เหยาอี้เหยาพยายามรักษาสีหน้าสงบเอาไว้เมื่อกงจิ้งกับจางลี่กลับมาแล้ว
“ฉู่ซื่อจื่อพูดอันใดกับเจ้าบ้าง” “เขาอนุญาตให้ข้าอยู่ที่จวนได้ ทั้งยังกล่าวยินดีต้อนรับ” “ง่ายเช่นนี้เลย” คนอย่างฉู่ซีเย่ ใช่ว่าใครก็สั่งได้ “ก็ไม่ง่ายนัก เขาคงมีแผนรับมือแล้วเป็นแน่” ไม่มีทางที่ฉู่ซีเย่จะไม่รู้ว่านางคือสายของไท่จื่อ สายตาของเขาบอกนางว่าเขารู้ดี แต่เกียจคร้านที่จะปฏิเสธจึงเล่นตามบทไปเท่านั้น “ฉู่ซื่อจื่อสติปัญญาเหนือสามัญ เขาย่อมรู้แน่อยู่แล้ว” “แล้วแผนนี้จะได้ผลหรือ ข้าว่า…” เหยาอี้เหยากำลังจะเสนอแผนการอื่นที่นางไม่ต้องเสี่ยงตาย แต่เวลานั้นเอง เสียงม้าด้านนอกจวนพลันดังขึ้น นางฟังจากเสียงบดของล้อกับพื้นหินแล้ว ไม่ได้มาคันเดียวเสียด้วย จวนสกุลฉู่ ไม่ใช่สถานที่ซึ่งคนทั่วไปจะแวะเวียนมาเมื่อไหร่ก็ย่อมได้ แต่เป็นสถานที่และอาณาเขตปกครองส่วนบุคคล แล้วต้องเป็นผู้ใด ถึงได้มาเยือนในเวลาเช่นนี้ “ใครมากัน” เหยาอี้เหยาปีนขึ้นโต๊ะเพื่อดูขอบกำแพง เรือนหลังนี้อยู่ห่างจากกำแพงไม่มาก จึงพอมองเห็นความเป็นไปด้านนอกกำแพง นางยืดตัวขึ้นเห็นหลังคารถม้าที่คุ้นตาตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน “รถม้าของเจ้าเมืองฉู่มาอยู่ที่นี้ได้ยังไง” แม้จะพูดว่ารถม้าของเจ้าเมืองฉู่ แต่เจ้าเมืองฉู่หลินได้เสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน ดังนั้นจึงเป็นไปไม่ได้ที่ด้านในจะเป็นเจ้าเมืองฉู่ แล้วผู้ใดกันที่อยู่ด้านใน รวมทั้งสามารถใช้รถม้าคันนี้ได้ กงจิ้งเองก็ใคร่สงสัย เขาหันมามองนาง “ข้าจะไปดู เจ้าคอยอยู่ที่นี้ก่อน” “เจ้าค่ะ” เหยาอี้เหยารับคำเพื่อให้กงจิ้งจากไป ครั้นไม่มีคนอยู่ด้วย จางลี่ก็เปลี่ยนสีหน้าท่าที นางถอนหายใจแล้วจะนั่งลง แต่เหยาอี้เหยาใช้อำนาจของนางเป็นครั้งแรกเพื่อสั่งสาวรับใช้ “ข้าอยากได้ยารักษาแผลน้ำร้อนลวก เจ้าไปเอามาให้ข้าที” เหยาอี้เหยาอยากจะรู้ว่าผู้ใดกันที่มาเยือน นางจำเป็นต้องรู้เพราะชีวิตนางขึ้นอยู่กับคนในสกุลนี้ การรู้ความเคลื่อนไหวต่างๆ ของคนสกุลฉู่ จะสร้างแต้มต่อให้นาง “คนของฉู่ซื่อจื่อไปนำมาให้ท่านแล้ว ท่านรอสักครู่ซิเจ้าคะ” “คนของฉู่ซื่อจื่อก็เป็นคนของเขา ตอนนี้ข้าสั่งให้เจ้าไปนำยามาให้ข้า เจ้ายังเฉยหรือ” “คุณหนูเหยา ข้าจะกล้าได้อย่างไร” จางลี่ยังยืนอยู่กับที่ แม่ทัพกงจิ้งสั่งให้นางเฝ้าดูคุณหนูเหยา “เจ้ากล้า เจ้าเถียงข้าอยู่นี่อย่างไร” เหยาอี้เหยาใช้เสียงที่ค่อนข้างเด็ดขาด “ข้าต้องการยา ไปนำยามาให้ข้าเดี๋ยวนี้” ที่ผ่านมาแม้จางลี่จะแสดงท่าทีไม่อยากปรนนิบัตินางหรือพูดจากระแหนะกระแหน กระทั่งแอบขโมยเงินเล็กๆ น้อยๆ นางก็ไม่เคยมีปากเสียง จางลี่เลยนึกว่านางเป็นคุณหนูซื่อๆ จะทำอย่างไรก็ได้ แต่พอนางใช้น้ำเสียงเช่นนี้และใช้สายตาที่แฝงอำนาจ จางลี่ก็จำต้องรับคำ “ข้าน้อยจะไปนำยามาให้ท่านเดี๋ยวนี้ คุณหนูเหยารอสักครู่นะเจ้าคะ” “ขอบใจ เจ้ารีบไปเถอะ” เหยาอี้เหยารอจนเสียงฝีเท้าของจางลี่หายไปแล้ว นางจึงลอบออกไปจากเรือนรับรอง สวนด้านหลังของเรือนเป็นจุดกำบังตัวที่ดี นางย่อตัวลงเล็กน้อย ค่อยๆ ย่องไปตามแนวต้นไม้ ก่อนจะพบที่เหมาะๆ ให้พอแอบซุ่มดูได้ถนัดถนี่ แขกผู้มาเยือนทยอยลงมาจากรถม้าแล้ว เหยาอี้เหยาพอจะรู้จักชายวัยกลางคนที่เดินนำลงมา แต่เด็กหนุ่มและเด็กสาวซึ่งอายุน่าจะมากกว่านางนั้น เหยาอี้เหยาไม่รู้จัก ทว่าถึงจะไม่รู้จัก แต่นางพอจะปะติดปะต่อและอนุมานได้จากใบหน้าที่ละหม้ายคล้ายกัน ชายวัยกลางคนคือเจ้าเมืองชง ฉู่กวงเยี่ยน นางสืบเรื่องของสกุลฉู่มาไม่น้อยจึงพอทราบว่าฉู่กวงเยี่ยนถือเป็นท่านอาสายสกุลรองของฉู่ซีเย่ ดังนั้นเด็กหนุ่มรูปร่างสะโอดสะองสวมชุดสีครามลายนกอินทรีซึ่งเดินตามหลังมานั้น น่าจะเป็นบุตรชายของเขา ถ้าหากเหยาอี้เหยาจำไม่ผิด เขาน่าจะชื่อฉู่กวงหลิน ส่วนเด็กหนุ่มอีกคนและเด็กสาวใบหน้างดงามพิสุทธิ์ที่ตามมาหลังสุด เหยาอี้เหยาไม่มั่นใจว่าคือผู้ใด เพราะฉู่กวงเยี่ยนมีบุตรชายเพียงคนเดียว ส่วนบุตรสาวของเขาออกเรือนไปแล้ว หนึ่งในบุตรสาวของเขาเป็นว่าที่ฮูหยินให้หลี่หลาง น้องชายของอดีตอดีตคู่หมั้นของนาง เหยาอี้เหยามองตามหลังคนทั้งสี่ที่เดินเยื้องเข้าไปในเรือนรับรองหลังใหญ่ ก่อนจะค่อยๆ ถอยกลับไปที่เรือนซึ่งจากมา พร้อมกับคิดว่าวันนี้ฉู่ซีเย่คงเสียเปรียบไม่น้อย เพราะเท่าที่นางรู้มาจากข่าว ฉู่กวงเยี่ยนหมายตาตำแหน่งเจ้าเมืองฉู่ของญาติผู้พี่มาแต่ไหนแต่ไหนแล้ว อาจจะด้วยตำแหน่งเจ้าเมืองชงเป็นเพียงตำแหน่งรอง ไม่สลักสำคัญเหมือนการเป็นเจ้าเมืองเอกอย่างเมืองโจวอี้ แม้ว่าจะเป็นคนตระกูลเดียวกัน แต่ฉู่กวงเยี่ยนไม่มีสิทธิชอบธรรมที่จะสืบทอดตำแหน่งเจ้าเมืองโจวอี้หรือฉู่ซีเย่ที่เป็นซื่อจื่อของรัฐหลู่ก็ไม่มีสิทธิ แต่เป็นฉู่ซีห่าว บุตรชายแท้ๆ ของฉู่หลินที่มีสิทธิชอบธรรมในตำแหน่งเจ้าเมือง แต่ยามนี้ฉู่ซีห่าวเป็นแม่ทัพรักษาดินแดนอยู่นอกด่านตามคำสั่งของฝ่าบาท กลับมาที่เมืองไม่ได้ อันที่จริงแล้วฉู่ซีห่าวถึงวัยเหมาะสมซึ่งจะปกครองเมืองโจวอี้ต่อจากบิดาหลังไว้ทุกข์ แต่ก็อย่างที่ทราบ ต้าหย่งเกรงว่าอำนาจของชาวแดนเหนือจะมากกว่า จึงพยายามลดอำนาจลง ทั้งยังพยายามเปลี่ยนมือเจ้าเมืองโจวอี้จากสกุลฉู่ให้เป็นของราชวงศ์ แต่การเปลี่ยนมือเป็นของราชวงศ์เลยย่อมต้องมีเสียงทัดทานจากชาวเมือง อีกทั้งคนสกุลฉู่สายตรง ยังเป็นที่รักยิ่ง ดังนั้นจึงเปลี่ยนมือไม่ได้ ยิ่งเมื่อทายาทสายตรงยังมีชีวิตอยู่ ในสมองของเหยาอี้เหยามีข้อมูลของคนสกุลฉู่เพิ่มขึ้นมาเรื่องหนึ่ง เป็นข้อมูลที่ตอบคำถามได้ว่า ทำไมฉู่กวงเยี่ยนจึงมาที่สกุลฉู่พร้อมกับไท่จื่อ องค์หญิงหย่งจื่อเอ๋อร์ เป็นชายาของฉู่กวงเยี่ยน การผลักดันให้สกุลฉู่สายรองขึ้นมาเป็นใหญ่ในแดนเหนือมากขึ้นแต่ก็ยังคงเครื่องหมายสกุลฉู่ สามารถลดแรงทัดทานได้ ราชวงศ์ย่อมมีแต่ได้กับได้ เหยาอี้เหยาสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย ว่าในยามที่ไท่จื่อและฉู่กวงเยี่ยนมาหาเขาอย่างพร้อมเพรียงราวนัดกันไว้ เขาจะทำอย่างไร “ไม่ได้มีแค่ข้าที่ตกที่นั่งลำบากซินะ” “คำนับไท่จื่อ เป็นเกียรติของสกุลฉู่ที่ท่านเดินทางมา จวนของเราเป็นเพียงจวนเล็กๆ ผุพังรอวันปลวกกิน หากมีสิ่งใดบกพร่องขัดนัยน์ตา ขอให้ซื่อจื่อโปรดอภัย” ฉู่ซีเย่เดินเข้าไปในห้องโถงของเรือนรับรองด้วยชุดสีดำ หย่งสวินลุกขึ้นแย้มยิ้ม ทักทายอย่างเป็นกันเอง “ไม่ถือพิธี ฉู่ซื่อจื่อ เราต่างเป็นพี่น้องกัน ไยต้องมีท่าทีเป็นทางการเหล่านี้ เป็นข้าเองเสียอีกที่มารบกวนเจ้า เสียมารยาทมากแล้วจริงๆ” “ไม่เลย เชิญนั่งทางนี้ ข้าจะรินเหล้าที่ดีที่สุดให้ท่านเพื่อเป็นการต้อนรับ” ฉู่ซีเย่เป็นมิตรยิ่ง เหมือนที่หย่งสวินเป็นมิตรต่อเขา ทั้งสองต่างแย้มยิ้มพูดจาปราศัย ทว่าบรรยากาศระหว่างทั้งสองคืออีกขั้วหนึ่ง “เจ้าดีต่อข้าเสมอ ฉู่ซื่อจื่อ เรื่องของอาเยี่ยน เป็นข้าที่ผิดต่อเจ้า ไม่อาจจัดงานแต่งตามสัญญาทั้งยังทำให้เจ้าเป็นที่ครหา ใจข้าเป็นทุกข์ยิ่ง” หย่งสวินทำท่าคล้ายจะประสานมือขอโทษ ในยามนั้นฉู่ซีเย่ห้ามปราม ต่อหน้าธารกำนัลเขาไม่อาจให้หย่งสวินคำนับเขา “ไท่จื่อ เรื่องล้วนผ่านไปแล้ว บางทีข้ากับองค์หญิงอาจไม่มีวาสนาต่อกัน ท่านไม่ต้องทุกข์ แค่การจากไปขององค์หญิงก็ทำท่านทุกข์มากพอแล้ว” “ถึงอย่างไรข้าก็ยังรู้สึกผิดต่อเจ้า สองสัปดาห์มานี้เสด็จพ่อคงทราบข่าวแล้ว ข้าส่งจดหมายม้าเร็วไปอธิบายว่าอาเยี่ยนจากไปอย่างสุดวิสัยด้วยโรคร้าย ไม่ใช่ความผิดของเจ้า แต่ก็ยังช้านัก ท่านพ่อรักอาเยี่ยนที่สุด จึงทำใจได้ยากส่งกองทัพมากดดันเจ้าเพื่อขอคำอธิบาย แต่ข้าได้จัดการทุกอย่างแล้ว ยามนี้เสด็จพ่อทรงเข้าใจดี เจ้าไม่ได้ผิดอันใด” หัวคิ้วที่มุ่นเข้าหาเล็กน้อยของฉู่ซีเย่คลายออก “ข้าดีใจที่ท่านเข้าใจ ทั้งยังช่วยข้าอธิบายให้ฝ่าบาทเข้าใจ หลายวันนี้ข้ากังวลไม่น้อย เกรงว่าจะผิดใจต่อพวกท่านและฝ่าบาท” “จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เราต่างรับรู้ดีว่าฉู่อ๋องภักดีต่อเสด็จพ่อมากเพียงไหน” หย่งสวินยิ้ม หมายจะย้ำเตือนฉู่ซีเย่เรื่องความภักดี ฉู่ซีเย่ยังสามารถควบคุมกล้ามเนื้อบนหน้าได้ดี แสร้งยิ้มต่อไปได้ “หลังจากนี้ท่านกลับเมืองหลวงหรือไม่ ข้าอยากฝากจดหมายขออภัยถึงฝ่าบาทอย่างเป็นทางการ อันที่จริงใจข้าอยากไปเอง แต่ท่านก็ทราบ คนต่ำต้อยเช่นข้าไหนเลยจะมีสิทธิเข้าเฝ้าฝ่าบาทเหมือนท่าน” หย่งสวินถูกตอกหน้าว่าไท่จื่ออย่างเขาไม่มีสิทธิ์กลับเมืองหลวงด้วยซ้ำ แต่ก็ยังยิ้ม “ฉู่ซื่อจื่อ ท่านก็รู้ว่าช่วงนี้ข้าพำนักอยู่ที่เมืองเสินหยาง ยากจะพบหน้าเสด็จพ่อเช่นกัน” เพื่อบัลลังก์แห่งอำนาจ มีใครไม่อยากไขว่คว้ามาครอง คนที่มีสิทธิจึงพร้อมยอมสละทุกอย่างเพื่อช่วงชิงมา ยอมฆ่าได้แม้แต่คนในสายเลือดเดียวกัน ในอดีตมีไม่น้อยที่ฮ่องเต้ถูกลอบปลงพระชนม์โดยบุตรของตนเองหรือคนในครอบครัว ฮ่องเต้แห่งต้าหย่งมีนิสัยหวาดระแวงรุนแรงถึงเรื่องนี้ แม้กระทั่งองค์ชายรัชทายาท จึงส่งออกมาจากเมืองหลวง ให้พำนักอยู่ห่างๆ สายตา “พำนักอยู่เสินหยางนี่เอง” “พักร้อนน่ะ” “เป็นข้าคิดน้อยไป ไท่จื่อ เช่นนั้นท่านจะให้คนขนย้ายพระศพองค์หญิงกลับเมืองหลวงวันใด ข้าจะเดินทางไปร่วมส่งองค์หญิงด้วยตนเอง พร้อมทั้งถือโอกาสอธิบายต่อฝ่าบาท” “ช่างใส่ใจนัก ข้าเตรียมกำหนดการไว้แล้ว มะรืนนี้จะให้คนขนย้ายร่างอาเยี่ยน เรื่องนี้ข้าฝากเจ้าด้วย ช่วยส่งอาเยี่ยนกลับบ้านแทนข้าที” “ข้าจะเตรียมตัวให้พร้อม” “ฉู่ซื่อจื่อ ท่านลงไปเมืองหลวงครานี้คงอยู่หลายเดือน ฉู่อ๋องและแม่ทัพฉู่ต่างเป็นวีรบุรุษ เสียสละเลือดเนื้อรักษาดินแดนอย่างเข้มแข็ง ทว่าเพราะเหตุนี้เมืองโจวอี้จึงร้างราเจ้าเมืองคอยดูแลมานานแล้ว มิสู้ตอนนี้เจ้าแต่งตั้งคนเหมาะสมมาดำรงตำแหน่งชั่วคราวแทนแม่ทัพฉู่ดีหรือไม่ จะได้แบ่งเบาภาระเจ้า” ฉู่ซีเย่ยิ้ม พูดจาเสแสร้งกันไปหลายสิบตลบ ในที่สุดหย่งสวินก็พูดในสิ่งที่ต้องการออกมาแล้วฉู่ซีเย่ยิ้ม พูดจาเสแสร้งกันไปหลายสิบตลบ ในที่สุดหย่งสวินก็พูดในสิ่งที่ต้องการออกมาแล้ว ทุกอย่างเป็นเหมือนที่เขาคาดการณ์เอาไว้ตั้งแต่ต้น หย่งสวินต้องการครอบครองเมืองโจวอี้ผ่านทางฉู่กวงเยี่ยน หลังจากแผนส่งองค์หญิงเจ็ดมาเป็นทองแผ่นเดียวกันล่ม“ไท่จื่อทรงคิดรอบคอบ ขนาดเรื่องของเมืองโจวอี้ของเรา ท่านก็คิดไว้แล้วว่าต้องจัดการอย่างไร เป็นข้าเสียอีก ที่นึกไม่ถึงเรื่องนี้”หย่งสวินฟังออกว่ากำลังถูกแดกดัน แต่เขายังยิ้มแย้ม “เจ้าอาจฟังแล้วรู้สึกว่าข้าก้าวก่ายมากไป แต่ฉู่ซื่อจื่อ บ้านเมืองไร้ผู้ปกครองยากจะเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง วันหนึ่งวันใดหาถูกพวกนอกด่านไร้อารยะบุกโจมตี ใครเล่าจะปกป้องราษฎร ที่ข้าพูดเมื่อครู่เป็นเพราะหวังดีทั้งนั้น อีกอย่างข้าไม่ได้คิดตั้งตัวเป็นผู้ปกครองเอง แต่ให้คนในสกุลเจ้ามาช่วยเหลือ ทุกอย่างยังเป็นของสกุลฉู่ รอวันหน้าทุกอย่างเรียบร้อย ย่อมส่งคืนตำแหน่งให้ผู้สืบทอดตัวจริง”ฉู่ซีเย่ถาม ใบหน้าแสดงอารมณ์เท่าที่จำเป็น “พูดมาถึงตรงนี้ ในใจท่านคงมีคนที่เหมาะสมแล้วกระมัง”ตั้งแต่จัดการองค์หญิงเจ็ดที่ใช้งานไม่ได้ ไปจนถึงรวมกองทัพมากดดันฉู่ซีเย่ หย่งสวินปลุกระดมปั่นป่วนทุกอย่างเพ
“ดื่มซะ ไม่เช่นนั้นข้าจะควักเครื่องในเจ้ามาตุ๋นน้ำแกงกิน”ฉู่ซีเย่พูดอย่างเย็นยะเยือก ไม่มีวี่เเววล้อเล่น“ข้าดื่มแล้วเจ้าค่ะ กินบัดเดี๋ยวนี้” เหยาอี้เหยายกจอกเหล้าขึ้นจรดริมฝีปาก กลิ่นเฉพาะของสุรารสเลิศแทรกผ่านอากาศเข้าสู่จมูก ทว่าในตอนนั้นเอง นางกลับพึ่งนึกขึ้นมาได้ว่ายาพิษที่ไท่จื่อหย่งสวินให้นางกินนั้น ต้องหลีกเลี่ยงสุราช่วงระยะแรก ไม่เช่นนั้นอาการจะกำเริบขึ้นมาได้จนตาย“เหตุใดไม่กิน” ฉู่ซีเย่ถามเสียงเรียบ “หรือเจ้าแอบใส่ยาพิษให้ข้าจริงๆ”เหยาอี้เหยาคุกเข่าโดยพลัน นางสั่นสะท้านทั้งจากความหนาวเย็นและสายตาของฉู่ซีเย่ที่ทิ่มแทงยิ่ง “ไม่มีทางเจ้าค่ะ ข้าน้อยไม่มีความกล้าที่จะทำเช่นนั้นกับท่านแน่นอน เพียงแต่ข้าน้อยไม่เคยดื่มสุรา อีกทั้งสุราของท่านยังเป็นสุราชั้นเลิศ ข้าน้อยเลยไม่กล้าแตะต้อง”ไท่จื่อหย่งสวินให้นางกินยาพิษเพื่อป้องกันนางหลบหนีหรือหักหลังพระองค์ในภายหลัง ยาพิษนั้นเป็นแมลงคุณไสยที่มีชีวิต พระองค์จึงสั่งไว้ว่าในช่วงระยะแรกของการย้ายแมลงเข้ามาในตัวนาง นางต้องหลีกเลี่ยงอาหารบางจำพวกและสุรา ไม่เช่นนั้นยาระงับแมลงคุณไสยจะไม่ได้ผล เนื่องจากตัวแมลงไม่คุ้นชินกับร่างใหม่รอจนพ้นเดือ
เหยาอี้เหยาฟื้นจากพิษไข้ในวันถัดไป ซึ่งเป็นวันกำหนดการเดินทางของฉู่ซีเย่พอดี นางร้อนใจเพราะก่อนหน้านี้ไท่จื่อหย่งสวินบอกนางไว้ว่าให้นางติดตามฉู่ซีเย่ ทำให้เขาโปรดปรานนางให้ได้ แต่ถ้าหากฉู่ซีเย่ลงใต้ไปเมืองหลวง นางก็จะเสียโอกาสในการใกล้ชิดเขานางจึงรีบลุกขึ้นจากเตียงนอนแต่รุ่งสาง แต่งตัวแล้วรีบไปพบเขาแม้จะยังไม่หายดีเรือนของฉู่ซีเย่แยกตัวห่างจากทุกเรือน นางใช้เวลาพักใหญ่กว่าจะเดินถึงเรือนบูรพา แจ้งเจตนากับจินเฟยว่านางต้องการพบฉู่ซีเย่ จินเฟยบอกให้นางรออยู่ด้านนอกก่อน เขาจะไปเรียนนายท่านเหยาอี้เหยารอ นางรู้สึกยังอ่อนล้าอยู่บ้างจึงนั่งลงบนพื้นหิมะ ลานโดยรอบของเรือนฉู่ซีเย่ขาวโพลน ต้นไม้ซึ่งนางเดาไม่ออกว่าคือต้นอะไรยืนไร้ใบอยู่กลางลาน ภายในไม่มีสาวรับใช้ประจำเรือน จะว่าไปนางก็ไม่เคยเห็นสาวรับใช้ของฉู่ซีเย่ หรือเขาไม่มีกันนะ“คุณหนูเหยา ซื่อจื่ออนุญาตให้ท่านเข้าพบได้”“ขอบคุณเจ้าค่ะ”จินเฟยเปิดประตูให้นางเข้าไป เขารอจนนางข้ามธรณีประตูไปแล้วจึงปิดบานประตู ส่วนตนเองเฝ้าอยู่ด้านนอก ขณะนั้นฟ้ายังไม่สว่างดี ทุกอย่างยังขมุกขมัวไม่สดใสเหยาอี้เหยาเดินเข้าไปในเรือนผ่านประตูโค้งพระจันทร์ ทางเดินย
ท้องฟ้าด้านนอกมืดสนิทเมื่อเหยาอี้เหยาตื่นขึ้นมา ความเจ็บปวดทุกข์ทรมานที่นางเผชิญได้หายไปแล้ว ตอนนี้นางรู้สึกอ่อนล้าและกระหายน้ำ นอกจากนั้นร่างกายก็ไม่ได้เจ็บปวดที่ตรงไหนอีกจางลี่คล้ายจะได้ยินเสียงเคลื่อนไหว จึงยกศีรษะขึ้นมาจากที่นอนบนพื้นแล้วมองหา ก่อนจะพบว่าเหยาอี้เหยากำลังลุกจากตั่งเตียงด้วยความทุลักทุเลจึงเข้าประคอง“คุณหนูเหยา ท่านตื่นแล้วหรือ” หลายวันมานี้จางลี่ถูกกงจิ้งคาดโทษไว้ ฐานที่ไม่ดูแลคุณหนูเหยาให้ได้ดี นางกลัวจะถูกลงโทษส่งตัวกลับบ้านเกิด จึงได้เริ่มทำตัวเหมือนสาวใช้มากขึ้น“อืม ข้าหิวน้ำ” เหยาอี้เหยานั่งหอบ นางรู้สึกราวกับได้สูญเสียกำลังจำนวนมากไป“รอสักครู่เจ้าค่ะ ข้าน้อยจะไปต้มน้ำชามาให้ท่าน”“ไม่เอาน้ำชา ข้าอยากได้น้ำเย็นๆ” เหยาอี้เหยาไม่รู้สึกอยากน้ำชา หรือของร้อน อาจจะเพราะร่างกายภายในยังรู้สึกร้อนผ่าวนางอยากดื่มน้ำเย็นเพื่อดับกระหาย จางลี่จึงไปรินน้ำมาให้นางดื่ม สีหน้าของนางจึงสดชื่นขึ้น“จางลี่ ช่วยเปิดหน้าต่างให้ข้าได้สูดอากาศหน่อย”“หนาวนะเจ้าคะ สองสามวันมานี้อากาศเย็นลงมาก”“ข้าหลับไปนานขนาดนั้นเลยหรือ” เหยาอี้เหยามองออกไปยังหน้าต่าง ละอองหิมะปลิดปลิวเข้ามาจาก
เพื่อให้เหยาอี้เหยาได้มีเวลาส่วนตัว ฉู่ซีเย่จึงได้สั่งการกงซุนหลางเอาไว้ว่าให้มอบหมายงานให้คณะราชทูตจากต้าหย่งอย่างไรบ้าง โดยจัดให้กงจิ้งและลู่หมิงทำงานเอกสารอยู่ในกรมราชทูต ส่วนซ่างเจวี๋ยถูกย้ายให้ไปประจำที่กองทหารตระเวนเมืองสำหรับเหยาอี้เหยา เพื่อให้นางสะดวกมากขึ้นในการทำงานต่างๆ ให้ฉู่ซีเย่ กงซุนหลางจึงออกหนังสือและป้ายประจำตัวให้นางเป็นราชทูตเพื่อดูงานด้านสำรวจในกรมสำรวจสำมโนครัวรถม้าจอดลงเมื่อถึงทางเข้าตรอก ถนนคับแคบจึงไม่สามารถนำรถม้าเข้าไปได้ จากนี้จึงต้องเดินเท้าอย่างเดียวเหยาอี้เหยาเดินไม่นานก็ถึงสำนักงานสำรวจสำมโนครัวของตรอกซ้าย ซึ่งเป็นหน่วยงานเล็กๆ มีเจ้าหน้าที่เพียงไม่กี่คน แต่ละคนเป็นคนขยันตั้งใจทำงานทว่าเดือนก่อนเจ้าหน้าที่ประจำกรมสำรวจสำมโนครัวได้ลาออกไปคนหนึ่ง ทำให้ตำแหน่งงานของเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่หายไป กงซุนหลางเห็นว่าเหยาอี้เหยาต้องการอยู่ใกล้ตรอกขวาจึงให้นางมาลงงานในส่วนนี้ แม้จะอันตรายอยู่สักหน่อย“เรียนเชิญขอรับ”ผู้ดูแลจิ่งออกมาต้อนรับ เขาได้รับจดหมายจากกงซุนหลางแล้วว่านางจะมา จึงต้อนรับนางเข้าไปด้านในกรมสำรวจสำมโนครัวอย่างนอบน้อม ตระเตรียมห้องทำงานให้นางโดย
ท้องฟ้ามืดครึ้มคล้ายพายุหิมะกำลังก่อตัวอยู่อีกฟากของขอบฟ้านางรู้สึกตัวเพราะแรงกระแทก สิ่งที่เห็นเป็นอย่างแรกเมื่อลืมตา คือด้านหลังของม้าที่ฉู่กวงหลินกำลังควบขี่ ความหนาวเย็นเสียดกระดูกทำให้เหยาอี้เหยาไอ ตอนนี้นางอยู่ในกรงขังโลหะที่ลากไปบนพื้นด้วยความเร็วสมองของนางประมวลผลเชื่องช้าด้วยผลกระทบจากการขาดยาทำให้ร่างกายอ่อนแอลงอย่างฉับพลัน ถึงอย่างนั้นนางก็ยังจำได้ว่าตนเองถูกพาตัวออกมาจากคุกเพื่อเป็นตัวประกันฉากหลังของเส้นทางอันขรุขระคือกงจิ้ง เขากำลังไล่กวดฉู่กวงหลินมาในระยะกระชั้นชิด ส่วนซ่างเจวี๋ยแยกตัวไปขนาบข้าง พวกเขาไม่กล้ายิงธนูส่งเดช ด้วยกลัวจะถูกนางทว่าฉู่กวงหลินและคนของเขาไม่ใช่ ธนูนับสิบพุ่งเฉี่ยวร่างกายกงจิ้ง ซ่างเจวี๋ยรับมือกับคนของฉู่กวงหลินที่ดาหน้าเข้าใส่ในระยะประชิด“อี้เหยา! อดทนเอาไว้!”ซ่างเจวี๋ยส่งเสียงก้องกังวาน เนื้อตัวเปอะเปื้อนไปด้วยโลหิต พยายามทุ่มเทกำลังเพื่อช่วยนางเต็มที่ทว่าเหยาอี้เหยาอ่อนแอนัก ลมหายใจนางแผ่วลงเรื่อยๆ พร้อมกับลมหนาวที่พัดวูบเข้ามาในร่างไม่รู้เพราะเหตุใด แต่นางหนาวยิ่งหนาวจนเหมือนกำลังอยู่ในกองหิมะเย็นเฉียบ…“ไอ้พวกบัดซบ ฆ่าให้หมด!” ฉู่กวง
เมืองโจวอี้กลับเข้าสู่สถานการณ์ปกติเมื่อฉู่ซีเย่กลับมา เขาปราบปรามคนของฉู่กวงหลินหมดสิ้นภายในคืนเดียว พร้อมส่งสองพี่น้องสกุลหยางกลับเมืองชงอีกทั้งประกาศออกหมายจับกบฏโทษตายของฉู่กวงหลินทำให้เจ้าเมืองชงต้องนั่งรถม้ามาขอร้องให้ฉู่ซีเย่อภัยพร้อมกับบอกเล่าเรื่องราวแผนการที่หย่งสวินสั่งให้ทำฉู่ซีเย่รู้ดีว่าทุกอย่างเป็นแผนการเพื่อโค่นอำนาจของไท่จื่อ ทำให้เขาต้องสูญเสียอำนาจในแดนเหนือ ลี้ภัยไปเมืองหลวง ทว่าแผนการของหย่งสวินไม่ได้สั่นคลอนฉู่ซีเย่อย่างที่คิด เขาสามารถพลิกสถานการณ์กลับมาได้“ซื่อจื่อ อภัยให้บุตรชายของอาสักครั้งเถิด จากนี้ไปเขาไม่กล้าอีกแล้ว” ฉู่กวงเยี่ยนคุกเข่า ร้องขอความเมตตา“เจ้าเมืองชง พูดว่าไม่กล้าแล้วช่างง่ายดาย แต่การกระทำล้วนสวนทางเช่นนี้ ข้าคงให้อภัยได้ยาก” ฉู่ซีเย่มองอีกฝ่ายอย่างเรียบเฉย แม้จะมีสายเลือดส่วนหนึ่งจากบรรพบุรุษที่เหมือนกัน ทว่าเขาไม่รู้สึกถึงสายสัมพันธ์อันใดต่อญาติผู้นี้ ความจริงเขาอยากจะส่งคนไปลากตัวฉู่กวงหลินมาสั่งสอน แต่ทำอย่างไรได้ มารดาของอีกฝ่ายเป็นคนของราชวงศ์ ไม่ว่ายังไงก็ต้องไว้หน้าอยู่บ้าง“ถ้าหากลุงสัญญาว่าจะสนับสนุนให้แม่ทัพฉู่ขึ้นเป็นเจ้าเมื
เจ้าเมืองจะมีจวนของตนเอง เขาจึงพักอยู่ที่นั่น โดยแวะเวียนกลับมาหาน้องชายอย่างสม่ำเสมอตั้งแต่เด็ก ดังนั้นทันทีที่กลับเข้าเมืองมา สิ่งแรกที่ฉู่ซีห่าวทำคือกลับมาหาน้องชายทั้งสองไม่ได้พบหน้ากันนานจึงชวนร่ำสุราด้วยกัน ฉู่ซีเย่นำสุราชั้นดีที่บ่มไว้ออกมาฉลองล่วงหน้าให้กับฉู่ซีห่าว พูดคุยรำลึกความหลังหนเก่า จนพูดมาถึงเหตุการณ์สำคัญเมื่อสามปีก่อน ในฤดูหนาวที่จะถึงในเดือนหน้าใกล้จะถึงวันล่วงลับของเจ้าเมืองฉู่คนก่อนแล้ว...“อิ่นจื่อ เรื่องเมื่อสามปีก่อนเจ้าได้บอกนางหรือเปล่า” นางในความหมายของฉู่ซีห่าวคือเหยาอี้เหยา ส่วนเรื่องเมื่อสามปีก่อน คือเรื่องเหตุการณ์ลอบสังหารที่ทำให้ฉู่หลินเสียชีวิต เขาในตอนนั้นอยู่ชายแดนกับท่านปู่ กว่าจะกลับมาได้ ท่านพ่อก็ไม่อยู่แล้ว“ต้องบอกด้วยหรือ”“วันนี้นางมองข้าด้วยความรู้สึกผิด” เมื่อครู่ฉู่ซีห่าวพบนางที่ตรอกในเมือง “ทั้งๆ ที่คนที่ควรรู้สึกผิดต่อนางควรเป็นพวกเรา”“ชาวฮั่นเป็นคนลงมือ ชาวฮั่นเป็นคนสร้างข่าวลือกลบความจริง เช่นนี้ย่อมต้องให้ชาวฮั่นรับผิดชอบ” เพราะเหตุการณ์ในอดีตทำให้สกุลเหยาต้องแบกรับความผิด ถูกตัดขาดจากสังคมและกีดกัน ทว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องก
ฤดูใบไม้ผลิของแดนเหนืออบอุ่นและงดงาม ต้นไม้ที่หลับใหลในฤดูเหมันต์ผลิใบอ่อน แสงแดดลอดเงาผ่านช่องว่างต้นถั่วแดงเข้ามาเป็นลำแสง ต้นถั่วแดงหงฉู่โตวเป็นไม้ยืนต้นที่ใช้เวลาหลับใหลในฤดูหนาวเช่นกัน แต่เพราะมันเติบโตในแดนใต้ที่อากาศอุ่น ก่อนจะถูกขุดล้อมแล้วย้ายขึ้นมาที่เมืองโจวอี้ ต้นถั่วแดงจึงเจริญเติบโตขึ้นมาก เหยาอี้เหยามักจะมารดน้ำต้นถั่วด้วยตนเอง นางจำได้ว่าช่วงสามปีแรก ต้นถั่วโตช้ายิ่ง จนกระถางเล็กๆ ยังโตไม่เต็ม ครั้นลงดินที่อำเภอซานถง เพียงไม่นานก็สูงเอาๆ แต่พอมาคิดดู เหยาอี้เหยาคิดว่าสาเหตุที่ต้นถั่วโตช้าตอนอยู่ในกระถาง เพราะพื้นที่ไม่พอ สารอาหารขาดแคลน พอได้รับแสงแดด สายลม พื้นที่เหมาะสม พริบตาเดียวก็สูงขึ้นจนต้องแหนหน้ามองแล้ว ร่มเงาของกิ่งก้านที่แผ่ขยายออกเป็นพุ่มงาม ใบไม้เสียดสีเบาๆ ราวกับกำลังอวยพรให้นาง เหยาอี้เหยาพนมมือรับพรด้วยน้ำตา แต่คำอวยพรบางอย่างก็ไม่สามารถเกิดขึ้นได้... “อยู่นี่เอง” ฉู่ซีเย่เดินเข้ามาบริเวณสวนดอกไม้ ตรงกลางมีต้นถั่วยืนต้นโดดเด่น ใต้ร่มเงามีหญิงงามในชุดผ้าคลุมตัวยาว ช่วงนี้อากาศเริ่มร้อนแล้ว กระนั้นเหยาอี้เหยาก็ยังสวมชุดฤดูหนาว “ท่านหาข้าอยู่หรือ” เ
เดินทางจากอำเภอซานถงถึงแดนเหนือใช้เวลาสองสัปดาห์ เหยาอี้เหยาตกลงใจใช้ชีวิตอยู่กับฉู่ซีเย่ บางวันหวานชื่น บางวันรักร้อนแรง หรือทะเลาะกันบ้าง เพราะนางอยากออกไปทำงานสำรวจสำมโนครัวแบบเมื่อก่อน เพราะอยู่เฉยๆ เบื่อเกินไปฉู่ซีเย่คัดค้านหัวชนฝา เขาไม่อยากให้นางออกไปทำงานข้างนอก กลัวว่าจะมีคนมาชมชอบนาง ก็นางงามขนาดนี้ มีแต่คนตาบอดเท่านั้นที่ไม่มอง“แน่ใจนะว่าท่านไม่อนุญาต”“แน่นอน”“งั้นคืนนี้ท่านไปนอนที่อื่น”ฉู่ซีเย่ลุกพรึ่บ “ไม่ได้”“ได้ ก็นี่ห้องข้า เสียก็แต่ว่าท่านจะยึดคืน” เหยาอี้เหยาลุกขึ้น นางคว้าหมอนและผ้าห่มของฉู่ซีเย่ออกไปทิ้งด้านนอกห้อง“อี้เหยา” ฉู่ซีเย่ตามไปเก็บแล้ววางที่เดิม ก่อนจะประกาศก้อง “คืนนี้ข้าจะนอนที่นี้”“ท่านอ๋อง ท่านไม่สิทธิ์รุกล้ำพื้นที่นะ ยิ่งเจ้าของไม่อนุญาต ยิ่งไม่ได้”“แล้วไง ใครสน” ฉู่ซีเย่นั่งลงบนเตียง เขาเอนนอนเอาแขนชันศีรษะ “ข้าพอใจจะนอนที่นี้”“ก็ได้ งั้นข้าจะไปนอนที่อื่น” เหยาอี้เหยาเดินไปที่ประตู ฉู่ซีเย่ดีดตัวลุกขึ้นมาขวาง เขายืนขวางประตู ก่อนจะถอนหายใจ เขายอมถอยให้นาง“เอาล่ะ พอก่อน มาคุยกันดีๆ เถอะ”“ก็ได้” เหยาอี้เหยาเห็นเขายอมถอย นางก็ถอยหนึ่งก้าว “
“เจ้าต้องเข้าใจว่าข้าไม่อาจสบายใจได้ ตราบใดที่มีเจ้า” หย่งสวินกล่าวอย่างลำบากใจ แต่ดวงตากลับเฝ้ารอ ในใจคงจินตนาการวันที่ได้ฆ่าฉู่ซีเย่มานับครั้งไม่ถ้วน“คนที่คิดจะฆ่าข้า ไม่ตายดีสักคน” ฉู่ซีเย่ไม่กลัวว่าหย่งสวินจะเอาดาบแทงตน เพราะคนเหลี่ยมจัดอย่างหย่งสวิน ไม่เล่นในเกมที่ตกเป็นรอง“เจ้าต้องมีชีวิตอยู่นานๆ หน่อย จะได้รู้ว่าข้าจะได้ตายดีหรือไม่ แต่น่าเสียดาย คงไม่มีวันนั้นแล้ว” หย่งสวินยกดาบขึ้น ก่อนจะฟันใส่แขนขวาจนขาด เขาส่งเสียงร้องโหยหวน“ช่วยข้าด้วย! ต้าเป่ยอ๋องจะสังหารข้า!”ประตูท้องพระโรงเปิดออกในยามรุ่งสาง ฉู่ซีเย่ถูกคุมตัวออกมามุ่งหน้าไปยังลานประหารในโทษฐานลอบทำร้ายประมุขของประเทศ ความรีบร้อนในการประหารเขาทันที เป็นความต้องการของหย่งสวินคลื่นลมในวังเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว ทุกคนต่างมั่นใจแน่แล้วว่าหย่งสวินจะได้เป็นฮ่องเต้องค์ต่อไป ด้วยไท่จื่อก็สิ้นแล้ว หย่งมู่ที่กลัวตายก็รีบหอบผ้าหนีเอาตัวรอด ดังนั้นจึงไม่มีใครกล้ากังขาหรือคัดค้านแม้เพียงนิดที่หย่งสวินคิดจะสังหารฉู่ซีเย่อย่างไรก็ตาม การประหารใช่จะทำได้เลยในทันที เพราะความวุ่นวายจากทางฝั่งของคนสนับสนุนไท่จื่อก็ไม่ยินยอมเช่นกัน
“เจ้าไม่เป็นห่วงชายผู้นั้นของเจ้าหรือ”ชายผู้นั้นของกงจิ้ง ย่อมหมายถึงฉู่ซีเย่ “ได้ยินว่าทางวังกำลังเผชิญหน้ากับพายุใหญ่ ไม่แน่ว่าชายผู้นั้นของเจ้า อาจพบอันตรายร้ายแรง”“ก็อาจจะพบอันตราย แต่ข้าไม่ห่วงมากเท่าไหร่” นางล้างผัก ท่าทีผ่อนคลายกงจิ้งทำหน้าประหลาด เหยาอี้เหยาดูไม่ร้อนใจเท่าที่ควร“สามปี” เหยาอี้เหยาพูดขณะมองตรงไปหน้าผืนนา “เขาใช้เวลาสามปีวางแผนแก้แค้น ดังนั้นข้าจึงเชื่อมั่นว่าเขาจะไม่เป็นอะไร ต่อให้ถูกใครคิดปองร้าย ทุกอย่างก็อยู่ในการคาดเดาของเขา”กงจิ้งมองนาง “เป็นเจ้าที่เข้าใจเขาอย่างลึกซึ้ง”“ความจริงข้าไม่เข้าใจเขาหรอก ใครจะกล้าพูดว่าเข้าใจเขาได้”กงจิ้งเห็นด้วย “ข้าแปลกใจเสมอที่รู้ว่าเขาไม่อยากเป็นหนึ่งในผู้ชิงบัลลังก์"“ข้าไม่แปลกใจ”“เพราะอะไร” ขอเพียงมีใจนึกอยาก ไม่ใช่ว่าจะชิงมาไม่ได้“เขาเป็นคนเจ้าเล่ห์และยโสโอหังมาก แต่ก็เป็นคนที่รักษาคำสัตย์ยิ่งชีพมากเช่นกัน อะไรที่รับปากคนอื่นไว้แล้ว ต่อให้ดินถล่มฟ้าแหวกออก เขาก็จะทำให้ได้ ในงานพิธีรับตำแหน่งต้าเป่ยอ๋อง เขาชัดเจนแล้วว่าเลือกแดนเหนือ”“เข้าใจแล้ว”ฉู่ซีเย่ไม่ได้ให้คำสัตย์ว่าจะไม่ชิงบัลลังก์ แต่เขาให้คำสัตย์ว่าจะตา
ต้าหย่ง...ชายเสื้อปักดิ้นทองเคลื่อนไหวเพียงบางเบา แต่สามารถทำให้ตะเกียงบนโต๊ะด้านหน้าสั่นไหว เงาใหญ่ยักษ์ที่ทอดลงหลังฉากพระที่นั่งวิจิตรงดงาม แลดูแปลกตา ยิ่งเมื่อขยับเคลื่อนไหว เงาสีดำยิ่งชวนให้รู้สึกขนกายลุกพองหย่งฉียังคงทรงงานแม้จะค่อนคืนเข้าไปแล้ว พระขนงมีมีร่องรอยยับย่น หมึกเปื้อนพระหัตถ์เป็นปื้นสีดำทั้งสองข้าง ลามไปถึงชายแขนเสื้อที่ถูกหมึกสีดำทำลายความประณีตลงหลายเท่าตัวหลังตั้งตรงเริ่มตกลู่ หย่งฉีในปีนี้อายุเพียงสี่สิบกว่าปี ทว่าความเคร่งเครียดและการตรากตรำอยู่ในตำแหน่งมายาวนานกว่าสามสิบปี ทำให้ใบหน้านั้นแก่ชรา ริ้วรอยแห่งวัยทอดแนวอยู่บนหน้าพระพักตร์หมองคล้ำ นัยน์ตาเต็มไปด้วยความวิตกกังวลครั้นมองลงมาภายในโถงพระที่นั่งอันหนาวเหน็บและช่างว่างเปล่า หย่งฉีคล้ายจะยิ้มเย้ยให้ตนเองอย่างสมเพชข้าวของมากมายหล่นเกลื้อนกลาดแทบเท้า ทุกสิ่งทุกอย่างพังไม่เป็นชิ้นดี กระนั้นท้องพระโรงที่เละเทะเช่นนี้ ก็ยังเทียบไม่ได้กับภายในจิตใจของเขาหย่งฉีทิ้งพู่กันในมือ เขาส่งเสียงออกมาอย่างเหนื่อยล้าราวกับแทบขาดใจ“ขันทีโม่...”โม่หานยืนก้มหน้าตามระเบียบประเพณี ในมือมีพวงแส้ม้านุ่มสลวย ทองคำซึ่งหลอมอยู
เหยาอี้เหยา “ก่อนจะให้ท่านพูดอธิบาย อยากจะขอรบกวนให้ท่านอาบน้ำล้างตัวเสียหน่อย” กลิ่นสาบจากตัวเขาทำให้ภายในบ้านถูกกลิ่นบูดรมควัน ดังนั้นนางจึงนำเสื้อผ้าที่เขาทิ้งไว้คราวก่อนออกมาให้เขา พร้อมชี้ทางว่าสามารถไปอาบน้ำที่ลำธารใกล้กับแปลงผักจี๋ฉายได้ ทั้งยังรุนหลัง ให้เขาไปไวๆ ฉู่ซีเย่ไม่อิดออด เขาก็เริ่มได้กลิ่นจากตัวเองเช่นกัน “ได้ ข้าจะไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน หลังจากนั้นค่อยสนทนาเรื่องที่เข้าใจผิด” ถึงอย่างงั้นในใจของเขาก็มีความน้อยใจเล็กๆ ที่นางดูราวกับไม่ใส่ใจเขาเลย จะถามไถ่สักคำว่าเดินทางมาเหน็ดเหนื่อยหรือเปล่าก็ไม่มี ยังมีตบของนางอีก แม้แรงนางจะไม่ระคายผิวหนังหนาด้านของเขา แต่จิตใจบอบช้ำยิ่ง “ท่านอ๋อง” เหยาอี้เหยากล่าวรั้ง ใบหน้าคมกระหยิ่มยิ้มย่อง แต่เมื่อหันหน้ามาก็กลบเกลื่อนให้หมดสิ้น “ว่าอย่างไรรึ” ใบหน้าของฉู่ซีเย่ในตอนนี้สามารถพูดได้คำเดียวว่าเขาสำนึกผิดแล้ว “เมื่อครู่ข้าขอโทษที่ตบท่าน ท่านเจ็บมากหรือไม่” การตบตีเขาไม่เคยอยู่ในสมองนางมาก่อน แต่พอเห็นเขามายืนอยู่ตรงหน้า แรงอารมณ์ที่ถูกกดไว้ตลอดทั้งเดือนก็ปะทุ รู้ตัวอีกทีก็ตบเขาเสียฉาดใหญ่ “แรงเท่ามดของเจ้าจะทำอะไรข้าได้กัน”
การมาเยือนขององค์หญิงสิบเอ็ดเปลี่ยนบรรยากาศในบ้านไปในฉับพลัน มื้ออาหารที่ควรจะผ่อนคลายมีแต่ความเงียบงัน กงจิ้งลอบมองใบหน้าเหยาอี้เหยาด้วยความเห็นใจ แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรเช่นกันกงจิ้งจำใบหน้าซีดเผือกของนางเมื่อเขากลับมาถึงบ้านได้ รวมทั้งสีหน้าสะอกสะใจขององค์หญิง ที่ได้เหยียมหยามนาง ทำเอากงจิ้งอยากไล่ตะเพิดไปไกลๆ“...” ลุงกู่เห็นเหยาอี้เหยาเศร้า ก็ตักน้ำแกงผักให้ชามใหญ่ เขาเอ็นดูนางมาก ไม่อยากเห็นนางเป็นทุกข์ใดๆเวลานั้นเอง เหยาอี้เหยาที่นั่งอยู่ตรงกันข้ามกลับหัวเราะออกมา เสียงหัวเราะของนางใสกังวาน รอยยิ้มที่เผยกว้างบ่งบอกว่านางไม่ได้เสแสร้ง แต่นางกำลังหัวเราะอย่างจริงใจ“เจ้าหัวเราะอะไร”หรือเสียใจจนเสียสติไปแล้ว?“ข้าเปล่านะ ข้าปกติดี” เหยาอี้เหยายกชามน้ำแกงดื่มจนหมดรวดเดียวก่อนจะยิ้มอีกรอบ “ข้าแค่ดีใจนะ ที่วันนี้แสดงละครได้ดี”กงจิ้งและลุงกู่พากันขมวดคิ้วเหยาอี้เหยาเฉลย “ข้ารู้เรื่องนางอยู่แล้ว แต่คิดว่าถ้าทำเป็นรู้อยู่แล้ว นางคงไม่พอใจเท่าไหร่ จนอาจจะลงไม้ลงมือกับข้าก็ได้”กงจิ้ง “แสดงว่าเมื่อครู่เจ้าแสดงละคร”“ก็ไม่ทั้งหมดนะเจ้าคะ ความจริงก็เจ็บอยู่” แรกทีเดียวนางก็แสดงละคร แต่หลั
“อดทนเพื่อข้าได้หรือไม่…” ฉู่ซีเย่จูบไซ้กลีบปากบางที่สั่นระริก ปลายจมูกคลอเคลียปลอบโยน เขาอดทนเพื่อให้นางเปิดใจ ต่อให้ร่างกายใกล้จะระเบิดเต็มที“งั้น…งั้นช้าๆ นะ” นางเห็นเม็ดเหงื่อผุดพราวทั่วใบหน้าเขา รวมทั้งสันกรามที่ถูกขบกัดจนนูน บ่งบอกว่าเขาเองก็ต้องอดทนมากเช่นกัน“แน่นอน…” ฉู่ซีเย่ไม่บุ่มบ่าม เขาค่อยๆ กดตัวตนเข้าไปหานางอย่างละมุนละม่อน ถึงยังงั้นเอวบางก็ขยับหนีตามสัญชาตญาณ เขาจึงรั้งเรียวขานางไว้แรงเสียดทานจากท่อนกายอันเข้มแข็งทำให้ความอ่อนนุ่มต้องเผชิญกับความท้าทายอันใหญ่หลวงความเจ็บร้าวที่แผ่ซ่านคลี่คลุมจนตัวชา ถึงอย่างนั้นจุมพิตขอโทษจากเขาก็ทำให้นางอดทน พร้อมโอบรับความแข็งแกร่งของเขาทั้งหมดสองมือเรียวเกาะไหล่หนา สองขาเรียวอยู่ระห่างเอวสอบที่กำลังเคลื่อนไหว“ท่าน…อื้อ!”“อีกนิดนะ…” เสียงเขาแหบพร่า ริมฝีปากงับไล่ติ่งหูสะอาด เขาโอบรัดคลุกเคล้ากับร่างกายนางทุกตารางนิ้ว“ได้…” นางสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของเขา จึงเปิดเปลือยทุกความกังวลลง รองรับแก่นกายใหญ่โตเข้ามา“อี้เหยา…” แรงตอดรัดจากนางทำฉู่ซีเย่กลืนน้ำลายครั้งแล้วครั้งเล่า เขารวบเอวนางให้กดต่ำ สอดตัวเข้าไปหานาง…ไม่รุนแรง แต่นางห
“ซ่างเจวี๋ยไม่เป็นอะไรแล้ว “ฉู่ซีเย่พูด ถอนเข็มที่ปักอยู่ทั่วร่างออก เว้นเข็มบริเวณหน้าผาก เพื่อให้หลับต่อไป “แต่ก็อย่างที่เห็น ตอนนี้นางไม่สามารถใช้ชีวิตเร่ร่อนแล้วฝากยาไว้กับสำนักคุ้มภัยอีกแล้ว แบบนั้นไม่ปลอดภัย ดังนั้นเพื่อผลประโยชน์ของนางเอง ข้าแนะนำให้ส่งนางขึ้นเหนือ”กงจิ้งตอบ “ข้าเห็นด้วย แบบนั้นคงปลอดภัยกว่า”“แต่ทางเหนือหนาวเกินไป แม่ทัพซ่างจะไม่เป็นอะไรหรือ” ในฐานะที่เหยาอี้เหยามีประสบการณ์ตอนพิษกำเริบมาก่อน นางรู้ซึ้งดีเลยว่า อากาศหนาวของเเดนเหนือ ทำให้ทุกข์ทรมานเพิ่มอีกหลายเท่าแล้วพิษแมลงคุณไสยก็ยิ่งไม่ถูกกับอากาศหนาวอย่างยิ่ง นี่จึงอาจเป็นเหตุผลที่ซ่างเจวี๋ยเร่ร่อนไปทั่วทางใต้เพื่อลี้ภัยอากาศหนาว“เป็นแน่ แต่ไม่ตายหรอก” ฉู่ซีเย่ย้ำให้เห็นความจริง "นางจะตายถ้ายังเร่ร่อนอยู่ที่นี่มากกว่า"“ท่านอ๋อง ท่านยังไม่พบวิธีแก้พิษแมลงคุณไสยหรือ ข้าไม่อยากเห็นแม่ทัพซ่างบาดเจ็บอีกแล้ว”“เงื่อนไขของนางไม่เหมือนของเจ้า” ฉู่ซีเย่มองนาง “แต่เจ้าวางใจเถอะ แมลงในตัวซ่างเจวี๋ยว่าง่ายกว่าตอนอยู่ในตัวเจ้า ตราบใดที่กินยาเสมอไม่ขาด จะไม่ส่งผลร้ายใดๆ”เมื่อพูดถึงเรื่องกินยาอย่างสม่ำเสมอแล้ว ดูเหม