เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย
“นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ”
หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้
“ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา
“มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!”
“เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก”
“ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่างตีเหล็กเอาไว้ นางก้าวเท้าตามบ่าวรับใช้ได้สองสามก้าวก็นึกอะไรบางอย่างออก ล้วงมือในอกเสื้อหยิบตลับยาออกมา จังหวะหมุนตัวกลับส่งเสียงเรียกพร้อมปาตลับยาในมือออกไป
“หันซู!”
ปฏิกิริยาของหันซูรวดเร็วตามที่เยว่ซินคิดไว้ไม่ผิด เขาหันกลับมายกมือขึ้นรับตลับยาไว้ได้ทัน หญิงสาวยกนิ้วโป้งให้แล้วตะโกนออกไป
“นั้นเป็นยาสมานแผลสูตรลับที่ประเมินค่ามิได้ ทาบริเวณที่เป็นรอยแผลเป็นจะทำให้รอยแผลจางลง” นางเห็นแววตาลังเลของพ่อบ้านแล้วก็หัวเราะออกมา “ลองทดสอบดูก็ได้ มิใช่ยาพิษหรอก อ้อ! ใต้เท้าฉู่ ลานด้านหลังยังว่างอยู่ ข้าขออนุญาตทำคอกเลี้ยงไก่นะ”
“เลี้ยงไก่?”
“ตอนเย็นมีบะหมี่ไข่กับเกี๊ยวกุ้งด้วย ท่านอยากกินอะไรเพิ่มอีกไหม”
“กุ้ง?” หันซูประหลาดใจ นางซื้อกุ้งมาจากที่ใด
“อืม กุ้งแม่น้ำ แล้วตอนเย็นข้าจะไปกินข้าวด้วย” นางไม่รอให้อีกฝ่ายได้โต้ตอบอะไร รีบเดินเร็วๆ ไปพบคนที่นัดหมายไว้
“หันซู” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยขึ้น
“ขอรับ” หันซูมัวแต่นึกถึงอาหารที่จะได้กินเย็นนี้ก็ทำให้สติหลุดไปชั่วขณะ
“กลืนน้ำลายของเจ้าเสีย”
“ขอรับ!” หันซูรีบกลืนน้ำลายลงคอทันที
ฉู่ห่าวหรานกลอกตาแล้วระบายลมหายใจเบาๆ “เจ้าตรวจสอบยาตลับนั้น”
“ขอรับ” เขาเปิดตลับยาขึ้นดมกลิ่นแต่ยังไม่กล้าแตะต้องเพราะเกรงจะมีพิษ
“เจ้าคิดว่านางมีวรยุทธ์หรือไม่”
“จะลองหาทางทดสอบนางดูขอรับ นายท่านคิดว่านาง...”
“ข้าก็ไม่รู้ว่าเหอเยว่ซินตัวจริงเป็นเช่นไร หรือสิ่งที่เราได้ยินเป็นเพียงการปล่อยข่าวให้เชื่อว่านางเป็นเช่นนั้น”
ฉู่ห่าวหรานกล่าวไปตามที่คิด แต่ถ้อยคำที่นางเอ่ยกับเขานั้น ทุกถ้อยคำกรีดลึกที่หัวใจของเขา จนเผลอกำมือแน่น ทว่าความเจ็บปวดนั้นกลับทำให้เขาแค่นยิ้มออกมา
นางคิดว่าจะเปลี่ยนอะไรได้หรือ?
อุดมการณ์เหล่านั้นมันเป็นเพียงภาพเพ้อฝันในวันวาน
เอาเถอะ เขาจะลองเล่นสนุกกับนางดูสักหน่อย หรือเป็นเพราะฮ่องเต้ยังคงเคลือบแคลนในตัวเขาอยู่ เขาวางมือลงบนหน้าขาของตัวเอง ต้องสูญเสียเท่าไหร่ จึงจะยืนยันได้ว่าเขาคือผู้บริสุทธิ์!
หญิงสาวหยิบหน้าไม้ขึ้นมาดู โยนใส่มือขวาสลับใส่มือซ้าย และลองสะบัดไปมาทดสอบว่าเหมาะกับมือของตนหรือไม่
“ไม่ทราบว่าถูกใจแม่นางหรือไม่”
“อืม” นางพยักหน้ารับแล้วหยิบลูกศรขึ้นดู หัวคิ้วขมวดเล็กน้อย หากจะทำได้ดีกว่านี้คงต้องใช้เงินซื้อวัสดุที่ดีมากกว่านี้ ซึ่งนั้นเป็นปัญหาของนาง “ตะขอที่สั่งไว้ล่ะ”
“ข้าทำตัวอย่างมาให้แม่นางดูก่อน ถ้าไม่แก้ไขอะไรจะทำมาให้เพิ่มขอรับ”
มือเรียวเล็กยื่นไปรับตะขอเหล็ก มันเหมือนเบ็ดตกปลาแต่มีขนาดใหญ่กว่าและแข็งแรงกว่า มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มอย่างพอใจ
“ฝีมือท่านอาหยวนไม่เลวเลยจริงๆ” นางกล่าวจากใจจริงแล้วหยิบถุงเงินส่งให้ “ช่วยหาหินลับมีดให้ข้าสักอันสิ”
“เอ่อ...ได้ ได้ขอรับ”
ช่างตีเหล็กรับปาก แม้จะประหลาดใจกับสตรีร่างเล็กและแปลกหน้าผู้นี้ ทว่าเมื่อได้เห็นฝีมือขับไล่หมาป่าของนางแล้ว ต้องยอมรับว่านางไม่ใช้สตรีธรรมดา การที่นางถามหา ‘หน้าไม้’ ‘ตะขอเหล็ก’ หรือแม้แต่ ‘หินลับมีด’ ก็ไม่นับว่าแปลกอันใด
“ท่านอาหยวนฝีมือดีขนาดนี้ เหตุใดหลบซ่อนตัวเองในหมู่บ้านเล็กๆ เช่นนี้เล่า” นางถามคล้ายหยั่งเชิงคล้ายชวนคุยอย่างไม่ต้องการคำตอบจริงจังนัก ทว่าคนถูกถามชะงักไปเล็กน้อย รอยยิ้มภายใต้หนวดเครารุงรังบนใบหน้าจางหายไปในทันที แม้ไม่มีผู้ใดมองเห็น แต่เยว่ซินสัมผัสได้ นางยังคงระบายยิ้มแล้วเอ่ยต่อ “ถ้าคนดีมีฝีมืออาศัยอยู่แต่ในเมืองหลวงกันเสียหมด คนในหมู่บ้านชนบทก็คงยากไร้ช่างฝีมือดี อันที่จริงต้องขอบคุณท่านอาที่เสียสละตนเองถึงเพียงนี้”
“แม่นางเยว่ซินกล่าวเกินไปแล้ว” เขาพูดพลางยกมือขึ้นเกาท้ายทอย “หากมีเรื่องใดโปรดเรียกใช้งานข้าได้ทุกเวลา”
“เช่นนั้นข้าไม่เกรงใจแล้ว ท่านทำตะขอเพิ่มให้ข้าอีกห้าอันนะ”
“ได้ๆ เสร็จแล้วข้าจะเอามาให้พร้อมหินลับมีด”
“รบกวนท่านอาแล้ว”
เยว่ซินเดินไปส่งช่างตีเหล็กที่หน้าคฤหาสน์ อันที่จริง นางไม่ได้ตั้งใจเดินไปส่ง แต่เดินไปดูบริเวณหน้าคฤหาสน์ต่างหาก ตามจริงนางควรนั่งคุยเจรจากับเขาเสียที แต่มีเรื่องวุ่นวายเข้ามาตลอด นางยกมือขึ้นนับนิ้วว่าใช้เวลาหมดไปกี่วันแล้ว ป่านนี้ ‘เหอเยว่ซิน’ คงเดินทางไปถึงจุดหมายใช้ชีวิตกับคนรักของนางแล้ว
คิดถึงตอนนี้นางก็เผลอยิ้มออกมา
อันที่จริง ราชครูผู้นี้ก็ดูมิใช่คนเลวร้ายสักเท่าไร และดูไม่ใช่คนโง่อะไรนัก เหตุใดไม่สงสัยในตัวนาง แม้นางมีรูปโฉมงดงามไม่น้อย แต่เขาน่าจะพบพิรุธในตัวนาง เยว่ซินยกมือขึ้นม้วนปลายผมของตนเองเล่นพลางเดินขึ้นไปบนเขา นางชอบภูเขาลูกนี้มาก อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก เสมือนครัวขนาดใหญ่ ธารน้ำตกที่ไหลจากภูเขาหล่อเลี้ยงคนเบื้องล่าง หากทำการเพาะปลูกดีๆ หาวิธีผันน้ำไปใช้ย่อมสร้างประโยชน์ได้มากมาย คนในหมู่บ้านมีราวสามร้อยคนเท่านั้น หากจะนำของป่าไปขาย ต้องคำนวนเวลาในการในเดินทางให้ดี ออกจากบ้านแต่เช้าตรู่ เที่ยงวันคงไปถึง แต่ในเมืองคึกคักมาก นางจำได้ว่าตอนที่เดินทางผ่านมานั้นเห็นผู้คนมาซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้ากันมาก
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง “มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา “ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง “หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ” “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อร
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป “แม่นางเหอ!”
วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหายถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนางมุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนหากเขาจะเลิกหล
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่” “มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ” “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่” “ขอรับ” เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้ หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เข
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง “ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ” ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ” “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่” “หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว “บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย “ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่ค
บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู “ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง “แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน” “มีเรื่องใดรึ” ดว