หน้าหลัก / โรแมนติก / บรรณาการเย้ารัก / Chapter 7.เหตุผลที่มีชีวิตอยู่

แชร์

Chapter 7.เหตุผลที่มีชีวิตอยู่

            “อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่”  หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้”

            “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?”  เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง  แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น

            “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!”

            “ข้า!”

            “ข้าด้วย!

            “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ”

            เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ”

            “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม”  ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ

            หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้

            “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหยุดการสอนทันที”

            “ได้แน่นนอน” เยว่ซินตอบอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าได้ยินแล้วหรือไม่”

            “อื้มๆ” เด็กๆ พยักหน้าหงึกหงัก

เยว่ซินส่ายหน้าไปมา “เรียกอาจารย์สิ แล้วรีบขอบคุณท่านอาจารย์ฉู่ด้วย”

            “ขอบคุณท่านอาจารย์ฉู่!” 

            เด็กๆ ส่งเสียงพร้อมเพรียง ฉู่ห่าวหรานพยักหน้ารับแล้วหมุนล้อรถให้เคลื่อนออกมา หันซูเข้าไปช่วยเข็นให้ทันที   เยว่ซินมองรถเข็นสภาพเก่าด้วยใช้งานมานานพลางครุ่นคิดในใจจนเผลอกดริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว

            “นายท่าน...” หันซูเรียกเบาๆ เมื่อเข็นรถเข็นออกมาได้ไกลแล้ว

            “ข้าแค่อยากรู้ว่านางจะทำสิ่งใดกันแน่” 

ฉู่ห่าวหรานนึกถึงดวงตาเป็นประกายของนาง นางต่างหากที่เหมือนหัวหน้าเด็กกลุ่มนั้น แต่รอยยิ้มของนางไม่อาจทำให้เขาวางใจได้ว่านางมาที่นี้เพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่ 

          เพียงคำบอกเล่าของเด็กๆ ก็ทำให้ผู้ใหญ่บ้านถึงกับหน้าตื่นมาสอบถามความจริง สีหน้าจริงจังใจเปี่ยมด้วยความหวังนั้น ทำเอาหันซู่ถึงกับต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ

            “วันละหนึ่งชั่วยามเท่านั้น”   ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบ แม้บนใบหน้ามีรอยแผลขนาดใหญ่ แต่ดูเหมือนผู้คนที่นี้จะไม่สนใจอะไรนัก ผิดกับยามที่เขาอยู่เมืองหลวง เขาล้วนต้องพบเจอสายตาเวทนา สงสาร เห็นใจ เศร้าใจ รังเกียจและหวาดกลัว  เขาต้องรับมือกับสายตาเหล่านี้จนใจด้านชา

            “ช่างดีเหลือเกิน เป็นวาสนาของพวกเราโดยแท้”

            “จะเรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเอง”

            “เรื่องนั้นพวกเราทราบดีขอรับ”

            “ข้าบอกเด็กๆ ไปแล้ว อีกสองวันมาเตรียมตัวมาเรียนได้”

            “ขอรับ แล้วเรื่องค่าตอบแทน...”

            “เรื่องนั้นข้าไม่...”

“แน่นอนย่อมต้องมีค่าตอบแทน” เยว่ซินรีบพูดแทรกขึ้น นางหันไปขยิบตาให้ฉู่ห่าวหรานก่อนแล้วจึงเอ่ย “ใต้เท้าฉู่เคยสั่งสอนองค์ชายองค์หญิงมาก่อน ยอมไม่ธรรมดาแน่นอน หากแต่รักสันโดษและใช้ชีวิตสมถะ การเงินของใต้เท้าไม่ลำบาก แต่ถ้าไม่คิดเงินเลยก็ดูจะไม่เป็นธรรมต่อนายท่านของเรานัก เอาอย่างนี้ พวกเจ้าหาคนมาซ่อมแซมคฤหาสน์ของนายท่านหน่อยจะเป็นไร  ตรงไหนที่รกก็จัดการเสีย กำแพงที่เป็นช่องก็หาอะไรมาปิดให้มิดชิด  ไม่ต้องรีบร้อน พ่อแม่ของเด็กคนไหนว่างก็มาช่วยกันทำ”

            “ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้  พวกเรายินดีทำขอรับ”

            “เช่นนั้นก็ถือว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ” เยว่ซินยิ้มร่า “อ้อ เรื่องเวรยามที่คุยกันไว้ ท่านจัดการเรียบร้อยแล้วรึ”

            “เรียบร้อยแล้ว ผลัดเวรกันดูแล จนกว่าจะมั่นใจว่าหมาป่าไม่กลับมาอีก”

            “ดีแล้ว”

            “เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน จะได้เตรียมตัวส่งเด็กๆ มาเรียนหนังสือกันที่นี่”

            “ค่อยๆ เดินนะ ข้าไม่ไปส่ง”

            ผู้ใหญ่บ้านผงกศีรษะให้นางเล็กน้อย แล้วหันไปประสานมือคารวะฉู่ห่าวหรานแล้วจึงเดินจากไปด้วยใบหน้าเบิกบาน 

            “แม่นางเหอ เหตุใดท่านพูดเช่นนั้น”

            “ประโยคไหน”  นางเลิกคิ้วจ้องหน้าหันซู “ข้าพูดไปตั้งเยอะ”

            “ท่านก็รู้ว่า...”

            “อ้อ! เรื่องที่ท่านฉู่ไม่ลำบากเรื่องเงินนะหรือ?” นางตบหน้าผากตัวเอง “เรื่องแบบนี้มีใครไม่รู้บ้าง ฮ่องเต้พระราชทานสิ่งใด ใต้เท้าปฏิเสธไปหมดสิ้น สกุลฉู่เหลือท่านราชครูเพียงผู้เดียว ยามเดินทางออกจากเมืองหลวง ไม่นำพาบ่าวไพร่ออกมาด้วย พร้อมทั้งจวนเดิมก็ส่งคืนในราชสำนัก  ออกจากเมืองหลวงราวกับผู้เดินทางไปบำเพ็ญเพียร แต่กระนั้น ฮ่องเต้ทรงเมตตา พระราชทานที่ดินบริเวณนี้ให้ ได้ครอบครองภูเขาลูกหนึ่งย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”

            “แม่นางเหอ!” ใบหน้าหันซูกลายเป็นเขียวคล้ำด้วยความโกรธ  นั้นเป็นเรื่องที่ผู้อื่นร่ำลือกันไปเอง แท้จริงแล้ว ฮ่องเต้มิได้พระทัยดีขนาดนั้น ทรงอ้างโน้นอ้างนี้ขับไล่ไสส่งทางอ้อม ต่อให้คนหูหนวกตาบอดยังรู้ว่าเจตนาของพระองค์ต้องการสิ่งใด

            “อ้าวไม่ใช่เรื่องนี้รึ” นางแสร้งทำหน้าครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ข้ารู้ว่าท่านฉู่มีความรู้ความสามารถ ไม่เช่นนั้นจะเป็นราชครูได้อย่างไร” หญิงสาวหัวเราะร่า “แต่ท่านจะกอดเก็บความรู้ไว้ทำไมกัน หรือแค่เขียนตำราทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังก็พออย่างนั้นหรือ? ข้าเองก็ไม่ได้ร่ำเรียนเขียนอ่านสูงส่งอะไรนัก แต่เชื่อว่า หากนำความรู้นั้นมาสั่งสอนคนให้เป็นคนยิ่งขึ้น ย่อมดีกว่าความรู้ที่มีบันทึกไว้ในกระดาษ”

            ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าระบายยิ้มอยู่เสมอ เยว่ซินไม่เคยหลบตาเขาสักครั้ง  ราวกับไม่มีสิ่งใดทำให้หวาดกลัว นางอายุเท่าไหร่กัน สิบหกหรือสิบเจ็ด เหตุใดจึงเหมือนผ่านอะไรมากมาย  สิ่งแวดล้อมแบบใดกันที่ส่งผลให้นางยังคงยิ้มเช่นนี้ได้

            “ข้าจะกลับไปพักผ่อน”  เขาหมุนล้อรถเข็นเพื่อจะกลับที่พัก แต่เยว่ซินกลับกระโดดมาขวางไว้ก่อน

            “นี่เจ้า!”  หันซูหลุดปากตวาดเยว่ซินออกมา

            “ก็บอกให้เรียกข้าว่าเยว่ซิน” นางแลบลิ้นใส่หันซู แล้วหันมายิ้มหวานใส่ชายบนรถเข็น “ท่านก็คิดเหมือนกันใช่ไหม ให้ชาวบ้านมีความรู้ย่อมดีกว่าให้พวกเขาโง่งมแล้วตกเป็นเพียงเบี้ยล่าง มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความเป็นความตายของประชาชนขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของเหล่าขุนนาง”

            ดวงตาคมกริบตวัดมอง แม้เพียงวูบเดียว นางก็เห็นได้ถึงเพลิงโทสะในดวงตาของเขา เยว่ซินฉลาดพอที่จะไม่สะกิดแผลในใจเขาไปมากกว่านี้  นางยังคงทำหน้าทะเล้นแล้วเปลี่ยนเรื่อง

            “วันก่อนได้ข้าถลกหนังหมาป่าไว้ให้ท่าน แต่ข้าอ่อนด้อยเรื่องงานเย็บปัก เกรงว่าลงกรรไกรตัดแล้วจะเสียของ ข้าจึงอยากถามว่าท่านอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status