ถึงอยากขยับตัว นางก็ทำไม่ได้! จางฮุ่ยเหมยได้แต่ร้องในอก พยายามตั้งสติไม่เป็นลมไปเสียก่อน ยังไม่ทันคิดหาทางออกได้ คมมีดเยียบเย็นขยับถอยห่างจากลำคอ และตามด้วยถุงผ้าสีดำคลุมศีรษะของนาง
“อ๊ะ!” นางส่งเสียงได้เพียงครึ่งคำก็ถูกจี้สกัดจุดเสียก่อน พลันร่างถูกพลิกราวกับโดนแบกขึ้นบ่า นางขยับตัวและส่งเสียงไม่ได้
“คุณหนู”
เสียงหวีดร้องดังขึ้น ทำให้พวกโจรสบถหัวเสียออกมา เจ้าของเสียงแหลมที่หวีดร้องวิ่งเข้ามาทุบตีพัลวัน
“จัดการให้นางเงียบสิ!”
‘อย่านะ!’ จางฮุ่ยเหมยได้แต่ตะโกนในใจ นางฝืนเท่าไหร่ก็ไม่อาจขยับตัวหรือส่งเสียงได้เลย แต่สองหูกลับได้ยินชัดเจน
“เอาข้าไปด้วย ฮือๆ ข้าติดตามคุณหนูตั้งแต่เด็ก จะอยู่หรือตายก็ขออยู่ข้างกายคุณหนู ฮือๆๆ”
ชายในชุดดำมองหน้ากัน คำสั่งมีเพียงให้จับตัวจางฮุ่ยเหมย แต่ถ้าได้สาวใช้เป็นของแถมคงไม่เป็นไรกระมัง
เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นหายไปทันที จางฮุ่ยเหมยตกใจแทบสิ้นสติ เพราะมีถุงดำคลุมศีรษะอยู่นางจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางถูกแบกออกมาจากในห้องและครู่ต่อมาเหมือนถูกโยนใส่ในรถม้า
“ระวังหน่อย ประเดี๋ยวสินค้าช้ำหมด”
‘สินค้า! นี่นางถูกจับไปขายหรือ?’
นางได้แต่พยายามปลอบใจตัวเอง ไม่ได้นะ! นางจะอ่อนแอไม่ได้เด็ดขาด!
….
จางฮุ่ยเหมยไม่รู้ว่าตนเองหมดสติไปเมื่อใด แต่เมื่อรู้สึกตัวก็อยู่ในห้องขังห้องหนึ่ง กับบรรดาหญิงสาวรุ่นราวคราวเดียวกันราวสิบคน
“พะ...พวกเจ้า...ถูกจับมาเหมือนกันรึ”
หญิงสาวเหล่านั้นไม่สนใจจางฮุ่ยเหมย บางคนท่าทางเหม่อลอย บางคนนั่งกอดเข่าด้วยท่าทีหวาดกลัว จางฮุ่ยเหมยกระถดตัวไปด้านหลังอย่างหวาดกลัว จนแผ่นหลังไปชิดกับผนังด้านใน ร่างบางสะดุ้งเฮือกพลันได้สติอีกครั้ง นางจึงกวาดตามองหาคนที่มาพร้อมนาง ทว่ามือเรียวเล็กยื่นมาสะกิดนางเสียก่อน หญิงสาวหันขวับไปมองแล้วเบิกตากว้าง
“เยว่ซิน!”
“ข้าเอง” เยว่ซินยกนิ้วขึ้นแตะริมฝีปากเป็นเชิงบอกให้นางเบาเสียงลง
“เจ้าบาดเจ็บหรือไม่ เจ้าสลับตัวกับเชี่ยวเมิ่น?” จางฮุ่ยเหมยยก
มือขึ้นลูบคลำเนื้อตัวของอีกฝ่าย นางจำเสียงของเหอเยว่ซินได้ แต่ตอนนั้น
นางถูกจี้สกัดจุดอยู่จึงไม่สามารถส่งเสียงได้
“ทำให้พี่สาวตกใจแล้ว” เยว่ซินยิ้มทะเล้น “ใต้เท้าเซียงอยากจับผู้บงการเบื้องหลัง จำใจให้พวกมันจับตัวพี่สาวมา พี่สาวอย่าโกรธพวกเขาเลยนะ”
“เป็นแผนของใต้เท้าเซียงเหรอ?”
“ใต้เท้าฉู่ด้วย” นางกลัวว่าพี่ชายจะถูกมองไม่ดีจึงโยนให้ฉู่ห่าวหรานไปช่วยรับความผิดนี้ด้วย
“ข้าไม่โกรธพวกเขาหรอก แค่ดีใจที่ตัวข้ามีประโยชน์อยู่บ้าง” จางฮุ่ยเหมยคลี่ยิ้มออกมาได้
“พี่สาวจิตใจดีเหลือเกิน ไม่ต้องกลัวนะ พวกเขาต้องมาช่วยเราอย่างแน่นอน”
เยว่ซินบีบมือให้กำลังใจ ทว่าสายตาของกวาดตามองไปโดยรอบ นางคลายจุดสกัดให้ตนเอง แต่ยังแสร้งทำเป็นหมดสติเพื่อให้พวกมันตายใจ เดิมทีคิดว่าแค่ช่วยจางฮุ่ยเหมยก็พอ แต่พี่ใหญ่กับใต้เท้าฉู่คิดว่าเรื่องนี้มีเบื้องหลังไม่ธรรมดา ซึ่งตรงกับที่มู่ยี่กล่าวไว้ การยอมให้จางฮุ่ยเหมยถูกจับนับว่าเป็นทางเลือกที่ดีที่สุดแล้ว ส่วนนางสลับตัวกับเชี่ยวเมิ่นมาได้หลายวันแล้ว แม้เชี่ยวเมิ่นไม่พอใจ แต่จำใจยอมทำตามคำสั่ง เพราะหากเชี่ยวเมิ่นมาด้วยจริง เกรงว่าจะเป็นภาระเสียมากกว่า
ตอนนี้นางก็ได้แต่หวังว่าพวกเขาสะกดรอยตามนางมาได้ทันเวลา เพราะก่อนที่พวกมันจะปิดห้องขัง นางได้ยินพวกนั้นคุยกันเรื่องส่งหญิง-
สาวทำยาอะไรสักอย่าง หวังว่าจะไม่ใช่อย่างที่นางเคยได้ยินมาหรอกนะ
เพราะความตื่นตระหนกและอ่อนล้าทำให้หญิงสาวผล็อยหลับไป จางฮุ่ยเหมยค่อยๆ ลืมตาขึ้นท่ามกลางความเยียบเย็น หญิงสาวได้สติรีบขยับตัวทันที
“พี่สาว” เยว่ซินลูบไหล่จางฮุ่ยเหมยเบาๆ “ไม่มีอะไร ท่านแค่หลับไป”
“ข้าหลับ?” จางฮุ่ยเหมยกวาดตามอง นางยังอยู่ในห้องขังมืดมิดกับสตรีท่าทางเหม่อลอยหลายคน พลันนางนึกได้จึงลูบเนื้อตัวของเยว่ซิน “ข้าไม่รู้ว่าตนเองหลับไป เจ้าเป็นอะไรหรือไม่ พวกนั้นทำอะไรเจ้าหรือเปล่า”
เยว่ซินส่ายหน้าไปมาแล้วยิ้ม “ข้าไม่เป็นอะไร พี่สาวก็คงอ่อนเพลียผสมกับวิตกกังวลจึงผล็อยหลับไป”
“แย่จริง ทำให้เจ้าลำบากแล้ว”
“ไม่ลำบากอะไรเลย” หญิงสาวในชุดสาวใช้ส่ายหน้าไปมา “พี่สาวหลับไปก็ดีแล้ว จะได้มีแรง”
จางฮุ่ยเหมยขยับกายนั่งตัวตรง แม้อยู่ในความมืดแต่ยังได้เห็นดวงตากระจ่างใสของเหอเยว่ซิน นางเชื่อสุดใจว่าเจ้าของดวงตาคู่นี้ไม่มีทางคิดร้ายกับนาง ไม่มีทางเป็นเช่นที่เชี่ยวเมิ่นพูดลับหลังให้คอยระวังเหอเยว่ซิน มือเรียวเล็กยกขึ้นแตะแก้มของอีกฝ่ายเบาๆ ด้วยท่าทางเอ็นดู
“หากข้ามีน้องสาวที่รักข้าเช่นเจ้าก็ดีสินะ”
“เอ๋? ข้าได้ยินว่าสกุลจางมีบุตรชายหญิงหลายคน แม้ต่างมารดากันก็ตาม แต่พวกท่านอยู่บ้านหลังใหญ่ด้วยกัน ไม่สนิทสนมกันหรือ?” เยว่ซินถามอย่างชวนคุยให้จางฮุ่ยเหมยผ่อนคลายลง
จางฮุ่ยเหมยส่ายหน้าไปมา “ไม่ขอปิดบัง ข้าเป็นบุตรสาวที่ถูกหมางเมิน ยิ่งสร้างชื่อเสียงอัปมงคลยิ่งทำให้ทุกคนรังเกียจ ข้าจึงต้องมาอยู่ในอำเภอเล็กๆ ไกลเมืองหลวงเช่นนี้” นางยิ้มน้อยๆ ที่มุมปาก “แต่เดิมข้าก็เคยโกรธเกลียดชิงชังทุกสิ่งที่ทำให้ข้าเป็นเช่นนี้ ทว่าเมื่อได้อยู่ที่นี่ แม้กันดารสักหน่อยแต่ก็เงียบสงบและสบายใจ อยู่ที่นี่ข้ามีความสุขมาก จริงสิ หากออกจากที่นี่ไปแล้ว ข้าจะให้ดูแปลงผักด้านหลังเรือนของข้า ข้าปลูกฟักทองด้วยนะ ผลใหญ่มาก เจ้าต้องชอบแน่”
“พี่ใหญ่ เอ๊ย! ใต้เท้าเซียงก็ชอบกินฟักทอง” เยว่ซินยิ้มกว้าง
จางฮุ่ยเหมยยิ้มเขินอาย “เจ้าก็ชอบใต้เท้าเซียงสินะ”
“ใต้เท้าเซียงเป็นคนดี มีใครไม่ชอบเขาบ้างเล่า”
‘ลองใครไม่ชอบพี่ชายข้าสิ! ข้าจะไปตะบันหน้าคนผู้นั้นเลย!’
“ข้าหมายถึงชอบในฐานะที่เขาเป็นบุรุษคนหนึ่ง” จางฮุ่ยเหมยเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงจริงใจ “เจ้าเคยถามว่าชอบเขาหรือไม่ แล้วเจ้าเล่า คิดอย่างไร หากเจ้าชอบเขา ข้าก็ยินดีหลีกทางให้”
“อะ...อะไรนะ” คราวนี้เย่วซินอ้าปากค้าง หรือว่าที่ผ่านมาจางฮุ่ยเหมยคิดว่านางชอบเซียงเริ่นเจิน! ยังไม่ทันได้แก้ไขความเข้าใจผิดนี้ เยว่ซินรับรู้ได้ว่ามีคนเข้ามาใกล้ นางขยับตัวหมายใช้ร่างบังจางฮุ่ยเหมย ทว่าจางฮุ่ยเหมยกลับยื่นมือออกขวางปกป้องนางไว้ก่อน ดวงตากลมของเยว่ซินเบิกกว้าง ไม่คิดว่าสตรีอ่อนแออย่างจางฮุ่ยเหมยคิดปกป้องนางถึงเพียงนี้ ‘ว่าที่พี่สะใภ้ข้า ช่างจิตใจดีงามอะไรอย่างนี้นะ’ “นั้นนะรึที่มาใหม่” เสียงดุดันเอ่ยหลังก่อนที่จะพยักหน้าให้ลูกน้องไขกุญแจเปิดประตูกรงออก มันก้าวเข้ามาด้านใน แล้วโน้มเอวลงเพื่อจ้องหน้าหญิงสาวที่ใบหน้าซีดเผือดด้วยความกลัว “อย่าทำอะไรคุณหนูของข้านะ” เยว่ซินรีบเสือกตัวมาด้านหน้า จับแขนของชายผู้นั้นเขย่าแรงๆ “ห้ามทำอะไรคุณหนูของข้า” “ช่างเป็นบ่าวที่ภักดีเสียจริง” ชายในชุดดำหัวเราะเยาะแล้วสะบัดข้อมืออย่างรำคาญ แต่ทำให้ร่างเล็กกระเด็นออกมา จางฮุ่ยเหมยหวีดร้องอย่างตกใจผวาเข้าไปหมายช่วยประคองเยว่ซิน แต่กลับถูกกระชากไว้ก่อน “ปล่อยข้า!” จางฮุ่ยเหมยพูดเสียงสั่น “หากเจ
ฉู่ห่าวหรานยื่นมือรับโดยเร็ว เขาแปลกใจอยู่บ้าง หากมิใช่คนสำคัญคงไม่พามาให้เขารู้จักเป็นแน่ ทว่าเขาในเวลานี้ มิใช่คนมีอำนาจและไม่สามารถสนับสนุนผู้ใดได้อีกแล้ว เกรงว่าเขาคงไม่อาจช่วยอะไรอาจารย์มู่ได้ แม้ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดออกมา แต่มู่หงเทียนกลับเข้าใจความคิดของฉู่ห่าวหรานได้อย่างดี เขาพยักหน้าอย่างพอใจแล้วเอ่ยต่อ “ออกจาเมืองหลวงมาปีครึ่งแล้วกระมัง” เขาถามอย่างไม่ต้องการคำตอบ “เจ้าไม่คิดอยากกลับไปหรือ?” “กลับไป?” ฉู่ห่าวหรานทวนคำที่ได้ยินแล้วเผลอหัวเราะข่มขืนออกมา “อาจารย์มู่ก็รู้สาเหตุที่ข้ามาอยู่ที่นี่” “พูดตามตรง ข้าเสียดายความรู้ความสามารถของเจ้า หากเจ้ากลับไปเมืองหลวง ทำงานรับใช้บ้านเมืองย่อมดีกว่าอยู่ชายแดนห่างไกลเช่นนี้” “แต่ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เป็นไปตามพระประสงค์ขององค์ฮ่องเต้” “แล้วถ้าเปลี่ยนฮ่องเต้เล่า เจ้าคิดอย่างไร” “อาจารย์มู่! เรื่องแบบนี้ไม่ควรทำมาพูดเล่น” “เจ้าก็เห็นด้วยตาตนเองแล้ว ความเป็นอยู่ของชาวบ้านเป็นเช่นไร หรือแม้แต่ตัวเจ้าเอง เป็นขุนนางซื่อสัตย์กลับได้รับผลตอบแ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป