วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหาย
ถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนาง
มุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง
แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอน
หากเขาจะเลิกหลบหน้านางเสียทีนะ.
เสียงหัวเราะสดใสเรียกสายตาของชายหนุ่มที่อยู่บนรถม้าให้ยื่นมือมาขยับผ้าม่านออกดู ดวงตาคมปลาบจ้องมองไปยังริมแม่น้ำ หญิงสาวแต่งกายเรียบง่ายทว่าโดดเด่นในกลุ่มเด็กๆ ห้าหกคนที่วิ่งเล่นกันสนุกสนาน กว่าสิบวันที่ผ่านมา นางทำให้เขาฉงนยิ่งนัก ด้วยลักษณะนิสัยท่าทางช่างแตกต่างจากที่รับรู้มา แม้ไม่เคยพบหญิงคณิกานางนี้มาก่อนก็ตาม
ราวกับมีญาณทิพย์ หญิงสาวรับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งนางจึงหันกลับไปมอง รถม้าสภาพโกโรโกโสจอดนิ่งอยู่ไม่ไกลนัก เพียงเห็นว่าสารถีคือพ่อบ้านหันซู ก็เดาได้ไม่ยากว่าคนในรถม้าเป็นใคร นางชูมือสองข้างขึ้นเหนือศีรษะแล้วมือโบกไปมาพลางส่งเสียงร้องทักทาย
“ท่านราชครูกลับมาแล้ว”
จะแกล้งทำเป็นไม่เห็นก็ไม่ทันแล้ว ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจเบาๆ อย่างไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี หันซูไม่ได้ยินคำสั่งใดๆ จึงไม่ได้สั่งม้าให้เดินหน้า เขามองเลยไปยังหญิงสาวผู้นั้นที่พูดคุยกับเด็กๆ แล้วหิ้วปลาตัวใหญ่สองตัวขึ้นมาจากน้ำ ยามนี้นางดูไม่ต่างจากหญิงชาวบ้านนัก ไม่น่าเชื่อว่านางสามารถทำตัวให้กลมกลืนกับหมู่บ้านชนบทได้
“นี่ๆ พวกเจ้าก็กลับบ้านกันได้แล้ว วันหน้าวันหลังอย่าแอบมาเล่นน้ำกันโดยไม่มีผู้ใหญ่มาด้วย มันอันตรายมากนะ รู้ไหม”
“ทราบแล้วพี่เย่วซิน”
“ดี อย่าให้ข้าเจอพวกเจ้าแอบพ่อแม่มาเล่นน้ำล่ะ”
“คราวหน้าพวกเราจะไปหาพี่เยว่ซินเอง”
“ได้! ข้าจะรอ”
นางหัวเราะร่าแล้วหิ้วปลาสองตัวที่จับได้ วิ่งตรงมาทางรถม้าที่จอดนิ่งอยู่ รอยยิ้มของนางกระจ่างสดใสเหมือนแสงแดดในฤดูใบไม้ผลิ นางยิ้มจนดวงตาหยีเล็กแล้วชูปลาสองตัวที่ร้อยด้วยหญ้าที่ถักเป็นเชือกเส้นเล็กๆ
“ท่านราชครูได้พบท่านเสียที” เยว่ซินเอ่ยทักทายอย่างสนิทสนมทั้งที่ได้พบกันครั้งแรก
“ข้าเสียมารยาทต่อแม่นางจริงๆ” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบ “เพราะสุขภาพข้าไม่ดีจึงไม่ได้ตอนรับ”
“ข้าหาได้ใส่ใจเรื่องพวกนี้” นางยังคงหัวเราะเสียงกังวานใส “วันนี้ได้ปลาตัวโตมาตั้งสองตัว กลับบ้านเถอะ ข้าจะทำน้ำแกงปลาให้ท่านเอง”
นางพูดเองเออเอง กำลังจะปีนขึ้นไปนั่งในรถม้าแต่นึกได้ นางยกมือตบหน้าผากตัวเองหนึ่งทีแล้วเดินไปด้านหน้า เหวี่ยงปลาขึ้นไปข้างหันซูแล้วปีนขึ้นไปนั่งข้างพ่อบ้านที่ทำหน้าที่สารถี
“ตัวข้าเลอะเทอะ ขอนั่งกับเจ้าก็แล้วกัน”
“ขะ...ขอรับ”
หันซูเห็นนางไม่มีท่าทีเดือดร้อนและยังพูดจาเป็นกันเอง เขาก็ลงแส้ให้ม้าออกเดินทางกลับคฤหาสน์ ระหว่างทางได้ยินเสียงเพลงจากปากของเยว่ซิน เป็นนิทานพื้นบ้านที่ชาวบ้านร้องให้เด็กๆ ฟัง น้ำเสียงนางไม่ได้ไพเราะอ่อนหวาน แต่กลับทำให้คนฟังเผลอยิ้มตามไปด้วย
“ที่แรกข้าคิดจะปิ้งปลา แต่ท่านราชครูกลับมาแล้วจะทำน้ำแกงปลาก็แล้ว มีอะไรที่ใต้เท้าไม่กินไม่ได้หรือไม่”
“ไม่มีขอรับ ท่านราชครูกินง่ายอยู่ง่าย ขอแค่อาหารอุ่นร้อนกำลังดี ปลาต้องไม่มีรสคาว ถ้าเป็นผัดผักต้องไม่ชุ่มน้ำมันจนเกินไป แล้วยัง...”
“นี่เรียกกินง่ายอยู่ง่ายแล้วรึ” นางหัวเราะเสียงดังจนทำให้คนด้านในรถม้าส่งเสียงกระแอมไอออกมา “เอาเถอะ ข้ามีสูตรน้ำแกงเลิศรส รับรองว่าใต้เท้าฉู่ต้องชอบแน่”
นางเอ่ยอย่างมั่นใจ
รถม้ามาถึงหน้าคฤหาสน์ บ่าวไพร่ที่มีเพียงไม่กี่คนออกมาต้อนรับ หญิงสาวกระโดดลงจากรถทันทีพร้อมฉวยปลาสองตัวนั้นลงมาด้วย
“คุณหนูเยว่ซินมาแล้ว”
“คุณหนู?” หันซูทวนคำที่ได้ยินอย่างงุนงง
“ระหว่างแม่นางกับคุณหนู ข้าให้พวกเขาเรียกว่าคุณหนูเยว่ซิน” นางโบกมือไปมาคล้ายไม่ใส่ใจเรื่องเหล่านี้ “หรือจะให้พวกเขาเรียกข้าว่าฮูหยิน”
เสียงไอโคลกๆ ดังมาจากในรถม้า เยว่ซินยื่นหน้าไปทางหน้าต่างรถม้าแล้วเอ่ยขึ้น “ท่านราชครูเข้าด้านในเถอะ ข้าจะเข้าครัวทำน้ำแกงบำรุงร่างกาย”
นางทำเหมือนตัวเองเป็นเจ้าบ้าน กึ่งวิ่งกึ่งเดินไปทางห้องครัว บ่าวไพร่ต่างทักทายพูดคุยหยอกล้อเป็นกันเอง แต่เดิมคฤหาสน์หลังนี้ปกคลุมด้วยความเงียบสงบ แทบไม่เคยมีเสียงหัวเราะ แต่เมื่อนางก้าวเข้ามา ทุกอย่างเปลี่ยนไปจนเจ้าของคฤหาสน์ประหลาดใจ รวมทั้งสภาพคฤหาสน์ที่ซอมแซมไปบางส่วน ต้นไม้ดอกไม้ถูกตัดแต่งกิ่งไม่รกหูรกตาเช่นที่ผ่านมา
เขาไม่อยู่แค่ไม่กี่วันมิใช่หรือ เหตุใดเปลี่ยนไปมากขนาดนี้
“เจ้ารู้เรื่องพวกนี้หรือไม่” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถามขณะที่หันซูประคองเขาลงจากรถม้ามานั่งรถเข็น
“นายท่านสั่งว่า ‘นางอยากทำอะไรก็ให้นางทำไป อย่าให้ไปยุ่งกับเรือนของข้าก็พอ’ และดูเหมือนแม่นางเหอจะทำตามที่ข้าถ่ายทอดถ้อยคำของนายท่าน”
‘นั้นสินะ’ นางไม่ได้ละเมิดคำสั่งของเขา เพราะเมื่อเขากลับมาถึงเรือนของตน ทุกอย่างยังคงอยู่ดีเช่นเดิม ยังคงให้ความรู้สึกอึมครึมราวกับถูกปกคลุมด้วยเมฆฝน แต่ทุกกระนั้นเขาก็รู้สึกว่าทุกอย่างเปลี่ยนไปเพราะเสียงหัวเราะหยอกล้อที่ลอยตามลมมาถึงเรือนของเขา
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่” “มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ” “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่” “ขอรับ” เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้ หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เข
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง “ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ” ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ” “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่” “หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว “บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย “ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่ค
บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู “ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง “แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน” “มีเรื่องใดรึ” ดว
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา
บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง “มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา “ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้ เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง “หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ” “ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อร