“แต่ทางการมิได้นิ่งนอนใจ พยายามจำกัดกลุ่มคนที่มั่งคั่งเหล่านี้โดยการเก็บภาษีและออกกฎระเบียบทางราชการอย่างหนัก”
“การแทรกแซงของทางการกลับให้เจ้าของให้ร่ำรวยยิ่งขึ้น ทางการหวังแค่เงินภาษีไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของชาวบ้านอย่างแท้จริง”
“เจ้าอคติเกินไปแล้ว” ฉู่ห่าวหรานไม่คิดว่าเยว่ซินจะถกเถียงเขาด้วยเรื่องนี้
“ท่านไม่คิดหรือว่า แท้จริงคนอย่างพวกท่านอยากเห็นชาวบ้านโง่ดักดาน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จะได้กดพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้าของตนเอง”
“เหอเยว่ซิน” เขาปรามนางด้วยการเรียกชื่อ ทว่าทำให้หญิงสาวได้สติกัดริมฝีปากตนเองข่มอารมณ์ขุ่นมัว
“ข้าไม่ได้แซ่เหอ! ข้า...”
“...”
เยว่ซินสะดุ้ง เกือบหลุดปากบอกแซ่ของตนออกไป นางมีเหตุผลที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางไม่ใช่เหอเยว่ซิน
“ไม่มีอะไร... ถ้าผู้อื่นรู้ว่าหญิงบรรณาการลอบหลบหนีไปแล้ว ข้าจะเดือดร้อนเอา”
“อย่างเจ้ายังกลัวเรื่องเดือดร้อนใดอีกหรือ” เขารู้ว่านางไม่อยากกล่าวถึงจึงเปลี่ยนเรื่องพูด
“อื้ม ข้ายังอยากมีชีวิตไว้แต่งงานกับบุรุษสักคนสองคน” นางแสร้งหัวเราะร่าขึ้นมา “แม่บุญธรรมบอกว่า เราเป็นสตรี หากชอบบุรุษคนใดก็ลงมือฉุดมาเป็นของตนได้เลย”
“แค่กๆ”
“ใต้เท้าฉู่ ท่านไม่สบายอีกแล้วเหรอ” นางลูบหลังทันที่ได้ยินเสียงไอของเขา “ข้าควรขึ้นเขาล่าหมีเอามาบำรุงท่านดีกว่า”
“ไม่ต้อง” เขาตบหลังมือนางที่จับไหล่ของเขาอยู่ นิ้วมือของนางเรียวเล็กแม้ไม่ได้เนียนนุ่มเหมือนมือหญิงสาวในห้องหอ แต่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและจริงใจ เหมือนนางไม่ได้รู้สึกด้วยซ้ำว่าเขาสัมผัสมืออยู่ ไม่ได้ชักมือกลับหรือสะบัดมือออก ซ้ำยังชะโงกหน้ามามองเขาอีก คราวนี้เป็นเขา
เองที่รู้สึกร้อนผ่าวไปทั่วใบหน้า
“สตรีที่หุบเขาแมงป่องแดงเป็นเช่นเจ้าทุกคนหรือ?” หรือเพราะเขารู้จักสตรีน้อยเกินไปจึงรับมือนางไม่ทัน
“ข้าเป็นอย่างไร” นางกะพริบตาปริบๆ
“ตรงไปตรงมา”
“แล้วไม่ดีหรือ? ต้องหน้ายิ้มแล้วซ่อนมีดไว้ด้านหลังหรือไร” นางส่ายหน้าไปมา “อันที่จริงข้าไม่ได้จะคุยกับท่านเรื่องนี้”
“เจ้าอยากคุยเรื่องใด” เขาจำไม่ได้เลยว่าแต่ก่อนเขาเป็นคนช่างพูด หรือเพราะอยู่กับนางที่ช่างสนทนาจึงทำให้เขาพูดจามากขึ้นกว่าเดิม
“หลายวันก่อนขึ้นเขาได้โสมคนมา ข้าคิดจะเอาไปเปลี่ยนเป็นเงิน แต่ถ้าขายที่นี่จะได้ราคาต่ำ ข้าอยากเข้าไปในอำเภอ ขายให้ร้านขายยาจะได้ราคาดีกว่า”
“เจ้าเดือดร้อนเรื่องเงิน” อันที่จริงเขาก็ไม่ได้มีเงินมาก ใช้ชีวิตสมถะ กินอยู่เรียบง่ายจึงไม่ได้ใช้จ่ายอันใดมากนัก ทว่าตั้งแต่นางมาก็ซ่อมแซมคฤหาสน์ซอมซ่อหลังนี้ ไม่รู้สิ้นเปลื้องไปเท่าใดแล้ว
“ไม่ใช่เดือดร้อน อันที่จริง ข้าชอบทำการค้า” นางยิ้มทะเล้น “แต่สตรียังไม่ออกเรือนทำการค้าเป็นเรื่องไม่งาม แต่อย่างข้าจะให้อยู่บ้านปักผ้าเอาไปขายก็ทำไม่ได้ ตอนอยู่หุบเขาแมงป่อง พ่อบุญธรรมสอนเรื่องการค้าขายบ้างเล็กน้อย ข้าเคยแต่งกายเป็นชายเอาของของป่าไปขาย ข้าพอรู้ที่ค้าขายได้กำไรอยู่บ้าง จึงอยากจะเปลี่ยนโสมคนให้เป็นทุนรอนไว้ใช้สอย”
ฟังเหตุผลของนางแล้วไม่มีอะไรให้ห้ามปราม แต่พอคิดว่านางไม่อยู่ กลับรู้สึกใจโหวงเหวงชอบกล
“ตามใจเจ้าเถิด”
“นี่ข้าไม่ได้ไปแล้วไปลับเสียหน่อย ท่านอย่าทำหน้าอย่างนั้นสิ”
“ข้าทำหน้าแบบไหน” เขาแสร้งทำเสียงดุ
“ขากลับข้าจะซื้อขนมน้ำตาลมาฝาก”
“ข้าไม่ใช่เด็ก!”
ได้ยินเสียงนางหัวเราะออกมา จึงรู้ว่าตัวเองตกหลุมพรางเข้าให้แล้ว
เยว่ซินนึกถึงพ่อและแม่บุญธรรม คนหนึ่งเป็นจอมโจร คนหนึ่งเป็นบัณฑิต นางเคยถามพ่อบุญธรรมว่าไม่ต้องการไปจากหุบเขาแมงป่องแดงหรือ?
‘หากข้าไม่อยู่ ใครจะคอยห้ามปรามแม่บุญธรรมของเจ้าเล่า’
อืม...
แท้จริงสตรีห้าวหาญที่ไม่มีผู้ใดกำราบลง กลับมีเพียงบัณฑิตไร้วรยุทธ์ที่ปราบได้ นางลอบมองสีหน้าของฉู่ห่าวหรานอีกครั้ง พวกบัณฑิตเป็นแบบนี้เองสินะ หรือว่าเขาเองอาจจะมีความสามารถที่นางคาดไม่ถึงก็เป็นได้.
บางสิ่งก็เหนือการคาดคิดจริงๆ
หันซูถลึงตาใส่หญิงสาวที่ยืนกอดอกมองชาวบ้านกว่าห้าสิบคนที่ยืนรอกันอยู่หน้าคฤหาสน์ อันที่จริงนางคิดจะเข้าเมือง แต่เห็นแบบนี้แล้วต้องอยู่ช่วยหันซูเสียก่อน
“เพราะเจ้าแท้ๆ”
“หือ?” เยว่ซินเลิกคิ้วแต่มุมปากยกยิ้ม “ประเดี๋ยวนี้พ่อบ้านไม่เรียกข้าแม่นางเหอแล้วหรือ?”
“เจ้า!” ถ้าไม่คิดว่านางเป็นคนที่มู่หงเทียนส่งมา เขาคงหักกระดูกนางไปนานแล้ว
เยว่ซินหัวเราะร่า ยื่นมือไปตบไหล่หันซูสองสามที นางชอบที่เป็นเช่นนี้ ความนบน้อมจอมปลอมนั้นไม่จำเป็นต้องใช้กับนาง
“เอาน่า คิดเสียว่าทำเผื่อใต้เท้าฉู่ของเจ้าอย่างไรเล่า”
“ใต้เท้าฉู่ของข้า? เจ้านี่พูดจาแปลกพิกล” เอาเถอะ หลุดปากมาถึงขั้นนี้แล้ว นางไม่ถือสา เขาก็ไม่ถือสาเช่นกัน “แล้วจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร”
“บางคนมาเรื่องเช่าที่เดินเพาะปลูก บางคนมาเรื่องผันน้ำ เจ้าไปรับลงชื่อคนเช่าที่ดินก่อน จะได้รู้ว่ามีกี่คนต้องแบ่งที่ดินอย่างไร ที่เหลือข้าช่วยดูเอง” นางเอ่ยพลางกวาดตามอง สายไปพบกับช่างตีเหล็กก็กวักมือเรียกหาทันที
“ท่านอาหยวน”
“คุณหนูเยว่ซิน” เขาหัวเราะเก้อเขินยกมือขึ้นลูบท้ายทอยตนเอง
“เรียกข้าเยว่ซินเถอะ”นางส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง “ท่านมาพอดี ข้ามีเรื่องอยากให้ช่วยซ่อมเก้าอี้รถเข็นของใต้เท้าฉู่ ไม่ทราบว่าท่านอาหยวนพอทำได้หรือไม่”
“ได้ๆ เรื่องแค่นี้ข้าทำได้” อาหยวนผงกศีรษะให้ “ได้ยินว่าจะทำกังหันผันน้ำรึ”
“ใช่ ดีจริงที่เห็นท่านอาด้วยไม่อย่างนั้นข้าคงต้องให้คนไปเชิญถึงบ้านแล้ว”
“ข้าไม่ได้เก่งกาจอะไรนัก แต่ถ้าพอช่วยอะไรได้ก็ยินดีทำ”
“ท่านอาหยวนอย่าถ่อมตัวเลย ได้ท่านมาช่วยก็เบาใจได้มาก” แม้นางเป็นคนโผงผางแต่ก็รู้จักกาลเทศะ เมื่ออยู่กับคนที่ควรเคารพก็พูดจา
อ่อนน้อมเป็นเช่นกัน
“มีสิ่งใดก็สั่งการมาได้เลย แต่ว่า...ข้าเขียนหนังสือไม่คล่อง เรื่องสัญญานั้น...เอ่อ...”
“เรื่องนั้นท่านไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่ให้ใต้เท้าฉู่เอาเปรียบผู้ใดหรอก”
“ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้น” ช่างตีเหล็กโบกมือไปมา แต่พอได้ยินเสียงหัวเราะของหญิงสาวตรงหน้า ก็รู้ว่าตัวเองถูกแกล้งเอาแล้ว
เยว่ซินเห็นว่าอีกฝ่ายคลายความกังวลลงแล้วจึงปรายตามองรอบข้าง แล้วเอ่ยกับอาหยวน “ความจริงข้ามีเรื่องรบกวนท่านเช่นกัน”
“ว่ามาได้เลย” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ถือตัว เขาจึงลดความระแวดระวังลงและเพิ่มความเป็นกันเองมากขึ้น หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ พูดเสียงเบาที่ได้ยินกันเพียงสองคน บอกสิ่งที่นางต้องการออกไป อาหยวนขมวดคิ้วสลับกับพยักหน้าหงึกหงัก นางทำมือไม้ออกท่าทางอธิบายเพิ่มทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ “ข้าจะลองดู” “ขอบคุณท่านมาก” เสียงจอแจของชาวบ้านเงียบไปทันทีเมื่อเห็นชายที่นั่งบนรถเข็นกำลังเคลื่อนมาทางพวกเขา ทุกคนรู้ว่าคฤหาสน์ซอมซ่อนี้เป็นที่อยู่ของราชครูฉู่ห่าวหราน แต่ไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้าเจ้าของคฤหาสน์ ชาวบ้านเพียงได้ยินกันมา ร่วมทั้งบุตรหลานที่มาร่ำเรียนกับใต้เท้าฉู่ แม้รอยแผลบนใบหน้าจะดูน่ากลัวไปสักนิด แต่ท่าทางอ่อนแอและสุภาพกลับทำให้ทุกคนรู้สึกสงสาร ได้ยินว่า ใต้เท้าฉู่ใช้ชีวิตเข้าช่วยเหลือฮ่องเต้จนต้องมีสภาพเช่นนี้ แต่ฮ่องเต้กลับขับไล่ไสส่งมาไกลเพราะหมดประโยชน์แล้ว คงจะเป็นเรื่องจริง “ใต้เท้าฉู่” ผู้ใหญ่นำลูกบ้านมาคารวะฉู่ห่าวหราน ฉู่ห่าวหรานยิ้มบางๆ ทำให้ใบหน้าของเขาดูสงบเยือกเย็นราวกับเทพเซียนผู้ตัดขาดจากกิเลส เขาพูดคุยทำความเข้าใจเล
“แน่นอน เพราะเป็นเด็กกำพร้า ใช้ชีวิตเร่ร่อน จำเป็นต้องหาทางเอาตัวรอดตลอดเวลา” นางกินอาหารต่ออย่างไม่สนใจประโยค ‘ลองใจ’ของเขานัก “อันที่จริง อาหารเหล่านี้เป็นอาหารพื้นๆ หากใต้เต้าฉู่เปิดใจสักนิดจะรู้ว่า รสชาติอาหารชาวบ้านไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก หรือจะให้พูดให้ถูกก็คือดีกว่าไม่มีกิน” หันซูสะอึกไปคำใหญ่ เหลือบตามองทางฉู่ห่าวหรานอีกครั้ง ทว่ากลับตกตะลึงไปที่ไม่เห็นสีหน้าเคืองโกรธซ้ำยังยิ้มออกมาอีก เป็นรอยยิ้มที่พึ่งพอใจในสิ่งที่ได้ยินอีกด้วย เขาเหลือบตามองมาทางเย่วซินที่ยังกินมื้อเย็นต่อไม่สนใจเรื่องเมื่อครู่ และยังคงคีบอาหารให้ฉู่ห่าวหรานที่เห็นได้ชัดว่าวันนี้เขากินข้าวได้มากกว่าปกติ “เรื่องการจัดการรายชื่อคนเช่าใช้ที่ดินคงต้องรบกวนพ่อบ้านหันซูแล้ว” นางเอ่ยขึ้นน้ำเสียงผ่อนคลายลง “คนไม่รู้หนังสือมีมาก พวกเขาเองเคยถูกเอารัดเอาเปรียบมาก่อน จึงค่อนข้างกลัวจะซ้ำรอยเดิม” “เห็นใต้เท้าฉู่เป็นคนเช่นไรกัน” หันซูหงุดหงิดขึ้นมาแต่กลับทำให้เย่วซินหัวเราะเบาๆ “ก็เห็นเป็นขุนนางอย่างไรเล่า” นางตอบแล้วสบตากับฉู่ห่าวหราน “ถึงจะเป็นขุนนางตกอ
“ท่านไม่มีกำลังภายใน ไม่เคยฝึกเพลงยุทธ์ กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง และยิ่งประสบเรื่องเช่นนั้นมา ท่านยิ่งต้องพยายามเคลื่อนไหวช่วงล่างให้มาก” “เจ้าก็รู้ว่าขาข้าขยับไม่ได้” “ข้าไม่เชี่ยวชาญแต่อยากทดลองศาสตร์กดจุดฝ่าเท้ากับท่านดูบ้าง” นางยังคงยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “ถ้าข้าทำให้ท่านเดินได้เป็นปกติ จะได้อวดกับผู้อื่นได้ว่า ข้าเยว่ซินเป็นยอดฝีมือศาสตร์แห่งกดจุดฝ่าเท้า” “เจ้าใช้ข้าเป็นหนูทดลอง?” เขาถามกลับยิ้มๆ ใบหน้าผ่อนคลายลงมาก อาจเพราะสัมผัสของนางทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น “ใครจะกล้าทำเช่นนั้น” นางหัวเราะ “อย่างน้อยท่านก็เป็นคนที่สองรองจากพ่อบุญธรรม” “อาจารย์มู่เป็นคนเช่นนั้น เขาเกิดมาเพื่อเป็นอาจารย์ อุทิศตนเองสั่งสอนผู้อื่น” “หือ?” นางเบิกตากว้าง “ข้ารู้ว่าพ่อบุญธรรมชอบสั่งสอนผู้อื่น แต่อุทิศตัวเองนั้น ข้าว่ายังห่างไกลนักหรือท่านพูดถึงมู่หงเทียนคนละคนกัน” ฉู่ห่าวหรานหลุดหัวเราะในลำคอ “อาจารย์มู่เป็นคนเช่นนั้น อาจเพราะไม่ต้องทำงานรับใช้ผู้อื่น จึงแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา” “แล้วท่านเล่า ใต้เท้าฉู่ ตัว
“ข้าไม่ใช่คุณหนู ไม่ต้องดูแลถึงเพียงนี้” นางเอ่ยทั้งที่รับถ้วยน้ำชาจากอีกฝ่าย “แต่คุณหนูก็เป็นคนที่ประมุขหมายตาให้สืบทอดตำแหน่ง”นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “ข้าเป็นโจรก็จริง แต่ไม่คิดอาจเอื้อมเป็นประมุขพรรคแมงป่องแดง”เรื่องในยุทธภพไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายอธรรมหรือฝ่ายธรรมะอะไรนั่น ล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น นางแค่อยากมีชีวิตสงบสุขไปวันๆ ทว่ามู่ยี่-แม่บุญธรรมดีกับนางมาก เป็นคนสั่งสอนฝึกวรยุทธ์ให้นางด้วยตนเอง ส่วนมู่หง-เทียนสอนเรียนเขียนอ่าน บิดาของนางเคยเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาก็จริง แต่การสอนสั่งของทั้งสองต่างกันมาก มู่หงเทียนไม่เข้มงวดกวดขัน แต่มักหาเรื่องมาหลอกล่อให้นางสนใจใคร่รู้ เป็นนางที่เอ่ยปากขอร้องเขาเองนับตั้งแต่นางอยู่ในหุบเขาแมงป่องแดงนั้น ได้พบผู้คนมากมาย ทั้งนักเลงอันธพาล ขุนนาง พ่อค้า ชาวบ้าน และคนที่เป็นกำพร้าเหมือนกัน นางได้รับความสนใจจากมู่ยี่และมู่หงเทียนมากจนทั้งสองรับนางเป็นลูกบุญธรรม แม้เป็นเรื่องดีสำหรับนาง แต่ก็เป็นเหตุผลให้ผู้อื่นเกลียดนางเช่นกัน แต่นางไม่ได้ใส่ใจนัก เมื่อถึงเวลาต้องจากไปอยู่ดี แต่ทั้งสองมีบุญคุณกับนางมากเช่นกัน ก่อนจากไป นางจึงทำงานตามคำสั่งข
น้ำเสียงแข็งกร้าวแต่คุ้นหู ดวงตาของเย่วซินผ่าวร้อนขึ้นมา ‘พี่ใหญ่’ของนางเป็นเช่นนี้เสมอ ภายนอกดูดุดันก้าวร้าว แต่กับน้องๆ แล้ว เขาเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี หากไม่เพราะผิดใจกับบิดา คงได้อยู่กันพร้อมหน้ากันนางเคยได้ยินชื่อนายอำเภอที่มาประจำการที่นี่ได้เพียงครึ่งปี แต่ยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่นางตามหาหรือไม่ ตามหาหลายปีแต่เมื่อได้พบกลับอ้าปากแต่พูดไม่ออก หัวใจก็เต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นกุมอกตำแหน่งที่หยกชิ้นหนึ่งห้อยติดกายอยู่ใช่ นางต้องมอบของสิ่งนี้ให้ ‘พี่ใหญ่’ ของนาง“มีผู้บุกรุก!”เสียงตะโกนของเหล่าทหารยามทำให้เย่วซินตื่นจากภวังค์ นางถอยแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ชายผู้นั้นกระโดดตามมา นางสะบัดมือวูบหนึ่งผงสีขาวกระจายไปเบื้องหน้าเขาทันที“หยุดนะ!เจ้าหัวขโมย!”“ข้าไม่ใช่ขโมยแค่มาขอยืมอะไรบางอย่าง ใช้เสร็จแล้วจะเอากลับมาคืน”เสียงหัวเราะหวานใสดังขึ้น ทำเอาชายหนุ่มตะลึงงันไปชั่วขณะ ผงสีขาวทำให้เขาชะงักยกมือขึ้นบังดวงตาและกลั้นหายใจ ทว่ากลับไม่สิ่งใดเกิดขึ้นเขาจึงลดมือลง พบเพียงความว่างเปล่า เขารู้ว่านางคือสตรี แต่น้ำเสียงและท่าทางเช่นนี้ช่างคุ้นเคยนัก คนท
เซียงเริ่นเจินย่อมไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้าคิดสิ่งใด หากแต่เขาเองก็ไม่สบายใจที่เห็นหญิงสาวงดงามเช่นนางต้องมีสีหน้าหมองเศร้า ครานั้นที่ช่วยนางก็เพราะความบังเอิญ เขาเดินทางผ่านมาประสบเหตุร้ายเข้าพอดี หลังจากเหตุการณ์นั้น นางมาพบเขาเพื่อขอบคุณที่ช่วยเหลือ ผู้อื่นกระซิบบอกเล่าเรื่องราวของนางให้เขารู้ เขาไม่ได้ใส่ซ้ำยังต้อนรับนางอย่างดีหากว่านางเป็นหญิงอัปมงคลแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน หากไม่หนีออกจากบ้านด้วยทิฐิที่มีมากล้น ครอบครัวของเขาคงไม่ต้องตายอย่างอนาถเช่นนั้น จางฮุ่ยเหมยลอบเห็นชายหนุ่มถอนหายใจจึงอดถามไม่ได้ “ใต้เท้าเซียงมีเรื่องกังวลใจหรือเจ้าคะ” ชายหนุ่มยิ้มบางเบาแล้วเอ่ย “ไม่เชิงกลุ้มใจ เพียงแค่เห็นขนมดอกกุ้ยของคุณหนูแล้วก็อดคิดถึงน้องสาวไม่ได้ นางชอบกินขนมหวานเป็นที่สุด หากไม่ได้กินก็จะร้องโวยวาย ข้าก็ตามใจนางทุกครั้งจนบิดาพร่ำบ่นที่ข้าเอาใจนางจนเสียนิสัย” “ใต้เท้าเซียงมีน้องสาวด้วยหรือเจ้าคะ นางโชคดีที่มีพี่ชายรักใคร่ใส่ใจเช่นใต้เท้า” รอยยิ้มจางหายไป เขาส่ายหน้าน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “ผิดแล้ว นางโชคร้ายที่มีพี่ชายอย่างต่างหาก”
“ท่านพูดเช่นนี้มิใช่ว่าปลูกอะไรก็ได้รึ?” นางขมวดคิ้วยุ่งเหยิง เดิมทีฉู่ห่าวหรานไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้ใด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เขามักรักษาระยะห่างอยู่เสมอ แต่นิสัยของเยว่ซินที่มักเข้าถึงเนื้อถึงตัว และสภาพร่างกายที่ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ จึงได้ทำใจจำยอม นานวันเข้ากลับเป็นความเคยชินอย่างไม่รู้ตัว ทว่าวันนี้เขารู้สึกแปลกใจที่นางเลือกนั่งห่างๆ ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นที่ใบหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีเศษใบไม้และขนไก่ติดบนศีรษะของนาง “หน้าข้ามีอะไรหรือ?” เยว่ซินถามเมื่อเห็นว่าเขาพิจารณามองนางอยู่ นางยกหลังมือขึ้นเช็ดแก้มไปมา ไม่มั่นใจว่ามีอะไรติดหน้าหรือไม่ “มีใบไม้ติดบนผมของเจ้า” ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เยว่ซินก็ยกมือขึ้นจับศีรษะตนเอง แต่ใบไม้ไม่ได้มีใบเดียว ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ อยากรู้ว่านางเกลือกกลิ้งกองหญ้ามาหรือไรจึงได้มีสภาพเช่นนี้ “เจ้ามาใกล้ๆ นี่” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ เยว่ชินเดินเข้าไปหาแล้วทรุดตัวลงนั่งย่องๆ ต่อหน้าเขา ไร้ความเป็นกุลสตรีซึ่งเขาก็ทำใจยอมรับได้อีกนั้นแหละ นิ้วเรียวยื่นไปค
นางนิ่งอย่างรอคอยถ้อยคำของฉู่ห่าวหราน แต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมาอีก นางก็ทำหน้ายุ่งงอแงขาดก็แต่เพียงลงไปชักดิ้นชักงอเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจ“แค่นี้หรือ?” “แค่นี้”เย่วซินเบ้ปาก “ข้าได้ยินชาวบ้านต่างกล่าวชื่นชมใต้เท้าเซียงอย่างจริงใจว่าเป็นนายอำเภอมือสะอาด รักชาวบ้านเหมือนดุจลูกหลาน มีคุณธรรมน้ำมิตร ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนดีที่ร้อยปีจะได้พบสักคน”คราวนี้เป็นฉู่ห่าวหรานเลิกคิ้วอย่างฉงน อันที่จริงเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ได้เลิศเลอถึงเพียงนี้แววตาไม่เชื่อของเขา ทำให้เยว่ซินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วแสดงสีหน้าเห็นใจอีกฝ่าย “ใต้เท้าฉู่ ท่านอยู่แต่ในคฤหาสน์เช่นนี้คงไม่เคยได้ยินเรื่องราวภายนอกกระมัง อืม...ครั้งหน้าข้าเข้าเมือง ท่านไปเปิดหูเปิดตากับข้าดีหรือไม่ เผื่อท่านได้พบกับใต้เท้าเซียงท่านจะได้รู้จักเขาดีกว่านี้”“ข้าเป็นขุนนางที่ถูกฮ่องเต้ขับไล่ไสส่งออกมาไกลถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าผู้อื่นอยากรู้จักคนอย่างข้าหรือ? ข้าขออยู่เช่นนี้ดีกว่า” “ท่านไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร” จู่ๆ เยว่ซินก็ฉีกยิ้มกว้าง “ข้าว่าอีกไม่นานคนผู้นั้นต้องมาหาท่านถึงที่นี่แน่นอน” “เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น”
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป