“เจ้าอย่าพูดเสียงดังไป อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ประทานให้ท่านราชครูฉู่ แม้เป็นหญิงคณิกาแต่ก็ขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง เราไม่ควรดูแคลนนางได้”
“คุณหนูก็เป็นถึงบุตรสาวเสนาบดีจาง มิได้น้อยหน้าผู้ใดนะเจ้าค่ะ”
“แม้ข้าเป็นบุตรสาวภรรยาเอก แต่ชื่อเสียงเหม็นเน่าเช่นนี้ บางที...หญิงคณิกายังดีกว่าข้าเสียอีก”
“คุณหนูอย่าคิดเช่นนั้นสิเจ้าคะ”
“ทำไมเล่า ข้าแค่ทำใจได้ยอมรับความเป็นจริงต่างหาก บุรุษแสนดีอย่างใต้เท้าเซียงหากมีใจให้หญิงงามและเพียบพร้อมกว่าข้า...ข้าควรยินดีให้เขาถึงจะถูก”
“คุณหนู”
เชี่ยวเมิ่นได้แต่ร้องขึ้นอย่างอ่อนใจ เหตุใดคุณหนูของนางไม่ลุกขึ้นสู้เช่นสตรีอื่นบ้างนะ คืนนี้มีเพียงแสงดาว ทำให้ผู้ที่เร้นกายอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ไม่ถูกผู้ใดพบเห็น แต่จะว่าไป นี่เป็นเรือนของบุตรสาวเสนาบดีจางมิใช่หรือ? เหตุใดไม่มีคนเฝ้าดูแลแม้แต่คนเดียว ซ้ำเรือนหลังนี้สภาพดีกว่าคฤหาสน์ของฉู่ห่าวหรานเล็กน้อยเท่านั้น เรือนคนรับใช้บ้านเศรษฐียังจะดีกว่ากระมัง
เยว่ซินได้ยินบทสนทนาของสตรีทั้งสอง ยิ่งทำให้ประหลาดใจ นางเคยพบเจอแต่คุณหนูร้ายกาจไม่น่าเข้าใกล้มาไม่น้อย มองผิวเผินนางเป็นสตรีที่ไม่พิษภัย ท่าทางเรียบร้อยน่าทะนุถนอมมากกว่านางเป็นร้อยเป็นพันเท่า หากพี่ใหญ่ของนางชื่นชอบสตรีเช่นนี้ก็ไม่แปลกอันใด ท่าทางนางรักใคร่ชอบพอพี่ชายนางไม่น้อย
นางเคยได้ยินชาวบ้านพูดถึง ‘จางฮุ่ยเหมย’ มาบ้าง แม้ว่านางไม่สนใจเรื่องดวงชะตาอาภัพอะไรนั้น แต่อดเป็นกังวลไม่ได้ ตระกูลเซียงตอนนี้เหลือพี่ชายนางเป็นผู้สืบทอดสกุลเพียงผู้เดียว หากเป็นอะไรไป นางจะพบบิดามารดาและพี่รองที่ปรโลกได้อย่างไรเล่า
เจอกันเพียงครู่เดียวจะตัดสินว่าเป็นเช่นไรคงไม่ดีแน่ นางนี่ก็กระไรนะ ใจร้อนเกินไปแล้ว
เยว่ซินเขกหัวตนเองเป็นการลงโทษหนึ่งที แต่ไม่แรงนัก แน่ละ นางจะทำตัวเองให้เจ็บทำไมกัน นางเลื่อนมือมาแตะหยกที่คล้องคอติดตัวตลอดเวลา อีกไม่ช้าไม่นาน ต้องส่งมอบให้เจ้าของที่แท้จริง นางคิดใช้ความมืดเร้นกายเพื่อกลับโรงเตี้ยม ให้ใต้เท้าฉู่ออกหน้าให้ อาจจะดีกว่าให้นางเอาบันทึกไปคืนด้วยตนเอง
ทว่าหางตากลับรับรู้การเคลื่อนไหวและกลิ่นไออันตราย ประสาทสัมผัสทั้งห้าตื่นตัว นางชะงักแล้วซ่อนกายในเงามืด สายลมวูบหนึ่งพัดผ่าน โคมไฟดับทันที ฉับพลันมีชายชุดดำสี่คนกระโจนลงมายืนขวางหน้าจางฮุ่ยเหมยและสาวใช้
“กรี๊ด!”
“พวกเจ้าเป็นใคร!”
แม้จางฮุ่ยเหมยหลบด้านหลังเชี่ยวเมิ่นแต่ยังฝืนทำใจกล้าถามออกไปด้วยเสียงสั่น ชายชุดดดำคนหนึ่งชักกระบี่ออกมาแทนคำตอบ เชี่ยวเมินอ้าปากจะกรีดร้องอีกรอบแต่อีกฝ่ายกลับรวดเร็วกว่าใช้ด้ามกระบี่ทุบที่ท้ายท้อยของนางจนหมดสติล้มลงไป
“เชี่ยวเมิ่น” จางฮุ่ยเหมยร้องอย่างตกใจ นางกำลังย่อตัวลงเพื่อประคองสาวใช้คนสนิท ทว่าปลายกระบี่คบวาวนั้นชี้มาทางนางทำให้ร่างแข็งทื่อไม่กล้าขยับตัว
“ถ้าไม่อยากตายก็อย่าส่งเสียงดัง แล้วติดตามพวกเราไปเสียดีๆ”
“พะ..พวกเจ้า...จับคนผิดแล้ว ข้า..ข้าไม่มีทรัพย์สินอะไรเลยนะ”
“เจ้าคือจางฮุ่ยเหมยสินะ” ชายชุดดำเอ่ยแล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้แล้วกวาดตามองทั่วร่าง แม้นางไม่ได้เอ่ยตอบได้แต่กัดริมฝีปากแน่น แต่คนกลุ่มนี้มั่นใจว่าหญิงผู้นี้คือพวกมันที่ต้องการตัว
เยว่ซินเห็นท่าไม่ดี นางดึงผ้ามาปิดครึ่งใบหน้าแล้วกระโจนลงมายืนเบื้องหน้าชายชุดดำทั้งสี่
“พวกเจ้าเป็นใคร เหตุใดหมายทำร้ายแม่นางจาง” เยว่ซินถามด้วยน้ำเสียงไม่จริงจังนัก ทว่าแววตาจ้องมองอีกฝ่ายเขม็ง
“กระบี่ไร้ตาอย่าแส่ไม่เข้าเรื่อง”
“ข้าว่าง ชอบยุ่งเรื่องชาวบ้าน” เพราะมีผ้าปิดครึ่งใบหน้าจึงไม่เห็นว่านางคลี่ยิ้มอยู่ อีกฝ่ายทำน้ำเสียงไม่พอใจ ต่างชักกระบี่พุ่งเข้าใส่ เยว่ซินหมุนตัวหลบหลีกใช้เพลงมัดมวยปะทะคู่ต่อสู้ นางไม่ชอบพกอาวุธแม้แต่กระบี่อ่อนก็ไม่มี หากสู้ด้วยพละกำลัง นางย่อมเสียเปรียบ แต่อาศัยการเคลื่อนไหวรวดเร็วและพลิ้วไหวหลบหลีกและโจมตีจุดอ่อน ทว่ากระบี่ของคู่ต่อสู้พุ่งเข้าใส่ แม้หมุนตัวหลบแต่คบกระบี่ถากเข้าต้นแขนจนเลือดสีเข้มกระเซ็นเปื้อนใบหน้าของจางฮุยเหมย
“กรี๊ดดดด”
“บัดซบ!” เยว่ซินสบถหัวเสียกลบเกลือนความเจ็บปวดที่ได้รับ ยกมือขึ้นกุมบาดแผล พลางคิดหาทางจัดการคนกลุ่มนี้ เห็นทีจะดูแคลนคิดว่าเป็นโจรกระจอกไม่ได้แล้ว
ว่าแต่นางก็เป็นโจรเหมือนกันนี่ แต่นางเป็นโจรมีคุณธรรมอยู่นะ
“เยว่ซิน!”
กระบี่คมวาววาดแหวกอากาศ บุรุษผู้หนึ่งพุ่งเข้ามาปะมือกับเหล่าชายชุดดำทั้งสี่ แม้ใช้เพียงกระบี่อ่อนแต่ฝีมือไม่อ่อนด้อย สามารถต่อกรกับคนทั้งสี่ได้อย่างง่ายดาย เยว่ซินเบิกตากว้างแล้วร้องอย่าลืมตัว
“ยอดเลย!”
ชายชุดดำทั้งสี่เห็นท่าไม่ดี ส่งสัญญาให้กัน เยว่าซินรู้ทันทีว่าคนกลุ่มนั้นจะหลบหนี นางวิ่งตามทันทีก่อนที่พวกมันจะโดดข้ามรั้วไป
“อย่าตาม!”
ทว่าหญิงสาวยังวิ่งตามแต่หยิบถุงใบย่อมออกสาดผงสีขาวใส่คนเหล่านั้น นางได้ยินเสียงคล้ายคนหล่นจากริมรั้วก็ยิ้มกริ่มไม่ได้ตามไปอีก นางเดินกลับพร้อมรอยยิ้ม แต่ก็ต้องสะดุ้งโหยงเมื่อเจอสายตาดุๆ ของพ่อบ้านหันซู
“ท่านพ่อบ้านก็มีฝีมือไม่น้อยเลย”
“เจ้าบาดเจ็บ รีบห้ามเลือดก่อน” หันซูอยากจะโวยวายด่าทอแต่เพราะเห็นว่าเสื้อของนางชุ่มเลือดจึงระงับอารมณ์ไว้ เขาหยิบขวดยาห้ามเลือดส่งให้นาง
“แผลเล็กน้อย ข้าสกัดจุดห้ามเลือดแล้ว” นางพูดแต่กระนั้นก็รู้ว่าตนเองประมาทเกินไปจึงได้เป็นเช่นนี้ นางหันมาทางจางฮุ่ยเหมยที่นั่งตัวสั่น
“แม่นางจาง ปลอดภัยแล้ว” เยว่ซินนั่งลงแล้วปลดผ้าปิดครึ่งใบหน้าออกแล้วคลี่ยิ้ม “ท่านบาดเจ็บหรือไม่”
จางฮุ่ยเหมยอ้าปากแต่พูดอะไรไม่ออก พลันรู้สึกโลกมืดไปทันที
“อ้าว! แม่นางจาง...” เยว่าซินยื่นมือไปประคองร่างที่โงนเงนหมดสติไว้ได้ทัน “อะไรกัน เห็นหน้าข้าเลยเป็นลมไปงั้นรึ”
หันซูกลอกตามองบน แรกทีเดียวคิดว่าจะรอดูฝีมือของเยว่ซินว่าเก่งกาจเพียงใด คนแบบไหนที่มู่ยี่อยากให้สืบทอดตำแหน่งประมุขพรรคแมงป่องแดง ไม่คิดว่านางจะถูกคนกลุ่มนั้นทำร้ายได้ง่ายดายเพียงนี้
สรุปแล้วนางมีวรยุทธ์ระดับไหนกันแน่ หรือนางรู้ว่าเขาติดตามมาจึงไม่แสดงฝีมือ แต่ขนาดยอมให้ตนเองเจ็บตัวเลยหรือ? หรือเป็นเพียงข่าวลือให้คนไขว่เขว่กันเท่านั้น.ทันทีที่รู้ข่าว เซียงเริ่นเจินรีบมาเรือนของสกุลจาง เมื่อเข้ามาถึงก็พบฉู่ห่าวหรานและพ่อบ้านหันซู เขาประสานมือคารวะและเอ่ยถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หันซูจึงเล่าคราวๆ แต่เล่าความจริงไม่หมด เพียงแค่บอกว่าบังเอิญผ่านไป เซียงเริ่นเจินประหลาดใจกับ ‘บังเอิญผ่านไป’ ซึ่งเป็นความบังเอิญอย่างพอเหมาะเกินไป เวลาดึกดื่นถึงเพียงนั้นและเรือนของแม่นางจางไม่ได้อยู่ถนนเส้นหลัก แต่กระนั้นเขาก็ไม่ได้ซักถาม “ใต้เท้าเซียง” เชี่ยวเมิ่นเดินออกมาจากห้องด้านในพร้อมอ่างน้ำที่มีคราบเลือด ทำให้เซียงเริ่นเจินใบหน้าซีดลงไปทันที “แม่นางจาง...” “คุณหนูแค่เป็นลม แต่ว่าแม่นางเหอได้รับบาดเจ็บ ตอนนี้ท่านหมอทำแผลให้แล้วเจ้าค่ะ” ภาพหญิงสาวท่าทางปราดเปรียวนามเหอเยว่ซินปรากฎขึ้นในหัว เซียงเริ่นเจินรู้สึกเป็นกังวลอย่างไร้เหตุผล ทั้งที่พบนางเพียงครู่เดียวเท่านั้น แต่เขารู้สึกราวกับคุ้นเคยกับนางมาก “เยว่ซินเป็นอย่างไร
“เช่นนั้นคงต้องรบกวนใต้เท้าเซียงแล้ว” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยตอบ “ไม่รบกวน ไม่รบกวน” เซียงเริ่นเจินรีบพูดขึ้น “ข้าเองมีเรื่องอยากปรึกษาราชครูเช่นกัน” ฉู่ห่าวหรานพยักหน้ารับแล้วหันไปสั่งหันซู “ เจ้ากับเยว่ซินกลับไปเก็บของที่โรงเตี้ยมแล้วค่อยตามไปที่จวนนายอำเภอ” “ขอรับ” เยว่ซินอ้าปากจะบอกว่านางไม่มีสัมภาระอะไรให้เก็บ แต่เห็นสายตาของฉู่ห่าวหรานแล้ว ทำให้นางหุบปากได้ทันที ‘คนอะไร ออกคำสั่งด้วยสายตาก็ได้’ นางได้แต่พึมพำแล้วเดินตามหลังหันซู “ประเดี๋ยวก่อน” ฉู่ห่าวหรานเรียกเยว่ซินไว้ หญิงสาวรีบหมุนตัวกลับมาด้วยรอยยิ้มกว้าง ท่าทางเหมือนลูกสุนัขของนางทำให้เขาได้ลอบถอนหายใจแล้วพยักหน้าเป็นเชิงเรียกให้นางไปใกล้ๆ นางโน้มหน้าลงใกล้ริมฝีปากเขาเพราะคิดว่าเขามีเรื่องสำคัญจะพูด “บาดแผลของเจ้าไม่เป็นอะไรแน่นะ” “อื้ม” นางพยักหน้ารับ “คราวหน้าคราวหลังอย่าทำเช่นนี้อีก อาวุธอาจมีพิษ” “ข้าดูแล้วว่าพวกเขาไม่ใช่พิษ” รู้สึกแปลกๆ ที่ลมหายใจร้อนๆของเขาประทะใบหูของนางจนอดยกมือขึ้นแตะใบหูไม่ได้
นางรับคำแล้วมองร่างเพรียวบางกระโจนหายไปนอกหน้าต่าง หญิงสาวกัดริมฝีปากครุ่นคิดอย่างลืมตัว แม่บุญธรรมเดินทางออกจากหุบเขาแมงป่องเช่นนี้ ทุกอย่างคงมีการเคลื่อนไหวแล้ว เดิมทีนางไม่คิดว่าตนเองต้องอยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น ทว่าพรรคแมงป่องแดงเองก็มีบุญคุณกับนาง เลี้ยงดูสั่งสอนและฝึกฝนให้นางเป็นเช่นทุกวันนี้นางเดินมาทิ้งตัวลงบนเตียง ฟูกนอนไม่นุ่มเหมือนที่หม่าเจียนอี้จัดไว้ให้นาง แต่นางก็ชินกับสภาพเตียงแข็งที่นอนไม่อุ่นมาหลายปีแล้ว มือเรียวยกขึ้นแตะหยกประจำตระกูล พี่ใหญ่มีนางในดวงใจแล้ว นางยิ่งต้องรีบมอบสิ่งนี้ส่งถึงมือของพี่ใหญ่ หยกชิ้นนี้เป็นสมบัติที่บิดามารดาฝากฝังไว้ให้ก่อนตายจากแค่เอาหยกชิ้นนี้ส่งให้พี่ชายตนเอง ทำไมรู้สึกยากเย็นอย่างนี้นะ มันไม่เหมือนที่นางเคยจิตนาการไว้เลย“แม่นางเยว่ซิน”เสียงหันซูเรียกจากด้านนอก เยว่ซินขานรับไปคำหนึ่งก่อนดีดตัวลุกขึ้นเก็บสัมภาระของตนเองแล้วเดินออกมาด้วยใบหน้าระบายยิ้ม“นี่เจ้าดูดีใจที่ได้พบหน้าใต้เท้าเซียงเสียจริงนะ” หันซูอดเหน็บแนมไม่ได้ เฮ้อ! เขากลายเป็นคนเช่นนี้ก็เพราะนางนี่แหละ“ก็ใต้เท้าเป็นคนดี ข้าได้พบคนดีๆ ก็ดีใจสิ” นางกระสับห่
“ท่านคงรู้ว่านางเป็นคนที่ฮ่องเต้ประทานให้ข้า...”“ข้าทราบดี” เขารีบพูดขึ้น“นางเป็นคณิกา...”“หากนางเป็นน้องสาวข้าจริง ข้าก็ไม่รังเกียจนาง ขอให้นางไม่รังเกียจพี่ชายที่ทอดทิ้งนางให้ต้องตกระกำลำบากก็พอ”ฉู่ห่าวหรานพยักหน้ารับ “เรื่องนี้ข้าให้คำตอบไม่ได้ เห็นทีว่าท่านคงต้องถามนางด้วยตนเอง”เซียงเริ่นเจินได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง เขารู้ว่าไม่มีหวัง แต่นางช่างคล้ายน้องสาวของเขาเหลือเกิน หากไม่ได้ถามออกไป คงรบกวนจิตใจไม่หยุดหย่อน. ทันที่มือเรียวผลักบานประตูห้องเปิดออก ร่างของหญิงสาวก็ชะงักไปพร้อมกับกระตุกรอยยิ้มขึ้นทันที ชายหนุ่มเจ้าของรอยยิ้มอ่อนโยนแต่ดวงตาคมปลาบคู่นี้ดักรอที่หน้าห้องอยู่นานแล้ว “ใต้เท้าฉู่” เยว่ซินทักทายชายบนรถเข็นแล้วหันไปทางพ่อบ้านอย่างขอความช่วยเหลือ แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันรับคำทักทายใด หันซูเพียงผงกศีรษะให้เล็กน้อยแล้วเดินจากไป หญิงสาวได้แต่อ้าปากค้าง “ข้าคงเอาใบหน้าอัปลักษณ์นี้มารบกวนสายตาของเจ้าแต่เช้าสินะ” “ข้าไม่เคยคิดอะไรเช่นนั้น” นางย่นจมูกใส่ แต่ก่อนนางคิดว่าเขาเป็นคนพูดน้อย ประเดี๋ยวนี้เขาพูดเก่งกว่าแต่เดิม ที่เพิ่
เยว่ซินเงยหน้าขึ้นสบตากับชายหนุ่มที่ใช้ชีวิตร่วมกันมากว่าสองเดือน นางใกล้ชิดเขาด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือช่วยให้เหอเยว่ซินตัวจริงได้ใช้ชีวิตกับคนรัก สองคนทำตามที่พ่อบุญธรรมสั่งเป็นการแทนคุณที่ดูแลนาง ดวงตากลมเบิกกว้างเมื่อเห็นว่าฉู่ห่าวหรานโน้มตัวเข้ามาใกล้ ยื่นปลายนิ้วแตะที่แก้มเบาๆ ไม่ใช่... เขาไม่ได้แตะแก้มของนาง เขากำลังเช็ดน้ำตาให้ต่างหาก “อ๊ะ!” นางผงะไปทันทีแล้วรีบยกหลังมือขึ้นปาดใต้ดวงตา ‘น้ำตา’ นานแค่ไหนแล้วที่ไม่ได้ร้องไห้ ยิ่งผ่านวันเวลาเลวร้ายมากเท่าไหร่ น้ำตาก็เหือดแห้งลงไปทุกที เมื่อวานนางบาดเจ็บยังไร้น้ำตาสักหยด แต่เวลานี้ นางกลับหลั่งน้ำตาอย่างไม่รู้ตัว “อย่ากลัว เจ้าแค่ร้องไห้” “ข้า...ข้า...” “แค่น้ำตาเท่านั้น” เขายิ้มและยังคงพูดอย่างอ่อนโยน “การร้องไห้ไม่ได้หมายความว่าเจ้าอ่อนแอ เจ้าแค่เป็นคนๆ หนึ่งเท่านั้น” เยว่ซินสบตากับฉู่ห่าวหราน หลายปีที่ผ่านมา มีเพียงคำสั่งเสียของบิดามารดาแล้วที่เหนี่ยวรั้งให้นางอดทนกับทุกสิ่งที่เผชิญ ยิ่งทุกข์ใจมากเท่าไร นางจะยิ้มให้กว้างมากที่สุด
“ใช่” เยว่ซินพยักหน้าหงึกหงัก “ไม่รู้จะถูกปากพี่ เอ๊ย! ใต้เท้าเซียงหรือไม่ นี่ซุปเห็ดเยื่อไผ่บำรุงหัวใจ นี่ไก่ผัดขิง และปลานึ่งซีอิ้ว”เซียงเริ่นเจินชะงักไปเล็กน้อย อาหารเหล่านี้เป็นของโปรดที่มารดาทำให้ในวันเกิดของเขา“คุณหนูจางมากินข้าวด้วยกันเถิด”จางฮุ่ยเหมยรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นส่วนเกิน แม้ใบหน้าแย้มยิ้มแต่ดูหมองเศร้า ฝืนกล้ำกลืนความปวดร้าวในอกจากนั้นหันไปพูดกับเชี่ยวเมิ่น“ข้ามาเยี่ยมแม่นางเห่อและนำขนมและผลไม้มาขอบคุณที่เจ้าช่วยชีวิตข้าไว้” นางไม่มีทรัพย์สมบัติใดจะตอบแทน มีเพียงแค่ขนมกับสาลี่ที่เด็ดจากด้านหลังของเรือนเท่านั้น“เรื่องเล็กน้อย ข้าเองก็ไม่ได้เป็นอะไรมาก” เยว่ซินรีบพูดยื่นมือไปรับกล่องขนมแล้วเปิดดู ดวงตากลมโตเบิกกว้างราวกับเด็กน้อย “ขนมดอกกุ้ย ของโปรดของข้าเลยนะ น่ากินจริง มาๆ เชิญนั่งๆ ข้าทำอาหารไว้เยอะ กินอิ่มแน่นอน”‘ขนมดอกกุ้ย ของโปรดของข้าเลยนะ’ได้ยินเพียงประโยคนี้ หัวใจเซียงเริ่นเต้นไม่เป็นจังหวะ นางช่างคล้าย... ไม่สิ นางเหมือนน้องเล็กของเขามากจริงๆเยว่ซินวางกล่องขนมแล้วจูงมือจางฮุ่ยเหมยมาใกล้กับเซียงเริ่นเจิน ส่วนนางนั่งข้างฉู่ห่าวหราน นางมองดูพี่ใหญ่และว่
เยว่ซินเห็นว่ารอยยิ้มของว่าที่พี่สะใภ้แล้วก็หันไปรับของจากเด็กรับใช้ที่เดินตามนางมาด้วย นางพูดเสียงเบาฝากคำสั่งลับไปถึงเถ้าแก่หม่า นางยืนมองเด็กรับใช้หมุนตัวออกไปแล้วจึงก้าวเข้ามาข้างใน “เกรงว่าจะมารบกวนจึงให้เอาของใช้ส่วนตัวมาด้วย” เยว่ซินยิ้มแล้วหอบข้าวของเข้ามาวางไว้บนโต๊ะ “พี่สาวไม่ต้องกลัวนะ ข้าจะดูแลท่านเอง” นางตบหน้าอกตัวเองอย่างแข็งขัน ทำให้จางฮุ่ยเหมยหัวเราะออกมา “ได้อย่างไรกัน ข้าเป็นพี่สาวก็ต้องดูแลเจ้าสิ” จางฮุ่ยเหมยจับมือเยว่ซิน พลันประหลาดใจที่มือของนางค่อนข้างหยาบกระด้างอยู่บ้าง แต่เยว่ซินไม่คิดเป็นอื่น นางเข้าใจสายตาของจางฮุ่ยเหมยจึงพูดขึ้นเหมือนเรื่องธรรมดา “ข้าฝึกวรยุทธ์มาบ้าง มือจึงหยาบกระด้างเช่นนี้” “เอ๋? เป็นคณิกาต้องฝึกวรยุทธ์ด้วยหรือ?” เชี่ยวเมิ่นถามอย่างสงสัย “อ้อ! อื้ม!” เยว่ซินยิ้มทะเล้นแล้วพยักหน้าหงึกหงัก “แน่นอน เพราะเราไม่รู้ว่าต้องเจอลูกค้าแบบไหนอย่างไรเล่า” “เสียมารยาทจริงเชี่ยวเมิ่น” จางฮุ่ยเหมยดุหญิงรับใช้ข้างกาย “ไม่ใช่เรื่องสำคัญอันใด”
ถึงอยากขยับตัว นางก็ทำไม่ได้! จางฮุ่ยเหมยได้แต่ร้องในอก พยายามตั้งสติไม่เป็นลมไปเสียก่อน ยังไม่ทันคิดหาทางออกได้ คมมีดเยียบเย็นขยับถอยห่างจากลำคอ และตามด้วยถุงผ้าสีดำคลุมศีรษะของนาง“อ๊ะ!” นางส่งเสียงได้เพียงครึ่งคำก็ถูกจี้สกัดจุดเสียก่อน พลันร่างถูกพลิกราวกับโดนแบกขึ้นบ่า นางขยับตัวและส่งเสียงไม่ได้“คุณหนู”เสียงหวีดร้องดังขึ้น ทำให้พวกโจรสบถหัวเสียออกมา เจ้าของเสียงแหลมที่หวีดร้องวิ่งเข้ามาทุบตีพัลวัน“จัดการให้นางเงียบสิ!”‘อย่านะ!’ จางฮุ่ยเหมยได้แต่ตะโกนในใจ นางฝืนเท่าไหร่ก็ไม่อาจขยับตัวหรือส่งเสียงได้เลย แต่สองหูกลับได้ยินชัดเจน“เอาข้าไปด้วย ฮือๆ ข้าติดตามคุณหนูตั้งแต่เด็ก จะอยู่หรือตายก็ขออยู่ข้างกายคุณหนู ฮือๆๆ” ชายในชุดดำมองหน้ากัน คำสั่งมีเพียงให้จับตัวจางฮุ่ยเหมย แต่ถ้าได้สาวใช้เป็นของแถมคงไม่เป็นไรกระมังเสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นหายไปทันที จางฮุ่ยเหมยตกใจแทบสิ้นสติ เพราะมีถุงดำคลุมศีรษะอยู่นางจึงไม่รู้ว่าเกิดเรื่องใดขึ้น นางถูกแบกออกมาจากในห้องและครู่ต่อมาเหมือนถูกโยนใส่ในรถม้า“ระวังหน่อย ประเดี๋ยวสินค้าช้ำหมด”‘สินค้า! นี่นางถูกจับไปขายหรือ?’ นางได้แต่พยายามป
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป