“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง
“ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ”
ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม
“เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ”
“ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่”
“หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว
“บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย
“ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่คิดจะปล่อยข้าไปอีกหรือ”
“ใต้เท้า”
“ช่างเถอะ” เขาถอนหายใจเบาๆ “ข้าจะเข้าไปพักผ่อน หากนางกลับมาแล้วให้มารายงานข้าทันที”
“ขอรับ”
ผ่านไปราวสองชั่วยาม หญิงสาวจึงควบม้ากลับมาพร้อมหมาป่าตัวใหญ่ที่สิ้นใจแล้ว นางกระโดดลงจากหลังม้า พยักหน้ากับบ่าวรับใช้ที่ยืนสัพหงกอยู่หน้าประตูให้จูงม้าไปที่คอกม้า นางบิดตัวไปมาแล้วหาวปากกว้าง ทว่าสายตาปะทะกับร่างสูงใหญ่ของพ่อบ้านที่ยืนรออยู่นานแค่ไหนไม่รู้
“เหตุใดยังไม่หลับไม่นอน” เยว่ซินถามน้ำเสียงระรื่น “อย่าบอกว่ารอข้านะ”
“เป็นคำสั่งของใต้เท้าขอรับ”
“อ่อ...” นางพยักหน้ารับ “มีฝูงหมาป่าบุกเข้ามาในหมู่บ้าน คงมีคนไปขโมยลูกมันมา พวกมันจึงพากันบุกเข้าหมู่บ้านอย่างไม่กลัวตาย”
“หมาป่า?” เขารู้ว่าแถบนี้มีหมาป่า เคยเจอบ้างแต่ไม่เคยไล่ล่าด้วยตนเอง
“อืม” นางพยักหน้าอีกครั้ง “เจ้าไปรายงานท่านราชครูเถอะ ข้าดีใจยิ่งที่เขาเป็นห่วง ข้าปลอดภัยดี เข้านอนได้แล้ว อ้อ!ถึงช่วงนี้อากาศจะร้อน แต่ใกล้รุ่งอากาศกลับเย็น เจ้าดูแลท่านราชครูให้ดี”
“ขะ...ขอรับ”
“ไปเถอะๆ” นางโบกมือไล่ “ข้าจะไปพักผ่อนเช่นกัน”
หันซูมองหญิงสาวเดินผ่านไปไม่สนใจอะไรเขาอีก เขาถอนหายใจหนักๆ หรือชีวิตเขาไม่ค่อยได้ใกล้ชิดสตรี จึงไม่รู้ว่าโลกนี้มีสตรีแปลกประหลาดเช่นนี้ เขาโคลงศีรษะไปมาแล้วเดินกลับไปรายงานฉู่ห่าวหราน
แต่สิ่งที่พวกเขาไม่รู้เลยว่าตลอดทั้งคืนเยว่ซินจัดการถลกหนังหมาป่าอย่างประณีต เนื้อก็นำมาตุ๋นเครื่องยาจีน กว่าจะเสร็จฟ้าก็สางแล้ว นางผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วเดินไปทิ้งตัวนอน เวลาที่นางเข้าสู่ห้วงนิทราคือเวลาเดียวกับที่ฉู่ห่าวหรานตื่นนอนแล้ว
แม้ไม่ต้องตื่นเช้าเข้าวังหลวง แต่เขาก็ตื่นเช้าเป็นปกติ หากไม่เขียนตำราก็อ่านหนังสือ สมบัติที่ขนมาจากเมืองหลวงคือหนังสือหลายสิบหีบ
เช้านี้มีโจ๊กธัญญพืช รสชาติที่เปลี่ยนไปทำให้ฉู่ห่าวหรานรู้สึกแปลกพิกล หันซูเห็นสีหน้าของผู้เป็นนายแล้วรีบเอ่ยถาม
“ไม่ถูกปากหรือขอรับ”
“ไม่คุ้นลิ้น” เขาตอบ ข้าวเคี่ยวจนกลายเป็นโจ๊กผสานกับธัญพืชได้อย่างพอดี เขารู้ว่าสถานการณ์การเงินของที่นี่ไม่สู้ดีนัก อาหารแต่ละมื้อแทบไม่เคยมีเนื้อสัตว์ และในบางวันโจ๊กก็ใสราวน้ำเปล่า ทว่าวันนี้กลับมีโจ๊กธัญพืชชามโต แรกทีเดียวเขาคิดว่าตนเองจะกินไม่หมด แต่ไม่รู้ว่าเพราะรสขาติที่ถูกปากหรือเพราะร่างกายไม่ได้กินของดีมานานทำให้กินได้มากกว่าปกติ
“แม่นาง เอ่อ คุณหนูเยว่ซินทำไว้ก่อนเข้านอน นางให้แม่ครัวช่วยอุ่นให้ใต้เท้าขอรับ”
“นางทำเองรึ” นางทำให้เขาประหลาดใจอีกแล้ว สตรีเชี่ยวชาญเรื่องทำอาหารนั้นไม่แปลก แต่เมื่อคืนนางไป ‘ไล่ล่า’ หมาป่าแล้วยังกลับมาทำอาหารเช้าให้เขาอีกหรือ?
“นางเข้านอนเมื่อใดกัน”
“ได้ยินว่า ตอนนี้นางยังนอนอยู่ขอรับ”
ชายนหนุ่มเริ่มอยากรู้เรื่องของนางมากขึ้น ทว่าเมื่อรู้ว่านางเพิ่งเข้านอนไปตอนฟ้าสาง เขาไม่คิดรบกวนนาง เอาเถิด ชีวิตมีเรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นมากมาย หากจะมีอีกสักเรื่องสองเรื่องคงไม่หนักหนาไปกว่านี้
กว่าหญิงสาวจะตื่นก็เที่ยงวันพอดี เมื่อหลับเต็มอิ่มร่างกายก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่า ตื่นมาก็หิวมาก โชคดีที่คฤหาสน์หลังนี้ไม่ได้ใหญ่โตจนเกินไป ล้างหน้าและผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วก็รีบวิ่งมาที่ห้องครัว
“ท่านป้าลี่จือ” เยว่ซินส่งเสียงเรียกก่อนที่ตัวเองจะยื่นหน้าเข้าไปในห้องครัว
“คุณหนูตื่นแล้วหรือเจ้าคะ”
“เที่ยงแล้วไม่ตื่นได้เหรอ” นางหัวเราะเสียงใสพูดคุยอย่างเป็นกันเองราวกับอยู่ที่นี่มานานนับปี “ข้าหิวแล้ว พอมีอะไรกินบ้างไหม”
“กินบะหมี่ดีไหมเจ้าคะ”
“อะไรก็ได้ ท่านป้าทำมาเลย ข้านั่งกินที่นี่แหละ ประเดี๋ยวต้องไปดูหนังหมาป่าที่ตากไว้อีก”
“ฝีมือคุณหนูถลกหนังได้ดีเยี่ยมจริงๆ”
“แน่นอนอยู่แล้วก็ข้านะคือ...”
“คือ?”
“คือ...คือเยว่ซินไงล่ะ”
นางหัวเราะร่ากลบเกลื่อนแล้วเดินเลี่ยงไปดูหนังหมาป่าที่ตากไว้ ไม่ได้ทำนานนับปี ได้ทำอีกครั้งกลับจดจำได้แม่นยำ ต่อให้ปิดตานางก็ยังคงทำได้ดี หนังหมาป่าผืนนี้นางตั้งใจมอบให้ฉู่ห่าวหราน นางไม่มีสิ่งใดมอบให้เขา เจ้าหมาป่าตัวนี้น่าจะให้เป็นของขวัญกับเขาได้ ข้าวของที่ขนมาจากเมืองหลวง แท้จริงเป็นเพียงเสื้อผ้าของเหอเยว่ซิน แต่เพราะเหอเยว่ซินลอบหลบหนีอยู่ จึงไม่ต้องการนำเสื้อผ้างดงามเหล่านี้ไปด้วย สิ่งที่เหอเยว่ซินนำติดตัวไปคือเครื่องประดับมีราคา และตั๋วแลกเงิน
เอาละ ประเดี๋ยวกินอาหารเช้า เอ่อ ไม่สิ อาหารเที่ยงเสร็จ นางจะได้พบฉู่ห่าวหรานและสารภาพ เอ่อ ไม่ใช่ๆ นางไม่ได้ทำอะไรผิดจะไปสารภาพทำไมกัน นางแค่ต้องเจรจาตกลงกับบุรุษผู้นั้น ให้เข้าใจว่า ‘เหอเยว่ซิน’ ไม่ได้ยืนอยู่ตรงหน้าเขาด้วยเหตุผลใด และหวังใจว่าเขาจะเข้าใจ ไม่เอาเรื่องเอาราวใดกับนางด้วย เท่านี้ภารกิจของนางก็จะลุล่วงไปด้วยดี เหลือเพียงสิ่งที่พ่อบุญธรรมฝากฝังในให้นางทำ...
บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู “ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง “แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน” “มีเรื่องใดรึ” ดว
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง “มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา “ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง “หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ” “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อร
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป “แม่นางเหอ!”
วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหายถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนางมุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนหากเขาจะเลิกหล