“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...”
“ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม
“มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่”
“มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ”
“ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่”
“ขอรับ”
เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้
หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว
ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว
ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เขาใช้ชีวิตเข้าแลกปกป้องรัชทายาทจนตัวเองบาดเจ็บสาหัส เมื่อฟื้นขึ้นจึงรู้ว่าองค์ชายสามสิ้นพระชมน์แล้วและรัชทายาทขึ้นครองบัลลังก์สืบทอดต่อจากพระบิดา สภาพของเขาหลังฟื้นจากความตายสูญสิ้นทุกสิ่งอย่าง แม้ฮ่องเต้องค์ใหม่ส่งหมอหลวงมารักษาอาการบาดเจ็บของเขา แต่ก็ไม่อาจกลับมาใช้ชีวิตปกติได้ จนสุดท้ายจึงได้รับอนุญาตให้กลับมาพักฟื้นที่นี่ ความจริง ที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ก็ดีอยู่แล้ว เขายังไม่เข้าใจ เหตุใดส่งหญิงคณิกามาให้เขา ทั้งที่ตอนอยู่เมืองหลวง เขาเองไม่เคยย่างเท้าเข้าสถานที่เช่นนั้นเลย
ฉู่ห่าวหรานดำดิ่งในความห้วงความคิดของตนเอง ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเพียงใด ตื่นจากภวังค์ก็เมื่อใบหน้าสดใสและรอยยิ้มกว้างยื่นมาใกล้แล้วเอ่ยขึ้น
“ข้าวเย็นพร้อมแล้ว” หญิงสาวเอ่ยพร้อมรอยยิ้ม หลังจากยุ่งในครัวอยู่ร่วมชั่วยามก็ทำทุกอย่างเรียบร้อย รีบวิ่งกลับไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้ามาเชิญเขาไปกินข้าวด้วยตนเอง
“ข้าให้บ่าวตั้งโต๊ะแล้ว ท่านมากินข้าวเถิด” นางพยักหน้าเชิญชวน “กินร้อนๆ จะอร่อยมาก ถ้าท่านไม่มากินตอนนี้ ก็ต้องไปอุ่นใหม่อีก เพราะฉะนั้น มากินข้าวเร็วๆ”
นางเร่งเขาแล้วเดินนำหน้ามาก่อน ปล่อยให้หันซูเข็นรถเข็นของฉู่ห่าวหรานมาโต๊ะกินข้าว อาหารหลายอย่างทำให้สองนายบ่าวแปลกใจ ปกตินายท่านกินง่ายอยู่ง่าย อาหารแค่สองอย่างก็เพียงพอแล้ว แต่วันนี้มีมากหลากหลายราวกับจะเลี้ยงคนสักสี่ห้าคนเลยทีเดียว
“นี่หัวปลาต้มซี้อิ้ว ” นางพูดแล้วตักใส่ชามวางตรงหน้าเขา “ส่วนเนื้อปลาข้าเอาไปทอดทำปลาผัดเปรี้ยวหวาน ข้าขึ้นเขาได้เห็ดสดๆ มาหลายอย่างเลยเอามาทำไข่ผัดเห็ดเต้าหูอ่อน และน้ำแกงปลาของท่าน ชิมได้เลย ถ้าคาวไม่ถูกปากก็ยกให้หันซูกินได้”
นางบรรยายรายการอาหารเสร็จก็ยื่นผ้าเปียกส่งให้ หันซูรับมาให้นายท่านเช็ดมือ เยว่ซินไหวไหล่ไม่ใส่ใจที่เขาไม่รับผ้าเปียกจากมือนาง หญิงสาวเลื่อนเก้าอี้แล้วนั่งลงหยิบตะเกียบเตรียมกินข้าว
“กินได้เลยไม่ต้องเกรงใจ” พูดพลางใช้ตะเกีอบคีบเห็ดวางบนถ้วยข้าวให้เขา “ครัวของท่านมีเครื่องปรุงรสเยอะมาก ไม่น่าเชื่อเลยว่าคฤหาสน์ซอมซ่อของท่านจะมีครัวดั่งทองคำเช่นนี้”
“เอ่อ...” หันซูพูดอะไรไม่ออก ไม่นึกว่าต้องเจอสตรีพูดไม่หยุด พูดเองเออเองคนเดียวก็ได้
“นั่งสิ กินด้วยกัน” นางพยักหน้าให้หันซู แล้วหันไปมองทางฉู่ห่าวหราน “อยู่กับแค่นี้ ใต้เท้าไม่คิดเล็กคิดน้อยใช่ไหม”
“ไม่หรอก” ฉู่ห่าวหรานยิ้มบางๆ แล้วพยักหน้าอนุญาตให้หันซูนั่งกินข้าวพร้อมกัน
ฉู่ห่าวหรานชิมน้ำแกงปลา เขาเป็นคนไม่ชอบรสคาวในอาหาร ทำให้เลี่ยงกินอาการจำพวกเนื้อสัตว์ จนคนอื่นเข้าใจไปว่าเขากินเจ แต่เมื่อชิมอาหารที่นางทำแล้ว นับได้ว่านางไม่ได้กล่าวเกินจริง
“อร่อยก็บอกอร่อย ข้าไม่ถือหรอกนะ” นางยิ้มแล้วคีบชิ้นปลาวางในถ้วยข้าวของฉู่ห่าวหรานแล้วจึงทำเช่นเดียวกันกับหันซู
“อืม อร่อยจริงๆด้วย” หันซูหลุดปากชื่นชมออกมา เขามองนายท่านเป็นระยะๆ เมื่อผู้เป็นนายไม่ปฏิเสธ เขาก็กินข้าวคำโต
ฉู่ห่าวหรานลอบมองหญิงสาว แต่นางกลับสบตากับเขาไม่มีหลบสายตา นางกินข้าวคำโต ไม่มีท่าทีละเลียดกินที่ละคำ
“ข้าไม่ได้ใส่ยาพิษในอาหาร แต่ถ้าจะทำจริง ข้าใส่ยาปลุกกำหนัดดีกว่า”
“แค่กๆๆ เจ้า...เจ้า” หันซูถึงกำสำลัก เยว่ซินส่ายหน้าไปมาแล้วรีบรินน้ำส่งให้
“เจ้านี่ใช้ไม่ได้เลย ไม่สมกับเป็นองครักษ์ของท่านราชครูเลย”
“แม่นางเหอ” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยขึ้น
“เรียกข้าว่าเยว่ซิน” นางฉีกยิ้ม “หรือจะเรียกน้องหญิง หรือฮูหยิน ข้าก็ไม่รังเกียจ”
“เจ้า!”
“กินข้าวๆ” นางคีบเนื้อปลาส่งให้หันหู “กินข้าวก่อน ข้ารอพบท่านราชครูตั้งครึ่งเดือนแล้ว รอกินข้าวเสร็จแล้วจะได้คุยธุระสำคัญ”
ถ้อยคำของนางทำให้ฉู่ห่าวหรายเงยหน้าขึ้น เขาสบตากับหญิงสาว ดวงตาใสกระจ่างจ้องมองกลับไม่มีหลบสายตา หรือแสดงท่าทีเขินอาย เขาเผลอขมวดคิ้วพร้อมกับได้ยินเสียงคำถามในหัว
‘นางเป็นใครกันแน่’.
เสียงเคาะเกราะไม้ส่งสัญญาณเตือนภัย ดังมาจากหมู่บ้าน คฤหาสน์หลังงามตั้งอยู่เชิงเขา ห่างจากหมู่บ้านพอสมควรแต่ยังได้ยินเสียงนั้น บ่าวรับใช้ที่มีอยู่ไม่กี่คนได้ยินเสียงชัดเจนต่างจับกลุ่มพูดคุยกัน คนเหล่านี้เพิ่งมาอยู่ได้ไม่นานก็จริง พื้นเพเป็นชาวบ้านธรรมดาที่ไร้ที่ไปจำใจขายตัวเป็นทาส มิใช่บ่าวรับใช้ที่เดินทางจากเมืองหลวง
เดิมทีเยว่ซินตั้งใจว่า หลังกินมื้อเย็นแล้วจะเจรจากับฉู่ห่าวหรานอย่างเป็นเรื่องเป็นราวเสียที ทว่าเมื่อได้ยินเสียงสัญญาณเตือนภัยทำให้เปลี่ยนใจเรียกบ่าวมาสอบถาม นางนิ่งไปครู่หนึ่งแล้วเอ่ยกับพ่อบ้าน
“ขอยืมม้าสักประเดี๋ยว ข้าจะเข้าไปดูในหมู่บ้านหน่อย”
“หา! เอ่อ ...แม่นาง เอ่อ คุณหนูเยว่ซินว่าอะไรนะขอรับ”
“หาอะไรของเจ้า” เยว่ซินทำตาดุใส่ “เจ้าอยู่ที่นี่ดูแลท่านราชครู ข้าไปครู่เดียว”
นางไม่รอฟังคำอนุญาตของใครทั้งสิ้น ยกชายกระโปรงขึ้นแล้ววิ่งเร็วๆ จากไปทันที
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง “ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ” ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ” “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่” “หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว “บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย “ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่ค
บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู “ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง “แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน” “มีเรื่องใดรึ” ดว
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง “มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา “ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง “หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ” “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อร
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป “แม่นางเหอ!”