“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้”
“แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น
“มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!”
“ข้า!”
“ข้าด้วย!
“ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ”
เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ”
“ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ
หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้
“ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหยุดการสอนทันที”
“ได้แน่นนอน” เยว่ซินตอบอย่างรวดเร็ว “พวกเจ้าได้ยินแล้วหรือไม่”
“อื้มๆ” เด็กๆ พยักหน้าหงึกหงัก
เยว่ซินส่ายหน้าไปมา “เรียกอาจารย์สิ แล้วรีบขอบคุณท่านอาจารย์ฉู่ด้วย”
“ขอบคุณท่านอาจารย์ฉู่!”
เด็กๆ ส่งเสียงพร้อมเพรียง ฉู่ห่าวหรานพยักหน้ารับแล้วหมุนล้อรถให้เคลื่อนออกมา หันซูเข้าไปช่วยเข็นให้ทันที เยว่ซินมองรถเข็นสภาพเก่าด้วยใช้งานมานานพลางครุ่นคิดในใจจนเผลอกดริมฝีปากอย่างไม่รู้ตัว
“นายท่าน...” หันซูเรียกเบาๆ เมื่อเข็นรถเข็นออกมาได้ไกลแล้ว
“ข้าแค่อยากรู้ว่านางจะทำสิ่งใดกันแน่”
ฉู่ห่าวหรานนึกถึงดวงตาเป็นประกายของนาง นางต่างหากที่เหมือนหัวหน้าเด็กกลุ่มนั้น แต่รอยยิ้มของนางไม่อาจทำให้เขาวางใจได้ว่านางมาที่นี้เพื่อจุดประสงค์ใดกันแน่
เพียงคำบอกเล่าของเด็กๆ ก็ทำให้ผู้ใหญ่บ้านถึงกับหน้าตื่นมาสอบถามความจริง สีหน้าจริงจังใจเปี่ยมด้วยความหวังนั้น ทำเอาหันซู่ถึงกับต้องหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นซับเหงื่อ
“วันละหนึ่งชั่วยามเท่านั้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบ แม้บนใบหน้ามีรอยแผลขนาดใหญ่ แต่ดูเหมือนผู้คนที่นี้จะไม่สนใจอะไรนัก ผิดกับยามที่เขาอยู่เมืองหลวง เขาล้วนต้องพบเจอสายตาเวทนา สงสาร เห็นใจ เศร้าใจ รังเกียจและหวาดกลัว เขาต้องรับมือกับสายตาเหล่านี้จนใจด้านชา
“ช่างดีเหลือเกิน เป็นวาสนาของพวกเราโดยแท้”
“จะเรียนรู้ได้มากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับตัวผู้เรียนเอง”
“เรื่องนั้นพวกเราทราบดีขอรับ”
“ข้าบอกเด็กๆ ไปแล้ว อีกสองวันมาเตรียมตัวมาเรียนได้”
“ขอรับ แล้วเรื่องค่าตอบแทน...”
“เรื่องนั้นข้าไม่...”
“แน่นอนย่อมต้องมีค่าตอบแทน” เยว่ซินรีบพูดแทรกขึ้น นางหันไปขยิบตาให้ฉู่ห่าวหรานก่อนแล้วจึงเอ่ย “ใต้เท้าฉู่เคยสั่งสอนองค์ชายองค์หญิงมาก่อน ยอมไม่ธรรมดาแน่นอน หากแต่รักสันโดษและใช้ชีวิตสมถะ การเงินของใต้เท้าไม่ลำบาก แต่ถ้าไม่คิดเงินเลยก็ดูจะไม่เป็นธรรมต่อนายท่านของเรานัก เอาอย่างนี้ พวกเจ้าหาคนมาซ่อมแซมคฤหาสน์ของนายท่านหน่อยจะเป็นไร ตรงไหนที่รกก็จัดการเสีย กำแพงที่เป็นช่องก็หาอะไรมาปิดให้มิดชิด ไม่ต้องรีบร้อน พ่อแม่ของเด็กคนไหนว่างก็มาช่วยกันทำ”
“ถ้าเป็นเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้ พวกเรายินดีทำขอรับ”
“เช่นนั้นก็ถือว่าเราเข้าใจตรงกันแล้วนะ” เยว่ซินยิ้มร่า “อ้อ เรื่องเวรยามที่คุยกันไว้ ท่านจัดการเรียบร้อยแล้วรึ”
“เรียบร้อยแล้ว ผลัดเวรกันดูแล จนกว่าจะมั่นใจว่าหมาป่าไม่กลับมาอีก”
“ดีแล้ว”
“เช่นนั้น ข้าขอตัวก่อน จะได้เตรียมตัวส่งเด็กๆ มาเรียนหนังสือกันที่นี่”
“ค่อยๆ เดินนะ ข้าไม่ไปส่ง”
ผู้ใหญ่บ้านผงกศีรษะให้นางเล็กน้อย แล้วหันไปประสานมือคารวะฉู่ห่าวหรานแล้วจึงเดินจากไปด้วยใบหน้าเบิกบาน
“แม่นางเหอ เหตุใดท่านพูดเช่นนั้น”
“ประโยคไหน” นางเลิกคิ้วจ้องหน้าหันซู “ข้าพูดไปตั้งเยอะ”
“ท่านก็รู้ว่า...”
“อ้อ! เรื่องที่ท่านฉู่ไม่ลำบากเรื่องเงินนะหรือ?” นางตบหน้าผากตัวเอง “เรื่องแบบนี้มีใครไม่รู้บ้าง ฮ่องเต้พระราชทานสิ่งใด ใต้เท้าปฏิเสธไปหมดสิ้น สกุลฉู่เหลือท่านราชครูเพียงผู้เดียว ยามเดินทางออกจากเมืองหลวง ไม่นำพาบ่าวไพร่ออกมาด้วย พร้อมทั้งจวนเดิมก็ส่งคืนในราชสำนัก ออกจากเมืองหลวงราวกับผู้เดินทางไปบำเพ็ญเพียร แต่กระนั้น ฮ่องเต้ทรงเมตตา พระราชทานที่ดินบริเวณนี้ให้ ได้ครอบครองภูเขาลูกหนึ่งย่อมไม่ธรรมดาอยู่แล้ว”
“แม่นางเหอ!” ใบหน้าหันซูกลายเป็นเขียวคล้ำด้วยความโกรธ นั้นเป็นเรื่องที่ผู้อื่นร่ำลือกันไปเอง แท้จริงแล้ว ฮ่องเต้มิได้พระทัยดีขนาดนั้น ทรงอ้างโน้นอ้างนี้ขับไล่ไสส่งทางอ้อม ต่อให้คนหูหนวกตาบอดยังรู้ว่าเจตนาของพระองค์ต้องการสิ่งใด
“อ้าวไม่ใช่เรื่องนี้รึ” นางแสร้งทำหน้าครุ่นคิดแล้วเอ่ย “ข้ารู้ว่าท่านฉู่มีความรู้ความสามารถ ไม่เช่นนั้นจะเป็นราชครูได้อย่างไร” หญิงสาวหัวเราะร่า “แต่ท่านจะกอดเก็บความรู้ไว้ทำไมกัน หรือแค่เขียนตำราทิ้งไว้ให้คนรุ่นหลังก็พออย่างนั้นหรือ? ข้าเองก็ไม่ได้ร่ำเรียนเขียนอ่านสูงส่งอะไรนัก แต่เชื่อว่า หากนำความรู้นั้นมาสั่งสอนคนให้เป็นคนยิ่งขึ้น ย่อมดีกว่าความรู้ที่มีบันทึกไว้ในกระดาษ”
ถ้อยคำของหญิงสาวทำให้ดวงตาคมจับจ้องใบหน้าระบายยิ้มอยู่เสมอ เยว่ซินไม่เคยหลบตาเขาสักครั้ง ราวกับไม่มีสิ่งใดทำให้หวาดกลัว นางอายุเท่าไหร่กัน สิบหกหรือสิบเจ็ด เหตุใดจึงเหมือนผ่านอะไรมากมาย สิ่งแวดล้อมแบบใดกันที่ส่งผลให้นางยังคงยิ้มเช่นนี้ได้
“ข้าจะกลับไปพักผ่อน” เขาหมุนล้อรถเข็นเพื่อจะกลับที่พัก แต่เยว่ซินกลับกระโดดมาขวางไว้ก่อน
“นี่เจ้า!” หันซูหลุดปากตวาดเยว่ซินออกมา
“ก็บอกให้เรียกข้าว่าเยว่ซิน” นางแลบลิ้นใส่หันซู แล้วหันมายิ้มหวานใส่ชายบนรถเข็น “ท่านก็คิดเหมือนกันใช่ไหม ให้ชาวบ้านมีความรู้ย่อมดีกว่าให้พวกเขาโง่งมแล้วตกเป็นเพียงเบี้ยล่าง มันเป็นเรื่องน่าเศร้าที่ความเป็นความตายของประชาชนขึ้นอยู่กับผลประโยชน์ของเหล่าขุนนาง”
ดวงตาคมกริบตวัดมอง แม้เพียงวูบเดียว นางก็เห็นได้ถึงเพลิงโทสะในดวงตาของเขา เยว่ซินฉลาดพอที่จะไม่สะกิดแผลในใจเขาไปมากกว่านี้ นางยังคงทำหน้าทะเล้นแล้วเปลี่ยนเรื่อง
“วันก่อนได้ข้าถลกหนังหมาป่าไว้ให้ท่าน แต่ข้าอ่อนด้อยเรื่องงานเย็บปัก เกรงว่าลงกรรไกรตัดแล้วจะเสียของ ข้าจึงอยากถามว่าท่านอยากได้อะไรเป็นพิเศษหรือไม่”
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง “มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา “ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง “หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ” “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อร
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป “แม่นางเหอ!”
วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหายถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนางมุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนหากเขาจะเลิกหล
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่” “มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ” “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่” “ขอรับ” เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้ หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เข
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง “ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ” ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ” “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่” “หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว “บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย “ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่ค