บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน
หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู
“ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น
เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง
“แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน”
“มีเรื่องใดรึ” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น
“มีเด็กๆ กลุ่มหนึ่งมาตะโกนเรียกหาคุณหนูที่หน้าคฤหาสน์ขอรับ”
“เด็ก?”
“ขอรับ พวกเราห้ามไว้ไม่ให้เข้ามา พวกเด็กจะบุกเข้ามาให้ได้ขอรับ”
“ก็แค่เด็กจะตื่นเต้นไปไย”
“แต่นายท่านมิชอบให้ผู้อื่นเข้ามารบกวน ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบ...”
“เข้าใจแล้วๆ ข้าไปเอง”
เยว่ซินโบกมือห้ามไว้ก่อน นางหมุนตัวแล้ววิ่งไปโดยเร็ว
ทำไมเส้นทางการเดินไปพบหน้าฉู่ห่าวหราน ถึงได้ยาวไกลเช่นนี้นะ!
“เด็ก?”
“เด็กๆ จากในหมู่บ้านขอรับ”
“นางคิดจะทำอะไรกันแน่” ฉู่ห่าวหรานส่งพู่กันให้หันซูแล้วหยิบผ้ามาเช็ดมือ “ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
“ไปดู...เอ่อ...”
“ทำไมมีอะไรที่ข้าไม่ควรเห็น?” ฉู่ห่าวหรานเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ไม่มีขอรับ แค่เห็นว่านายท่านไม่ชอบเด็กๆ”
“ข้าแค่ไม่ชอบเสียงดัง” เขาส่ายหน้าไปมา “พาข้าไป”
“ขอรับ”
หันซูเข็นรถเข็นของนายท่านมาที่ลานบ้าน เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังเหลาไม่ไผ่ เด็กผู้หญิงนั่งบนพื้นรออยู่ใกล้ๆ ส่วนหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางเด็กเหล่านั้น ก็เหมือนเป็นเด็กตัวโตเสียมากกว่า
“นี่ๆ ระวังด้วย”
“ทราบแล้วพี่เยว่ซิน”
“ช่วยกันทำ อย่าทำแค่ของตัวเอง” นางยืนคุมเด็กน้อยที่กำลังทำว่าวกระดาษ เสียงหัวเราะของเด็กน้อยชะงักไปทำให้นางรู้สึกตัว เห็นสายตาของเด็กๆ จ้องมองไปด้านหลังนาง นางจึงหมุนตัวหันกลับไปมอง
“ท่านราชครู” นางฉีกยิ้มกว้าง แต่เห็นสีหน้าราบเรียบราวแผ่นน้ำแข็งแล้วก็หุบยิ้มแล้วหมุนตัวไปพูดกับเด็กๆ “นี่ๆ พวกเจ้าเบาเสียงหน่อยสิ เกรงใจเจ้าของบ้านบ้าง”
“แล้วพี่เยว่ซินไม่ใช่เจ้าของบ้านหรือ?”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” นางยื่นมือไปขยี้ผมของเด็กชายแรงๆ “ข้ามาอาศัยท่านราชครูอยู่ต่างหากละ”
ดวงตาของฉู่ห่าวหรานกระตุก หญิงสาวหันกลับมาส่งยิ้มกว้างให้เขา
“ข้ารู้ว่าใต้เท้าจะถามอะไร ข้าตอบเลยก็แล้วกัน ท่านคงพอจำได้ เด็กๆ กลุ่มนี้ท่านพบที่ริมแม่น้ำแล้ว” นางหยุดแล้วรอดูสีหน้าของอีกฝ่าย เมื่อสีหน้าเขายังคงเดิมไม่เปลี่ยน นางจึงพูดต่อ “พวกเขาอยากไปเล่นน้ำอีก แต่ข้าไม่อยากให้พวกเขาไปเล่นกันเอง และข้าก็ไม่อยากไปเป็นเพื่อนพวกเขา ข้าเลยเสนอตัวสอนเด็กๆ ทำว่าวกระดาษแทน หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
“ว่าวกระดาษ?”
“อื้ม” นางรีบหยิบว่าวที่ทำเสร็จแล้วส่งให้เขาดู “กระดาษไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอเอามาทำเล่นได้เจ้าค่ะ”
แม้ไม่อยากรับ แต่ยื่นใส่มือเช่นนี้ ฉู่ห่าวหรานจำใจรับว่าวกระดาษมาพลิกดูไปมา งานไม่ละเอียดและกระดาษไม่ดีนัก แต่ดูแล้วก็พอใช้เล่นสนุกได้
“ถ้าท่านชอบ ข้ายกให้” เยว่ซินยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เพราะเขานั่งบนรถเข็น นางจึงค้อมเอวลงมาเล็กน้อย ใบหน้าของนางใกล้กับใบหน้าน้ำแข็งของฉู่ห่าวหรานมาก ลมหายใจอุ่นๆที่ปะทะใบหูทำเอาชายหนุ่มชะงักงันไปชั่วขณะ
“ข้าก็อยากได้นะพี่เยว่ซิน”
“ข้าก็ด้วย”
“ข้าด้วย”
นางยืดตัวขึ้นแล้วพูด “ได้ๆ ได้ทุกคนไม่ต้องห่วง เพราะพวกเจ้าต้องทำเอง”
เสียงเด็กๆโห่ร้องไม่พอใจ เยว่ซินขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นกอดอก “ข้าสอนพวกเจ้าทำว่าวเป็น วิชาความรู้นี้ไม่ได้เรียนกันโดยง่าย ข้าสอนพวกเจ้าไม่มีสิ่งใดแลกเปลี่ยน ตามหลัก พวกเจ้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์แล้ว”
“อาจารย์?”
“ถูกต้อง” นางพยักหน้ารับ “แต่ข้าเป็นคนดีไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าเรียกข้าว่าพี่เยว่ซินก็พอ”
“พี่เยว่ซิน!”
“พวกเจ้าลงมือทำตามที่ข้าสอน ฝึกฝนบ่อยๆ ก็เชี่ยวชาญชำนาญไปเอง”
นางเอ่ยจบก็หันกลับมาทางฉู่ห่าวหราน “ข้าใช้ลานบ้านท่านโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ท่านไม่ถือโทษโกรธข้านะ”
ถ้าบอกว่าไม่พอใจก็พูดไม่ได้สินะ
ราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย นางยิ้มทะเล้นแล้วเอ่ย “ที่นี่ไม่มีสำนักศึกษา พ่อแม่จะส่งลูกๆไปเรียนก็ไกลเหลือเกิน พวกเขาก็หวังอยากให้ลูกมีความรู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กพวกนี้น่าสงสาร บางคนเขียนชื่อตัวเองไม่เป็นเลย”
น้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกเวทนานั้น ไม่ได้ทำให้ฉู่ห่าวหรานใจอ่อน แต่กำลังใจตั้งใจฟังว่านางพยายามทำสิ่งใดอยู่
“มีสิ่งใดก็พูดออกมาเลยดีไหมแม่นางเหอ”
“เยว่ซิน” นางรีบพูดแทรก “ข้ายินดีให้ท่านเรียกข้าว่าเยว่ซิน”
“แม่นาง...”
“เรียกแค่เยว่ซินก็พอแล้ว ท่านจะเรียกทั้งชื่อแซ่เลยหรือไร อย่างไรเสียข้ายังตัวติดกับท่านอีกนาน” นางฉีกยิ้มประจบใส่ดวงตาของเขา
“เยว่ซิน” เขาเอ่ยชื่อนางตามที่นางร้องขอ ไม่ใช่เพราะนางสั่ง แต่เขาแค่อยากตัดความรำคาญนี้ทิ้งไป
“ใต้เท้าฉู่ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ” นางเปลี่ยนสีหน้าให้ดูน่าสงสาร หลุบตาลงเล็กน้อย ทำทีเป็นชำเลืองมองไปทางเด็กกลุ่มนั้น “หากมีใครสักคนยอมสละเวลา ฝึกสอนให้พวกเขาได้ร่ำเรียนเขียนอ่านคงดีไม่น้อย”
“แม่นางเหอจะให้ใต้เท้าฉู่สอนเด็กๆ เหล่านี้รึ” หันซูเบิกตากว้าง เรื่องเช่นนี้ เขาเองยังไม่เคยคิด ฉู่ห่าวหรานสั่งสอนแต่ราชนิกูล ไม่เคยสอนชาวบ้าน และที่สำคัญ เด็กเล็กขนาดนี้ด้วย
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา
“พวกเจ้ากล้าขัดบัญชาขององค์ฮ่องเต้” เขาเลิกคิ้วถาม “ขัดบัญชาที่ใดกัน ข้าก็มายืนตรงหน้าท่านนี่ไง” นางกลอกตามองบน เมื่อเข็นรถมาถึงเรือนของเขาแล้ว นางก็เดินไปที่ป้านน้ำชาที่นางตระเตรียมไว้ก่อนแล้ว “นี่ชาดีบัว แล้วก็บัวลอยไส้งาดำ งาดำนี่กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และบำรุงกระดูก” “เจ้ามีความรู้เรื่องการทำอาหารดียิ่ง” เขาเอ่ยชม รับถ้วยชานางนางมาจิบ แม้เคยลิ้มชิมรสชาราคาแพงมากนักต่อนัก ชาของนางไม่ได้ดีเลิศหากแต่ช่วยเรื่องสุขภาพได้ดีอย่างที่นางพูดจริง เขารู้เพราะนางหมั่นเปลี่ยนชาสมุนไพรให้เขาอยู่เสมอ เขาไม่ทักถามเพราะเห็นว่าไม่มีพิษอะไรจึงปล่อยเลยตามเลย “ท่านแม่ข้าสอน ข้าหมายถึง แม่ที่ให้กำเนิด” นางพูดเสียงเบาแต่แววตาปรากฏรอยยิ้ม “แล้วตอนนี้บิดามารดาของเจ้าอยู่ที่ใดกัน” “ตายหมดแล้ว” นางตอบรวดเร็วจนเขาต้องเงยหน้ามอง “พ่อแม่ข้าตายตั้งแต่ข้าสิบขวบ หลังจากนั้นข้าก็เร่ร่อนไปเรื่อย จนได้มาพบกับพ่อแม่บุญธรรม อันที่จริง นอกจากข้าจะมาที่นี่เพื่อเหอเยว่ซินแล้ว ข้ายังมีภารกิจดูแลท่านตามคำสั่งของพ่อบุญธรรมด้วย” ฉู่ห่าวห
“เข้าใจแล้วขอรับ/เจ้าค่ะ”เด็กๆ ส่งเสียงตอบรับด้วยแววตาใสซื้อ เยว่ซินพยักหน้ารับแล้วเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้าง ปล่อยให้ฉู่ห่าวหรานสอนเด็กๆ เริ่มต้นรู้จักตัวอักษร หญิงสาวนึกถึงตัวเองตอนเป็นเด็ก บิดาสอนพี่ชายทั้งสองด้วยตนเอง นางซึ่งเป็นหญิงได้นั่งตักบิดาทั้งยังประคองมือนางจับพู่กัน พี่ใหญ่บ่นว่าบิดาลำเอียง พี่รองจะคอยห้ามไม่ให้นางทะเลาะกับพี่ใหญ่ ฐานะครอบครัวไม่ค่อยดีนัก ยามฝึกเขียนอักษร นางใช้กิ่งไม้ลากบนพื้นทราย ยามคิดถึงเรื่องในอดีต บางครั้ง นางไม่กล้าหลับตา เพราะกลัวภาพเหล่านั้นจะสลายหายไป แต่ความจริงก็คือความจริง กลิ่นคาวเลือดและร่างของมารดาที่ค่อยๆ เยียบเย็นลงที่ละน้อย คือสิ่งสุดท้ายที่เหลือไว้ให้นาง เยว่ซินเบือนหน้าไปทางอื่น นางไม่อาจสะกดความรู้สึกภายในได้ จึงตัดสินใจเดินออกมาเงียบๆ ตรงไปที่ครัวเพื่อตระเตรียมน้ำชาและของว่างให้ฉู่ห่าวหราน เป็นดั่งที่พ่อบุญธรรมกล่าวไว้ไม่ผิด เพียงแค่เอ่ยนามของพ่อบุญธรรม สีหน้าท่าทางของฉู่ห่าวหรานก็เปลี่ยนไป ใบหน้าของเขายังคงเย็นชาแต่มิได้หมางเมินเช่นที่ผ่านมา ‘มู่หงเทียน’ คือพ่อบุญธรรมของนาง ส่วนจอมโจร
“ต้องแช่น้ำสมุนไพรถึงครึ่งชั่วยาม ระหว่างนี้ข้ามีเรื่องอยากคุยกับเจ้า เจ้าสะดวกหรือไม่” “ได้สิ ข้าอยู่เป็นเพื่อนท่านได้” เยว่ซินได้ยินก็หมุนตัวกลับ แต่ไม่ทันได้เห็นรอยยิ้มของเขา นางหันไปทางหันซู “ความจริง ข้ามีเตรียมสมุนไพรประคบผ่อนคลายกล้ามเนื้อให้พ่อบ้านด้วยนะ เอาอย่างนี้ เจ้าเอาขาของใต้เท้าลงในอ่างน้ำสมุนไพรนี้เสียก่อน ประเดี๋ยวข้าไปเอาลูกประคบมาให้นะ” “ดะ...เดี๋ยว” “ปล่อยนางไปเถิด” “ขอรับ” หันซูรับคำสั่งแล้วเดินมาม้วนขากางเกงของผู้เป็นนายขึ้นจากนั้นจึงยกขาลงในอ่างใส่น้ำสมุนไพร “นายท่านเชื่อใจนางหรือขอรับ” “แล้วเจ้าเล่า นางทำอะไรใส่ปากเจ้าก็กินหมดมิใช่หรือ” “นั้นเพราะข้าอุทิศตัวเองทดสอบพิษให้นายท่านต่างหากล่ะขอรับ” หันซูพูดหนักแน่นแต่ในใจลอบยิ้ม แม้เคยแช่น้ำสมุนไพรนับครั้งไม่ถ้วน แต่ครั้งนี้รู้สึกผ่อนคลายมากจริงๆ สีหน้าของฉู่ห่าวหรานจึงไม่ตึงเครียดเช่นที่ผ่านมา แม้แต่หันซูยังสังเกตได้ “ใต้เท้า..” “ข้ามาแล้ว!” เยว่ซินวิ่งเข้ามาพร้อมกับห่อสมุนไพรที่ม้วนเป็นก้อน
“ว่ามาเถิด” เขาเริ่มคุ้นชินกับนิสัยของนางแล้ว “ถึงฮ่องเต้จะไม่โปรดท่าน แต่ประทานที่ดินรอบๆ คฤหาสน์นี้ให้ท่านใช้สอยได้ ท่านเองก็ไม่ได้ทำอะไร ก็น่าจะให้ผู้อื่นใช้ประโยชน์” “ผู้อื่น?” “ก็ชาวบ้านแถบนี้ที่ยังไม่มีที่ดินเป็นของตนเอง ท่านก็ให้พวกเขามาเพาะปลูกจะดีกว่า ถ้าท่านไม่สะดวกใจรับเงินค่าเช่า ท่านก็ปันผลผลิตของเขาพวกเขาได้” “เจ้าคิดว่าข้าไม่สะดวกใจรับเงินค่าเช่า?” เขาถามยิ้มๆ ดูรูปการณ์แล้วนางคงคิดไว้ก่อนแล้วแต่พูดออกหน้าแทน “บริเวณนี้ใกล้แหล่งน้ำ เพาะปลูกได้ดี แต่ถ้าหาทางผันน้ำไปกักเก็บให้ใช้ถึงก่อนที่ฝนทิ้งช่วงก็จะดีมาก” “ข้าก็คิดเช่นนั้น” ได้ยินเขาเอ่ยเช่นนี้แล้ว นางกระตือรือร้นออกนอกหน้า รีบเดินไปที่ชั้นวางตำราของเขา ทำราวกับรู้ว่ามีสิ่งใดวางตรงไหน แล้วนางก็หยิบหนังสือเล่มหนึ่งเดินกลับมา “ช่วงที่ท่านขึ้นเขา ข้าเอาหนังสือของท่านมาตากแดด บังเอิญเจอเล่มนี้เข้า ข้าอ่านไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ดูเหมือนจะเป็นกังหันผันน้ำ ท่านว่ามันใช้งานได้จริงๆ หรือไม่” นางเปิดหน้ากระดาษที่มีรูปวาดกังหันผันน้ำ เพราะอีกฝ่ายขยับมาหานางไ
“แล้ว...ท่าน...ท่านพี่ชอบข้าตรงไหน ทำไมท่านอยากแต่งงานกับข้า”‘ถามเอาตอนนี้มิช้าไปหน่อยหรือเจ้าลิงน้อย’ฉู่ห่าวหรานคลี่ยิ้มอ่อนโยน “ข้าชอบเวลาที่มีเจ้าอยู่ข้างกาย”แม้มีบิดาเป็นบัณฑิต แต่เยว่ซินไม่ได้ลึกซึ้งกับถ้อยคำที่ต้องคิดสลับซับซ้อน ขณะที่นางคิดทบทวนคำพูดของเขา ปลายนิ้วของชายหนุ่มก็ปลดเปลื้องเสื้อผ้าของนางออกที่ละชิ้น กว่านางจะรู้ตัว บนร่างก็เหลือเพียงเอี๊ยมสีแดงปิดบังบัวตูมคู่งาม“อ๊ะ!” เยว่ซินได้สติรีบยกมือขึ้นปิดทรวงอกแล้วหันหลังให้ เขาไม่เคยฝึกยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดเปลื้องเสื้อผ้ารวดเร็วถึงเพียงนี้เพราะหันหลังให้ เขาจึงเห็นรอยแผลเป็นสีชมพูจางๆ บนแผ่นหลังของนาง เด็กอายุสิบขวบได้รับบาดแผลขนาดนี้ นางต้องอดทนมากกว่าเขาหลายร้อยหลายพันเท่ากว่าจะผ่านมันมาได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้ทำลายรอยยิ้มหรือเสียงหัวเราะของนางได้เลย นั้นคือสิ่งที่เขาเรียนรู้จากนางฉู่ห่าวหรานโน้มหน้าลงประทับริมฝีปากกับรอยแผลของนางเบาๆ เยว่ซินสะดุ้งแต่ไม่กล้าเอี้ยวตัวกลับมามอง นางลืมไปเสียสนิทใจว่าตนหันหลังให้เขา“แผลอยู่ด้านหลังคงใส่ยาลำบากสินะ” เขาพูดเสียงพร่าชวนให้คนฟังหวั่นไหวพลางแกะสายเอี๊ยมเส้นเล็กด้านหลังขอ
‘คุณชายฉินฝากบอกคุณหนูว่า เมื่อถึงเวลาขายผลผลิตจะเป็นคนรับซื้อไว้เองขอรับ’ หม่าเจียนอี้รายงานตามที่ฉินเฟยหลงกำชับไว้ ‘เขาจะต้องการไปทำไมเยอะแยะ’ แรกทีเดียวนางไม่เข้าใจนัก แต่หลังจากมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงเดินทางจากไปได้ราวสองเดือน นางได้ข่าวว่าในวังหลวงเกิดก่อกฎบ แต่ครั้งนี้ไม่สูญเสียเท่าที่ผ่านมา เนื่องจากหลายฝ่ายทนพฤติกรรมฮ่องเต้ทรราชไม่ไหว รวมทั้งต้องการโคนล้มอำนาจเสนาบดีฝ่ายซ้าย ใช้เวลาเพียงไม่กี่วัน ทุกอย่างก็เข้าสู่สภาวะปกติ ถึงเวลานี้นางคาดเดาได้แล้วว่าฉินเฟยหลงแท้จริงแล้วเป็นใคร แต่ช่างเถอะ อย่างไรนางอยู่ที่นี่ไกลเมืองหลวงมาก หากไม่เพราะการข่าวของโรงรับจำนำเจิ้งจิงดีเยี่ยม นางคงไม่ต่างจากชาวบ้านทั่วไปที่กว่าจะรู้ข่าวก็ผ่านมานานนับเดือน เพราะความใจลอยคิดเรื่องอื่น ทำให้เยว่ซินเผลอเหยียบชายกระโปรงตนเอง นางเสียจังหวะเล็กน้อย แต่มือข้างหนึ่งยืนมาประคองนางไว้ก่อน “ไหวหรือไม่” น้ำเสียงอ่อนโยนเจือนความห่วงใย ทำให้เยว่ซินรู้ว่ามือที่ประคองนางอยู่คือใคร ทว่านางมองที่พื้นเห็นรองเท้าบุรุษยืนใกล้ม
มู่หงเทียนคืนหยกชิ้นนั้นให้เซียงเริ่นเจิน “หยกชิ้นนี้เป็นหยกลายเมฆที่ฮ่องเต้พระองค์ก่อนประทานให้” ฉินเฟยหลงปรายตามองเล็กน้อยก่อนเผยรอยยิ้ม “เอาเป็นว่า วันข้างหน้า หากพวกเจ้าต้องการล้างมลทินหาคนผิดมาลงโทษ ข้าจะช่วยเจ้าเต็มที่” เซียงเริ่นเจินไม่รู้ว่าที่แท้ฉินเฟยหลงเป็นใคร รู้เพียงว่าเขามีลักษณะโดดเด่นเหนือคนทั่วไป แต่ลึกๆ เขากลับรู้สึกมีความหวัง การเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี แม้เขาเป็นขุนนางแต่ก็คาดหวังเห็นความสุขของชาวบ้านเหนือสิ่งอื่นใด “เอาล่ะ ถึงเวลาแล้ว พวกเราต้องเดินทาง” มู่หงเทียนเอ่ยกับทุกคน แต่สายตาหยุดที่ฉู่ห่าวหราน “ข้าหวังใจว่าเจ้าจะกลับไปช่วยงานอีกครั้ง” ฉู่ห่าวหรานไม่ได้ปากตอบรับ เขาเพียงส่งยิ้มน้อยๆ แล้วประสานมือคารวะ “ขอให้เดินทางโดยปลอดภัย” หลังจากสิ้นสุดการสนทนา ทั้งหมดออกมาส่งมู่หงเทียน มู่ยี่และฉินเฟยหลงขึ้นรถม้า ทว่ายังมีรถม้าโกโรโกโสคุ้นตารออยู่ไม่ไกล เยว่ซินจำได้ดีว่าเป็นรถม้าของฉู่ห่าวหราน “ทำไมรถม้าของท่านมาอยู่ตรงนี้” “ข้าเองก็ต้องกลับคฤหาสน์เชิงเขาแล้ว” “
ฉู่ห่าวหรานตื่นจากภวังค์พลิกฝ่ามือหงายขึ้นแล้วประสานมือกับนางแล้วส่งยิ้มอ่อนโยน “ข้าไม่ได้เป็นอะไร เจ้าอย่ากังวลใจไปเลย” ท่าทีสนิทสนมและอาการห่วงใยเต็มเปี่ยมนี้ ทำเอาพ่อและแม่บุญธรรมรวมทั้งฉินเฟยหลง นั่งยิ้มกริ่มแม้แต่หันซูที่เคยไม่ชอบนิสัยไร้มารยาทของนางยังยอมรับว่า ทั้งคู่เหมาะสมกันยิ่ง คู่สวรรค์สร้างเช่นนี้ไม่แต่งงานกันได้อย่างไร เยว่ซินเพิ่งรู้ว่าตกเป็นเป้าสายตาจึงคิดชักมือกลับแต่ฉู่ห่าวหรานบีบมือนางไว้ไม่ยอมปล่อย จะว่าไป นางมีเรี่ยวแรงมากกว่าเขา แต่ทำไม นางไม่สามารถดึงมือตนเองกลับมาได้ การที่เขากุมมือไว้มันรู้สึกดีเหลือเกิน “เด็กโง่” มู่ยี่หัวเราะร่า พอใจที่เห็นว่าที่ลูกเขยใส่ใจลูกสาวบุญธรรมอย่างดี “บุรุษที่ดีเช่นนี้ต้องรีบคว้าไว้สิ ” “พวกท่านไม่เข้าใจ” นางหมายถึงบาดแผลไฟไหม้บนแผ่นหลังของนาง เป็นสามีภรรยา ยามร่วมหอต้องเปลือยกายแล้วเขาเห็นแผลเป็นของนางจะไม่หมดเสน่หาไปหรือ? แม้ฉู่ห่าวหรานยืนยันว่าเขาไม่ได้ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ แต่นางยังเป็นกังวลอยู่ดี “แผลเป็นของฉู่ห่าวหรานรักษาได้ แผลเป็นของเจ้าก็รักษาได้เช่นก
“ขออภัยแม่นางเหอ ตอนนี้จิตใจของข้าอยู่ที่การดูแลซินเอ๋อร์ คงไม่มีใจไปทำสิ่งอื่นได้” “ซะ...ซิน...ซินเอ๋อร์” เยว่ซินทำตาปริบๆ ไม่คิดว่าเขาจะเรียกนางสนิทสนมอย่างนี้ “คุณชายฉินเรียกเจ้าว่าซินเอ๋อร์ได้แล้วข้าเรียกไม่ได้รึ” ฉู่ห่าวหรานยังคงน้ำเสียงราบเรียบแต่แววตาจ้องเขม็งที่นางทำให้หญิงสาวได้แต่ก้มหน้าหงุดจนคางแทบชิดอก ท่าทางของเยว่ซินทำให้ฉินเฟยหลงหัวเราะด้วยความพอใจ “เรียกซินเอ๋อร์นั้นเหมาะสมแล้ว” ฉินเฟยหลงพอใจที่เห็นฉู่ห่าวหรานแสดงท่าทีชัดเจนเช่นนี้ ก็คงมีลิงน้อยโง่งมของเขาที่ดูไม่ออกหรือไรว่าอีกฝ่ายมีใจให้นาง “เอาล่ะ ข้ามาเพื่อกล่าวลา และหวังใจว่าจะได้พบท่านราชครูฉู่ที่เมืองหลวง ท่านมิต้องรีบให้คำตอบข้า แค่เมื่อถึงวันนั้น ข้าจะถามท่านอีกครั้ง” “ขอบคุณคุณชายฉิน” ฉินเฟยหลงผงกศีรษะให้เล็กน้อย แล้วจับท่อนแขนของเหอเยว่ซิน กึ่งลากกึ่งจูงออกมาทันที ไม่น่าเชื่อเลยว่า เขาเตือนนางแล้ว แต่นางยังกล้าทอดสะพานให้ฉู่ห่าวหรานอีก สตรีผู้นี้น่าชังยิ่งนัก “เอ๊ะ!” “ยังจะอยู่อีกเรอะ” เหอเยว่ซินกัดริมฝีปากไม่กล้าโต้เถียงอะไร ได้แต่ปล่อยให้เขาลากออกมา ฉู่ห่าวหรานถอนใจเบาๆ ในห้องเหลือเพียงเขา
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไรไม่รู้ มาช่วยข้าเตรียมอาหารเถิด” “ได้เจ้าค่ะ ฮูหยิน” “เชี่ยวเมิ่น!” เสียงหัวเราะหวานใสของทั้งสองคนทำให้ห้องครัวเล็กๆ ดูอบอุ่นขึ้น เชี่ยวเมินติดตามจางฮุ่ยเหมยมานาน ลำบากมาด้วยกันก็มาก นางได้แต่หวังว่านายของตนจะพบความสุขเสียที. ฉินเฟยหลงเห็นเพียงเสี้ยวหน้าของหญิงสาวก็เดาความรู้สึกนึกคิดของอีกฝ่ายได้ แม้ใบหน้าระบายยิ้มแต่ดวงตาเปล่งประกายความไม่พอใจอยู่หลายส่วน “แม่นางเหอ” เจ้าของชื่อตัวจริงถึงกับสะดุ้ง เหอเยว่ซินที่ยืนอยู่หลังบานประตูที่แง้มอยู่ มือที่ประคองถาดขนมหวานสั่นน้อยๆ เมื่อเห็นว่าผู้มาเป็นใคร นางก็คลี่ยิ้มอ่อนหวานแล้วเอ่ยทักทาย “คุณชายฉินเฟยหลง” แม้เขาจะยิ้มแต่ดวงตาไม่ยิ้ม ชายหนุ่มไม่ได้เปิดเผยฐานะที่แท้จริงของตน เขาคลี่พัดในมือโบกเบาๆ แสร้งทำเป็นมองเข้าไปด้านใน“อ่อ...ท่านราชครูฉู่อยู่กับซินเอ๋อร์ที่นี่เองหรือ? แหม...ดูเอาใจใส่ซินเอ๋อร์ดีเหลือเกิน” ชายหนุ่มลอบสังเกตสีหน้าของเหอเยว่ซินแล้วพูดต่อ “เจ้าคงคิดสินะว่า ที่ตรงนั้นควรเ
“เหลวไหล” เซียงเริ่นเจินขึงตาดุใส่น้องสาว “เป็นเพราะข้าไม่ดีเอง เจ้าถึงต้องตกระกำลำบากเช่นนี้ และหากไม่ได้ท่านมู่หงเทียนและประมุขมู่ยี่แล้ว เจ้าจะลำบากมากขนาดไหน พวกเขาทั้งสองก็เสมือนผู้มีพระคุณของข้าด้วย” “พี่ใหญ่” “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เจ้าคือน้องสาวของข้าเซียงเริ่นเจิน หากใครกล้าดูถูกเจ้าก็เหมือนดูถูกข้าเช่นกัน” “ใต้เท้าเซียงให้นางพักผ่อนอีกนิดเถอะ เมื่อครู่นางฟื้นมาก็บ่นหิว รบกวนท่านให้ทางโรงครัวส่งอาหารอ่อนๆ ให้นางได้หรือไม่” “ได้ๆ ข้าจะไปดูด้วยตนเอง วันนี้เจ้ายังไม่แข็งแรงดี กินโจ๊กไปก่อน ประเดี๋ยวหายดี พี่ใหญ่จะทำเกี้ยวไส้ผักที่เจ้าชอบให้เอง” “ข้าชอบไส้ผักที่ไหนกัน” นางเบ้ปากใส่ แต่เซียงเริ่นเจินหัวเราะร่า “ใช่ๆ เจ้าไม่ชอบกินผัก เป็นพี่ใหญ่ที่รับหน้าที่กินแทนเจ้าทุกครั้งไป” เขารู้แต่แกล้งหยอกนางเล่น “เกี้ยวกุ้งคำโตๆ” “หัวสิงโตตุ๋นผักกาดขาวด้วย” “ได้ๆ” เซียงเริ่นเจินอารมณ์ดียิ้มแก้มแทบปริ “เจ้าอย่าเพิ่งซุกซน ประเดี๋ยวพี่จะยกโจ๊กร้อนๆ มาให้” เยว่ซินมองร่างสูงโปร
“มีอะไร!” นางหัวเราะร่ายกนิ้วขึ้นปัดปลายจมูกของตนเล่น “ข้าก็แค่เอาคืน โทษฐานที่ทำให้ข้าหน้าคะมำ” ห่าวอู๋ยันกายขึ้นด้วยความโมโห เพราะต้องพิษทำให้ไม่อาจใช้ วรยุทธ์ได้เต็มที่ เขาตวัดดาบใส่หมายฟาดร่างนางไปสองท่อน เยว่ซินถอยหลังหลบทันที นางเห็นกระบี่ตกข้างกายคนตายจึงหยิบขึ้นมาใช้รับดาบที่ฟาดใส่ แรงสะท้อนทำเอามือเล็กชาแต่นางเกร็งกำลังรับไว้ เหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า นึกเสียใจที่ไม่ฝึกเพลงยุทธ์ให้มากกว่านี้ ทว่ากระบี่เล่มหนึ่งพุ่งเข้ามาช่วยนางไว้ได้ทัน เซียงเริ่นเจินพลิ้วกายต่อสู้ได้รื่นไหลราวสายน้ำ เยว่ซินไม่คิดว่าพี่ใหญ่จะมีวิทยายุทธ์ล้ำเลิศกว่านางนัก ‘ท่านพ่อ ท่านแม่ พี่รอง พวกท่านดูพี่ใหญ่ของเราสิ! ช่างเก่งกาจองอาจสง่างามอะไรอย่างนี้’ เซียงเริ่นเจินฝึกวรยุทธ์เพื่อป้องกันตัว เรื่องที่เขาขัดแย้งกับบิดาอยู่บ่อยๆ คือเขาเป็นคนชอบฝึกเพลงยุทธ์แต่บิดาไม่สนับสนุน เมื่อหนีออกจากบ้านได้เขาไปอาศัยที่วัดแห่งหนึ่ง ได้พบไต้ซือผู้หนึ่งช่วยชี้แนะทำให้เขาผู้ไม่มีพื้นฐานได้สามารถฝึกฝนได้ทันผู้อื่น เพียงเพื่อเอาชนะคำพูดของบิดา เขายอมลำบากฝึกทั้งบ
ชายในชุดดำผลักไหล่หญิงสาวให้มายืนด้านหน้า แต่เพราะเจ้าของร่างบอบบางหวาดกลัวจนไร้เรี่ยวแรงจึงเกือบหน้าคะมำไป “เบามือหน่อย ประเดี๋ยวก็ช้ำหมด” หงเหมาตานคือชายร่างหมีในห่มหนังสัตว์ตวาดลูกน้อง เขาลุกขึ้นหมายจะประคองสาวงาม แต่หญิงสาวกลับกระถดกายหนีอย่างน่าสงสาร ชายอีกคนถึงกับหัวเราะออกมา “เจ้าก็ทำให้นางกลัวเหมือนกัน” ห่าวอู๋หัวเราะร่ายกสุราขึ้นดื่มแล้วจึงโน้มกายลงไปใกล้ร่างหญิงสาวที่สั่นระริก “ขออภัยด้วยคุณหนูจาง ความจริงพวกเราไม่ได้สนใจเจ้านักหรอก แต่เพราะสตรีพรหมจรรย์หายากยิ่ง อีกทั้งได้ยินว่าเจ้าถูกบิดาหมางเมิน หากเป็นอะไรไปก็ไม่มีใครออกตามหากระมัง” ทั้งสองประสานเสียงหัวเราะเย้ยเยาะโชคชะตาของหญิงสาว เสียงหัวเราะของมัน ทำให้หญิงสาวที่อยู่ในกรงขังที่มีลักษณะคล้ายกรงนกขนาดใหญ่ด้านข้างมีอาการหวาดผวา ทว่าบางคนยังเหม่อลอยด้วยถูกกลิ่นกำยานมอมเมาให้จิตล่องลอย ปลายนิ้วของห่าวอู๋ยื่นไปหมายเชยคางหญิงสาวให้เงยหน้าเพื่อชื่นชมความงามของนาง ก่อนจะส่งไปรีดเลือดทำยาอายุวัฒนะ เพียงหญิงสาวเงยหน้าขึ้นสบตากับเขา ดวงตาของนางไร้ความหวาดกลัว ทำให้อีกฝ่ายผงะไป