“ท่านพูดเช่นนี้มิใช่ว่าปลูกอะไรก็ได้รึ?” นางขมวดคิ้วยุ่งเหยิง
เดิมทีฉู่ห่าวหรานไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้ใด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เขามักรักษาระยะห่างอยู่เสมอ แต่นิสัยของเยว่ซินที่มักเข้าถึงเนื้อถึงตัว และสภาพร่างกายที่ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ จึงได้ทำใจจำยอม นานวันเข้ากลับเป็นความเคยชินอย่างไม่รู้ตัว ทว่าวันนี้เขารู้สึกแปลกใจที่นางเลือกนั่งห่างๆ ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นที่ใบหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีเศษใบไม้และขนไก่ติดบนศีรษะของนาง
“หน้าข้ามีอะไรหรือ?” เยว่ซินถามเมื่อเห็นว่าเขาพิจารณามองนางอยู่ นางยกหลังมือขึ้นเช็ดแก้มไปมา ไม่มั่นใจว่ามีอะไรติดหน้าหรือไม่
“มีใบไม้ติดบนผมของเจ้า”
ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เยว่ซินก็ยกมือขึ้นจับศีรษะตนเอง แต่ใบไม้ไม่ได้มีใบเดียว ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ อยากรู้ว่านางเกลือกกลิ้งกองหญ้ามาหรือไรจึงได้มีสภาพเช่นนี้
“เจ้ามาใกล้ๆ นี่” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ เยว่ชินเดินเข้าไปหาแล้วทรุดตัวลงนั่งย่องๆ ต่อหน้าเขา ไร้ความเป็นกุลสตรีซึ่งเขาก็ทำใจยอมรับได้อีกนั้นแหละ นิ้วเรียวยื่นไปคีบใบไม้และขนไก่ออกให้ ทว่าเห็นสายตาที่ช้อนตามองแล้ว เขารู้สึกราวกับมองสุนัขตัวหนึ่งที่รอให้เจ้าของลูบหัวมัน
ที่แท้ มิใช่นางไม่รู้ว่ามีเศษใบไม้ติดบนศีรษะสินะ แต่เพราะนางอยากให้เขาใส่ใจนั้นเอง
“เจ้านี่นะ...” เขาอับจนถ้อยคำจะตำหนินาง ชีวิตเขารับมือกับเหล่าเชื้อพระวงศ์มามาก แต่เมื่อเจอลิงน้อยอย่างนางกลับทำได้แค่ส่ายหน้าระอาใจ
ช่างเถอะ นางเป็นเช่นนี้ก็ดีแล้ว
“ก็ข้าชอบถูกใส่ใจนี่” นางหัวเราะอย่างเปิดเผย แววตากระจ่างใสเจิดจ้าเสียจนทำให้ฉู่ห่าวหรานเผลอยิ้มตามไปด้วย “กังหันผันน้ำใกล้เสร็จแล้ว แต่ข้าร้อนใจเลยไปช่วยพวกเขาทำด้วย สภาพจึงเป็นอย่างที่ท่านเห็น”
‘ส่วนเรื่องที่นางไล่จับไก่นั้น อย่าให้เขารู้เลยจะดีกว่า’
“เจ้าเป็นหญิงไม่ควรไปทำงานเช่นนั้นด้วยตนเอง”
“ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย หญิงหรือชายต่างกันแค่รูปร่างและเรี่ยวแรง อีกอย่างข้าก็ไม่ได้ทำให้ตัวเองเหนื่อยจนเกินไป ท่านวางใจได้ ว่าแต่...ถ้าไม่คัดลอกบันทึกจะทำอย่างไร จดจำได้หมดหรือ?” นางยังคงกังวลเรื่องนี้อยู่
“สิ่งใดที่ผ่านสายตาข้า ข้าล้วนจดจำได้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงเรียบง่ายมิได้โอ้อวด แต่เดิมเขาไม่ได้สนใจเกี่ยวกับการเพาะปลูก ยามนี้ใช้ชีวิตสมถะเรียบง่ายจึงเพิ่งรู้ว่าการปลูกพืชผักแต่ละชนิดล้วนมีรายละเอียดที่น่าสนใจไม่น้อย
นางอ้าปากส่งเสียงร้อง ‘อ่อ’ ออกมา
“อย่างนี้ก็รู้แล้วใช่ไหมว่าควรเพาะปลูกอะไร”
“ดินดีน้ำดีปลูกอะไรก็งอกงาม”
“ท่านพูดเช่นนี้มิใช่ว่าปลูกอะไรก็ได้รึ?” นางขมวดคิ้วยุ่งเหยิง
“เรื่องนี้เจ้าเองก็รู้ไม่ใช่รึ” เขาถามกลับพร้อมรอยยิ้มบางเบา “ในฤดูร้อนพื้นดินมีความชุ่มชื้นน้อย พืชที่ควรปลูกย่อมต้องทนทานความร้อนได้อย่างข้าวโพด หรือแตงกวา ส่วนข้าวฟ่างปลูกได้ตลอดปี”
“ดีจริง เช่นนั้นก็มีอะไรกินได้ตลอดปี”
“ปัญหาไม่ได้อยู่ที่สภาพดินฟ้าอากาศเท่านั้น แต่อยู่ที่การจัดเก็บภาษีด้วย” เขาถอนหายใจอีกครั้ง “ชาวบ้านทั่วไปไม่มีที่ดินเป็นของตัวเอง หากต้องการพื้นดินสำหรับเพาะปลูกต้องเช่าผู้อื่น ก็ไม่พ้นขุนนางหรือเศรษฐี หลายปีก่อนมีสงคราม บ้านใดที่ไม่ส่งชายหนุ่มไปทำศึกก็ต้องจ่ายเป็นภาษีให้ทางการ แม้สงครามสิ้นสุด แต่สภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านยังไม่ฟื้นตัว ทางการก็ยังหาทางรีดภาษีกับชาวบ้านอีก”
“อืม” เยว่าซินกัดริมฝีปากอย่างหงุดหงิด นางเคยเร่ร่อนมาก่อน เข้าใจความทุกข์ยากเหล่านั้นดี
“ฮ่องเต้สุนัข!”
“เยว่ซิน” เขาปรามนาง
“ข้าจะเรียกคนผู้นั้นว่าฮ่องเต้สุนัข” นางฮึดฮัดไม่พอใจ “ดูท่าสิ ท่านเป็นคนดีเพียงไรแต่เขากลับส่งท่านมาอยู่ที่ทุรกันดารเช่นนี้”
“เรื่องของข้านั้นช่างเถอะ” เขายิ้มที่มุมปาก หากเป็นก่อนหน้านี้เขาย่อมทำใจยอมรับไม่ได้ แต่วันเวลาผ่านมาขัดเกลาจิตใจของเขาให้ปล่อยวางได้กับทุกสิ่ง
หรือไม่ก็...เกือบๆ จะปล่อยวางได้
“ท่านจะอ่านจบเมื่อไร ข้าต้องเอาบันทึกนี้ไปคืนเจ้าของ”
ฉู่ห่าวหรานไม่แปลกใจที่รู้ว่านาง ‘ขโมย’มา แต่คนเปิดเผยเช่นนางไม่อาจซ่อนแววตาตื่นเต้นระคนดีใจนั้นไว้ได้ เขาหรี่ตามองแล้วเอ่ยถาม
“ดูเหมือนเจ้าอยากกลับไปเยือนที่นั้นอีก”
“ต้องกลับไปสิ ข้าแค่ขอยืมมาก็ต้องเอากลับไปส่งคืน” นาง
หัวเราะกลบเกลือน “ท่านไม่ต้องกลัวว่าข้าจะไปนานนะ อย่างไรข้าก็ต้อง
กลับมาดูแลท่านตามที่พ่อบุญธรรมสั่งไว้แน่นอน”
เขาเพ่งมองท่าทีหัวเราะกลบเกลือนของนางด้วยความไม่พอใจอย่างไร้เหตุผล ถ้าไม่ใช่คำสั่งของมู่หงเทียนแล้วนางจะไม่ใส่ใจเขาเลย? หรือนางมองเขาเป็นคนพิการไร้ความสามารถเช่นคนอื่น ฉู่ห่าวหรานระบายลมหายใจเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้น
“เจ้ามีนิสัยกะล่อนอยู่บ้าง แต่เรื่องโกหกแล้ว เจ้าไร้ความสามารถจริงๆ”
คราวนี้เยว่ซินพูดไม่ออก ได้แต่กลอกตาไปมาแล้วก็ยกมือขึ้นลูบปลายจมูกแก้เก้อ
“เป็นจริงอย่างที่ท่านกล่าว ข้าตั้งใจกลับไปที่นั้นจริงๆ”
“มีเรื่องใดรึ” ถามออกไปแล้วก็แปลกใจตนเอง เขาไม่เคยมีนิสัยชอบยุ่งเรื่องผู้อื่น หากอีกฝ่ายไม่เอ่ยปากด้วยตนเอง เขาก็ไม่เคยเอ่ยถามเช่นกัน ผิดกับครั้งนี้ เรื่องของนางทำให้เขาอยากรู้เหลือเกิน
“ก็...ไม่มีอะไรเป็นพิเศษ” นางยิ้มกว้างแล้วลุกขึ้นยืนแหงนหน้ามองท้องฟ้าไร้เมฆ “ขอถามใต้เท้า ท่านเคยได้ยินชื่อเซียงเริ่นเจินหรือไม่”
“เซียงเริ่นเจิน?” เขาทวนคำที่ได้ยิน ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งจึงตอบ “เจ้าหมายถึงนายอำเภอเซียงเริ่นเจิ่นใช่หรือไม่”
“ท่านรู้จักเขา?” นางถามด้วยสีหน้าตื่นเต้น
“มิได้รู้จักสนิทสนม แต่เคยได้ยินเรื่องของคนผู้นี้มาบ้าง”
“ได้ยินมาว่าอย่างไร”
สีหน้าตื่นเต้นระคนกระตือรือร้นทำให้ฉู่ห่าวหรานเลิกคิ้วประหลาดใจ พลันเขานึกถึงเรื่องที่นางเคยเล่าเรื่องของมู่ยี่-แมงป่องแดงที่ลักพาตัวอาจารย์มู่หงเทียน นี่นางคงไม่ได้คิดจะทำเช่นเดียวกับมู่ยี่กระมัง
“ว่าอย่างไร” นางถามซ้ำด้วยความอยากรู้
“เรื่องใด”
“ก็ท่านเคยได้ยินคนพูดถึงเซียงเริ่นเจินอย่างไรเล่า” นางร้อนใจที่เขาไม่ยอมพูดในสิ่งที่นางต้องการรู้เสียที
“เป็นขุนนางฝ่ายบุ๋นที่มีความสามารถผู้หนึ่ง”
นางนิ่งอย่างรอคอยถ้อยคำของฉู่ห่าวหราน แต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมาอีก นางก็ทำหน้ายุ่งงอแงขาดก็แต่เพียงลงไปชักดิ้นชักงอเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจ“แค่นี้หรือ?” “แค่นี้”เย่วซินเบ้ปาก “ข้าได้ยินชาวบ้านต่างกล่าวชื่นชมใต้เท้าเซียงอย่างจริงใจว่าเป็นนายอำเภอมือสะอาด รักชาวบ้านเหมือนดุจลูกหลาน มีคุณธรรมน้ำมิตร ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนดีที่ร้อยปีจะได้พบสักคน”คราวนี้เป็นฉู่ห่าวหรานเลิกคิ้วอย่างฉงน อันที่จริงเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ได้เลิศเลอถึงเพียงนี้แววตาไม่เชื่อของเขา ทำให้เยว่ซินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วแสดงสีหน้าเห็นใจอีกฝ่าย “ใต้เท้าฉู่ ท่านอยู่แต่ในคฤหาสน์เช่นนี้คงไม่เคยได้ยินเรื่องราวภายนอกกระมัง อืม...ครั้งหน้าข้าเข้าเมือง ท่านไปเปิดหูเปิดตากับข้าดีหรือไม่ เผื่อท่านได้พบกับใต้เท้าเซียงท่านจะได้รู้จักเขาดีกว่านี้”“ข้าเป็นขุนนางที่ถูกฮ่องเต้ขับไล่ไสส่งออกมาไกลถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าผู้อื่นอยากรู้จักคนอย่างข้าหรือ? ข้าขออยู่เช่นนี้ดีกว่า” “ท่านไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร” จู่ๆ เยว่ซินก็ฉีกยิ้มกว้าง “ข้าว่าอีกไม่นานคนผู้นั้นต้องมาหาท่านถึงที่นี่แน่นอน” “เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น”
เยว่ซินจิบสุราในจอกของตนลอบเบ้ปาก แม้นางไม่ใช่คนเรื่องมาก กินง่ายอยู่ง่ายเพราะเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนมาก่อน แต่สุราที่เรียกว่าเลิศรสก็เคยได้ชิมมาแล้ว สุราจอกนี้ไม่ได้เลวร้าย แต่สุราที่โรงรับจำนำเจิ้งจิงถูกปากนางมากกว่า “เช่นนั้น คุณหนูกลับไปพักที่เรือนนะขอรับ” “เจ้ามีที่พักในเมือง?” หันซูอดพูดไม่ได้ มิน่าเล่า นางจึงดูไม่เดือดร้อนที่ต้องเข้ามาในอำเภอตามลำพัง “ไม่มี” นางตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าขออาศัยเถ้าแก่หม่าพักเท่านั้น” “แท้จริงแล้ว โรงรับจำนำคงไม่ใช่แค่โรงรับจำนำสินะ” ฉู่ห่าวหรานยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เหตุใดมองแล้วเยือกเย็นจนเสียวสันหลังวาบอย่างไรไม่รู้ หม่าเจียนอี้คลี่ยิ้ม เขาเป็นคนยิ้มง่าย ใบหน้าราวกับฉาบรอยยิ้มตลอดเวลา มีเพียงแววตาที่จะเห็นได้ว่ารอยยิ้มนี้จริงใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้รอยยิ้มนั้นไปถึงดวงตา “หากต้องการพูดคุยเรื่องกิจการโรงรับจำ ข้าน้อยเกรงว่าการสนทนาที่นี่จะไม่เหมาะนัก แต่ข้าน้อยยิ่งดีอธิบายทั้งหมดในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้” “ประเดี๋ยวก่อน เรื่องนี้มิใช่ว่าเฉพาะคนในพรรคแ
เยว่ซินเงยหน้าขึ้น นางไม่รู้ควรทำหน้าอย่างไร จะเอ่ยทักว่า ‘พี่ใหญ่’ แต่เขาจะเชื่อหรือ? ที่ผ่านมาทุกคนล้วนเข้าใจว่านางตายพร้อมบิดามารดาและพี่ชายรองในกองเพลิงครั้งนั้นไปแล้ว และที่สำคัญ สถานะของนางในเวลาเรียกได้เป็นหัวขโมย แม้ไม่มีค่าหัว แต่ก็ถูกเรียกว่าโจร ส่วนพี่ใหญ่ของนางเป็นถึงนายอำเภอ หากเรื่องนี้ผู้อื่นรู้เข้า เกรงว่าตำแหน่งของพี่ใหญ่คงสั่นคลอนเป็นแน่ เขาคือคนที่เหลือเพียงคนเดียวของตระกูลเซียง นางไม่ควรให้ชื่อเสียงของสกุลเซียงมัวหมอง “เจ้ารู้จักเขาหรือ?” “แม่นางชื่อเยว่ซินหรือ?” “ข้า...” นางอ้ำอึ้งครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา “ข้าเป็นสตรีจู่ๆ มาถามเช่นนี้จะให้ข้าตอบอย่างไร” ‘เจ้าก็รู้ตัวว่าเป็นสตรีด้วยรึ’ หันซูถามตัวเองในใจ แน่ละ เขาทำได้แค่นั้น หากส่งเสียงสักคำ อาจเป็นเขาที่ต้องรับเคราะห์ “ขออภัยด้วย” เซียงเริ่นเจินได้สติจึงรีบกล่าวขึ้น “แม่นางคล้ายคนที่ข้ารู้จักจึงเสียมารยาทเช่นนี้” ‘คนรู้จัก’ รอยยิ้มของเยว่ซินแข็งค้างไป แต่จะทำอย่างไร จะให้พี่ใหญ่พูดต่อหน้าคนแปลกหน้าว่า
“ทั้งสองแห่งนั้นอาจไม่เหมาะกับข้า” ใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยน “ข้าน่าจะเหมาะทุ่งนาป่าเขาเสียมากกว่า” “ท่านไม่รำคาญเสียงไก่ขันแล้วเหรอ” นางทำหน้าล้อเขาแต่อีกฝ่ายยังคงยิ้มอ่อนโยน “ท่านไม่โกรธที่ข้าทำสวนสวยๆ ของท่านกลายเป็นแปลงผัก” “เหตุใดข้าต้องรำคาญ มีเสียงไก่ขันก็เท่ากับว่ามีไข่ไก่ให้เก็บกิน มีแปลงผักก็เท่ากับมีผักสดให้กินเช่นกัน มีแต่เจ้าที่ต้องลำบากดูแลไก่และแปลงผักเหล่านั้น” “ข้าไม่ได้ลำบากเลยสักนิด” หญิงสาวยิ้มกว้างตอบด้วยใจจริง “ท่านไม่เสียดายความรู้ที่ตนเองมีหรือ?” “เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าข้าไม่ฉลาดนัก” “ข้าไม่ได้หมายความตามที่พูดเช่นนั้นเสียหน่อย” นางทำปากยื่นแล้วปรายตามองไปทางหันซู “พ่อบ้านได้ยินข้าพูดจาว่าร้ายใต้เท้าฉู่หรือไม่” “เจ้าอย่ามาลากข้าไปเกี่ยวข้องด้วย” หันซูแยกเขี้ยวใส่แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น “เช่นนั้นข้าก็พูดจริงนะ ท่านไม่เสียดายความรู้ของตนหรือ? หากท่านกลับไปทำงานรับใช้บ้านเมืองก็คงดีไม่น้อย เหล่าขุนนางก็คงไม่ใช่คนเลวไปเสียทั้งหมด ต้องมีคนดีอยู่บ้าง” “คนดี
“เจ้าอย่าพูดเสียงดังไป อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ประทานให้ท่านราชครูฉู่ แม้เป็นหญิงคณิกาแต่ก็ขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง เราไม่ควรดูแคลนนางได้”“คุณหนูก็เป็นถึงบุตรสาวเสนาบดีจาง มิได้น้อยหน้าผู้ใดนะเจ้าค่ะ”“แม้ข้าเป็นบุตรสาวภรรยาเอก แต่ชื่อเสียงเหม็นเน่าเช่นนี้ บางที...หญิงคณิกายังดีกว่าข้าเสียอีก”“คุณหนูอย่าคิดเช่นนั้นสิเจ้าคะ”“ทำไมเล่า ข้าแค่ทำใจได้ยอมรับความเป็นจริงต่างหาก บุรุษแสนดีอย่างใต้เท้าเซียงหากมีใจให้หญิงงามและเพียบพร้อมกว่าข้า...ข้าควรยินดีให้เขาถึงจะถูก”“คุณหนู”เชี่ยวเมิ่นได้แต่ร้องขึ้นอย่างอ่อนใจ เหตุใดคุณหนูของนางไม่ลุกขึ้นสู้เช่นสตรีอื่นบ้างนะ คืนนี้มีเพียงแสงดาว ทำให้ผู้ที่เร้นกายอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ไม่ถูกผู้ใดพบเห็น แต่จะว่าไป นี่เป็นเรือนของบุตรสาวเสนาบดีจางมิใช่หรือ? เหตุใดไม่มีคนเฝ้าดูแลแม้แต่คนเดียว ซ้ำเรือนหลังนี้สภาพดีกว่าคฤหาสน์ของฉู่ห่าวหรานเล็กน้อยเท่านั้น เรือนคนรับใช้บ้านเศรษฐียังจะดีกว่ากระมังเยว่ซินได้ยินบทสนทนาของสตรีทั้งสอง ยิ่งทำให้ประหลาดใจ นางเคยพบเจอแต่คุณหนูร้ายกาจไม่น่าเข้าใกล้มาไม่น้อย มองผิวเผินนางเป็นสตรีที่ไม่พิษภัย ท่าทางเรียบร้อยน่
สรุปแล้วนางมีวรยุทธ์ระดับไหนกันแน่ หรือนางรู้ว่าเขาติดตามมาจึงไม่แสดงฝีมือ แต่ขนาดยอมให้ตนเองเจ็บตัวเลยหรือ? หรือเป็นเพียงข่าวลือให้คนไขว่เขว่กันเท่านั้น.ทันทีที่รู้ข่าว เซียงเริ่นเจินรีบมาเรือนของสกุลจาง เมื่อเข้ามาถึงก็พบฉู่ห่าวหรานและพ่อบ้านหันซู เขาประสานมือคารวะและเอ่ยถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หันซูจึงเล่าคราวๆ แต่เล่าความจริงไม่หมด เพียงแค่บอกว่าบังเอิญผ่านไป เซียงเริ่นเจินประหลาดใจกับ ‘บังเอิญผ่านไป’ ซึ่งเป็นความบังเอิญอย่างพอเหมาะเกินไป เวลาดึกดื่นถึงเพียงนั้นและเรือนของแม่นางจางไม่ได้อยู่ถนนเส้นหลัก แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ซักถาม “ใต้เท้าเซียง” เชี่ยวเมิ่นเดินออกมาจากห้องด้านในพร้อมอ่างน้ำที่มีคราบเลือด ทำให้เซียงเริ่นเจินใบหน้าซีดลงไปทันที “แม่นางจาง...” “คุณหนูแค่เป็นลม แต่ว่าแม่นางเหอได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ท่านหมอทำแผลให้แล้วเจ้าค่ะ” ภาพหญิงสาวท่าทางปราดเปรียวนามเหอเยว่ซินปรากฎขึ้นในหัว เซียงเริ่นเจินรู้สึกเป็นกังวลอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่พบนางเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่เขารู้สึกราวกับคุ้นเคยกับนางมาก “เยว่ซินเป็นอย่างไร
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนใต้เท้าเซียงแล้ว” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยตอบ “ไม่รบกวน ไม่รบกวน” เซียงเริ่นเจินรีบพูดขึ้น “ข้าเองมีเรื่องอยากปรึกษาราชครูเช่นกัน” ฉู่ห่าวหรานพยักหน้ารับแล้วหันไปสั่งหันซู “ เจ้ากับเยว่ซินกลับไปเก็บของที่โรงเตี้ยมแล้วค่อยตามไปที่จวนนายอำเภอ” “ขอรับ” เยว่ซินอ้าปากจะบอกว่านางไม่มีสัมภาระอะไรให้เก็บ แต่เห็นสายตาของฉู่ห่าวหรานแล้ว ทำให้นางหุบปากได้ทันที ‘คนอะไร ออกคำสั่งด้วยสายตาก็ได้’ นางได้แต่พึมพำแล้วเดินตามหลังหันซู “ประเดี๋ยวก่อน” ฉู่ห่าวหรานเรียกเยว่ซินไว้ หญิงสาวรีบหมุนตัวกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ท่าทางเหมือนลูกสุนัขของนางทำให้เขาได้ลอบถอนหายใจแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้นางไปใกล้ๆ นางโน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากเขาเพราะคิดว่าเขามีเรื่องสำคัญจะพูด “บาดแผลของเจ้าไม่เป็นอะไรแน่นะ” “อื้ม” นางพยักหน้ารับ “คราวหน้าคราวหลังอย่าทำเช่นนี้อีก อาวุธอาจมีพิษ” “ข้าดูแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่พิษ” รู้สึกแปลกๆ ที่ลมหายใจร้อนๆของเขาประทะใบหูของนางจนอดยกมือขึ้นแตะใบหูไม่ได้
นางรับคำแล้วมองร่างเพรียวบางกระโจนหายไปนอกหน้าต่าง หญิงสาวกัดริมฝีปากครุ่นคิดอย่างลืมตัว แม่บุญธรรมเดินทางออกจากหุบเขาแมงป่องเช่นนี้ ทุกอย่างคงมีการเคลื่อนไหวแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองต้องอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทว่าพรรคแมงป่องแดงเองก็มีบุญคุณกับนาง เลี้ยงดูสั่งสอนและฝึกฝนให้นางเป็นเช่นทุกวันนี้นางเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง ฟูกนอนไม่นุ่มเหมือนที่หม่าเจียนอี้จัดไว้ให้นาง แต่นางก็ชินกับสภาพเตียงแข็งที่นอนไม่อุ่นมาหลายปีแล้ว มือเรียวยกขึ้นแตะหยกประจำตระกูล พี่ใหญ่มีนางในดวงใจแล้ว นางยิ่งต้องรีบมอบสิ่งนี้ส่งถึงมือของพี่ใหญ่ หยกชิ้นนี้เป็นสมบัติที่บิดามารดาฝากฝังไว้ให้ก่อนตายจากแค่เอาหยกชิ้นนี้ส่งให้พี่ชายตนเอง ทำไมรู้สึกยากเย็นอย่างนี้นะ มันไม่เหมือนที่นางเคยจิตนาการไว้เลย“แม่นางเยว่ซิน”เสียงหันซูเรียกจากด้านนอก เยว่ซินขานรับไปคำหนึ่งก่อนดีดตัวลุกขึ้นเก็บสัมภาระของตนเองแล้วเดินออกมาด้วยใบหน้าระบายยิ้ม“นี่เจ้าดูดีใจที่ได้พบหน้าใต้เท้าเซียงเสียจริงนะ” หันซูอดเหน็บแนมไม่ได้ เฮ้อ! เขากลายเป็นคนเช่นนี้ก็เพราะนางนี่แหละ“ก็ใต้เท้าเป็นคนดี ข้าได้พบคนดีๆ ก็ดีใจสิ” นางกระสับห่
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป