“เข้าใจแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ”
เด็กๆ ส่งเสียงตอบรับด้วยแววตาใสซื้อ เยว่ซินพยักหน้ารับแล้วเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง ปล่อยให้ฉู่ห่าวหรานสอนเด็กๆ เริ่มต้นรู้จักตัวอักษร หญิงสาวนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก บิดาสอนพี่ชายทั้งสองด้วยตนเอง นางซึ่งเป็นหญิงได้นั่งตักบิดาทั้งยังประคองมือนางจับพู่กัน พี่ใหญ่บ่นว่าบิดาลำเอียง พี่รองจะคอยห้ามไม่ให้นางทะเลาะกับพี่ใหญ่ ฐานะครอบครัวไม่ค่อยดีนัก ยามฝึกเขียนอักษร นางใช้กิ่งไม้ลากบนพื้นทราย
ยามคิดถึงเรื่องในอดีต บางครั้ง นางไม่กล้าหลับตา เพราะกลัวภาพเหล่านั้นจะสลายหายไป แต่ความจริงก็คือความจริง กลิ่นคาวเลือดและร่างของมารดาที่ค่อยๆ เยียบเย็นลงที่ละน้อย คือสิ่งสุดท้ายที่เหลือไว้ให้นาง
เยว่ซินเบือนหน้าไปทางอื่น นางไม่อาจสะกดความรู้สึกภายในได้ จึงตัดสินใจเดินออกมาเงียบๆ ตรงไปที่ครัวเพื่อตระเตรียมน้ำชาและของว่างให้ฉู่ห่าวหราน เป็นดั่งที่พ่อบุญธรรมกล่าวไว้ไม่ผิด เพียงแค่เอ่ยนามของพ่อบุญธรรม สีหน้าท่าทางของฉู่ห่าวหรานก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาแต่มิได้หมางเมินเช่นที่ผ่านมา
‘มู่หงเทียน’ คือพ่อบุญธรรมของนาง ส่วนจอมโจรแมงป่องแดง-มู่ยี่ คือแม่บุญธรรมของนาง
เรื่องมีอยู่ว่า ระหว่างที่นางออกตามหาพี่ชายใหญ่ นางใช้ชีวิตเร่ร่อนข้างถนน ลักเล็กขโมยน้อยไปวันๆ นางยอมทำงานเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่ยอมเป็นทาสหรือบ่าวรับใช้ใคร จนกระทั่งวันหนึ่ง นางบังเอิญเจอกับกลุ่มโจรที่ปล้นบ้านเศรษฐี ร่างที่ร่อนกลางเวหายามค่ำคืนสะกดสายตาของนาง เจ้าของร่างนั้นก้มมองนางพอดี ร่างนั้นตีลังกาม้วนตัวในอากาศลงมายืนเบื้องหน้านางที่ขดกายอยู่ริมกำแพง
ปลายกระบี่จ่อที่ปลายจมูกของนาง ไม่รู้ว่าตื่นตะลึงหรืออย่างไร นางจึงไม่ได้แสดงอาการหวาดกลัวหรือส่งเสียงร้อง นั้นทำให้หญิงสาวผู้นั้นพึ่งพอใจมาก
“ดี ข้าชอบเด็กที่ไม่ส่งเสียงโวยวายน่ารำคาญ”
“ข้าไม่ได้เป็นใบ้” นางรีบพูดขึ้นทันที แต่เพราะความหิวโหยทำให้เสียงท้องร้องดังขึ้นแทรกบทสนทนาระหว่างคนสองคน เป็นจังหวะเดียวกับรถม้าเคลื่อนเข้ามาใกล้ ม่านหน้าต่างถูกเปิดขึ้นเล็กน้อย
“พาเด็กคนนั้นขึ้นรถมาเถิด อากาศหนาวเย็นเช่นนี้จะตายริมกำแพงบ้านผู้อื่นเอา” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น หญิงสาวเบ้ปากเล็กน้อย
“สามีอยากให้ข้าภรรยาเก็บเด็กคนนี้หรือ?”
“ข้าเห็นเจ้ามีใจเมตตา อย่างไรก็ทอดทิ้งเด็กผู้หญิงไว้เช่นนั้นมิได้หรอก”
“เด็กผู้หญิง?” นางค้อมเอวลงมาจ้องมองร่างเล็กมอมแมมที่กระถดกายหลบซ่อนตัวในเงามืดของกำแพง “เด็กผู้หญิงจริงๆ ด้วย”
“ข้าไม่ไป ข้าไม่มีวันเป็นบ่าวรับใช้ให้ใคร ไม่ขายตัวเป็นทาส”
“ดี นับว่ามีอุดมการณ์ดี” บุรุษบนรถม้าเอ่ย “อีกประเดี๋ยวก็จะสว่างแล้ว จะออกเดินทางเลยหรือไม่”
“สามีว่าอย่างไร ข้าภรรยาก็ว่าตามนั้น”
หญิงสาวในชุดดำยื่นมือมาหิ้วคอเสื้อของเด็กน้อยขึ้นด้วยมือเพียงข้างเดียว เยว่ซินเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าสตรีบอบบางจะมีเรี่ยวแรงมากขนาดนี้ และเพียงการเหวี่ยงครั้งเดียวร่างของเด็กน้อยก็ลอยละลิ่วเข้าไปในรถม้า ตามด้วยร่างของนาง สารถีพารถม้าเคลื่อนออกไปอย่างเชื่องช้า
แต่เดิมเยว่ซินก็ไม่ได้รู้เรื่องชาวยุทธ์อะไรสักนิด ได้ยินเพียงเรื่องเล่าสนุกปากของชาวบ้านในตลาดแต่เมื่อมาถึงพรรคแมงป่องแดง นางจึงได้เข้าใจว่าเป็นเช่นไร ที่นี่มีเด็กกำพร้าหลายสิบคน อายุก็แตกต่างกันไป แรกๆ นางหาทางหลบหนี แต่ถูกมู่ยี่ตามจับกลับมาได้ กระทั่งมู่หงเทียนเป็นคนยื่นน้ำให้ดื่ม ยื่นหมั่นโถวให้กิน และพูดจากับนางคล้ายบิดาที่ตายจาก นางจึงยอมรับฟังคำสั่งสอนจากเขา
“เจ้าอยากอยู่ที่นี่นานเพียงใดก็ได้” มู่หงเทียนเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แต่เจ้าก็รู้ว่าโลกนั้นกว้างใหญ่เพียงใด ทุกคนพร้อมจะเอาเปรียบเจ้า หากเจ้ามีทักษะที่สามารถดูแลตนเองได้ ปกป้องหรือหาเลี้ยงตนเองได้ มันจะดีกว่าที่เจ้าอยู่อย่างคนโง่ให้ผู้อื่นเหยียบย่ำจมดิน”
“ข้าไม่ได้โง่” นางโต้เถียงแม้ใจยอมรับในสิ่งที่เขาพูด “ข้าตามหาพี่ใหญ่ของข้า”
“เช่นนั้นยิ่งดี แล้วเจ้าจะตามหาอย่างไร เดินเคาะประตูบ้านไปเรื่อยอย่างนั้นหรือ”
“ข้า...”
“การค้นหาคนไม่ใช่เรื่องยากแต่ก็ไม่ง่าย เราต้องรู้ว่าคนที่ค้นหาเป็นใคร ที่พบครั้งล่าสุดและจุดหมายของคนผู้นั้นอยู่ที่ใด แหล่งข่าวที่ได้รับมาเชื่อได้หรือไม่ เจ้าต้องคิดและประเมินผลเป็น ไม่เช่นนั้นก็จะหาคนผู้นั้นไม่เจอ”
นางนิ่งไปอึดใจก่อนพยักหน้ารับน้อยๆ อ้าปากกัดหมั่นโถวในมือ
“อร่อยหรือไม่”
“ไม่” นางตอบ “มารดาข้าทำอร่อยกว่านี้”
“ดี...”
นางได้ยินเพียงเสียงหัวเราะในลำคอของเขา หลังจากนั้นไม่กี่วัน นางและเด็กคนอื่นๆ ยกน้ำชาเรียกขานเขาว่า ‘พ่อบุญธรรม’ และเรียกมู่ยี่ว่า ‘แม่บุญธรรม’ นางไม่ได้ฝึกยุทธ์มาตั้งแต่เด็กเหมือนผู้อื่นจึงไม่มีพื้นฐานที่ดีนัก ทว่านางเป็นคนขยันหมั่นเพียร ฝึกทักษะการต่อสู้ ใช้อาวุธที่ถนัดมือ ฝึกเรียนเขียนอ่าน
แต่นางอาจมีความที่แปลกจากผู้อื่นไปบ้างก็ตรงที่...นางกลัวว่าตนเองจะลืมมารดาที่นางรักยิ่ง นางจึงเข้าครัวทำอาหาร เพียงพยายามทำอาหารรสมือมารดา เพียงเพื่อหวังว่าสักวันจะทำให้พี่ชายใหญ่ได้กิน.
เยว่ซินต้มน้ำสมุนไพรเรียบร้อย มั่นใจว่าน้ำอุ่นได้ที่แล้วจึงเงยหน้าขึ้นพยักหน้าให้พ่อบ้านหันซู
“น้ำอุ่นได้ที่ดีแล้ว พ่อบ้านพาใต้เท้าฉู่มาเถิด”
“ขอรับ”
หญิงสาวลุกขึ้นยืนหลบไปด้านข้าง รอให้หันซูเข็นรถเข็นของฉู่ห่าวหรานมาใกล้ นางเข้าใจว่าเขาคงไม่ต้องการให้นางเห็นบาดแผลที่ขาของเขา และที่สำคัญ...หันซูรู้สึกแปลกๆ กับสายตาของเยว่ซินที่มักมองเขาสลับกับนายท่านไปมาอยู่เสมอ
“พ่อบุญธรรมบอกข้าว่าทำเช่นนี้ทุกวันอย่างน้อยวันละครึ่งชั่วยามและให้ท่านค่อยๆ ฝึกเดิน ให้คิดว่าตนเองเป็นเด็กฝึกเดินอีกครั้ง จะมีโอกาสกลับมาเดินได้อย่างแน่นอน ถ้าจะให้ดีก็กดจุดกระตุ้นลมปราณ
อย่างไรพวกท่านก็ค่อยๆทำไปนะ ข้าไม่รบกวนหรอก”
ค่อยๆ ทำ? หันซูขมวดคิ้ว นางหมายถึงเรื่องดูแลนายท่านหรือ? แต่เหตุใดใช้คำพูดชวนคิดไปเรื่องอื่นพิกล
ทว่ามุมปากของฉู่ห่าวหรานกลับยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม
“ต้องแช่น้ำสมุนไพรถึงครึ่งชั่วยาม ระหว่างนี้ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า เจ้าสะดวกหรือไม่” “ได้สิ ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านได้” เยว่ซินได้ยินก็หมุนตัวกลับ แต่ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มของเขา นางหันไปทางหันซู “ความจริง ข้ามีเตรียมสมุนไพรประคบผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้พ่อบ้านด้วยนะ เอาอย่างนี้ เจ้าเอาขาของใต้เท้าลงในอ่างน้ำสมุนไพรนี้เสียก่อน ประเดี๋ยวข้าไปเอาลูกประคบมาให้นะ” “ดะ...เดี๋ยว” “ปล่อยนางไปเถิด” “ขอรับ” หันซูรับคำสั่งแล้วเดินมาม้วนขากางเกงของผู้เป็นนายขึ้นจากนั้นจึงยกขาลงในอ่างใส่น้ำสมุนไพร “นายท่านเชื่อใจนางหรือขอรับ” “แล้วเจ้าเล่า นางทำอะไรใส่ปากเจ้าก็กินหมดมิใช่หรือ” “นั้นเพราะข้าอุทิศตัวเองทดสอบพิษให้นายท่านต่างหากล่ะขอรับ” หันซูพูดหนักแน่นแต่ในใจลอบยิ้ม แม้เคยแช่น้ำสมุนไพรนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้รู้สึกผ่อนคลายมากจริงๆ สีหน้าของฉู่ห่าวหรานจึงไม่ตึงเครียดเช่นที่ผ่านมา แม้แต่หันซูยังสังเกตได้ “ใต้เท้า..” “ข้ามาแล้ว!” เยว่ซินวิ่งเข้ามาพร้อมกับห่อสมุนไพรที่ม้วนเป็นก้อน
“ว่ามาเถิด” เขาเริ่มคุ้นชินกับนิสัยของนางแล้ว “ถึงฮ่องเต้จะไม่โปรดท่าน แต่ประทานที่ดินรอบๆ คฤหาสน์นี้ให้ท่านใช้สอยได้ ท่านเองก็ไม่ได้ทำอะไร ก็น่าจะให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์” “ผู้อื่น?” “ก็ชาวบ้านแถบนี้ที่ยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ท่านก็ให้พวกเขามาเพาะปลูกจะดีกว่า ถ้าท่านไม่สะดวกใจรับเงินค่าเช่า ท่านก็ปันผลผลิตของเขาพวกเขาได้” “เจ้าคิดว่าข้าไม่สะดวกใจรับเงินค่าเช่า?” เขาถามยิ้มๆ ดูรูปการณ์แล้วนางคงคิดไว้ก่อนแล้วแต่พูดออกหน้าแทน “บริเวณนี้ใกล้แหล่งน้ำ เพาะปลูกได้ดี แต่ถ้าหาทางผันน้ำไปกักเก็บให้ใช้ถึงก่อนที่ฝนทิ้งช่วงก็จะดีมาก” “ข้าก็คิดเช่นนั้น” ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้แล้ว นางกระตือรือร้นออกนอกหน้า รีบเดินไปที่ชั้นวางตำราของเขา ทำราวกับรู้ว่ามีสิ่งใดวางตรงไหน แล้วนางก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งเดินกลับมา “ช่วงที่ท่านขึ้นเขา ข้าเอาหนังสือของท่านมาตากแดด บังเอิญเจอเล่มนี้เข้า ข้าอ่านไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนจะเป็นกังหันผันน้ำ ท่านว่ามันใช้งานได้จริงๆ หรือไม่” นางเปิดหน้ากระดาษที่มีรูปวาดกังหันผันน้ำ เพราะอีกฝ่ายขยับมาหานางไ
“แต่ทางการมิได้นิ่งนอนใจ พยายามจำกัดกลุ่มคนที่มั่งคั่งเหล่านี้โดยการเก็บภาษีและออกกฎระเบียบทางราชการอย่างหนัก” “การแทรกแซงของทางการกลับให้เจ้าของให้ร่ำรวยยิ่งขึ้น ทางการหวังแค่เงินภาษีไม่ได้สนใจความเป็นอยู่ของชาวบ้านอย่างแท้จริง” “เจ้าอคติเกินไปแล้ว” ฉู่ห่าวหรานไม่คิดว่าเยว่ซินจะถกเถียงเขาด้วยเรื่องนี้ “ท่านไม่คิดหรือว่า แท้จริงคนอย่างพวกท่านอยากเห็นชาวบ้านโง่ดักดาน ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จะได้กดพวกเขาไว้ใต้ฝ่าเท้าของตนเอง” “เหอเยว่ซิน” เขาปรามนางด้วยการเรียกชื่อ ทว่าทำให้หญิงสาวได้สติกัดริมฝีปากตนเองข่มอารมณ์ขุ่นมัว “ข้าไม่ได้แซ่เหอ! ข้า...” “...” เยว่ซินสะดุ้ง เกือบหลุดปากบอกแซ่ของตนออกไป นางมีเหตุผลที่ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่านางไม่ใช่เหอเยว่ซิน “ไม่มีอะไร... ถ้าผู้อื่นรู้ว่าหญิงบรรณาการลอบหลบหนีไปแล้ว ข้าจะเดือดร้อนเอา” “อย่างเจ้ายังกลัวเรื่องเดือดร้อนใดอีกหรือ” เขารู้ว่านางไม่อยากกล่าวถึงจึงเปลี่ยนเรื่องพูด “อื้ม ข้ายังอยากมีชีวิตไว้แต่งงานกับบุรุษสักค
“ว่ามาได้เลย” เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ถือตัว เขาจึงลดความระแวดระวังลงและเพิ่มความเป็นกันเองมากขึ้น หญิงสาวขยับเข้าไปใกล้ พูดเสียงเบาที่ได้ยินกันเพียงสองคน บอกสิ่งที่นางต้องการออกไป อาหยวนขมวดคิ้วสลับกับพยักหน้าหงึกหงัก นางทำมือไม้ออกท่าทางอธิบายเพิ่มทำให้อีกฝ่ายเข้าใจ “ข้าจะลองดู” “ขอบคุณท่านมาก” เสียงจอแจของชาวบ้านเงียบไปทันทีเมื่อเห็นชายที่นั่งบนรถเข็นกำลังเคลื่อนมาทางพวกเขา ทุกคนรู้ว่าคฤหาสน์ซอมซ่อนี้เป็นที่อยู่ของราชครูฉู่ห่าวหราน แต่ไม่มีใครเคยเห็นโฉมหน้าเจ้าของคฤหาสน์ ชาวบ้านเพียงได้ยินกันมา ร่วมทั้งบุตรหลานที่มาร่ำเรียนกับใต้เท้าฉู่ แม้รอยแผลบนใบหน้าจะดูน่ากลัวไปสักนิด แต่ท่าทางอ่อนแอและสุภาพกลับทำให้ทุกคนรู้สึกสงสาร ได้ยินว่า ใต้เท้าฉู่ใช้ชีวิตเข้าช่วยเหลือฮ่องเต้จนต้องมีสภาพเช่นนี้ แต่ฮ่องเต้กลับขับไล่ไสส่งมาไกลเพราะหมดประโยชน์แล้ว คงจะเป็นเรื่องจริง “ใต้เท้าฉู่” ผู้ใหญ่นำลูกบ้านมาคารวะฉู่ห่าวหราน ฉู่ห่าวหรานยิ้มบางๆ ทำให้ใบหน้าของเขาดูสงบเยือกเย็นราวกับเทพเซียนผู้ตัดขาดจากกิเลส เขาพูดคุยทำความเข้าใจเล
“แน่นอน เพราะเป็นเด็กกำพร้า ใช้ชีวิตเร่ร่อน จำเป็นต้องหาทางเอาตัวรอดตลอดเวลา” นางกินอาหารต่ออย่างไม่สนใจประโยค ‘ลองใจ’ของเขานัก “อันที่จริง อาหารเหล่านี้เป็นอาหารพื้นๆ หากใต้เต้าฉู่เปิดใจสักนิดจะรู้ว่า รสชาติอาหารชาวบ้านไม่ได้เลวร้ายจนเกินไปนัก หรือจะให้พูดให้ถูกก็คือดีกว่าไม่มีกิน” หันซูสะอึกไปคำใหญ่ เหลือบตามองทางฉู่ห่าวหรานอีกครั้ง ทว่ากลับตกตะลึงไปที่ไม่เห็นสีหน้าเคืองโกรธซ้ำยังยิ้มออกมาอีก เป็นรอยยิ้มที่พึ่งพอใจในสิ่งที่ได้ยินอีกด้วย เขาเหลือบตามองมาทางเย่วซินที่ยังกินมื้อเย็นต่อไม่สนใจเรื่องเมื่อครู่ และยังคงคีบอาหารให้ฉู่ห่าวหรานที่เห็นได้ชัดว่าวันนี้เขากินข้าวได้มากกว่าปกติ “เรื่องการจัดการรายชื่อคนเช่าใช้ที่ดินคงต้องรบกวนพ่อบ้านหันซูแล้ว” นางเอ่ยขึ้นน้ำเสียงผ่อนคลายลง “คนไม่รู้หนังสือมีมาก พวกเขาเองเคยถูกเอารัดเอาเปรียบมาก่อน จึงค่อนข้างกลัวจะซ้ำรอยเดิม” “เห็นใต้เท้าฉู่เป็นคนเช่นไรกัน” หันซูหงุดหงิดขึ้นมาแต่กลับทำให้เย่วซินหัวเราะเบาๆ “ก็เห็นเป็นขุนนางอย่างไรเล่า” นางตอบแล้วสบตากับฉู่ห่าวหราน “ถึงจะเป็นขุนนางตกอ
“ท่านไม่มีกำลังภายใน ไม่เคยฝึกเพลงยุทธ์ กล้ามเนื้อไม่แข็งแรง และยิ่งประสบเรื่องเช่นนั้นมา ท่านยิ่งต้องพยายามเคลื่อนไหวช่วงล่างให้มาก” “เจ้าก็รู้ว่าขาข้าขยับไม่ได้” “ข้าไม่เชี่ยวชาญแต่อยากทดลองศาสตร์กดจุดฝ่าเท้ากับท่านดูบ้าง” นางยังคงยิ้มเช่นที่เคยเป็นมา “ถ้าข้าทำให้ท่านเดินได้เป็นปกติ จะได้อวดกับผู้อื่นได้ว่า ข้าเยว่ซินเป็นยอดฝีมือศาสตร์แห่งกดจุดฝ่าเท้า” “เจ้าใช้ข้าเป็นหนูทดลอง?” เขาถามกลับยิ้มๆ ใบหน้าผ่อนคลายลงมาก อาจเพราะสัมผัสของนางทำให้เขารู้สึกเช่นนั้น “ใครจะกล้าทำเช่นนั้น” นางหัวเราะ “อย่างน้อยท่านก็เป็นคนที่สองรองจากพ่อบุญธรรม” “อาจารย์มู่เป็นคนเช่นนั้น เขาเกิดมาเพื่อเป็นอาจารย์ อุทิศตนเองสั่งสอนผู้อื่น” “หือ?” นางเบิกตากว้าง “ข้ารู้ว่าพ่อบุญธรรมชอบสั่งสอนผู้อื่น แต่อุทิศตัวเองนั้น ข้าว่ายังห่างไกลนักหรือท่านพูดถึงมู่หงเทียนคนละคนกัน” ฉู่ห่าวหรานหลุดหัวเราะในลำคอ “อาจารย์มู่เป็นคนเช่นนั้น อาจเพราะไม่ต้องทำงานรับใช้ผู้อื่น จึงแสดงตัวตนที่แท้จริงออกมา” “แล้วท่านเล่า ใต้เท้าฉู่ ตัว
“ข้าไม่ใช่คุณหนู ไม่ต้องดูแลถึงเพียงนี้” นางเอ่ยทั้งที่รับถ้วยน้ำชาจากอีกฝ่าย “แต่คุณหนูก็เป็นคนที่ประมุขหมายตาให้สืบทอดตำแหน่ง”นางชี้นิ้วที่หน้าตัวเอง “ข้าเป็นโจรก็จริง แต่ไม่คิดอาจเอื้อมเป็นประมุขพรรคแมงป่องแดง”เรื่องในยุทธภพไม่ว่าจะเป็นพรรคฝ่ายอธรรมหรือฝ่ายธรรมะอะไรนั่น ล้วนไม่สนใจทั้งสิ้น นางแค่อยากมีชีวิตสงบสุขไปวันๆ ทว่ามู่ยี่-แม่บุญธรรมดีกับนางมาก เป็นคนสั่งสอนฝึกวรยุทธ์ให้นางด้วยตนเอง ส่วนมู่หง-เทียนสอนเรียนเขียนอ่าน บิดาของนางเคยเป็นอาจารย์ในสำนักศึกษาก็จริง แต่การสอนสั่งของทั้งสองต่างกันมาก มู่หงเทียนไม่เข้มงวดกวดขัน แต่มักหาเรื่องมาหลอกล่อให้นางสนใจใคร่รู้ เป็นนางที่เอ่ยปากขอร้องเขาเองนับตั้งแต่นางอยู่ในหุบเขาแมงป่องแดงนั้น ได้พบผู้คนมากมาย ทั้งนักเลงอันธพาล ขุนนาง พ่อค้า ชาวบ้าน และคนที่เป็นกำพร้าเหมือนกัน นางได้รับความสนใจจากมู่ยี่และมู่หงเทียนมากจนทั้งสองรับนางเป็นลูกบุญธรรม แม้เป็นเรื่องดีสำหรับนาง แต่ก็เป็นเหตุผลให้ผู้อื่นเกลียดนางเช่นกัน แต่นางไม่ได้ใส่ใจนัก เมื่อถึงเวลาต้องจากไปอยู่ดี แต่ทั้งสองมีบุญคุณกับนางมากเช่นกัน ก่อนจากไป นางจึงทำงานตามคำสั่งข
น้ำเสียงแข็งกร้าวแต่คุ้นหู ดวงตาของเย่วซินผ่าวร้อนขึ้นมา ‘พี่ใหญ่’ของนางเป็นเช่นนี้เสมอ ภายนอกดูดุดันก้าวร้าว แต่กับน้องๆ แล้ว เขาเป็นคนอ่อนโยนและจิตใจดี หากไม่เพราะผิดใจกับบิดา คงได้อยู่กันพร้อมหน้ากันนางเคยได้ยินชื่อนายอำเภอที่มาประจำการที่นี่ได้เพียงครึ่งปี แต่ยังไม่แน่ใจว่าเขาเป็นคนเดียวกับที่นางตามหาหรือไม่ ตามหาหลายปีแต่เมื่อได้พบกลับอ้าปากแต่พูดไม่ออก หัวใจก็เต้นแรงอย่างไม่อาจควบคุมได้ ทำได้เพียงยกมือขึ้นกุมอกตำแหน่งที่หยกชิ้นหนึ่งห้อยติดกายอยู่ใช่ นางต้องมอบของสิ่งนี้ให้ ‘พี่ใหญ่’ ของนาง“มีผู้บุกรุก!”เสียงตะโกนของเหล่าทหารยามทำให้เย่วซินตื่นจากภวังค์ นางถอยแล้วกระโดดขึ้นไปบนหลังคา ชายผู้นั้นกระโดดตามมา นางสะบัดมือวูบหนึ่งผงสีขาวกระจายไปเบื้องหน้าเขาทันที“หยุดนะ!เจ้าหัวขโมย!”“ข้าไม่ใช่ขโมยแค่มาขอยืมอะไรบางอย่าง ใช้เสร็จแล้วจะเอากลับมาคืน”เสียงหัวเราะหวานใสดังขึ้น ทำเอาชายหนุ่มตะลึงงันไปชั่วขณะ ผงสีขาวทำให้เขาชะงักยกมือขึ้นบังดวงตาและกลั้นหายใจ ทว่ากลับไม่สิ่งใดเกิดขึ้นเขาจึงลดมือลง พบเพียงความว่างเปล่า เขารู้ว่านางคือสตรี แต่น้ำเสียงและท่าทางเช่นนี้ช่างคุ้นเคยนัก คนท
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป