บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน
หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู
“ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น
เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว”
นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง
“แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน”
“มีเรื่องใดรึ” ดวงตากลมเบิกกว้างขึ้น
“มีเด็กๆ กลุ่มหนึ่งมาตะโกนเรียกหาคุณหนูที่หน้าคฤหาสน์ขอรับ”
“เด็ก?”
“ขอรับ พวกเราห้ามไว้ไม่ให้เข้ามา พวกเด็กจะบุกเข้ามาให้ได้ขอรับ”
“ก็แค่เด็กจะตื่นเต้นไปไย”
“แต่นายท่านมิชอบให้ผู้อื่นเข้ามารบกวน ไม่ชอบเสียงดัง ไม่ชอบ...”
“เข้าใจแล้วๆ ข้าไปเอง”
เยว่ซินโบกมือห้ามไว้ก่อน นางหมุนตัวแล้ววิ่งไปโดยเร็ว
ทำไมเส้นทางการเดินไปพบหน้าฉู่ห่าวหราน ถึงได้ยาวไกลเช่นนี้นะ!
“เด็ก?”
“เด็กๆ จากในหมู่บ้านขอรับ”
“นางคิดจะทำอะไรกันแน่” ฉู่ห่าวหรานส่งพู่กันให้หันซูแล้วหยิบผ้ามาเช็ดมือ “ข้าจะไปดูเสียหน่อย”
“ไปดู...เอ่อ...”
“ทำไมมีอะไรที่ข้าไม่ควรเห็น?” ฉู่ห่าวหรานเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม
“ไม่มีขอรับ แค่เห็นว่านายท่านไม่ชอบเด็กๆ”
“ข้าแค่ไม่ชอบเสียงดัง” เขาส่ายหน้าไปมา “พาข้าไป”
“ขอรับ”
หันซูเข็นรถเข็นของนายท่านมาที่ลานบ้าน เด็กผู้ชายกลุ่มหนึ่งกำลังเหลาไม่ไผ่ เด็กผู้หญิงนั่งบนพื้นรออยู่ใกล้ๆ ส่วนหญิงสาวที่ยืนอยู่ท่ามกลางเด็กเหล่านั้น ก็เหมือนเป็นเด็กตัวโตเสียมากกว่า
“นี่ๆ ระวังด้วย”
“ทราบแล้วพี่เยว่ซิน”
“ช่วยกันทำ อย่าทำแค่ของตัวเอง” นางยืนคุมเด็กน้อยที่กำลังทำว่าวกระดาษ เสียงหัวเราะของเด็กน้อยชะงักไปทำให้นางรู้สึกตัว เห็นสายตาของเด็กๆ จ้องมองไปด้านหลังนาง นางจึงหมุนตัวหันกลับไปมอง
“ท่านราชครู” นางฉีกยิ้มกว้าง แต่เห็นสีหน้าราบเรียบราวแผ่นน้ำแข็งแล้วก็หุบยิ้มแล้วหมุนตัวไปพูดกับเด็กๆ “นี่ๆ พวกเจ้าเบาเสียงหน่อยสิ เกรงใจเจ้าของบ้านบ้าง”
“แล้วพี่เยว่ซินไม่ใช่เจ้าของบ้านหรือ?”
“ย่อมไม่ใช่อยู่แล้ว” นางยื่นมือไปขยี้ผมของเด็กชายแรงๆ “ข้ามาอาศัยท่านราชครูอยู่ต่างหากละ”
ดวงตาของฉู่ห่าวหรานกระตุก หญิงสาวหันกลับมาส่งยิ้มกว้างให้เขา
“ข้ารู้ว่าใต้เท้าจะถามอะไร ข้าตอบเลยก็แล้วกัน ท่านคงพอจำได้ เด็กๆ กลุ่มนี้ท่านพบที่ริมแม่น้ำแล้ว” นางหยุดแล้วรอดูสีหน้าของอีกฝ่าย เมื่อสีหน้าเขายังคงเดิมไม่เปลี่ยน นางจึงพูดต่อ “พวกเขาอยากไปเล่นน้ำอีก แต่ข้าไม่อยากให้พวกเขาไปเล่นกันเอง และข้าก็ไม่อยากไปเป็นเพื่อนพวกเขา ข้าเลยเสนอตัวสอนเด็กๆ ทำว่าวกระดาษแทน หวังว่าท่านจะเข้าใจ”
“ว่าวกระดาษ?”
“อื้ม” นางรีบหยิบว่าวที่ทำเสร็จแล้วส่งให้เขาดู “กระดาษไม่ค่อยดีเท่าไหร่ แต่พอเอามาทำเล่นได้เจ้าค่ะ”
แม้ไม่อยากรับ แต่ยื่นใส่มือเช่นนี้ ฉู่ห่าวหรานจำใจรับว่าวกระดาษมาพลิกดูไปมา งานไม่ละเอียดและกระดาษไม่ดีนัก แต่ดูแล้วก็พอใช้เล่นสนุกได้
“ถ้าท่านชอบ ข้ายกให้” เยว่ซินยื่นหน้าเข้าไปใกล้ เพราะเขานั่งบนรถเข็น นางจึงค้อมเอวลงมาเล็กน้อย ใบหน้าของนางใกล้กับใบหน้าน้ำแข็งของฉู่ห่าวหรานมาก ลมหายใจอุ่นๆที่ปะทะใบหูทำเอาชายหนุ่มชะงักงันไปชั่วขณะ
“ข้าก็อยากได้นะพี่เยว่ซิน”
“ข้าก็ด้วย”
“ข้าด้วย”
นางยืดตัวขึ้นแล้วพูด “ได้ๆ ได้ทุกคนไม่ต้องห่วง เพราะพวกเจ้าต้องทำเอง”
เสียงเด็กๆโห่ร้องไม่พอใจ เยว่ซินขมวดคิ้วแล้วยกมือขึ้นกอดอก “ข้าสอนพวกเจ้าทำว่าวเป็น วิชาความรู้นี้ไม่ได้เรียนกันโดยง่าย ข้าสอนพวกเจ้าไม่มีสิ่งใดแลกเปลี่ยน ตามหลัก พวกเจ้าต้องเรียกข้าว่าอาจารย์แล้ว”
“อาจารย์?”
“ถูกต้อง” นางพยักหน้ารับ “แต่ข้าเป็นคนดีไม่คิดเล็กคิดน้อยเรื่องเหล่านี้ พวกเจ้าเรียกข้าว่าพี่เยว่ซินก็พอ”
“พี่เยว่ซิน!”
“พวกเจ้าลงมือทำตามที่ข้าสอน ฝึกฝนบ่อยๆ ก็เชี่ยวชาญชำนาญไปเอง”
นางเอ่ยจบก็หันกลับมาทางฉู่ห่าวหราน “ข้าใช้ลานบ้านท่านโดยไม่ได้ขออนุญาตก่อน ท่านไม่ถือโทษโกรธข้านะ”
ถ้าบอกว่าไม่พอใจก็พูดไม่ได้สินะ
ราวกับรู้ความคิดของอีกฝ่าย นางยิ้มทะเล้นแล้วเอ่ย “ที่นี่ไม่มีสำนักศึกษา พ่อแม่จะส่งลูกๆไปเรียนก็ไกลเหลือเกิน พวกเขาก็หวังอยากให้ลูกมีความรู้แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ เด็กพวกนี้น่าสงสาร บางคนเขียนชื่อตัวเองไม่เป็นเลย”
น้ำเสียงที่ชวนให้รู้สึกเวทนานั้น ไม่ได้ทำให้ฉู่ห่าวหรานใจอ่อน แต่กำลังใจตั้งใจฟังว่านางพยายามทำสิ่งใดอยู่
“มีสิ่งใดก็พูดออกมาเลยดีไหมแม่นางเหอ”
“เยว่ซิน” นางรีบพูดแทรก “ข้ายินดีให้ท่านเรียกข้าว่าเยว่ซิน”
“แม่นาง...”
“เรียกแค่เยว่ซินก็พอแล้ว ท่านจะเรียกทั้งชื่อแซ่เลยหรือไร อย่างไรเสียข้ายังตัวติดกับท่านอีกนาน” นางฉีกยิ้มประจบใส่ดวงตาของเขา
“เยว่ซิน” เขาเอ่ยชื่อนางตามที่นางร้องขอ ไม่ใช่เพราะนางสั่ง แต่เขาแค่อยากตัดความรำคาญนี้ทิ้งไป
“ใต้เท้าฉู่ไม่รู้สึกอะไรเลยหรือ” นางเปลี่ยนสีหน้าให้ดูน่าสงสาร หลุบตาลงเล็กน้อย ทำทีเป็นชำเลืองมองไปทางเด็กกลุ่มนั้น “หากมีใครสักคนยอมสละเวลา ฝึกสอนให้พวกเขาได้ร่ำเรียนเขียนอ่านคงดีไม่น้อย”
“แม่นางเหอจะให้ใต้เท้าฉู่สอนเด็กๆ เหล่านี้รึ” หันซูเบิกตากว้าง เรื่องเช่นนี้ เขาเองยังไม่เคยคิด ฉู่ห่าวหรานสั่งสอนแต่ราชนิกูล ไม่เคยสอนชาวบ้าน และที่สำคัญ เด็กเล็กขนาดนี้ด้วย
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง “มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา “ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง “หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ” “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อร
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป “แม่นางเหอ!”
วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหายถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนางมุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนหากเขาจะเลิกหล
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่” “มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ” “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่” “ขอรับ” เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้ หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เข