“ข้าไม่ใช่คุณหนู ไม่ต้องดูแลถึงเพียงนี้” นางเอ่ยทั้งที่รับถ้วยน้ำชาจากอีกฝ่าย
“แต่คุณหนูก็เป็นคนที่ประมุขหมายตาให้สืบทอดตำแหน่ง”
นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “ข้าเป็นโจรก็จริง แต่ไม่คิดอาจเอื้อมเป็นประมุขพรรคแมงป่องแดง”
เรื่องในยุทธภพไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายอธรรมหรือฝ่ายธรรมะอะไรนั่น ล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น นางแค่อยากมีชีวิตสงบสุขไปวันๆ ทว่ามู่ยี่-แม่บุญธรรมดีกับนางมาก เป็นคนสั่งสอนฝึกวรยุทธ์ให้นางด้วยตนเอง ส่วนมู่หง-เทียนสอนเรียนเขียนอ่าน บิดาของนางเคยเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาก็จริง แต่การสอนสั่งของทั้งสองต่างกันมาก มู่หงเทียนไม่เข้มงวดกวดขัน แต่มักหาเรื่องมาหลอกล่อให้นางสนใจใคร่รู้ เป็นนางที่เอ่ยปากขอร้องเขาเอง
นับตั้งแต่นางอยู่ในหุบเขาแมงป่องแดงนั้น ได้พบผู้คนมากมาย ทั้งนักเลงอันธพาล ขุนนาง พ่อค้า ชาวบ้าน และคนที่เป็นกำพร้าเหมือนกัน นางได้รับความสนใจจากมู่ยี่และมู่หงเทียนมากจนทั้งสองรับนางเป็นลูกบุญธรรม แม้เป็นเรื่องดีสำหรับนาง แต่ก็เป็นเหตุผลให้ผู้อื่นเกลียดนางเช่นกัน แต่นางไม่ได้ใส่ใจนัก เมื่อถึงเวลาต้องจากไปอยู่ดี แต่ทั้งสองมีบุญคุณกับนางมากเช่นกัน ก่อนจากไป นางจึงทำงานตามคำสั่งของทั้งสอง
โรงรับจำนำเจิ้งจิงเป็นหนึ่งในสาขาของพรรคแมงป่องแดง นอกจากจะรับจำนำสิ่งของต่างๆ ยังมีการค้าขายข่าวสารอีกด้วย
“ท่านคงรู้แล้วว่าข้าไม่ได้มาที่นี่ในฐานะคนในพรรคแมงป่องแดง” นางเข้าเรื่องทันทีที่ดื่มน้ำชาหมดถ้วย
“ได้ยินว่าคุณหนูดูแลคนผู้หนึ่งตามคำสั่งของอาจารย์มู่” หม่าเจียนอี้เอ่ยด้วยยิ้ม “ประมุขสั่งการไว้ว่าหากคุณหนูต้องการความช่วยเหลือใด ไม่ว่าจะเป็นคนหรือเงินทอง ล้วนสามารถทำตามคำสั่งของคุณหนูได้ทันทีโดยไม่ต้องรายการก่อน”
“พวกเขาเป็นห่วงข้าหรือห่วงคนผู้นั้นกันนะ” นางเบ้ปากท่าทางเหมือนเด็กน้อย ทำเอาหม่าเจียนอี้อดหัวเราะไม่ได้ “ช่างเถอะ คิดว่าคงต้องรบกวนให้เถ้าแก่เตรียมข้าวสาร แป้งสาลี่และเกลือให้ข้านำกลับไปด้วย อ้อ! ข้าอยากได้ธนูดีๆ ท่านเลือกมาให้ข้าเลยนะ อ้อ! ข้าอยากขอยืมเมล็ดพันธุ์สำหรับการเพาะปลูก”
“ขอรับ”
เยว่ซินเลิกคิ้วแล้วยื่นหน้าไปใกล้ “เจ้าไม่ถามหรือว่าเขาจะเอาไปทำอะไร”
“หน้าที่ของข้าคือทำตามที่คุณหนูสั่งขอรับ”
เยว่ซินเบ้ปากใส่ “เอาเถอะๆ เมล็ดพันธุ์นั้นข้าขอยืม เจ้าลงบัญชีไว้ได้เลย”
‘เมื่อเพาะปลูกได้ผลผลิตอย่างที่ตั้งใจค่อยนำมาคืนก็แล้วกัน’
“ข้าอยากเห็นบันทึกการเพาะปลูก จะหาได้จากที่ใด” นางถามพลางเคาะปลายนิ้วกับโต๊ะ
“น่าจะอยู่ที่จวนนายอำเภอนะขอรับ” หม่าเจียนอี้พึมพำก่อนเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย “มีแผนที่ซ่อนสมบัติหรือขอรับ”
“เรียกว่าสมบัติก็น่าจะได้อยู่นะ” นางหัวเราะออกมา
“เช่นนั้นข้าจะส่งคนไป...”
“ไม่ต้องๆ” เย่วซินรีบพูดขึ้น “เรื่องเล็กน้อยแค่นี้ ข้าไปเอง”
หม่าเจียนอี้เหมือนจะพูดอะไรแล้วก็เปลี่ยนใจเป็นพยักหน้ารับ
เย่วซินคิดจะถามข่าวคราวของ ‘เหอเย่วซิน’ แต่คิดว่าการถามข่าวนั้นจะยิ่งเป็นการเปิดโปงที่อยู่ของเหอเย่วซิน นางจึงเปลี่ยนใจ
“เถ้าแก่หม่ามีอะไรก็ไปทำเถิด ข้าเองก็มีเรื่องที่ต้องทำเช่นกัน”
“ขอรับ คุณหนู”
เย่วซินคล้ายได้ยินน้ำเสียงหยอกล้อ นางหัวเราะแล้วโบกมือไล่ให้หม่าเจียนอี้ออกไป เมื่อในห้องไม่มีผู้ใดแล้ว นางดีดตัวลุกขึ้นเดินไปทิ้งตัวบนเตียงนอน เห็นทีนางต้องพักเอาแรงเสียหน่อยค่อยคืบคลานเข้าไปขโมยบันทึกการเพาะปลูกอะไรนั้น
ไม่สิ ไม่ได้ขโมย แค่จะขอยืมมาอ่านเท่านั้นเอง.
หญิงสาวในชุดดำอำพรางกลมกลืนไปกับความมืดของราตรีกาล นางพลิ้วกายเข้าไปในจวนนายอำเภอ ร่างบางหลบหลีกเหล่าทหารเวรยามอย่างง่ายดาย จากคำบอกเล่าของเถ้าแก่หม่าน่าจะอยู่ที่ห้องปีกซ้ายของจวน นางสะเดาะกลอนประตูแล้วผลุบเข้าไปด้านใน เย่วซินปรับสายตากับความมืดครู่หนึ่ง ค่อยๆ มองเห็นสิ่งต่างๆ ในห้อง นับว่ายังดีที่ห้องนี้เก็บตำราและบันทึกต่างๆ เป็นระเบียบ ทำให้นางหาสิ่งที่ต้องการไม่ยากนัก
“นี่นะรึ บันทึกการเพาะปลูก”
นางหยิบบันทึกลงมาจากชั้นวางแล้วพลิกอ่านคราวๆ น่าจะเป็นสิ่งที่ที่ฉู่ห่าวหรานเคยพูดไว้ เพราะในห้องค่อนข้างมืดนางจึงถือบันทึกเล่มนั้นมาที่หน้าต่าง ในบันทึกนี้มีบอกรายละเอียดน่าสนใจไว้มาก พืชที่เพาะปลูก ภัยแล้งที่พบเจอ หรือแม้แต่ปีที่เผชิญภัยน้ำท่วมและแมลงศัตรูพืช นางที่ชอบหนังสือบันทึกต่างๆ ทั้งการเดินทางและเรื่องราวในดินแดนที่ไม่รู้จัก เพียงได้กวาดสายตาอ่านเรื่องราวเหล่านี้พลันรู้สึกตื่นเต้นอยากรีบกลับคฤหาสน์ เพื่อนำสิ่งนี้ไปนั่งถกเถียงกับคนหน้าตายอย่างฉู่ห่าวหราน
เอ๊ะ! เหตุใดทำสิ่งใดจิตใจของนางมักวนเวียนที่ชายผู้นั้นเสมอนะ
คง...คงไม่มีสิ่งใดหรอก นางแค่ต้องรับผิดชอบทำตามที่พ่อบุญธรรมฝากฝั่งไว้เท่านั้น หญิงสาวสะบัดหน้าไปมา เก็บหนังสือบันทึกนั้นในอกเสื้อค่อยๆ ย่องออกมาจากห้องนั้นอย่างเงียบเฉียบ แม้ว่ามู่ยี่เคยสอนวิชาตัวเบาให้ นางแต่เย่วซินมิได้เก่งกาจเช่นนั้น นางฝึกวิชายุทธ์เพื่อป้องกันตัวเอง ส่วนฝีเท้าที่เบาราวตีนแมวนั้น เกิดจากทักษะการเอาตัวรอดตั้งแต่เด็ก ผสมกับนิสัยซุกซนยิ่งทำให้พ่อบุญธรรมได้แต่ส่ายหน้าไปมา
เมื่อได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็เตรียมออกไป ทว่าบางสิ่งรบกวนจิตใจทำให้นางเลี้ยวไปอีกทางซึ่งเป็นเรือนนอนของเจ้าของจวน ดึกมากแล้ว แต่บริเวณลานกว้าง ยังมีชายผู้หนึ่งร่ายรำเพลงกระบี่ การเคลื่อนไหวดุดันผสานกับแววตามุ่งมั่น เย่วซินเร้นกายในเงามืดยื่นหน้าออกมาจากหลังต้นไม้ใหญ่ สายตาจับจ้องการเคลื่อนไหวของบุรุษผู้หนึ่ง มือเรียวยกขึ้นแตะที่หน้าอกตำแหน่งที่นางเก็บห้อยหยกชิ้นหนึ่งไว้
บิดาพูดเสมอว่า วันเวลาทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไป แต่สิ่งที่จะไม่เปลี่ยนคือแววตา และ..นางจดจำแววตาของ ‘พี่ใหญ่’ ได้เป็นอย่างดี แม้จะผ่านมาเจ็ดปีแล้วก็ตาม
ไม่รู้ว่าสองเท้าพาร่างก้าวออกมาตั้งแต่เมื่อใด บุรุษหนุ่มรับรู้การมาเยือนของแขกยามวิกาล เขาตวัดกระบี่พุ่งมาทางหญิงสาวในชุดดำ คมกระบี่แวววับสะท้อนแสงจันทร์ทำให้เย่วซินได้สติ นางพลิกตัวหลบได้ทันท่วงที อีกฝ่ายไม่ตอบโต้ใช้เพียงการหลบหลีกทำให้ชายหนุ่มขมวดคิ้วแล้วหยุดมือ
“บุกรุกยามวิกาล รู้หรือไม่ว่ามีโทษอย่างไร”
น้ำเสียงแข็งกร้าวแต่คุ้นหู ดวงตาของเย่วซินผ่าวร้อนขึ้นมา ‘พี่ใหญ่’ของนางเป็นเช่นนี้เสมอ ภายนอกดูดุดันก้าวร้าว แต่กับน้องๆ แล้ว เขาเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี หากไม่เพราะผิดใจกับบิดา คงได้อยู่กันพร้อมหน้ากันนางเคยได้ยินชื่อนายอำเภอที่มาประจำการที่นี่ได้เพียงครึ่งปี แต่ยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่นางตามหาหรือไม่ ตามหาหลายปีแต่เมื่อได้พบกลับอ้าปากแต่พูดไม่ออก หัวใจก็เต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นกุมอกตำแหน่งที่หยกชิ้นหนึ่งห้อยติดกายอยู่ใช่ นางต้องมอบของสิ่งนี้ให้ ‘พี่ใหญ่’ ของนาง“มีผู้บุกรุก!”เสียงตะโกนของเหล่าทหารยามทำให้เย่วซินตื่นจากภวังค์ นางถอยแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ชายผู้นั้นกระโดดตามมา นางสะบัดมือวูบหนึ่งผงสีขาวกระจายไปเบื้องหน้าเขาทันที“หยุดนะ!เจ้าหัวขโมย!”“ข้าไม่ใช่ขโมยแค่มาขอยืมอะไรบางอย่าง ใช้เสร็จแล้วจะเอากลับมาคืน”เสียงหัวเราะหวานใสดังขึ้น ทำเอาชายหนุ่มตะลึงงันไปชั่วขณะ ผงสีขาวทำให้เขาชะงักยกมือขึ้นบังดวงตาและกลั้นหายใจ ทว่ากลับไม่สิ่งใดเกิดขึ้นเขาจึงลดมือลง พบเพียงความว่างเปล่า เขารู้ว่านางคือสตรี แต่น้ำเสียงและท่าทางเช่นนี้ช่างคุ้นเคยนัก คนท
เซียงเริ่นเจินย่อมไม่รู้ว่าสตรีตรงหน้าคิดสิ่งใด หากแต่เขาเองก็ไม่สบายใจที่เห็นหญิงสาวงดงามเช่นนางต้องมีสีหน้าหมองเศร้า ครานั้นที่ช่วยนางก็เพราะความบังเอิญ เขาเดินทางผ่านมาประสบเหตุร้ายเข้าพอดี หลังจากเหตุการณ์นั้น นางมาพบเขาเพื่อขอบคุณที่ช่วยเหลือ ผู้อื่นกระซิบบอกเล่าเรื่องราวของนางให้เขารู้ เขาไม่ได้ใส่ซ้ำยังต้อนรับนางอย่างดีหากว่านางเป็นหญิงอัปมงคลแล้ว ตัวเขาเองก็ไม่ต่างกัน หากไม่หนีออกจากบ้านด้วยทิฐิที่มีมากล้น ครอบครัวของเขาคงไม่ต้องตายอย่างอนาถเช่นนั้น จางฮุ่ยเหมยลอบเห็นชายหนุ่มถอนหายใจจึงอดถามไม่ได้ “ใต้เท้าเซียงมีเรื่องกังวลใจหรือเจ้าคะ” ชายหนุ่มยิ้มบางเบาแล้วเอ่ย “ไม่เชิงกลุ้มใจ เพียงแค่เห็นขนมดอกกุ้ยของคุณหนูแล้วก็อดคิดถึงน้องสาวไม่ได้ นางชอบกินขนมหวานเป็นที่สุด หากไม่ได้กินก็จะร้องโวยวาย ข้าก็ตามใจนางทุกครั้งจนบิดาพร่ำบ่นที่ข้าเอาใจนางจนเสียนิสัย” “ใต้เท้าเซียงมีน้องสาวด้วยหรือเจ้าคะ นางโชคดีที่มีพี่ชายรักใคร่ใส่ใจเช่นใต้เท้า” รอยยิ้มจางหายไป เขาส่ายหน้าน้อยๆ แล้วพูดขึ้น “ผิดแล้ว นางโชคร้ายที่มีพี่ชายอย่างต่างหาก”
“ท่านพูดเช่นนี้มิใช่ว่าปลูกอะไรก็ได้รึ?” นางขมวดคิ้วยุ่งเหยิง เดิมทีฉู่ห่าวหรานไม่ชอบใกล้ชิดกับผู้ใด ตั้งแต่เล็กจนเติบใหญ่เขามักรักษาระยะห่างอยู่เสมอ แต่นิสัยของเยว่ซินที่มักเข้าถึงเนื้อถึงตัว และสภาพร่างกายที่ไม่สามารถหลบเลี่ยงได้ จึงได้ทำใจจำยอม นานวันเข้ากลับเป็นความเคยชินอย่างไม่รู้ตัว ทว่าวันนี้เขารู้สึกแปลกใจที่นางเลือกนั่งห่างๆ ทำให้เขาเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าที่มีเหงื่อเม็ดเล็กผุดขึ้นที่ใบหน้า ผมเผ้ายุ่งเหยิงมีเศษใบไม้และขนไก่ติดบนศีรษะของนาง “หน้าข้ามีอะไรหรือ?” เยว่ซินถามเมื่อเห็นว่าเขาพิจารณามองนางอยู่ นางยกหลังมือขึ้นเช็ดแก้มไปมา ไม่มั่นใจว่ามีอะไรติดหน้าหรือไม่ “มีใบไม้ติดบนผมของเจ้า” ได้ยินเขาพูดเช่นนั้น เยว่ซินก็ยกมือขึ้นจับศีรษะตนเอง แต่ใบไม้ไม่ได้มีใบเดียว ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ อยากรู้ว่านางเกลือกกลิ้งกองหญ้ามาหรือไรจึงได้มีสภาพเช่นนี้ “เจ้ามาใกล้ๆ นี่” เขาเรียกนางอย่างอ่อนใจ เยว่ชินเดินเข้าไปหาแล้วทรุดตัวลงนั่งย่องๆ ต่อหน้าเขา ไร้ความเป็นกุลสตรีซึ่งเขาก็ทำใจยอมรับได้อีกนั้นแหละ นิ้วเรียวยื่นไปค
นางนิ่งอย่างรอคอยถ้อยคำของฉู่ห่าวหราน แต่เขากลับไม่พูดอะไรออกมาอีก นางก็ทำหน้ายุ่งงอแงขาดก็แต่เพียงลงไปชักดิ้นชักงอเหมือนเด็กน้อยถูกขัดใจ“แค่นี้หรือ?” “แค่นี้”เย่วซินเบ้ปาก “ข้าได้ยินชาวบ้านต่างกล่าวชื่นชมใต้เท้าเซียงอย่างจริงใจว่าเป็นนายอำเภอมือสะอาด รักชาวบ้านเหมือนดุจลูกหลาน มีคุณธรรมน้ำมิตร ซื่อสัตย์สุจริต เป็นคนดีที่ร้อยปีจะได้พบสักคน”คราวนี้เป็นฉู่ห่าวหรานเลิกคิ้วอย่างฉงน อันที่จริงเขาย่อมเคยได้ยินมาบ้าง แต่ไม่ได้เลิศเลอถึงเพียงนี้แววตาไม่เชื่อของเขา ทำให้เยว่ซินถอนหายใจเฮือกใหญ่แล้วแสดงสีหน้าเห็นใจอีกฝ่าย “ใต้เท้าฉู่ ท่านอยู่แต่ในคฤหาสน์เช่นนี้คงไม่เคยได้ยินเรื่องราวภายนอกกระมัง อืม...ครั้งหน้าข้าเข้าเมือง ท่านไปเปิดหูเปิดตากับข้าดีหรือไม่ เผื่อท่านได้พบกับใต้เท้าเซียงท่านจะได้รู้จักเขาดีกว่านี้”“ข้าเป็นขุนนางที่ถูกฮ่องเต้ขับไล่ไสส่งออกมาไกลถึงเพียงนี้ เจ้าคิดว่าผู้อื่นอยากรู้จักคนอย่างข้าหรือ? ข้าขออยู่เช่นนี้ดีกว่า” “ท่านไม่อยากไปก็ไม่เป็นไร” จู่ๆ เยว่ซินก็ฉีกยิ้มกว้าง “ข้าว่าอีกไม่นานคนผู้นั้นต้องมาหาท่านถึงที่นี่แน่นอน” “เหตุใดเจ้าคิดเช่นนั้น”
เยว่ซินจิบสุราในจอกของตนลอบเบ้ปาก แม้นางไม่ใช่คนเรื่องมาก กินง่ายอยู่ง่ายเพราะเคยใช้ชีวิตเร่ร่อนมาก่อน แต่สุราที่เรียกว่าเลิศรสก็เคยได้ชิมมาแล้ว สุราจอกนี้ไม่ได้เลวร้าย แต่สุราที่โรงรับจำนำเจิ้งจิงถูกปากนางมากกว่า “เช่นนั้น คุณหนูกลับไปพักที่เรือนนะขอรับ” “เจ้ามีที่พักในเมือง?” หันซูอดพูดไม่ได้ มิน่าเล่า นางจึงดูไม่เดือดร้อนที่ต้องเข้ามาในอำเภอตามลำพัง “ไม่มี” นางตอบด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้าขออาศัยเถ้าแก่หม่าพักเท่านั้น” “แท้จริงแล้ว โรงรับจำนำคงไม่ใช่แค่โรงรับจำนำสินะ” ฉู่ห่าวหรานยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่เหตุใดมองแล้วเยือกเย็นจนเสียวสันหลังวาบอย่างไรไม่รู้ หม่าเจียนอี้คลี่ยิ้ม เขาเป็นคนยิ้มง่าย ใบหน้าราวกับฉาบรอยยิ้มตลอดเวลา มีเพียงแววตาที่จะเห็นได้ว่ารอยยิ้มนี้จริงใจหรือไม่ แต่ครั้งนี้รอยยิ้มนั้นไปถึงดวงตา “หากต้องการพูดคุยเรื่องกิจการโรงรับจำ ข้าน้อยเกรงว่าการสนทนาที่นี่จะไม่เหมาะนัก แต่ข้าน้อยยิ่งดีอธิบายทั้งหมดในสถานที่ที่จัดเตรียมไว้” “ประเดี๋ยวก่อน เรื่องนี้มิใช่ว่าเฉพาะคนในพรรคแ
เยว่ซินเงยหน้าขึ้น นางไม่รู้ควรทำหน้าอย่างไร จะเอ่ยทักว่า ‘พี่ใหญ่’ แต่เขาจะเชื่อหรือ? ที่ผ่านมาทุกคนล้วนเข้าใจว่านางตายพร้อมบิดามารดาและพี่ชายรองในกองเพลิงครั้งนั้นไปแล้ว และที่สำคัญ สถานะของนางในเวลาเรียกได้เป็นหัวขโมย แม้ไม่มีค่าหัว แต่ก็ถูกเรียกว่าโจร ส่วนพี่ใหญ่ของนางเป็นถึงนายอำเภอ หากเรื่องนี้ผู้อื่นรู้เข้า เกรงว่าตำแหน่งของพี่ใหญ่คงสั่นคลอนเป็นแน่ เขาคือคนที่เหลือเพียงคนเดียวของตระกูลเซียง นางไม่ควรให้ชื่อเสียงของสกุลเซียงมัวหมอง “เจ้ารู้จักเขาหรือ?” “แม่นางชื่อเยว่ซินหรือ?” “ข้า...” นางอ้ำอึ้งครู่หนึ่งแล้วหัวเราะออกมา “ข้าเป็นสตรีจู่ๆ มาถามเช่นนี้จะให้ข้าตอบอย่างไร” ‘เจ้าก็รู้ตัวว่าเป็นสตรีด้วยรึ’ หันซูถามตัวเองในใจ แน่ละ เขาทำได้แค่นั้น หากส่งเสียงสักคำ อาจเป็นเขาที่ต้องรับเคราะห์ “ขออภัยด้วย” เซียงเริ่นเจินได้สติจึงรีบกล่าวขึ้น “แม่นางคล้ายคนที่ข้ารู้จักจึงเสียมารยาทเช่นนี้” ‘คนรู้จัก’ รอยยิ้มของเยว่ซินแข็งค้างไป แต่จะทำอย่างไร จะให้พี่ใหญ่พูดต่อหน้าคนแปลกหน้าว่า
“ทั้งสองแห่งนั้นอาจไม่เหมาะกับข้า” ใบหน้าของเขายังคงอ่อนโยน “ข้าน่าจะเหมาะทุ่งนาป่าเขาเสียมากกว่า” “ท่านไม่รำคาญเสียงไก่ขันแล้วเหรอ” นางทำหน้าล้อเขาแต่อีกฝ่ายยังคงยิ้มอ่อนโยน “ท่านไม่โกรธที่ข้าทำสวนสวยๆ ของท่านกลายเป็นแปลงผัก” “เหตุใดข้าต้องรำคาญ มีเสียงไก่ขันก็เท่ากับว่ามีไข่ไก่ให้เก็บกิน มีแปลงผักก็เท่ากับมีผักสดให้กินเช่นกัน มีแต่เจ้าที่ต้องลำบากดูแลไก่และแปลงผักเหล่านั้น” “ข้าไม่ได้ลำบากเลยสักนิด” หญิงสาวยิ้มกว้างตอบด้วยใจจริง “ท่านไม่เสียดายความรู้ที่ตนเองมีหรือ?” “เจ้าพูดเองไม่ใช่หรือว่าข้าไม่ฉลาดนัก” “ข้าไม่ได้หมายความตามที่พูดเช่นนั้นเสียหน่อย” นางทำปากยื่นแล้วปรายตามองไปทางหันซู “พ่อบ้านได้ยินข้าพูดจาว่าร้ายใต้เท้าฉู่หรือไม่” “เจ้าอย่ามาลากข้าไปเกี่ยวข้องด้วย” หันซูแยกเขี้ยวใส่แล้วเบือนหน้าไปทางอื่น “เช่นนั้นข้าก็พูดจริงนะ ท่านไม่เสียดายความรู้ของตนหรือ? หากท่านกลับไปทำงานรับใช้บ้านเมืองก็คงดีไม่น้อย เหล่าขุนนางก็คงไม่ใช่คนเลวไปเสียทั้งหมด ต้องมีคนดีอยู่บ้าง” “คนดี
“เจ้าอย่าพูดเสียงดังไป อย่างไรเสียนางก็เป็นคนที่ฮ่องเต้ประทานให้ท่านราชครูฉู่ แม้เป็นหญิงคณิกาแต่ก็ขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง เราไม่ควรดูแคลนนางได้”“คุณหนูก็เป็นถึงบุตรสาวเสนาบดีจาง มิได้น้อยหน้าผู้ใดนะเจ้าค่ะ”“แม้ข้าเป็นบุตรสาวภรรยาเอก แต่ชื่อเสียงเหม็นเน่าเช่นนี้ บางที...หญิงคณิกายังดีกว่าข้าเสียอีก”“คุณหนูอย่าคิดเช่นนั้นสิเจ้าคะ”“ทำไมเล่า ข้าแค่ทำใจได้ยอมรับความเป็นจริงต่างหาก บุรุษแสนดีอย่างใต้เท้าเซียงหากมีใจให้หญิงงามและเพียบพร้อมกว่าข้า...ข้าควรยินดีให้เขาถึงจะถูก”“คุณหนู”เชี่ยวเมิ่นได้แต่ร้องขึ้นอย่างอ่อนใจ เหตุใดคุณหนูของนางไม่ลุกขึ้นสู้เช่นสตรีอื่นบ้างนะ คืนนี้มีเพียงแสงดาว ทำให้ผู้ที่เร้นกายอยู่บนกิ่งไม้ใหญ่ไม่ถูกผู้ใดพบเห็น แต่จะว่าไป นี่เป็นเรือนของบุตรสาวเสนาบดีจางมิใช่หรือ? เหตุใดไม่มีคนเฝ้าดูแลแม้แต่คนเดียว ซ้ำเรือนหลังนี้สภาพดีกว่าคฤหาสน์ของฉู่ห่าวหรานเล็กน้อยเท่านั้น เรือนคนรับใช้บ้านเศรษฐียังจะดีกว่ากระมังเยว่ซินได้ยินบทสนทนาของสตรีทั้งสอง ยิ่งทำให้ประหลาดใจ นางเคยพบเจอแต่คุณหนูร้ายกาจไม่น่าเข้าใกล้มาไม่น้อย มองผิวเผินนางเป็นสตรีที่ไม่พิษภัย ท่าทางเรียบร้อยน่
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป