Home / โรแมนติก / บรรณาการเย้ารัก / Chapter 2. ข้าไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าตัวตาย

Share

Chapter 2. ข้าไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าตัวตาย

            วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’

นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ  หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ  สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง

            จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป

            “แม่นางเหอ!”

            “ว้าย!”

หญิงสาวตกใจเสียงเรียกเหยียบบันไดพลาด แต่ยังดีที่มือไม้ว่องไวคว้าบันไดไว้ได้ทัน นางสงบสติระงับความตื่นเต้นได้แล้วก็หันไปทำตาดุใส่คนที่เรียกนาง

            “พ่อบ้านหันซู!”

            “แม่นางเหอ ท่านอย่าคิดสั้น” หันซูทำหน้าตาตื่นรีบยื่นมือไปจับขาหญิงสาวไว้ 

            “เจ้า! อย่ามาถูกตัวข้านะ!”

            “ข้าน้อยไม่ปล่อยขอรับ! แม่นางเหออย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้!”

            “ทำร้ายตัวเองอันใด ข้าแค่จะปีนขึ้นไปตัดกิ่งสาลี่”

            “หา...”

            “เจ้าบ้า! ปล่อยขาข้าเดี๋ยวนี้นะ”

            ด้วยไม่ทันระวังตัว และเพิ่งนึกได้ว่าตนเองยื้อยึดขาสตรีอยู่จึงรีบปล่อยมือ เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวสะบัดปลายเท้าทำให้หันซูผงะเสียหลังหงายหลังแบบไม่มีใครช่วย ครั้งจะใช้วรยุทธ์ก็นึกได้อีกว่านายท่านสั่งมิให้เปิดเผยตัวจึงจำยอมให้ตัวเองหงายหลังล้มตึงอย่างน่าอับอาย

            “พ่อบ้านเป็นอะไรหรือไม่”  หญิงสาวรีบก้าวลงจากบันได บ่าวไพร่ที่อยู่ใกล้รีบเข้ามาประคองให้ลุกขึ้น และปัดเศษใบไม้ออกจากร่างของพ่อบ้าน

            “แม่นางเหอไม่ได้คิดสั้นแน่นะขอรับ”  หันซูอับอาย แต่ก็พยายามคิดถึงคำสั่งของนายท่านที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด

            “ไม่” นางยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าตัวตาย”

            “นั้นสิขอรับ บ่าวช่างโง่เขลายิ่งนัก” หันซูหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ “ไม่ทราบแม่นางเหอทำสิ่งใดหรือขอรับ”

            “ข้าอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เห็นต้นสาลี่ก็เลยคิดว่าจะขึ้นไปตัดแต่งกิ่งเสียหน่อย จะได้ออกดอกออกผลดี”

            “อ้อ...”

            “อ้ออะไรของเจ้า” นางขึงตาใส่ แล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ได้ยินว่าหลังรัชทายาทขึ้นครองราชเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ทรงโปรดท่านราชครูอีก  คงเป็นความจริงสินะ”

            “เอ่อ...”

            “ดูจากสภาพความเป็นอยู่แล้วก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด” นางยังคงพูดเองเออเอง แล้วหันมาจ้องหน้าพ่อบ้านหนุ่ม “แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่อยู่ซอมซ่อเช่นนี้”

            “เป็นข้าน้อยที่บกพร่องเองขอรับ”

            “ถูกแล้ว เป็นความผิดของเจ้า” นางเบ้ปากใส่ แล้วถอนหายใจอีกรอบ “ข้ารู้ว่าท่านราชครูไม่อยากพบหน้าข้า แต่เขาเป็นเจ้าบ้าน ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่บนเขาเช่นนั้น ต่อให้บอกว่าแช่น้ำพุร้อนรักษาบาดแผลอย่างไรก็คงไม่นานขนาดนี้ เอาเป็นว่าเจ้าเชิญท่านราชครูกลับมาเถิด ข้าต้องคุยกับเขา”

            “ขอรับ”

            “อืม แล้วข้าก็จำได้ว่าพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ต้องพูดกับเจ้าอีกหน เรียกข้าว่าเยว่ซินก็พอ ไม่ต้องเรียกแม่นางเหอ ฟังแล้วรำคาญหู”

            “ขะ...ขอรับ ทราบแล้วแม่นางเยว่ซิน”

เอาเข้าไป ...

            “ยังจะยืนบื้ออะไรอยู่ ไปเชิญท่านราชครูกลับมาได้แล้ว”

            “ขอรับ”  หันซูรับคำสั่งแล้วรีบเดินลิ่วๆ ออกไป  แปลกใจที่ตัวเองต้องทำตามคำสั่งนาง และแปลกใจยิ่งกว่าว่ากิริยาท่าทางเช่นนี้ นี่นางเป็นคณิกาอันดับหนึ่งจริงๆ หรือ? ช่างเหมือนอันธพาลโดยแท้

            เยว่ซินกลอกตามองบน  ช่างน่าสงสารท่านราชครูเสียจริง  รับเคราะห์แทนฮ่องเต้จนตัวเองบาดเจ็บสาหัส แต่ต้องถูกขับออกมาอยู่หมู่บ้านเล็กๆ ทุรกันดาร ห่างไกลเมืองหลวงเป็นพันลี้  ความเป็นอยู่ก็สุดแสนน่าเวทนา  นี่นางคิดถูกหรือผิดที่ยอมเดินทางไกลมาถึงที่นี่

            ช่างเถอะ  เพื่อ ‘เหอเยว่ซิน’ แล้ว เรื่องแค่นี้ไม่นับว่านักหนาอะไร

            หญิงสาวหมดอารมณ์จะตัดแต่งกิ่งสาลี่ นางปัดมือไปมาแล้วมองเลยไปยังภูเขาลูกโตที่อยู่ด้านหลังแนวกำแพงผุพัง ได้ยินว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีดีแค่น้ำพุร้อนสำหรับบำบัดรักษาโรค นางไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ ไม่รู้ว่าเป็นความจริงกี่ส่วนกัน  แต่นางมั่นใจว่า หากท่านราชครูแช่น้ำพุร้อนนานขนาดนี้ผิวหนังคงเปื่อยยุ่ยไปแล้ว

            “แม่นางเหอ ...เอ่อ ..แม่นางเย่วซินจะไปไหนหรือขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเร็วๆ ออกไปจากบริเวณเรือนของตนเอง

            “แค่เดินเล่น ไม่ต้องตามมา” 

นางตอบห้วนๆ โบกมือโบไม้เป็นเชิงไล่ แล้วเดินออกทางประตูด้านหลัง นางเคยเดินมาสำรวจบริเวณนี้แล้ว หากไม่มีหญ้าขึ้นรกปกคลุมคงไม่มีผู้ใดรู้ว่าแนวกำแพงพังไปครึ่งหนึ่ง  จะซอมแซมจุดนี้ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย และนางจะทำอะไรโดยไม่บอกเจ้าของบ้านคงไม่ดีแน่

เพียงพ้นสายตาของบ่าวรับใช้ เจ้าของร่างเพรียวบางก็ผ่อนคลายมากขึ้น การเดินป่าขึ้นเขาเป็นเรื่องที่ ‘เหอเยว่ซิน’ ไม่มีวันทำแน่นอน  แต่สำหรับ ‘เซียงเยว่ซิน’ นี่คือสิ่งที่โปรดปรานนัก นางเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุเพียงสิบปี บิดามารดาและพี่ชายคนรองตายไปเพราะกลุ่มทหารพ่ายทัพ เหลือเพียงนางที่รอดชีวิตอยู่  ผลักดันให้ต้องเอาตัวรอด จำต้องลักเล็กขโมยน้อยเพียงเลี้ยงชีพ  ใช้ชีวิตเช่นนี้จนอายุสิบสี่ บังเอิญได้พบกับ ‘เหอเยว่ซิน’ ซึ่งถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นคณิกาอันดับหนึ่ง นางขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง กิริยาอ่อนช้อยงดงาม เชี่ยวชาญผีผาและดีดพิณ ร่ายรำและเขียนอักษร ซึ่งตรงข้ามกับนางทุกอย่าง

‘ข้ากับเจ้าชื่อเดียวกันเลย’  เหอเยว่ซินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน คราวนั้นได้พบกันเพราะเหอเย่ว ซินมาไหว้พระขอพร ส่วนนางมาอาศัยกินข้าวที่โรงทาน ด้วยความอยากเห็นหญิงงามจึงโผล่เข้าไปดู

Related chapters

Latest chapter

DMCA.com Protection Status