แชร์

Chapter 3.ได้พบกันเสียที

 วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหาย

ถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนาง

มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง 

แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้  นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก  นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้  เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน  ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน

หากเขาจะเลิกหลบหน้านางเสียทีนะ.

          เสียงหัวเราะสดใสเรียกสายตาของชายหนุ่มที่อยู่บนรถม้าให้ยื่นมือมาขยับผ้าม่านออกดู  ดวงตาคมปลาบจ้องมองไปยังริมแม่น้ำ หญิงสาวแต่งกายเรียบง่ายทว่าโดดเด่นในกลุ่มเด็กๆ ห้าหกคนที่วิ่งเล่นกันสนุกสนาน  กว่าสิบวันที่ผ่านมา นางทำให้เขาฉงนยิ่งนัก ด้วยลักษณะนิสัยท่าทางช่างแตกต่างจากที่รับรู้มา แม้ไม่เคยพบหญิงคณิกานางนี้มาก่อนก็ตาม

            ราวกับมีญาณทิพย์  หญิงสาวรับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งนางจึงหันกลับไปมอง รถม้าสภาพโกโรโกโสจอดนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก เพียงเห็นว่าสารถีคือพ่อบ้านหันซู ก็เดาได้ไม่ยากว่าคนในรถม้าเป็นใคร นางชูมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วมือโบกไปมาพลางส่งเสียงร้องทักทาย

            “ท่านราชครูกลับมาแล้ว”

            จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ทันแล้ว  ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หันซูไม่ได้ยินคำสั่งใดๆ จึงไม่ได้สั่งม้าให้เดินหน้า เขามองเลยไปยังหญิงสาวผู้นั้นที่พูดคุยกับเด็กๆ แล้วหิ้วปลาตัวใหญ่สองตัวขึ้นมาจากน้ำ ยามนี้นางดูไม่ต่างจากหญิงชาวบ้านนัก ไม่น่าเชื่อว่านางสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับหมู่บ้านชนบทได้

            “นี่ๆ พวกเจ้าก็กลับบ้านกันได้แล้ว วันหน้าวันหลังอย่าแอบมาเล่นน้ำกันโดยไม่มีผู้ใหญ่มาด้วย มันอันตรายมากนะ รู้ไหม”

            “ทราบแล้วพี่เย่วซิน”

            “ดี อย่าให้ข้าเจอพวกเจ้าแอบพ่อแม่มาเล่นน้ำล่ะ”

            “คราวหน้าพวกเราจะไปหาพี่เยว่ซินเอง”

            “ได้! ข้าจะรอ”

            นางหัวเราะร่าแล้วหิ้วปลาสองตัวที่จับได้ วิ่งตรงมาทางรถม้าที่จอดนิ่งอยู่  รอยยิ้มของนางกระจ่างสดใสเหมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ นางยิ้มจนดวงตาหยีเล็กแล้วชูปลาสองตัวที่ร้อยด้วยหญ้าที่ถักเป็นเชือกเส้นเล็กๆ

            “ท่านราชครูได้พบท่านเสียที”  เยว่ซินเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนมทั้งที่ได้พบกันครั้งแรก

            “ข้าเสียมารยาทต่อแม่นางจริงๆ”  ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะสุขภาพข้าไม่ดีจึงไม่ได้ตอนรับ”

            “ข้าหาได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” นางยังคงหัวเราะเสียงกังวานใส “วันนี้ได้ปลาตัวโตมาตั้งสองตัว กลับบ้านเถอะ ข้าจะทำน้ำแกงปลาให้ท่านเอง”

            นางพูดเองเออเอง กำลังจะปีนขึ้นไปนั่งในรถม้าแต่นึกได้ นางยกมือตบหน้าผากตัวเองหนึ่งทีแล้วเดินไปด้านหน้า เหวี่ยงปลาขึ้นไปข้างหันซูแล้วปีนขึ้นไปนั่งข้างพ่อบ้านที่ทำหน้าที่สารถี

            “ตัวข้าเลอะเทอะ ขอนั่งกับเจ้าก็แล้วกัน”

            “ขะ...ขอรับ” 

            หันซูเห็นนางไม่มีท่าทีเดือดร้อนและยังพูดจาเป็นกันเอง  เขาก็ลงแส้ให้ม้าออกเดินทางกลับคฤหาสน์ ระหว่างทางได้ยินเสียงเพลงจากปากของเยว่ซิน เป็นนิทานพื้นบ้านที่ชาวบ้านร้องให้เด็กๆ ฟัง  น้ำเสียงนางไม่ได้ไพเราะอ่อนหวาน แต่กลับทำให้คนฟังเผลอยิ้มตามไปด้วย 

            “ที่แรกข้าคิดจะปิ้งปลา แต่ท่านราชครูกลับมาแล้วจะทำน้ำแกงปลาก็แล้ว  มีอะไรที่ใต้เท้าไม่กินไม่ได้หรือไม่”

            “ไม่มีขอรับ ท่านราชครูกินง่ายอยู่ง่าย ขอแค่อาหารอุ่นร้อนกำลังดี ปลาต้องไม่มีรสคาว ถ้าเป็นผัดผักต้องไม่ชุ่มน้ำมันจนเกินไป แล้วยัง...”

            “นี่เรียกกินง่ายอยู่ง่ายแล้วรึ” นางหัวเราะเสียงดังจนทำให้คนด้านในรถม้าส่งเสียงกระแอมไอออกมา “เอาเถอะ ข้ามีสูตรน้ำแกงเลิศรส รับรองว่าใต้เท้าฉู่ต้องชอบแน่”

            นางเอ่ยอย่างมั่นใจ

            รถม้ามาถึงหน้าคฤหาสน์ บ่าวไพร่ที่มีเพียงไม่กี่คนออกมาต้อนรับ หญิงสาวกระโดดลงจากรถทันทีพร้อมฉวยปลาสองตัวนั้นลงมาด้วย

            “คุณหนูเยว่ซินมาแล้ว”

            “คุณหนู?”  หันซูทวนคำที่ได้ยินอย่างงุนงง

            “ระหว่างแม่นางกับคุณหนู ข้าให้พวกเขาเรียกว่าคุณหนูเยว่ซิน”  นางโบกมือไปมาคล้ายไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ “หรือจะให้พวกเขาเรียกข้าว่าฮูหยิน”

            เสียงไอโคลกๆ ดังมาจากในรถม้า เยว่ซินยื่นหน้าไปทางหน้าต่างรถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านราชครูเข้าด้านในเถอะ ข้าจะเข้าครัวทำน้ำแกงบำรุงร่างกาย”

            นางทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้าบ้าน กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางห้องครัว บ่าวไพร่ต่างทักทายพูดคุยหยอกล้อเป็นกันเอง แต่เดิมคฤหาสน์หลังนี้ปกคลุมด้วยความเงียบสงบ แทบไม่เคยมีเสียงหัวเราะ แต่เมื่อนางก้าวเข้ามา ทุกอย่างเปลี่ยนไปจนเจ้าของคฤหาสน์ประหลาดใจ  รวมทั้งสภาพคฤหาสน์ที่ซอมแซมไปบางส่วน ต้นไม้ดอกไม้ถูกตัดแต่งกิ่งไม่รกหูรกตาเช่นที่ผ่านมา

            เขาไม่อยู่แค่ไม่กี่วันมิใช่หรือ เหตุใดเปลี่ยนไปมากขนาดนี้

            “เจ้ารู้เรื่องพวกนี้หรือไม่”  ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถามขณะที่หันซูประคองเขาลงจากรถม้ามานั่งรถเข็น

            “นายท่านสั่งว่า ‘นางอยากทำอะไรก็ให้นางทำไป อย่าให้ไปยุ่งกับเรือนของข้าก็พอ’ และดูเหมือนแม่นางเหอจะทำตามที่ข้าถ่ายทอดถ้อยคำของนายท่าน”

            ‘นั้นสินะ’ นางไม่ได้ละเมิดคำสั่งของเขา เพราะเมื่อเขากลับมาถึงเรือนของตน ทุกอย่างยังคงอยู่ดีเช่นเดิม ยังคงให้ความรู้สึกอึมครึมราวกับถูกปกคลุมด้วยเมฆฝน แต่ทุกกระนั้นเขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะเสียงหัวเราะหยอกล้อที่ลอยตามลมมาถึงเรือนของเขา

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status