง่ายหลายหมื่นปีของภพสวรรค์กำลังถูกสั่นคลอนเพราะมารตนหนึ่งที่ถือกำเนิดขึ้นเมื่อร้อยปีก่อน ใครเล่าจะคิดว่าสิ่งเล็ก ๆ จากบ่อโคลนของความชั่วร้ายทั้งปวงจะหลอมรวมภัยอันตรายที่สามารถทำลายล้างสวรรค์ให้ราบเป็นหน้ากลองได้ในเวลาไม่นานภพมารแซ่ซ้องสรรเสริญผู้ปกครองดินแดนคนใหม่ ยกขึ้นเป็นนายเหนือหัวที่จะกลายเป็นจอมมารปลดเปลื้องพันธะให้เหล่ามารปีศาจที่ถูกกักขังในหุบเหวดำมืด จบสิ้นการลงทัณฑ์อันยาวนานจากเทพบรรพกาลเสียงอึกทึกกึกก้องคำรามข่มขู่เหล่าเทพเซียนบนฟากฟ้าพร้อมบุกเข้าโจมตีอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ยจนผู้คนในแดนศักดิ์สิทธิ์วุ่นวายโกลาหลเคราะห์ยังดีที่กองทัพสวรรค์เป่าแตรส่งสัญญาณเตือนภัยได้ทันเวลา เหล่าเทพเซียนจึงผนึกกำลังป้องกันการรุกรานของทัพมารอย่างสุดความสามารถเทพสงครามนำทัพออกมาเผชิญหน้าปกป้องสรรพสิ่งไม่ให้แตกสลายจากมหันตภัยในครั้งนี้ กลยุทธ์มากมายที่เคยใช้กับจอมมารตนอื่นกลับไม่ได้ผลนักไพ่ตายที่ถูกวางไว้สามอย่างเริ่มดำเนินไปอย่างเงียบ ๆ หวังว่าจะหยุดความเลวร้ายทั้งหมดลงไปได้ก่อนที่จะมีความสูญเสียไปมากกว่านี้เวลานั้นโฉมหน้าของผู้นำทัพมารจึงปรากฏขึ้น รอยยิ้มชั่วร้ายและแววตาเย็
ท่ามกลางความโกลาหลตรงเขตชายแดนระหว่างภพมารและภพสวรรค์ เทพจันทราเร่งหลอมรวมวิญญาณและพลังของตนเองเพื่อผนึกลิขิตสวรรค์ในต้นไม้แห่งโชคชะตาไม่ให้ผู้ใดล่วงรู้แม้จะต้องสละวิญญาณแต่นั่นเป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเพื่อปกป้องสรรพสิ่งจากหายนะที่คืบคลานเข้ามา ชายชรารู้เป็นอย่างดีว่าจอมมารจะต้องเข้ามายุ่งเกี่ยวกับชะตาของใครบางคนอย่างแน่นอน และนั่นอาจจะทำให้แผนการที่วางไว้ล่มไม่เป็นชิ้นดีเสียงคำรามของสัตว์อสูรดังกระหึ่มสร้างความวิตกในใจของเขาเป็นอย่างมาก อีกนิดเดียว ข้าขอเวลาอีกนิดเดียว เขาคิดในใจหวังว่ากองทัพสวรรค์ที่อยู่ด้านนอกจะช่วยต้านทานถ่วงเวลาผู้บุกรุกได้อีกสักเพียงนิด“หยุดนะ!” ปีศาจสาวนามว่าหลิวอิงอิงผู้เป็นมือขวาของจอมมารตะโกนก้อง นางร่ายพลังปีศาจใส่เทพจันทราโดยไม่ยั้งมือ หากแต่ถูกสกัดกั้นโดยกองอารักขาเสียก่อน จึงทำให้นางฉุนเฉียวเพราะไม่ได้ดั่งใจเทพจันทราตั้งสติมั่นพลันขอบข่ายอาคมปรากฏขึ้นหลอมรวมกับจิตวิญญาณอันแกร่งกล้าของชายชราผู้นี้โอบล้อมเป็นม่านคลุมต้นไม้แห่งโชคชะตาเอาไว้ในชั่วขณะหลิวอิงอ
บทสนทนาระหว่างเทพวายุกับจอมมารและการต่อสู้ของทั้งสองดำเนินไปอย่างดุเดือด สวีต้าเฟิงเบี่ยงเบนความสนใจเพื่อถ่วงเวลาให้เทพสงครามได้อย่างแนบเนียนจนอีกฝ่ายสามารถหลอมพลังวิญญาณได้เรียบร้อยกลายเป็นหนึ่งเดียวกับดาบคู่กายของตนเองสายตาที่เทพวายุมองสหายเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อร่ำลาทำให้กงจื่อเย่รู้สึกตัวว่าอีกฝ่ายกำลังเล่นละครฉากใหญ่จังหวะที่หันไปมองตามนั้น ดาบเทพสงครามอันมหึมาก็พุ่งทะลุผ่านร่างของจอมมารในพริบตาการสละวิญญาณของเทพสงครามได้ผลชะงัดเพราะสามารถผนึกเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตดวงแรกไว้ในแก่นวิญญาณของจอมมารได้ ส่งผลให้พลังมารที่รุนแรงถดถอยลงไปหนึ่งส่วนกงจื่อเย่จะไม่รู้ตัวว่ามีสิ่งแปลกปลอมเข้ามาภายในแก่นวิญญาณของตัวเองเพราะถูกพลังเทพสงครามบดบังเอาไว้แต่เฉลียวได้ว่าผู้นำกองทัพสวรรค์ย่อมไม่สละตนเองเพียงเพื่อทำลายพลังมารของเขาส่วนเดียวจอมมารยืนทื่ออยู่ครู่หนึ่ง พิจารณาว่าร่างมารของตนเองมีสิ่งใดผิดแปลกไปหรือไม่“พวกเจ้าทำอะไรข้า” เขาไม่รู้ว่าเหล่าเทพใช้วิธีใดและนั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดใจไม่น้อย
ภพสวรรค์เซียนผู้เฝ้าหออาวุธโบราณเพิ่งสังเกตได้ว่าดวงเนตรอำพันหายไปจึงคิดรายงานเทียนจวิน แต่กลับถูกสัตว์อสูรเขาแหลมตัวเขื่องขวิดจนร่างแตกสลายไปเสียก่อนสวีต้าเฟิงเห็นจอมมารยิ้มมุมปากได้แต่นึกสงสัยว่าผู้ที่โดนรุมล้อมสังหารมีเหตุอันใดให้รื่นรมย์ใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังแววตาท้าทายที่มองมายังเขาไม่วางตาราวกับบรรลุเป้าหมายบางอย่างครั้นจะปลีกตัวออกมาจากที่แห่งนั้นเพื่อตรวจสอบให้แน่ใจกลับถูกดาบเขี้ยวอสูรเหวี่ยงเข้ามาขวางทางเอาไว้ในพริบตา“จะหนีไปที่ใดกันเล่า” กงจื่อเย่แสยะพลางเรียกดาบประจำกายกลับมา“...” เทพวายุไม่เอ่ยอันใดแต่หันไปสบตากับเทียนจวินที่ยืนอยู่ข้าง ๆ สีหน้ากังวลรู้สึกว่าตนเองกำลังตกหลุมพรางของมารเจ้าเล่ห์ผู้นี้“ไปเถิด” เทียนจวินเอ่ยปากบอกแล้วดันพลังของตัวเองมาต้านทานพลังมารของกงจื่อเย่แทนเทพวายุจอมมารเห็นช่องว่างช่วงเปลี่ยนผันไม่รอช้าเขวี้ยงดาบเขี้ยวอสูรใส่ทั้งคู่โดยไม่แยแสเพื่อสลายพลังที่ตรึงกายมารส่วนล่างของเขาเอาไว้กระนั้น เทพอาวุโสอีกคนหนึ่งเห็นท่าไม่ดีหลบ
แดนมนุษย์เดิมทีเทพดาราจะกลายเป็นดาวตกลงมาเผชิญด่านเคราะห์ทุก ๆ หนึ่งพันปีเพื่อเก็บเกี่ยวเมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตในแดนมนุษย์ นางมีโชคชะตาที่เทพบรรพกาลเลือกสรรให้เป็นผู้สังหารจอมมารที่ถือกำเนิดขึ้นในสามภพตลอดระยะเวลาหลายแสนปีที่ผ่านมา เหล่าเทพเซียนภพสวรรค์ได้รับเลือกจากเทพบรรพกาลมานับไม่ถ้วนเพราะเขาผู้นั้นคือผู้หยั่งรู้โชคชะตาเมื่อจอมมารในแต่ละช่วงเวลาถือกำเนิด หากวิธีที่รับมืออยู่ไม่สามารถต้านทานพลังมารอันชั่วร้ายได้ เมล็ดพันธุ์ต้นไม้แห่งชีวิตจึงเป็นทางเลือกสุดท้าย เพราะผู้ที่สังหารจอมมารตนนั้นต้องสละแก่นวิญญาณของตนเองหลอมรวมอสนีบาตสวรรค์ 19 ครั้ง ผันเปลี่ยนเป็นพลังมหาศาลทำลายจอมมารไปพร้อม ๆ กันเหตุการณ์เหล่านั้นจึงทำให้มีเทพเซียนดับสูญตลอดกาลไปไม่น้อย แต่เพื่อแลกกับความสงบสุขของสามภพแล้ว พวกเขาเหล่านั้นจึงยอมรับในโชคชะตาของตัวเองครั้งนี้สวีลู่ชิงลงมาเกิดเป็นมนุษย์ครั้งที่สองด้วยช่วงเวลาที่ห่างกันจากครั้งแรกเพียงห้าร้อยปี พลังเทพของนางจึงได้รับความเสียหายบางส่วนเด็กทารกดวงตาสีฟ้า เรือนผมขาวแต่กำเนิดราวหิมะปรา
โรงเตี๊ยมแห่งหนึ่งนอกเมืองหนานพ่อค้าจากต่างเมืองที่ผ่านมาแวะพักในโรงเตี๊ยมเล่าข่าวคราวที่บังเอิญได้ยินมาให้คนที่อาศัยอยู่ละแวกนั้นฟัง เสียงเล่าลือว่าคนในหมู่บ้านหงเหลียนทางตอนใต้แคว้นชิงตายด้วยอาการประหลาดคนที่เหลือรอดมาได้เล่าวกไปวนมาว่าสิ่งที่เข้าทำร้ายพวกเขาต้องไม่ใช่คน ดูไม่มีรูปร่างแต่แววตาแดงฉานฉายชัด ครั้นจะถามต่อว่าเป็นอย่างไรบ้างกลับไม่ได้อะไรเพิ่มเติม คนเหล่านั้นเหมือนสติหลุดพูดจาไม่รู้เรื่องไปเสียแล้วเจ้าเมืองจึงต้องส่งคนไปเชิญเซียนสำนักต่าง ๆ เข้ามาตรวจสอบข่าวลือที่ว่าผีปีศาจออกอาละวาดทำร้ายชาวเมืองเป็นเรื่องจริงหรือไม่กระนั้น หลายเดือนผ่านไปยังไม่มีใครเห็นเซียนที่เข้าไปในหมู่บ้านหงเหลียนออกมาข้างนอก บรรยากาศรอบหมู่บ้านราวกับมีผีสิง อึมครึม เย็นยะเยือก นานวันเข้าจึงไม่มีใครกล้าเข้าใกล้หมู่บ้านร้างอีกเลย“แค่เล่าให้พวกเจ้าฟังก็ขนหัวลุกแล้ว” หนึ่งในคาราวานพ่อค้าเอ่ยปากพลางทำท่าสั่นกลัว“ไม่ใช่แค่หมู่บ้านหงเหลียนหรอก” ชายคนหนึ่งกระดกแก้วเหล้าอึกใหญ่รำลึกถึงเหตุการณ์เฉียดตายที่พบเ
สำนักเซียนดาราสวรรค์“จื่อเถิง มาหาอาจารย์หน่อยเถิด” เสียงของเฉาหมิงเรียกนางด้วยความเอ็นดู ก่อนจะลูบศีรษะของศิษย์ผู้นี้อย่างอ่อนโยน “อาจารย์เจ้าสำนักฝากข้าเอามาให้เจ้า”จื่อเถิงมองดูหยกสีชมพูอ่อน สีหน้างงงวยเพราะไม่รู้ว่าหยกหน้าตาสวยงามคืออะไร“อาจารย์เจ้าสำนักเป็นห่วงเจ้ามากจึงฝากข้านำมาให้” เขาถอนหายใจเพราะรู้ว่าอาจารย์ของตนเองใช้พลังเซียนที่สั่งสมมานานหลายสิบปีหลอมหยกชิ้นนี้ขึ้นมาให้ศิษย์หลานโดยเฉพาะครั้นถามว่าเหตุใดจึงทำเช่นนั้นกลับได้คำตอบมาว่า “นางเดินทางออกนอกสำนักเป็นครั้งแรก ย่อมต้องห่วงเป็นธรรมดา”ทว่า เฉาหมิงกลับสังเกตได้ว่ารอยยิ้มของนางนั้นเต็มไปด้วยความกังวล แต่ไม่อาจถามไถ่สิ่งใดได้อีกเพราะนางคงไม่มีทางบอกอย่างแน่นอน“ขอบคุณเจ้าค่ะ” จื่อเถิงรับปากว่าจะปกป้องทุกคนและกลับมาสำนักดาราสวรรค์ก่อนเทศกาลโคมไฟแล้วรีบวิ่งไปหาศิษย์น้องอิงฮวาที่ยืนรออยู่ด้านหน้าสำนักคล้อยหลังจื่อเถิง เฉาหมิงเอ่ยปากบอกหยางซีอวิ๋นผู้เป็นศิษย์พี่ว่า &ld
หนึ่งเดือนผ่านไปราวกับว่ากำลังใจจากอู๋เยว่ชิงเป็นโอสถชั้นดี ร่างกายของหลินซีเวยจึงดีขึ้นเป็นลำดับแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เวลานี้จึงพอที่จะเดินเล่นนอกตำหนักได้บ้างแล้วนับเป็นครั้งแรกที่เหล่าขันทีและนางในได้เห็นองค์ชายสามและชายาประทับอยู่ในสวนดอกไม้ สายตาทุกคู่เห็นพ้องต้องกันว่าความสัมพันธ์ของพวกเขาราวกับคนรักกันก็มิปานการกระทำของหลินซีเวยไม่มีปิดบัง การแสดงออกของเขาทำให้หลายคนได้ตระหนักว่าองค์ชายสามผู้นี้ก็มีด้านที่อบอุ่นและอ่อนโยนเช่นกัน“เทศกาลชมจันทร์ใกล้เข้ามาแล้ว เจ้าอยากไปเที่ยวชมหรือไม่เยว่ชิง” หลินซีเวยเอ่ยปากชวนนาง สีหน้าคาดคั้นหวังว่านางจะตอบรับคำขอ“เพคะ” รอยยิ้มบางของนางถือเป็นคำตอบ อู๋เยว่ชิงไม่เคยปฏิเสธคำขอของเขาสักครั้ง“เช่นนั้นเจ้าเตรียมตัวไว้ให้ดีเถิด” เขาบอกกล่าวอย่างมีเลศนัยพลางเอื้อมมือมากุมมือสองข้างของนางไว้ “ขอบคุณที่ดูแลข้ามาตลอด”“หม่อมฉันเต็มใจเพคะ” อู๋เยว่ชิงยิ้มให้เขา “หม่อมฉันไม่หวังสิ่งใดไปมากกว่านี้แ
ผ่านไปสามวันหลังจากนั้น ความสัมพันธ์ของคนทั้งสองดีขึ้นจากแต่เดิมอยู่มาก แม้กระทั่งฮ่องเต้และฮองเฮายังรู้สึกแปลกใจที่จู่ ๆ บุตรชายเปลี่ยนไปมากเพียงนั้นกระนั้นก็ทำให้พวกเขาทั้งคู่พอจะวางใจไปได้บ้างเพราะสุดท้ายแล้วการแต่งงานแก้เคล็ดในครั้งนี้ก็ไม่สูญเปล่าแรกเริ่มที่พวกเขาได้ยินจากปากของอู๋ฮูหยินว่าบุตรสาวของนางแอบรักองค์ชายสามมานานแล้วก็ได้แต่คิดว่าอู๋เยว่ชิงช่างน่าสงสารที่ถูกบุตรชายของตนผลักไสไล่ส่งยิ่งต้องให้นางช่วยผูกดวงชะตาเพื่อรักษาอาการของเขาแล้วก็ยังรู้สึกว่าละอายใจไม่น้อยที่ต้องขอให้ช่วยเช่นนี้ แต่อู๋เยว่ชิงกลับรับปากและบอกว่านางจะทำทุกวิถีทางเพื่อช่วยเขาอย่างสุดความสามารถคราวนี้ได้เห็นว่าความรักของนางได้รับการตอบแทนกลับมาบ้างแล้วจึงโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอกหากแต่เรื่องราวลับคมคมในนี้มีเพียงแค่ฝ่ายจอมมารเท่านั้นที่รู้ว่าเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพียงละครฉากหนึ่งที่สักวันหลินซีเวยจะหักหลังอู๋เยว่ชิงและสังหารนางอย่างเจ็บปวดการถูกหักหลังจากคนที่รักและไว้ใจที่สุดจะเป็นอย่างไร หลินซีเวยแทบรอที่จะได้เห็นสี
เมื่อได้ยินดังนั้นหลินซีเวยจึงถามต่ออีกว่า “หากนางรักข้า ข้าควรทำเช่นไรให้นางรักจนยอมตายเพื่อข้าได้เล่า”เรียวคิ้วของเฉินซือหยางขมวดชนกัน “ข้าเป็นปีศาจอาจจะไม่สามารถล่วงรู้ความรู้สึกของมนุษย์ได้แน่ชัด นายท่านลองอ่านหนังสือพวกนั้นดูเถิดขอรับ”เขาชี้ไปที่ตู้ไม้มุมห้อง ในนั้นมีหนังสือเขียนเกี่ยวกับมนุษย์มากมายให้ค้นหา หลินซีเวยกวาดสายตามองแต่ไกลเพื่อเลือกหนังสือออกมาเล่มหนึ่ง“ไม่เห็นจะมีอันใดน่าสนใจ” เขาส่ายหน้าแล้วร่ายพลังเผามันทิ้งอย่างไม่ใยดีเฉินซือหยางคิดหนักกว่าเดิมแล้วบอกให้เจ้านายรออยู่ครู่หนึ่งก่อนกลับมาพร้อมหนังสือกองใหญ่ “นายท่านลองอ่านพวกนี้ดูก่อนขอรับ ข้าเห็นมนุษย์หลายคนชอบอ่านยิ่งนัก”จอมมารผู้อ่อนต่อโลกสุ่มหยิบเล่มหนึ่งขึ้นมาเปิดอ่าน ในเวลาหนึ่งก้านธูปเขากลับอ่านหนังสือเล่มหนาได้จนจบเล่ม รอยยิ้มเจ้าเล่ห์จึงผุดขึ้นมาในทันทีแล้วหยิบหนังสือเล่มอื่น ๆ มาอ่านต่อโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้างคืนนั้น จอมมารอ่านหนังสือกองพะเนินจนครบทุกเล่มโดยไม่หลับไม่นอนพลั
ในวันต่อมาหลินซีเวยยังคงปฏิบัติกับอู๋เยว่ชิงเหมือนเดิม ทั้งพูดจาไม่เข้าหู ปัดถ้วยโอสถกระเด็น และอีกสารพัดที่นึกอยากจะทำเพื่อให้อีกฝ่ายไปให้พ้นหน้าทว่า อู๋เยว่ชิงยังคงอดทนทำให้เขาตามที่นักพรตชราสั่งเอาไว้ไม่ขาดตกบกพร่องจนกระทั่งผ่านพ้นวันต้องห้าม“องค์ชาย ทรงเป็นอย่างไรบ้าง” ฮองเฮาเข้ามาเยี่ยมบุตรชายทันทีที่พ้นฤกษ์ยาม เวลานี้สีหน้าของหลินซีเวยดีขึ้นเล็กน้อย นางจึงเชื่อว่าการทำพิธีแต่งงานกับอู๋เยว่ชิงจะช่วยปัดเป่าไอมารปีศาจจากองค์ชายสามได้“ข้าไม่เป็นอันใด” เขาตอบอย่างขอไปที “รีบให้นางออกไปจากตำหนักของข้าได้แล้ว”“เจ้าคงทำเช่นนั้นไม่ได้หรอกน้องสาม” ไท่จื่อส่ายหน้าแล้วอธิบายว่า “ท่านนักพรตบอกว่าดวงชะตาของพวกเจ้าผูกพันกัน เพราะมีนางอยู่ข้างกาย เจ้าจึงไม่ถูกไอมารปีศาจครอบงำ”“เสี่ยวเยว่ชิงตั้งใจดูแลองค์ชายเป็นอย่างดี พ่อว่าไม่มีใครเหมาะสมกับเจ้าไปมากกว่านางอีกแล้ว” ฮ่องเต้พูดขึ้นมา สีหน้าพึงพอใจและกำลังคิดบางอย่างอยู่ “เจ้าและนางก็ถึงวั
สายตาของทุกคนหันไปมองอู๋เยว่ชิงอย่างพร้อมเพรียงกัน นึกสงสัยว่าเหตุใดนางจึงมีดวงชะตากำราบมาร ครั้นเมื่อฟังสิ่งที่นักพรตชรากล่าวแล้วจึงเข้าใจในที่สุดแม้วิธีแก้เคล็ดนั้นจะไม่ถูกใจหลินซีเวยแต่เวลานี้เขาไม่มีแรงมากพอที่จะคัดค้านสิ่งใด ทั้งยังไม่สามารถใช้พลังมารบังคับคนที่ยืนอยู่ตรงนั้นหรือโน้มน้าวตามใจตัวเองได้เพราะเสี่ยงที่นักพรตจะจับได้ในทันทีว่าตัวเขาคือจอมมารที่แฝงอยู่ในร่างของมนุษย์การโดนกำจัดไม่ได้ยุ่งยากหรือลำบากจอมมารนัก อย่างไรเสียเขาสามารถฟื้นคืนขึ้นมาใหม่ทุกครั้งที่พลังมารมากพออยู่แล้ว แต่เป็นเพราะเกรงว่าจะตามหาตัวผู้มีดวงกำราบมารไม่ทันการจนส่งผลเสียต่อตัวเขาเองมากกว่าจึงต้องยั้งมือเอาไว้แล้วค่อยหาทางแก้ในคราวหลัง“ท่านนักพรตหมายความให้ข้าน้อยแต่งงานกับองค์ชายสามหรือเจ้าคะ” อู๋เยว่ชิงไม่เชื่อหูตนเอง สายตาของนางเหลือบมองหลินซีเวยที่หลับนิ่งอยู่บนเตียงเมื่อนักพรตชราพยักหน้า ฮองเฮาจึงเดินมากุมมืออู๋เยว่ชิงไว้พลางขอร้องให้ช่วยบุตรชายของนาง ไม่ว่าจวนแม่ทัพต้องการสิ่งใด นางจะหามาให้ทั้งหมดเพื่อเป็นการ
ครั้นได้ยินข่าวลือจากในวังหลวงว่าหลินมู่หลงจะต้องอภิเษกกับองค์หญิงต่างเมือง อู๋เยว่ชิงก็รีบวิ่งไปถามความจริงจากอีกฝ่ายในทันทีสายตาของใครบางคนที่แอบอยู่ด้านหลังต้นหลิวมองทั้งคู่ด้วยความเจ้าเล่ห์ ยิ่งเห็นว่านางร้องไห้ฟูมฟาย น้ำตานองหน้าก็ยิ่งสะใจจนอดไม่ได้ยิ้มร้ายออกมาอู๋เยว่ชิงไม่มีโอกาสได้ทำใจมากกว่านั้นเพราะช่วงเวลาที่หลินมู่หลงจะต้องเดินทางไปยังเมืองหมิงเหวินมาถึงเร็วกว่าที่คาดเอาไว้มาก“เหตุใดจะต้องเร่งไปถึงเพียงนี้ หม่อมฉันยังทำใจจากองค์ชายไปไม่ได้เลย” นางเม้มปากพยายามกลั้นน้ำตาไม่ให้เอ่อไหล“ข้าสัญญาว่าจะเขียนจดหมายมาหาเจ้าบ่อย ๆ” องค์ชายเจ็ดสวมกอดนางปลอบโยนด้วยความรู้สึกผิดที่ไม่ให้เวลานางได้ทำใจสักหน่อย “เห็นเจ้าร้องไห้เช่นนี้แล้ว ข้าควรทำอย่างไรดีเยว่ชิง”“จะทำอย่างไรได้ รีบไปเสียทีสิ” เสียงของใครบางคนไม่สบอารมณ์ปรายตามองทั้งสองคนอยู่อีกมุมหนึ่งโดยไม่สนว่าบรรยากาศในที่แห่งนั้นกำลังเศร้าสร้อยนับตั้งแต่หลินมู่หลงไม่อยู่ในวังหลวงแห่งนี้แล้ว อู๋เยว
สิบเหมันต์ผันผ่านไปความสัมพันธ์ระหว่างอู๋เยว่ชิงและองค์ชายเจ็ดแน่นแฟ้นขึ้น สายตาของคนนอกต่างมองว่าพวกเขาเหมาะสมกันราวกิ่งทองใบหยก“บุตรสาวเจ้าถึงวัยออกเรือนแล้ว ข้าเห็นว่านางสนิทสนมกับองค์ชายเจ็ดพอสมควร วันนี้จึงมาปรึกษา” ฮองเฮารับหน้าที่เป็นแม่สื่อให้อีกฝ่ายหนึ่งอู๋ฮูหยินขมวดคิ้วมีสีหน้าครุ่นคิดแล้วตอบสหายสนิทไปว่า “เรื่องของหัวใจ หม่อมฉันว่าปล่อยให้เด็ก ๆ เป็นฝ่ายเอ่ยปากก่อนจะดีกว่า”“กังวลเรื่องใดอยู่หรือ ข้านึกว่าเจ้าจะตอบตกลงทันทีที่ข้าเอ่ยปากเสียอีก” นางนึกสงสัยว่าเป็นเพราะเหตุใด“หม่อมฉันไม่แน่ใจนัก” สายตาของนางมองไปที่บุตรสาว เวลานี้อู๋เยว่ชิงกำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่ศาลาอีกฝั่งหนึ่งอยู่เพียงลำพังครั้นผ่านไปหนึ่งชั่วยาม อู๋เยว่ชิงจึงออกไปเดินเล่นทางสวนดอกไม้ฝั่งวังหลวงบ้างเหมือนเช่นเคย โดยไม่ลืมถือของฝากไปให้องค์ชายเจ็ดที่ตำหนักของเขาบ่อยครั้งจึงมักสวนทางกับหลินซีเวย แม้นางจะยิ้มให้อีกฝ่ายหรือทำท่าเอ่ยปากทักทายแต่องค์ชายสามผู้เคร่งขรึมก็มักจะเบือนหน้าหนีอย่างไม่ใยดีทำให้นางรู้สึกเศร้าใจโดยไม่รู้ตัวเมื่อมาถึงตำหนักของหลินมู่หลง เขาจึงปลอบใจนางยกใหญ่ ไม่นานนักรอยยิ้มสดใสข
ความหวังดีของอู๋เยว่ชิงยิ่งทำให้จอมมารน้อยรำคาญมากขึ้น เขาใช้แรงที่มีอยู่ผลักนางออกจนมือข้างซ้ายกระแทกกับก้อนหินแหลมทว่า อู๋เยว่ชิงไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อยแต่มือข้างซ้ายของหลินซีเวยกลับมีรอยบาดจากคมหินแหลมเป็นทางยาวจนได้เลือดเพิ่มขึ้นมาอีก“องค์ชายทรงมีประชวรอีกแล้วหรือพ่ะย่ะค่ะ” เสียงตื่นตกใจของขันทีเอ่ยปากถามพลางสั่งให้นางกำนัลไปตามหมอหลวงแม้ว่าทุกวันนี้พวกเขาจะเห็นว่าองค์ชายสามมักจะมีอาการเช่นนี้บ่อย ๆ แต่ก็กังวลทุกครั้งเพราะเป็นอาการที่หมอหลวงไม่อาจหาสาเหตุได้เคราะห์ยังดีที่ดื่มยาสมุนไพรชั้นดีไปสองสามวัน ร่างกายขององค์ชายสามก็กลับมาเป็นปกติราวกับไม่เคยเจ็บป่วยใด ๆ มาก่อนหลินซีเวยถอนหายใจอีกครั้งแล้วนั่งนิ่งบนเสลียงกลับตำหนักของตน บ่นพึมพำ “ทำไม่สำเร็จอีกแล้ว”อู๋เยว่ชิงมองตามหลังด้วยความเป็นห่วงแล้วถามองค์ชายเจ็ดที่ยืนอยู่ข้าง ๆ &ldq
เจ็ดปีผ่านไปเมืองไท่หยางจัดงานรื่นเริงเฉลิมฉลองประจำฤดูใบไม้ผลิ บรรยากาศระหว่างนี้จึงมีแต่ความสนุกสนานสดใส ใครต่อใครต่างรอคอยช่วงเวลาค่ำคืนเพื่อที่จะชมดอกไม้ไฟด้วยใจจดจ่ออู๋เยว่ชิงวัยเจ็ดขวบวิ่งหน้ายิ้มแป้นมาแต่ไกลร้องเรียกสหายคนสนิทที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกัน “องค์ชายเจ็ด คืนนี้ทรงมารอดูดอกไม้ไฟด้วยกันหรือไม่เพคะ”หลินมู่หลง หรือองค์ชายเจ็ด น้องชายต่างมารดาของหลินซีเวยผู้ที่เกิดก่อนนางไม่กี่เดือนกลายมาเป็นเพื่อนรักรุ่นเดียวกันตั้งแต่แรกเกิดเพราะมีนิสัยหลายอย่างคล้ายคลึงกัน“แน่นอนอยู่แล้ว ข้ารอเจ้ามาชวนอยู่พอดีเลย” เขายิ้มให้อีกฝ่ายก่อนจะยื่นขนมหวานที่นางชอบให้อย่างเป็นมิตร “ข้าแอบไปขอมาเพิ่มให้เจ้าเชียว รีบกินเร็วเข้า”“องค์ชายทรงเลี้ยงหม่อมฉันให้เป็นหมูอยู่หรือเพคะ” อู๋เยว่ชิงมองดวงตาสีน้ำตาล ท่าทีหยอกล้อทำให้เขาหัวเราะออกมา