นางรับคำแล้วมองร่างเพรียวบางกระโจนหายไปนอกหน้าต่าง หญิงสาวกัดริมฝีปากครุ่นคิดอย่างลืมตัว แม่บุญธรรมเดินทางออกจากหุบเขาแมงป่องเช่นนี้ ทุกอย่างคงมีการเคลื่อนไหวแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองต้องอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทว่าพรรคแมงป่องแดงเองก็มีบุญคุณกับนาง เลี้ยงดูสั่งสอนและฝึกฝนให้นางเป็นเช่นทุกวันนี้
นางเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง ฟูกนอนไม่นุ่มเหมือนที่หม่าเจียนอี้จัดไว้ให้นาง แต่นางก็ชินกับสภาพเตียงแข็งที่นอนไม่อุ่นมาหลายปีแล้ว มือเรียวยกขึ้นแตะหยกประจำตระกูล พี่ใหญ่มีนางในดวงใจแล้ว นางยิ่งต้องรีบมอบสิ่งนี้ส่งถึงมือของพี่ใหญ่ หยกชิ้นนี้เป็นสมบัติที่บิดามารดาฝากฝังไว้ให้ก่อนตายจาก
แค่เอาหยกชิ้นนี้ส่งให้พี่ชายตนเอง ทำไมรู้สึกยากเย็นอย่างนี้นะ มันไม่เหมือนที่นางเคยจิตนาการไว้เลย
“แม่นางเยว่ซิน”
เสียงหันซูเรียกจากด้านนอก เยว่ซินขานรับไปคำหนึ่งก่อนดีดตัวลุกขึ้นเก็บสัมภาระของตนเองแล้วเดินออกมาด้วยใบหน้าระบายยิ้ม
“นี่เจ้าดูดีใจที่ได้พบหน้าใต้เท้าเซียงเสียจริงนะ” หันซูอดเหน็บแนมไม่ได้ เฮ้อ! เขากลายเป็นคนเช่นนี้ก็เพราะนางนี่แหละ
“ก็ใต้เท้าเป็นคนดี ข้าได้พบคนดีๆ ก็ดีใจสิ” นางกระสับห่อผ้าขึ้นคล้องไหล่ “ไปกันเถอะ”
หันซูอดกวาดตามองในห้องของนางไม่ได้ “เมื่อครู่เจ้า...อยู่คนเดียวรึ”
“ท่านเห็นข้าอยู่ผู้ใดเล่า”" นางเอียงคอถามกลับ
“ก็...” เหมือนว่าจะได้ยินเสียงพูดคุย แต่ก็ไม่เห็นเงาร่างของใคร “ช่างเถอะ รีบไปหาใต้เท้าฉู่เถิด”
“อื้ม”
เยว่ซินเดินนำหน้าลิ่วไม่ได้สนใจท่าทีของหันซูที่ยังแคลงใจอยู่บ้าง แต่กระนั้นเขาก็ส่ายหน้าไปมาแล้วเดินตามนางเพื่อไปจวนนายอำเภอทันที
หลบไปก็เท่านั้น ต้องเผชิญหน้าสิถึงจะถูกต้อง!
….
ฉู่ห่าวหรานอยู่ในห้องรับรองที่ตบแต่งเรียบง่ายให้ความรู้สึกสงบและสุขุม อีกทั้งยังทำให้เห็นว่าเซียงเริ่นเจินเป็นคนมัธยัสถ์ไม่ฟุ่มเฟือย ดูแล้วเป็นขุนนางใจซื่อมือสะอาดผู้หนึ่ง
“เรือนรับรองเก่าไปสักหน่อย หวังว่าใต้เท้าฉู่จะไม่รังเกียจ” เซียงเริ่นเจินให้เด็กรับใช้ยกน้ำชาเข้ามา
“ต้องขออภัยที่ต้อนรับได้เพียงเท่านี้”
“เป็นข้าที่มารบกวนใต้เท้าเซียง”
“มิได้ ความจริงข้ายังต้องการปรึกษาอีกหลายเรื่อง”
“หากข้ายังพอมีประโยชน์ต่อผู้อื่น ก็เชิญปรึกษาได้ แต่เกรงว่าสภาพข้าเช่นนี้จะช่วยอะไรใต้เท้าเซียงไม่ได้มากนัก”
“ความจริงควรเป็นข้าที่ไปคารวะท่าน” เซียงเริ่นเจินรินน้ำชาส่งให้ฉู่ห่าวหราน “แต่เพราะข้าเพิ่งย้ายมาไม่นานมีเรื่องให้สะสางมากมายนัก หากไม่เพราะท่านมาถึงในเมือง ข้าคงไม่ได้พบท่าน”
“ท่านกล่าวเกินไปแล้ว ข้าเองก็ไม่ใช่คนสำคัญอันใด ที่มาครั้งนี้ก็ต้องการพบใต้เท้าเซียงเช่นกัน”
“พบข้าหรือ?” เขาทำหน้างุนงงครู่หนึ่ง “มีเรื่องอันใดหรือ?”
ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มบางเบาที่มุมปาก ทำให้ใบหน้าที่มีแผลเป็นจางๆ ที่หน้าผากแลดูอ่อนโยนลง มือเรียวที่จับพู่กันมาทั้งชีวิตหยิบบันทึกเล่มหนึ่งออกมาจากอกเสื้อแล้วยื่นให้ นายอำเภอหนุ่มยื่นมือมารับอย่างงุนงง แต่เมื่อรู้ว่าเป็นบันทึกการเพาะปลูกที่หายไปก็ตะลึงงันอ้าปากแต่พูดไม่ออก
“เป็นคนของข้ามานำสิ่งนี้ไปเอง” ชายบนรถเข็นยังคงเอ่ยน้ำด้วยเสียงราบเรียบทว่าให้ความรู้สึกดุจสายน้ำไหลเย็น “เป็นเพราะข้าสนใจเรื่องการเพาะปลูกขึ้นมา คนของข้าจึงลอบนำบันทึกเพาะปลูกไปโดยมิได้ขออนุญาตก่อน ข้าอาจไม่สามารถขอให้ท่านอภัยให้ได้ เพียงแต่หวังว่าจะลดโทษให้เบาลงได้บ้าง”
“หากเป็นเช่นนั้น ข้าคงไม่อาจเอาโทษได้” เซียงเริ่นเจินเริ่มเข้าใจแล้ว “ความจริงหากให้คนของท่านมาขอยืมบันทึกเหล่านี้ ข้าย่อมยินดีมอบให้ และตัวข้าเองได้ยินว่าท่านทำกังหันผันน้ำเพื่อใช้ในการเพาะปลูก ข้าเองก็อยากขอความรู้จากท่านเช่นกัน ที่นี่ประสบปัญหาภัยแล้งบ่อยครั้ง หากหาหนทางกักเก็บน้ำไว้เพื่อเพาะปลูกได้คงดีไม่น้อย”
“ถ้าเป็นเรื่องนั้น ข้ามิได้หวงความรู้แต่อย่างใด เพียงแต่ทุกอย่างเป็นเพียงการลองผิดลองถูกจึงเกรงจะทำเรื่องขายหน้าต่อหน้าใต้เท้าเซียงแล้ว”
“ถึงอย่างนั้นก็เถิด ข้าเองก็เคยเห็นภาพในตำรา แต่ยังไม่เคยเห็นของจริง หากเป็นไปได้ก็อยากขออนุญาตท่านไว้ล่วงหน้า”
“ได้”
เซียงเริ่นเจินเบาใจไปเปราะหนึ่ง แล้วนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนตัดสินใจถาม “ข้ามีเรื่องอยากถามท่านราชครูอีกเรื่อง”
“ว่ามาเถิด”
“ไม่ทราบว่าแม่นางเห่อเยว่ซินเป็นใครกัน”
“ใต้เท้าเซียงหมายความว่าอย่างไร” แม้ใบหน้าจะระบายยิ้มแต่แววตาเริ่มเปลี่ยนเป็นแข็งกร้าวขึ้นเล็กน้อย
‘หรือว่าจะรู้ว่านางไม่ใช่เหอเยว่ซินตัวจริง’
ทว่าเซียงเริ่นเจินเข้าใจว่า ฉู่ห่าวหรานกำลังเข้าใจเขาผิดคิดหมายปองหญิงงามข้างกาย เขาจึงร้อนรนอธิบาย
“ข้ามีน้องสาวชื่อเซียงเยว่ซิน พอได้เห็นหน้าแม่นางเห่อจึงอดคิดถึงน้องสาวไม่ได้ และนางที่นางบาดเจ็บในครั้งนี้ ข้าผู้เป็นนายอำเภอก็มีส่วนผิดที่ดูแลชาวเมืองได้ไม่ดีพอ ทำให้คนร้ายกำเริบสืบสานทำร้ายชาวบ้านตาดำๆ ไร้ทางสู้โดยได้”
“น้องสาว?” ฉู่ห่าวหรานถามกลับด้วยความสนใจ
“เรื่องเกิดขึ้นราวเจ็ดปีก่อน ข้ากับบิดาขัดแย้งกันและข้าหนีออกจากบ้าน ตั้งใจว่าจะมุ่งมั่นทำสิ่งที่ตั้งใจให้สำเร็จแล้วจะกลับไปขอขมาบิดา ทว่าเมื่อถึงวันที่ข้าทำสำเร็จและเดินทางกลับบ้าน กลับพบว่าครอบครัวของข้าตายไปหมดแล้ว”
“ตายหมด...”
เซียงเริ่นเจินพยักหน้ารับ “ครอบครัวของข้า... บิดามารดาน้องชายคนรองและน้องสาวคนเล็ก ถูกทหารหนีทัพสังหารและเผาบ้านไปพร้อมกับศพ หากไม่เพราะข้าถือทิฐิหนีออกจากบ้านไป ครอบครัวของข้าก็คงไม่ตายอย่างอนาถเช่นนั้น เมื่อข้าได้พบแม่นางเห่อที่คล้ายกับน้องสาวของข้ามาก ทำให้คิดหวังไปว่า น้องสาวของตนอาจยังมีชีวิตอยู่ จึงเสียมารยาทต่อท่านและแม่นางเห่อ”
“เรื่องเป็นเช่นนี้เอง”
พลันฉู่ห่าวหรานเข้าใจท่าทีของเยว่ซินที่มีต่อเซียงเริ่นเจิน สายตาของนางมองเซียงเริ่นเจินเหมือนพี่ชาย นางต้องรู้เรื่องนี้เป็นแน่ มิเช่นนั้นคงไม่หาโอกาสเข้าใกล้เซียงเริ่นเจิน ทว่าหากนางเป็นน้องสาวจริง ทำไมไม่เปิดเผยตัวไปเลย หรือนางมีความจำเป็นอื่นใดที่ไม่อาจพูดออกมาได้
“ท่านคงรู้ว่านางเป็นคนที่ฮ่องเต้ประทานให้ข้า...”“ข้าทราบดี” เขารีบพูดขึ้น“นางเป็นคณิกา...”“หากนางเป็นน้องสาวข้าจริง ข้าก็ไม่รังเกียจนาง ขอให้นางไม่รังเกียจพี่ชายที่ทอดทิ้งนางให้ต้องตกระกำลำบากก็พอ”ฉู่ห่าวหรานพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าให้คำตอบไม่ได้ เห็นทีว่าท่านคงต้องถามนางด้วยตนเอง”เซียงเริ่นเจินได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง เขารู้ว่าไม่มีหวัง แต่นางช่างคล้ายน้องสาวของเขาเหลือเกิน หากไม่ได้ถามออกไป คงรบกวนจิตใจไม่หยุดหย่อน. ทันที่มือเรียวผลักบานประตูห้องเปิดออก ร่างของหญิงสาวก็ชะงักไปพร้อมกับกระตุกรอยยิ้มขึ้นทันที ชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตาคมปลาบคู่นี้ดักรอที่หน้าห้องอยู่นานแล้ว “ใต้เท้าฉู่” เยว่ซินทักทายชายบนรถเข็นแล้วหันไปทางพ่อบ้านอย่างขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันรับคำทักทายใด หันซูเพียงผงกศีรษะให้เล็กน้อยแล้วเดินจากไป หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้าง “ข้าคงเอาใบหน้าอัปลักษณ์นี้มารบกวนสายตาของเจ้าแต่เช้าสินะ” “ข้าไม่เคยคิดอะไรเช่นนั้น” นางย่นจมูกใส่ แต่ก่อนนางคิดว่าเขาเป็นคนพูดน้อย ประเดี๋ยวนี้เขาพูดเก่งกว่าแต่เดิม ที่เพิ่
เยว่ซินเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตร่วมกันมากว่าสองเดือน นางใกล้ชิดเขาด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือช่วยให้เหอเยว่ซินตัวจริงได้ใช้ชีวิตกับคนรัก สองคนทำตามที่พ่อบุญธรรมสั่งเป็นการแทนคุณที่ดูแลนาง ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าฉู่ห่าวหรานโน้มตัวเข้ามาใกล้ ยื่นปลายนิ้วแตะที่แก้มเบาๆ ไม่ใช่... เขาไม่ได้แตะแก้มของนาง เขากำลังเช็ดน้ำตาให้ต่างหาก “อ๊ะ!” นางผงะไปทันทีแล้วรีบยกหลังมือขึ้นปาดใต้ดวงตา ‘น้ำตา’ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ร้องไห้ ยิ่งผ่านวันเวลาเลวร้ายมากเท่าไหร่ น้ำตาก็เหือดแห้งลงไปทุกที เมื่อวานนางบาดเจ็บยังไร้น้ำตาสักหยด แต่เวลานี้ นางกลับหลั่งน้ำตาอย่างไม่รู้ตัว “อย่ากลัว เจ้าแค่ร้องไห้” “ข้า...ข้า...” “แค่น้ำตาเท่านั้น” เขายิ้มและยังคงพูดอย่างอ่อนโยน “การร้องไห้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าอ่อนแอ เจ้าแค่เป็นคนๆ หนึ่งเท่านั้น” เยว่ซินสบตากับฉู่ห่าวหราน หลายปีที่ผ่านมา มีเพียงคำสั่งเสียของบิดามารดาแล้วที่เหนี่ยวรั้งให้นางอดทนกับทุกสิ่งที่เผชิญ ยิ่งทุกข์ใจมากเท่าไร นางจะยิ้มให้กว้างมากที่สุด
“ใช่” เยว่ซินพยักหน้าหงึกหงัก “ไม่รู้จะถูกปากพี่ เอ๊ย! ใต้เท้าเซียงหรือไม่ นี่ซุปเห็ดเยื่อไผ่บำรุงหัวใจ นี่ไก่ผัดขิง และปลานึ่งซีอิ้ว”เซียงเริ่นเจินชะงักไปเล็กน้อย อาหารเหล่านี้เป็นของโปรดที่มารดาทำให้ในวันเกิดของเขา“คุณหนูจางมากินข้าวด้วยกันเถิด”จางฮุ่ยเหมยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่ดูหมองเศร้า ฝืนกล้ำกลืนความปวดร้าวในอกจากนั้นหันไปพูดกับเชี่ยวเมิ่น“ข้ามาเยี่ยมแม่นางเห่อและนำขนมและผลไม้มาขอบคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้” นางไม่มีทรัพย์สมบัติใดจะตอบแทน มีเพียงแค่ขนมกับสาลี่ที่เด็ดจากด้านหลังของเรือนเท่านั้น“เรื่องเล็กน้อย ข้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก” เยว่ซินรีบพูดยื่นมือไปรับกล่องขนมแล้วเปิดดู ดวงตากลมโตเบิกกว้างราวกับเด็กน้อย “ขนมดอกกุ้ย ของโปรดของข้าเลยนะ น่ากินจริง มาๆ เชิญนั่งๆ ข้าทำอาหารไว้เยอะ กินอิ่มแน่นอน”‘ขนมดอกกุ้ย ของโปรดของข้าเลยนะ’ได้ยินเพียงประโยคนี้ หัวใจเซียงเริ่นเต้นไม่เป็นจังหวะ นางช่างคล้าย... ไม่สิ นางเหมือนน้องเล็กของเขามากจริงๆเยว่ซินวางกล่องขนมแล้วจูงมือจางฮุ่ยเหมยมาใกล้กับเซียงเริ่นเจิน ส่วนนางนั่งข้างฉู่ห่าวหราน นางมองดูพี่ใหญ่และว่
เยว่ซินเห็นว่ารอยยิ้มของว่าที่พี่สะใภ้แล้วก็หันไปรับของจากเด็กรับใช้ที่เดินตามนางมาด้วย นางพูดเสียงเบาฝากคำสั่งลับไปถึงเถ้าแก่หม่า นางยืนมองเด็กรับใช้หมุนตัวออกไปแล้วจึงก้าวเข้ามาข้างใน “เกรงว่าจะมารบกวนจึงให้เอาของใช้ส่วนตัวมาด้วย” เยว่ซินยิ้มแล้วหอบข้าวของเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ “พี่สาวไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะดูแลท่านเอง” นางตบหน้าอกตัวเองอย่างแข็งขัน ทำให้จางฮุ่ยเหมยหัวเราะออกมา “ได้อย่างไรกัน ข้าเป็นพี่สาวก็ต้องดูแลเจ้าสิ” จางฮุ่ยเหมยจับมือเยว่ซิน พลันประหลาดใจที่มือของนางค่อนข้างหยาบกระด้างอยู่บ้าง แต่เยว่ซินไม่คิดเป็นอื่น นางเข้าใจสายตาของจางฮุ่ยเหมยจึงพูดขึ้นเหมือนเรื่องธรรมดา “ข้าฝึกวรยุทธ์มาบ้าง มือจึงหยาบกระด้างเช่นนี้” “เอ๋? เป็นคณิกาต้องฝึกวรยุทธ์ด้วยหรือ?” เชี่ยวเมิ่นถามอย่างสงสัย “อ้อ! อื้ม!” เยว่ซินยิ้มทะเล้นแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “แน่นอน เพราะเราไม่รู้ว่าต้องเจอลูกค้าแบบไหนอย่างไรเล่า” “เสียมารยาทจริงเชี่ยวเมิ่น” จางฮุ่ยเหมยดุหญิงรับใช้ข้างกาย “ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด”
ถึงอยากขยับตัว นางก็ทำไม่ได้! จางฮุ่ยเหมยได้แต่ร้องในอก พยายามตั้งสติไม่เป็นลมไปเสียก่อน ยังไม่ทันคิดหาทางออกได้ คมมีดเยียบเย็นขยับถอยห่างจากลำคอ และตามด้วยถุงผ้าสีดำคลุมศีรษะของนาง“อ๊ะ!” นางส่งเสียงได้เพียงครึ่งคำก็ถูกจี้สกัดจุดเสียก่อน พลันร่างถูกพลิกราวกับโดนแบกขึ้นบ่า นางขยับตัวและส่งเสียงไม่ได้“คุณหนู”เสียงหวีดร้องดังขึ้น ทำให้พวกโจรสบถหัวเสียออกมา เจ้าของเสียงแหลมที่หวีดร้องวิ่งเข้ามาทุบตีพัลวัน“จัดการให้นางเงียบสิ!”‘อย่านะ!’ จางฮุ่ยเหมยได้แต่ตะโกนในใจ นางฝืนเท่าไหร่ก็ไม่อาจขยับตัวหรือส่งเสียงได้เลย แต่สองหูกลับได้ยินชัดเจน“เอาข้าไปด้วย ฮือๆ ข้าติดตามคุณหนูตั้งแต่เด็ก จะอยู่หรือตายก็ขออยู่ข้างกายคุณหนู ฮือๆๆ” ชายในชุดดำมองหน้ากัน คำสั่งมีเพียงให้จับตัวจางฮุ่ยเหมย แต่ถ้าได้สาวใช้เป็นของแถมคงไม่เป็นไรกระมังเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นหายไปทันที จางฮุ่ยเหมยตกใจแทบสิ้นสติ เพราะมีถุงดำคลุมศีรษะอยู่นางจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางถูกแบกออกมาจากในห้องและครู่ต่อมาเหมือนถูกโยนใส่ในรถม้า“ระวังหน่อย ประเดี๋ยวสินค้าช้ำหมด”‘สินค้า! นี่นางถูกจับไปขายหรือ?’ นางได้แต่พยายามป
“อะ...อะไรนะ” คราวนี้เย่วซินอ้าปากค้าง หรือว่าที่ผ่านมาจางฮุ่ยเหมยคิดว่านางชอบเซียงเริ่นเจิน! ยังไม่ทันได้แก้ไขความเข้าใจผิดนี้ เยว่ซินรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ นางขยับตัวหมายใช้ร่างบังจางฮุ่ยเหมย ทว่าจางฮุ่ยเหมยกลับยื่นมือออกขวางปกป้องนางไว้ก่อน ดวงตากลมของเยว่ซินเบิกกว้าง ไม่คิดว่าสตรีอ่อนแออย่างจางฮุ่ยเหมยคิดปกป้องนางถึงเพียงนี้ ‘ว่าที่พี่สะใภ้ข้า ช่างจิตใจดีงามอะไรอย่างนี้นะ’ “นั้นนะรึที่มาใหม่” เสียงดุดันเอ่ยหลังก่อนที่จะพยักหน้าให้ลูกน้องไขกุญแจเปิดประตูกรงออก มันก้าวเข้ามาด้านใน แล้วโน้มเอวลงเพื่อจ้องหน้าหญิงสาวที่ใบหน้าซีดเผือดด้วยความกลัว “อย่าทำอะไรคุณหนูของข้านะ” เยว่ซินรีบเสือกตัวมาด้านหน้า จับแขนของชายผู้นั้นเขย่าแรงๆ “ห้ามทำอะไรคุณหนูของข้า” “ช่างเป็นบ่าวที่ภักดีเสียจริง” ชายในชุดดำหัวเราะเยาะแล้วสะบัดข้อมืออย่างรำคาญ แต่ทำให้ร่างเล็กกระเด็นออกมา จางฮุ่ยเหมยหวีดร้องอย่างตกใจผวาเข้าไปหมายช่วยประคองเยว่ซิน แต่กลับถูกกระชากไว้ก่อน “ปล่อยข้า!” จางฮุ่ยเหมยพูดเสียงสั่น “หากเจ
ฉู่ห่าวหรานยื่นมือรับโดยเร็ว เขาแปลกใจอยู่บ้าง หากมิใช่คนสำคัญคงไม่พามาให้เขารู้จักเป็นแน่ ทว่าเขาในเวลานี้ มิใช่คนมีอำนาจและไม่สามารถสนับสนุนผู้ใดได้อีกแล้ว เกรงว่าเขาคงไม่อาจช่วยอะไรอาจารย์มู่ได้ แม้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา แต่มู่หงเทียนกลับเข้าใจความคิดของฉู่ห่าวหรานได้อย่างดี เขาพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเอ่ยต่อ “ออกจาเมืองหลวงมาปีครึ่งแล้วกระมัง” เขาถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ “เจ้าไม่คิดอยากกลับไปหรือ?” “กลับไป?” ฉู่ห่าวหรานทวนคำที่ได้ยินแล้วเผลอหัวเราะข่มขืนออกมา “อาจารย์มู่ก็รู้สาเหตุที่ข้ามาอยู่ที่นี่” “พูดตามตรง ข้าเสียดายความรู้ความสามารถของเจ้า หากเจ้ากลับไปเมืองหลวง ทำงานรับใช้บ้านเมืองย่อมดีกว่าอยู่ชายแดนห่างไกลเช่นนี้” “แต่ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เป็นไปตามพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้” “แล้วถ้าเปลี่ยนฮ่องเต้เล่า เจ้าคิดอย่างไร” “อาจารย์มู่! เรื่องแบบนี้ไม่ควรทำมาพูดเล่น” “เจ้าก็เห็นด้วยตาตนเองแล้ว ความเป็นอยู่ของชาวบ้านเป็นเช่นไร หรือแม้แต่ตัวเจ้าเอง เป็นขุนนางซื่อสัตย์กลับได้รับผลตอบแ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป