เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้
ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
‘หนีไป ไม่ต้องหันกลับมา’
‘ท่านแม่’
‘จำที่แม่สอนให้ดี ตามหาพี่ใหญ่ของเจ้า’
‘ไป! อย่าหันกลับมา’
มารดาใช้ร่างตนเองปกป้องนาง มือของมารดาปิดปากนางแน่น ไม่ให้ส่งเสียงร้อง จนกระทั้งมือนั้นอ่อนแรงและร่วงลงข้างตัวนาง นางไม่มีเสียงร้องไห้ ได้แต่ลืมตาโพลงในความมืด ร่างของมารดาปกป้องนางจากทหารพ่ายทัพและยังปกป้องนางจากความหนาวเหน็บของค่ำคืน เหลือเพียงร่างอันเยียบเย็นและไร้ลมหายใจ
เด็กหญิงกัดริมฝีปากแน่น นางเจ็บแผ่นหลังมาก แต่บาดแผลที่สาหัสที่สุดคือหัวใจดวงน้อย ร่างเล็กค่อยๆ อาศัยความมืดหลบเร้นกายไม่ให้ผู้ใดพบเห็นแล้วจึงมุ่งหน้าก้าวเท้าออกไป
‘พี่ใหญ่ ท่านอยู่ที่ไหน’
‘เหตุใดท่านพ่อท่านแม่พี่รองไม่พาข้าไปด้วย’
นางได้แต่พร่ำเพ้อซ้ำแล้วซ้ำเล่า เด็กหญิงวัยเพียงสิบขวบค่อยๆ ลอบหนีออกมา และพบว่าหมู่บ้านที่เคยอาศัยอยู่จมอยู่ในทะเลเพลิง เหตุการณ์ในครั้งนั้นไม่ใช่แค่ครอบครัวของนางที่สูญเสีย อีกหลายครอบครัวก็เช่นกัน นางตัดสินใจออกจากหมู่บ้าน แต่แอบติดตามขบวนพ่อค้าเร่ เข้าเมืองหลวง แต่สภาพนางในเวลานั้นน่าเวทนานัก กว่าพ่อค้าเร่จะรู้ว่ามีเด็กน้อยแอบอยู่ในเกวียนบรรทุกสินค้า นางก็มีไข้ขึ้นสูง บาดแผลตามตัวเป็นหนอง พวกเขาคิดว่านางไม่รอดแน่แล้ว ทว่าขณะนั้นบังเอิญผ่านวัดแห่งหนึ่งจึงเข้าไปขอความช่วยเหลือ พวกเขาฝากฝังนางไว้ที่นั้น ในค่ำคืนที่นางทุรนทุรายจากบาดแผลบนร่างกาย นางคิดว่าตนเองจะได้พบพ่อแม่และพี่รองแล้ว แต่ไต้ซือรูปหนึ่งกลับยื้อชีวิตนางไว้ได้
น้อยคนนักที่จะรู้ว่า ก่อนเกิดเหตุร้ายในคืนนั้น ‘พี่ใหญ่’ ของนาง แอบหนีออกจากบ้าน พ่อกับพี่ใหญ่มีความคิดไม่ลงรอยกันมานาน ส่วนพี่รองนั้นมักเอนเอียงไปทางบิดาเสียทุกเรื่อง ส่วนนางเอาแต่เล่นซุกซนไปวันๆ พี่ใหญ่หนีออกจากบ้านไปก่อน เขาไม่รู้ว่าจะเกิดเรื่องราวเลวร้ายเช่นนี้ ไม่อย่างนั้น พี่ใหญ่ไม่มีวันทอดทิ้งนางแน่นอน
ที่สำคัญ นางมีคำสั่งเสียสุดท้ายของบิดาส่งถึงพี่ใหญ่
นี่คงเป็นเหตุผลให้นางมีชีวิตอยู่ต่อไปกระมัง?
ด้วยเหตุผลทั้งหลายทั้งปวงผลักดันให้นางใช้ชีวิตเร่ร่อนเพื่อตามหาพี่ใหญ่ เมื่อชีวิตไม่ต่างจากขอทาน ถูกความหิวโหยโบยตีจนทนไม่ไหว นางลักเล็กขโมยน้อยเพื่อประทังชีวิต
เยว่ซินระบายลมหายใจเบาๆ ดวงตาเหลือบเห็นต้นโสมคน แรกทีเดียวไม่มั่นใจนัก แต่เมื่อทรุดตัวลงนั่ง พิจารณาดูลักษณะใบและลำต้นแล้วจึงค่อยๆ ลงมือขุด เป็นภูเขาที่อุดมสมบูรณ์อย่างแท้จริง ได้โสมคนต้นนี้กลับไปนางจะนำไปปรุงเป็นอาหารให้ชายผู้นั้น
เพียงคิดถึงเขา นางก็ทำหน้าตึงขึ้นมา เหตุใดต้องมาเสียเวลาดูแลชายใบหน้าน้ำแข็งเช่นนั้นด้วยนะ หรือเพราะเขามีท่าทางคล้ายบิดาของนาง คนจำพวก ‘ยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงเกินไป’ อย่างที่มารดาเคยพูดไว้บ่อยๆ ที่จริงนางก็ทำอาหารได้แค่อาหารชาวบ้าน แต่เขาเป็นถึงราชครู ยอมกินอาหารฝีมือนางก็นับได้ว่าไม่ใช่คนหัวแข็งยากเกินเยี่ยวยา จากที่เคยได้ยินเรื่องของฉู่ห่าวหรานมาบ้างนับได้ว่าตรงจากที่ร่ำลือกัน แต่เรื่องที่นางไม่รู้ คือเหตุใดจนป่านนี้เขายังไม่มีภรรยา ไม่มีแม้กระทั้งอนุหรือสาวใช้ข้างห้อง มีแค่ ‘หันซู’ คนสนิทเพียงคนเดียว หันซูมีวรยุทธ์แม้ไม่สูงส่งแต่ปกป้องผู้เป็นนายได้แน่นอน
หรือว่าคนทั้งสองรักใคร่กันจริงๆ
อืม
ก็น่าจะเป็นไปได้นะ
ถ้าเป็นเช่นนั้นจริง การที่นางสลับตัวกับ ‘เหอเยว่ซิน’ ก็นับว่าเป็นเรื่องดีแล้ว ต่อให้ ‘เหอเยว่ซิน’ ไม่มีคนรัก นางไม่ควรมาใช้ชีวิตจมปลักกับคนที่ไม่อาจรักนางได้
เรื่องเช่นนี้ นางเข้าใจและไม่คิดจะเข้าไปขัดขวางแต่อย่างใด
“โอ๊ะ!” นางร้องอย่างตื่นตกใจ ไม่คิดว่าโสมคนที่ขุดได้จะหัวใหญ่ขนาดนี้ ใหญ่ขนาดนี้เอาไปขายได้หลายตำลึงแน่ๆ แต่...นางตั้งใจหาโสมคนไปบำรุงฉู่ห่าวหรานนี่นะ
เจ้าตัวหิวเงินในท้องโต้เถียงกันไปมา นางได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ นางต้องบำรุงชายผู้นั้นให้แข็งแรง นางเพียงมีหน้าที่ที่ต้องทำ ตามที่รับปาก ‘พ่อบุญธรรม’ ไว้
อา... นางจะเถลไถลมิได้แล้ว มิเช่นนั้นหาก ‘แม่บุญธรรม’ ส่งคนมาตามหานาง ความสงบสุขของที่นี้ก็คงหายไปหมดสิ้น.
หันซูมองอาหารตรงหน้าของตนแล้วเงยหน้ามองใบหน้าของหญิงสาวที่ยกอาหารมาบริการด้วยตนเอง นางยิ้มกว้างและคะยั้นคะยอให้เขากินอาหารที่นางทำ
“กินเยอะๆ สิท่านพ่อบ้าน” เยว่ซินคะยั้นคะยอ “หมั่นโถนี่กินตอนร้อนๆอร่อยนะ”
“แม่นางเยว่ซินมีอะไรต้องการใช้ข้าน้อยหรือขอรับ”
“ใช้อะไรกัน พ่อบ้านก็พูดเกินไป” นางหัวเราะคิกคัก “หมั่นโถวสี่ห้าลูกจะเอามาหลอกล่อพ่อบ้านได้อย่างไรกัน”
หันซูกระตุกยิ้ม หากนางพูดจามีหางเสียงสักนิด ไม่ชอบทำหน้าเจ้าเล่ห์อีกสักหน่อย หรือแม้แต่ยกยอว่าตัวเองเลิศเลอเพียงใด ก็นับได้ว่านางเป็นสตรีที่น่าคบหาไม่น้อย มือใหญ่เอื้อมมือไปหยิบหมั่นโถว แต่เยว่ซินหยิบตัดหน้าไปก่อน นางอ้าปากคำโตกัดหมั่นโถวเนื้อนุ่มขาวเนียน หันซูได้แต่ทำตาปริบๆ
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง “มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา “ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง “หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ” “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อร
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป “แม่นางเหอ!”
วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหายถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนางมุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนหากเขาจะเลิกหล
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่” “มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ” “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่” “ขอรับ” เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้ หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เข
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง “ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ” ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ” “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่” “หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว “บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย “ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่ค
บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู “ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง “แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน” “มีเรื่องใดรึ” ดว
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย