แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ”
“เจ้า!”
“อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน
“เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้
“ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก”
ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล
เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่”
“แม่นาง...เอ่อ...เจ้าอยากรู้ไปทำไม” ในเมื่อนางไม่อยากให้เรียกแค่ชื่อก็ย่อมได้เขาก็ไม่ขัดนางก็แล้วกันและอยู่ร่วมกันมาได้ระยะหนึ่ง เขาเองก็ไม่อยากถ่อมตัวต่อนางนัก เพราะนางเองก็ชอบปีนเกลียวเสียเหลือเกิน
“พ่อบ้านไม่อยากให้ใต้เท้าหายดีหรือ?”
“หายดี? เจ้าคิดว่าข้าดีใจที่เห็นนายท่านสภาพนี้หรือ ข้าดูแลรับใช้นายท่านมาเป็นสิบปีไม่มีเลยที่จะต้องทนเห็นชีวิตนายท่านลำบากเช่นนี้”
“ใช่ๆ ใต้เท้าฉู่เป็นคนดียิ่ง ไม่ควรต้องเป็นเช่นนี้เลย” นางรีบพูดขึ้น รินน้ำชาแล้วส่งให้พ่อบ้านด้วยท่าทีนอบน้อม หันซูคล้อยตาม รับน้ำชามาดื่มแล้วหยิบหมั่นโถวมากินพลางเล่าเรื่องในเมืองหลวง
“หากไม่เพราะนิสัยของใต้เท้าเป็นคนเถรตรง ชีวิตคงไม่เป็นเช่นนี้”
“เถรตรงไม่ดีตรงไหนรึ” นางยังแสร้งโง่ รินน้ำชาไม่ได้ขาด
“เถรตรงเป็นเรื่องดี แต่บุรุษเราก็ต้องรู้จักยืดได้หดได้ บางครั้งนายท่านก็ไม่ยอมคล้อยตามผู้อื่น ยึดมั่นอุดมการณ์ แม้ถูกยึดทรัพย์ก็ไม่คิดตอบโต้แต่อย่างใด”
“ยึดทรัพย์? เป็นไปได้หรือ? ข้าได้ยินว่าใต้เท้าฉู่ไม่ยึดติดลาภยศสรรเสริญ เดินทางออกจากเมืองหลวงตัวเปล่า”
จะเรียกว่าตัวเปล่าก็ไม่ถูก เพราะที่ขนมาคือหนังสือหลายสิบหีบต่างหากล่ะ นางลอบค้นห้องหับต่างๆ ดูแล้ว ต่อให้งัดกระเบื้องออกทุกแผ่นก็มั่นใจได้ว่า ฉู่ห่าวหรานไม่มีทรัพย์สินมีค่าใดเลย สิ่งที่เขาหวงแหนคงมีแต่ตำราเหล่านั้น
หมั่นโถวกับน้ำชานี่ไม่เลวเลยจริงๆ แม้จะเทียบกับอาหารที่กินในวังหลวงมิได้ แต่ก็นับว่าดีมากแล้วในชนบทเช่นนี้
“ใช่ที่ไหน แท้จริงเพราะฮ่องเต้ไม่ทรงไว้ใจใต้เท้าฉู่ต่างหาก ถึงได้...”
“หันซู”
“ขอรับ!”
น้ำเสียงราบเรียบเอ่ยเรียกนั้นทำให้หันซูถึงกับดีดตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้ เยว่ซินลอบเบ้ปากใส่ น่าจะรอให้หันซูเล่าให้หมดไส้หมดพุงก่อนค่อยเข้ามานะ ใต้เท้าฉู่!
“ที่ข้าให้เตรียมอุปกรณ์สอนเด็กๆ เหล่านั้น เจ้าเตรียมเรียบร้อยแล้วหรือ?”
“เอ่อ... บ่าวกำลังจะไปทำให้เรียบร้อยขอรับ”
“ก็ไปสิ”
“ขอรับ” หันซูรีบเดินไปทันที แต่ไม่ยังใช้สายตาบอกเยว่ซินให้เก็บหมั่นโถวให้ไว้ให้ด้วย นางขยิบตาส่งสัญญาณว่า ‘ได้’
หันซูเดินจากไปลับตาแล้ว ฉู่ห่าวหรานเข็นรถเข้ามาใกล้นางแล้วเอ่ยขึ้น “หากเจ้าอยากรู้อะไรก็ถามข้าได้โดยตรง ไม่ต้องอ้อมค้อมหรือหลอกหันซูเช่นนี้”
“ข้าไม่ได้หลอกเสียหน่อย” นางโต้กลับทันทีแล้วรีบยกจานหมั่วโถวขึ้น “ข้าตั้งใจทำเชียวนะ”
ฉู่ห่าวหรานคร้านจะต่อปากต่อคำจึงได้แต่ส่ายหน้าไปมา
“แต่ข้าเตรียมชาดีบัวไว้ให้ท่านด้วย ช่วยแก้อาการหงุดหงิดนอนไม่หลับ บำรุงหัวใจ เหมาะกับท่านที่สุด”
“เจ้าเป็นหมอหรือไร เหตุใดรู้เรื่องพวกนี้” เขาขมวดคิ้ว ท่าทางนางไม่ดูเฉลียวฉลาดอะไรนัก ติดจะซุกซนเหมือนเด็กชายเสียมากกว่า ดูอย่างไรก็ห่างไกลคำว่า ‘คณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง’
“ไม่ใช่หมอ” นางหัวเราะร่า “พ่อบุญธรรมสอนข้าว่า ความรู้มีอยู่รอบตัว ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นความรู้ได้ทั้งสิ้น ข้าเองก็ท่องเที่ยวในยุทธภพมาไม่น้อย เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องเป็นความลับอันใด ใครๆ ก็รู้กัน”
“แม่นาง..”
“เยว่ซิน เรียกข้าว่าเยว่ซิน” นางพูดแก้ให้เขา เมื่อไหร่เขาจะเรียกชื่อนางอย่างสนิทสนมเสียทีนะ
ฉู่ห่าวหรานกระแอมไอเล็กน้อยแล้วเริ่มพูดใหม่ “เจ้าดูอายุยังน้อย รู้จักท่องยุทธภพแล้วหรือ?”
หญิงสาวหัวเราะร่าแล้วชี้นิ้วใส่หน้าเขาอย่างไม่เกรงมารยาท
“ท่านว่าข้าหลอกถามพ่อบ้านหันซู ท่านเองก็กำลังหลอกถามข้าอยู่ อันที่จริง ข้ารอเจรจากับท่านอยู่พอดี แต่ท่านก็ไม่ว่างเอาเสียเลย”
“เจรจากับข้า?”
“ใช่” นางลุกขึ้นแล้วเดินไปด้านหลังออกแรงดันรถเข็นไปด้านหน้า รถเข็นคันนี้เคลื่อนที่ได้ยากเย็นนัก ท่านฉู่คงต้องออกแรงมากกว่าจะหมุนล้อให้เคลื่อนที่ได้ ท่าทางเขาก็บอบบางอยู่แล้ว ยังต้องลำบากเข้าไปอีก
“ข้าเตรียมน้ำชากับของว่างไว้ให้แล้ว ท่านจิบน้ำชาไปแล้วเรามาเจรจาตกลงกันด้วยดีเถอะนะ”
“เจ้าว่ามาเถอะ ข้าคงไม่กระอักเลือดระหว่างฟังเจ้าพูด”
เยว่ซินกลับแหงนหน้าหัวเราะ ไม่คิดว่า ‘บุรุษใบหน้าน้ำแข็ง’ จะรู้จักพูดจาประชนประชันเช่นนี้
“แม่บุญธรรมสอนว่า การเจรจาการค้า ควรให้อีกฝ่ายสบายใจค่อยเสนอเงื่อนไขที่เราต้องการ”
“แล้วถ้าไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการล่ะ”
“ค่อยทุบหัวบีบคอหรือหักนิ้วแล้วขู่บังคับให้จำนน” นางยังคงพูดเสียงใสเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศ
“เจ้าเป็นใครกันแน่” คราวนี้ฉู่ห่าวหรานถามตรงไปตรงมา
“ชื่อของข้าคือเยว่ซิน” นางน้ำเสียงมั่นคง “แต่ข้าไม่ใช่เหอเยว่ซินที่ฮ่องเต้ส่งมา”
“ข้าเคยเข้าใจว่านักฆ่าไม่บอกชื่อเสียงเรียงนามให้ผู้อื่นรู้เสียอีก”
“ข้าไม่ใช่นักฆ่า และข้าก็ไม่เคยฆ่าคนด้วย” นางหัวเราะไม่เกรงใจ “ข้าเป็นสหายกับเหอเยว่ซิน แต่นางไม่อาจเดินทางมาพบท่านได้ และด้วยไม่อยากผิดพระบัญชากับองค์ฮ่องเต้ ข้าจึงมาแทนนาง”
ดูท่าทางว่าเขาจะคาดเดาไว้แล้วจึงไม่แสดงท่าทีประหลาดใจนัก
“เหอเยว่ซินเป็นคนดี แม้นางเป็นหญิงคณิกา แต่ขายศิลป์ไม่ขายเรือนร่าง นางมีชายในดวงใจที่มั่นรักต่อกัน ข้าจึงเสนอตัวมาแทนเพื่อให้นางได้ใช้ชีวิตกับคนรัก”
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง “มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา “ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง “หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ” “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อร
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป “แม่นางเหอ!”
วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหายถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนางมุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนหากเขาจะเลิกหล
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่” “มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ” “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่” “ขอรับ” เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้ หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เข
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง “ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ” ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ” “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่” “หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว “บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย “ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่ค
บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู “ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง “แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน” “มีเรื่องใดรึ” ดว
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า