วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’
นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง
จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป
“แม่นางเหอ!”
“ว้าย!”
หญิงสาวตกใจเสียงเรียกเหยียบบันไดพลาด แต่ยังดีที่มือไม้ว่องไวคว้าบันไดไว้ได้ทัน นางสงบสติระงับความตื่นเต้นได้แล้วก็หันไปทำตาดุใส่คนที่เรียกนาง
“พ่อบ้านหันซู!”
“แม่นางเหอ ท่านอย่าคิดสั้น” หันซูทำหน้าตาตื่นรีบยื่นมือไปจับขาหญิงสาวไว้
“เจ้า! อย่ามาถูกตัวข้านะ!”
“ข้าน้อยไม่ปล่อยขอรับ! แม่นางเหออย่าทำร้ายตัวเองเช่นนี้!”
“ทำร้ายตัวเองอันใด ข้าแค่จะปีนขึ้นไปตัดกิ่งสาลี่”
“หา...”
“เจ้าบ้า! ปล่อยขาข้าเดี๋ยวนี้นะ”
ด้วยไม่ทันระวังตัว และเพิ่งนึกได้ว่าตนเองยื้อยึดขาสตรีอยู่จึงรีบปล่อยมือ เป็นจังหวะเดียวกับที่หญิงสาวสะบัดปลายเท้าทำให้หันซูผงะเสียหลังหงายหลังแบบไม่มีใครช่วย ครั้งจะใช้วรยุทธ์ก็นึกได้อีกว่านายท่านสั่งมิให้เปิดเผยตัวจึงจำยอมให้ตัวเองหงายหลังล้มตึงอย่างน่าอับอาย
“พ่อบ้านเป็นอะไรหรือไม่” หญิงสาวรีบก้าวลงจากบันได บ่าวไพร่ที่อยู่ใกล้รีบเข้ามาประคองให้ลุกขึ้น และปัดเศษใบไม้ออกจากร่างของพ่อบ้าน
“แม่นางเหอไม่ได้คิดสั้นแน่นะขอรับ” หันซูอับอาย แต่ก็พยายามคิดถึงคำสั่งของนายท่านที่ต้องทำอย่างเคร่งครัด
“ไม่” นางยืนยันด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ข้าไม่มีความจำเป็นต้องฆ่าตัวตาย”
“นั้นสิขอรับ บ่าวช่างโง่เขลายิ่งนัก” หันซูหยิบผ้าเช็ดหน้ามาซับเหงื่อ “ไม่ทราบแม่นางเหอทำสิ่งใดหรือขอรับ”
“ข้าอยู่ว่างไม่มีอะไรทำ เห็นต้นสาลี่ก็เลยคิดว่าจะขึ้นไปตัดแต่งกิ่งเสียหน่อย จะได้ออกดอกออกผลดี”
“อ้อ...”
“อ้ออะไรของเจ้า” นางขึงตาใส่ แล้วถอนหายใจอย่างเบื่อหน่าย “ได้ยินว่าหลังรัชทายาทขึ้นครองราชเป็นฮ่องเต้ก็ไม่ทรงโปรดท่านราชครูอีก คงเป็นความจริงสินะ”
“เอ่อ...”
“ดูจากสภาพความเป็นอยู่แล้วก็เป็นคำตอบที่ดีที่สุด” นางยังคงพูดเองเออเอง แล้วหันมาจ้องหน้าพ่อบ้านหนุ่ม “แต่ถึงอย่างไรก็มิใช่อยู่ซอมซ่อเช่นนี้”
“เป็นข้าน้อยที่บกพร่องเองขอรับ”
“ถูกแล้ว เป็นความผิดของเจ้า” นางเบ้ปากใส่ แล้วถอนหายใจอีกรอบ “ข้ารู้ว่าท่านราชครูไม่อยากพบหน้าข้า แต่เขาเป็นเจ้าบ้าน ไม่จำเป็นต้องหลบซ่อนอยู่บนเขาเช่นนั้น ต่อให้บอกว่าแช่น้ำพุร้อนรักษาบาดแผลอย่างไรก็คงไม่นานขนาดนี้ เอาเป็นว่าเจ้าเชิญท่านราชครูกลับมาเถิด ข้าต้องคุยกับเขา”
“ขอรับ”
“อืม แล้วข้าก็จำได้ว่าพูดไปแล้วครั้งหนึ่ง แต่ต้องพูดกับเจ้าอีกหน เรียกข้าว่าเยว่ซินก็พอ ไม่ต้องเรียกแม่นางเหอ ฟังแล้วรำคาญหู”
“ขะ...ขอรับ ทราบแล้วแม่นางเยว่ซิน”
เอาเข้าไป ...
“ยังจะยืนบื้ออะไรอยู่ ไปเชิญท่านราชครูกลับมาได้แล้ว”
“ขอรับ” หันซูรับคำสั่งแล้วรีบเดินลิ่วๆ ออกไป แปลกใจที่ตัวเองต้องทำตามคำสั่งนาง และแปลกใจยิ่งกว่าว่ากิริยาท่าทางเช่นนี้ นี่นางเป็นคณิกาอันดับหนึ่งจริงๆ หรือ? ช่างเหมือนอันธพาลโดยแท้
เยว่ซินกลอกตามองบน ช่างน่าสงสารท่านราชครูเสียจริง รับเคราะห์แทนฮ่องเต้จนตัวเองบาดเจ็บสาหัส แต่ต้องถูกขับออกมาอยู่หมู่บ้านเล็กๆ ทุรกันดาร ห่างไกลเมืองหลวงเป็นพันลี้ ความเป็นอยู่ก็สุดแสนน่าเวทนา นี่นางคิดถูกหรือผิดที่ยอมเดินทางไกลมาถึงที่นี่
ช่างเถอะ เพื่อ ‘เหอเยว่ซิน’ แล้ว เรื่องแค่นี้ไม่นับว่านักหนาอะไร
หญิงสาวหมดอารมณ์จะตัดแต่งกิ่งสาลี่ นางปัดมือไปมาแล้วมองเลยไปยังภูเขาลูกโตที่อยู่ด้านหลังแนวกำแพงผุพัง ได้ยินว่าเมืองเล็กๆ แห่งนี้มีดีแค่น้ำพุร้อนสำหรับบำบัดรักษาโรค นางไม่มีความรู้เรื่องพวกนี้ ไม่รู้ว่าเป็นความจริงกี่ส่วนกัน แต่นางมั่นใจว่า หากท่านราชครูแช่น้ำพุร้อนนานขนาดนี้ผิวหนังคงเปื่อยยุ่ยไปแล้ว
“แม่นางเหอ ...เอ่อ ..แม่นางเย่วซินจะไปไหนหรือขอรับ” บ่าวรับใช้เอ่ยถามเมื่อเห็นหญิงสาวก้าวเร็วๆ ออกไปจากบริเวณเรือนของตนเอง
“แค่เดินเล่น ไม่ต้องตามมา”
นางตอบห้วนๆ โบกมือโบไม้เป็นเชิงไล่ แล้วเดินออกทางประตูด้านหลัง นางเคยเดินมาสำรวจบริเวณนี้แล้ว หากไม่มีหญ้าขึ้นรกปกคลุมคงไม่มีผู้ใดรู้ว่าแนวกำแพงพังไปครึ่งหนึ่ง จะซอมแซมจุดนี้ต้องใช้เงินจำนวนไม่น้อย และนางจะทำอะไรโดยไม่บอกเจ้าของบ้านคงไม่ดีแน่
เพียงพ้นสายตาของบ่าวรับใช้ เจ้าของร่างเพรียวบางก็ผ่อนคลายมากขึ้น การเดินป่าขึ้นเขาเป็นเรื่องที่ ‘เหอเยว่ซิน’ ไม่มีวันทำแน่นอน แต่สำหรับ ‘เซียงเยว่ซิน’ นี่คือสิ่งที่โปรดปรานนัก นางเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่อายุเพียงสิบปี บิดามารดาและพี่ชายคนรองตายไปเพราะกลุ่มทหารพ่ายทัพ เหลือเพียงนางที่รอดชีวิตอยู่ ผลักดันให้ต้องเอาตัวรอด จำต้องลักเล็กขโมยน้อยเพียงเลี้ยงชีพ ใช้ชีวิตเช่นนี้จนอายุสิบสี่ บังเอิญได้พบกับ ‘เหอเยว่ซิน’ ซึ่งถูกเลี้ยงดูเพื่อเป็นคณิกาอันดับหนึ่ง นางขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง กิริยาอ่อนช้อยงดงาม เชี่ยวชาญผีผาและดีดพิณ ร่ายรำและเขียนอักษร ซึ่งตรงข้ามกับนางทุกอย่าง
‘ข้ากับเจ้าชื่อเดียวกันเลย’ เหอเยว่ซินเอ่ยพร้อมรอยยิ้มอ่อนหวาน คราวนั้นได้พบกันเพราะเหอเย่ว ซินมาไหว้พระขอพร ส่วนนางมาอาศัยกินข้าวที่โรงทาน ด้วยความอยากเห็นหญิงงามจึงโผล่เข้าไปดู
วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหายถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนางมุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนหากเขาจะเลิกหล
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่” “มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ” “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่” “ขอรับ” เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้ หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เข
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง “ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ” ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ” “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่” “หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว “บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย “ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่ค
บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู “ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง “แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน” “มีเรื่องใดรึ” ดว
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่
แววตาของนางมีรอยขบขัน แต่ยังทำหน้าใสซื่อแล้วเอ่ยต่อ “อันที่จริงข้ารู้ว่าอาหารที่ข้าทำ พ่อบ้านล้วนชิมเองก่อนให้ใต้เท้า ข้าก็เลยกิน หมั่วโถวนี้เอง พ่อบ้านจะได้สบายใจ” “เจ้า!” “อยู่ใต้ชายคาเดียวกันมาร่วมเดือน พ่อบ้านเรียกข้าเยว่ซินก็ได้ ข้าไม่ถือสาหรอก” อันที่จริงนางไม่อยากให้ใครต่อใครเรียกนางว่า ‘เหอเยว่ซิน’ เพราะนางคือ ‘เซียงเยว่ซิน’ แต่เพราะหลายปีมานี้ นางแทบไม่เคยบอกแซ่กับใคร เพียงแค่นางไม่อยากคิดถึงเรื่องบิดามารดา และนางทำตัวไม่ดี เกรงจะทำให้สกุลของบิดาแปดเปื้อน “เจ้าต้องการอะไรกันแน่” เขากัดฟันกรอด ความอดทนของเขามีจำกัด ไม่เหมือนนายท่านที่อดทนต่อเจ้าลิงน้อยซุกซนเช่นนางได้ “ที่ข้าทำหมั่นโถวมาให้ไม่มีสิ่งใดซ่อนเร้น นอกจากตั้งใจดูแลพ่อบ้าน ท่านเองก็ต้องใช้ร่างกายและจิตใจรับใช้ใต้เท้าฉู่ ก็ต้องบำรุงร่างกายให้แข็งแรงถึงจะถูก” ที่นางกล่าวมาก็ถูกอยู่หลายส่วน แต่เหตุใดฟังแล้วแปลกหูพิกล เยว่ซินไม่หยอกพ่อบ้านเล่นอีกจึงพูดเข้าประเด็น “ข้าเพียงอยากสอบถามอาการบาดเจ็บเรื้อรังของใต้เท้าฉู่” “แม่นา