บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบห้า บนใบหน้าทีรอยแผลเป็นที่เหนือคิ้วขวาราวกับถูกสายฟ้าฟาด ทำให้ใบหน้าที่เคยอ่อนโยนกลับดูน่ากลัว ยิ่งเวลานี้คิ้วเรียวงามขมวดแน่นขณะไล่สายตาอ่านตัวอักษรในจดหมายฉบับหนึ่ง
“มีเรื่องใดรึขอรับท่านราชครู” หันซู บ่าวรับใช้และองครักษ์ข้างกายเอ่ยถาม
ฉู่ห่าวหรานถอนหายใจหนักหน่วง จดหมายเพิ่งมาถึงมือ แต่ ‘เครื่องบรรณาการ’ เดินทางมาก่อนแล้ว หากปฏิเสธไม่รับบรรณาการชิ้นนี้ก็เกรงว่าจะทำไม่ได้แล้ว ไม่รู้ว่าฮ่องเต้ทรงคิดอันใดอยู่จึงได้ส่งคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงมาปรนนิบัติดูแลเขา
“ให้คนปัดกวาดเรือนตะวันตก จัดเตรียมที่ให้บรรณาการที่กำลังเดินทางมาถึง” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยเสียงเรียบไม่ได้รู้สึกยินดีแต่อย่างใด เขาส่งจดหมายให้หันซู่แล้วเคาะนิ้วกับเก้าอี้รถเข็น เขาเดินไม่ได้มาปี กว่า การเคลื่อนไหวของเขาจึงต้องพึ่งพาเก้าอี้มีล้อเช่นนี้
เมื่อได้รับอนุญาต หันซูกวาดตามองอ่านข้อความในจดหมายแล้วอ้าปากค้าง
“หญิงคณิกา?” หันซูอ้าปากค้าง “เหตุใดฮ่องเต้ประทานหญิงคณิกาให้ท่านล่ะขอรับ”
“ข้าจะรู้ได้อย่างไร” ฉู่ห่าวหรานหมุนล้อรถเข็นเคลื่อนไปข้างหน้า หันซูรีบเข้าไปเข็นด้วยตนเองไม่ต้องรอให้ผู้เป็นนายสั่ง
“แล้วท่านจะทำอย่างไร”
“เจ้าอยู่ตอนรับนางให้ดี ส่วนข้าจะขึ้นเขาไปรักษาตัวที่บ่อน้ำพุร้อน”
“แล้วท่านจะลงจากเขาเมื่อไหร่ขอรับ”
ฉู่ห่าวหรานตวัดสายตามอง เพียงแค่นั้นบ่าวรับใช้ก็ปิดปากเงียบแม้อยากรู้แต่ไม่กล้าถาม
เหตุใดฮ่องเต้จึงหญิงคณิกามาเป็นเครื่องบรรณาการท่านราชครูผู้รักความสะอาดเหนือสิ่งอื่นใดเช่นนี้นะ ยามอยู่เมืองหลวง นายท่านของเขาไม่เคยข้องแวะกับสถานที่เช่นนั้นแม้แต่ก้าวเดียว ก่อนย้ายมาที่เมืองแห่งนี้ จำได้ว่าเขาได้ยินชื่อเสียงของคณิกานางนั้นเป็นอย่างดี นางครอบครองความงามที่ทำให้สตรีด้วยกันยังริษยา บุรุษหมายมั่นจะได้ครอบครองนาง เพียงการเดินหมากดีดพิณก็เป็นที่ร่ำลือกันไปทั่ว และเป็นหญิงงามที่เอาใจยากไม่น้อย
หันซูลอบมองคฤหาสน์ซอมซ่อที่อาศัยอยู่ ไม่นับรวมบางแห่งที่หลังคารั่ว มีบ่าวรับใช้นับแล้วไม่เกินยี่สิบคน แล้วอย่างนี้จะไปต้อนรับสตรีนางนั้นได้อย่างไร
บ่าวหนุ่มลอบถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวลาก่อนความสงบสุขที่มีมา
หญิงสาวในอาภรณ์เนื้อผ้าไหมสีแดงสดสวย ร่างเพรียวบางก้าวลงจากรถม้า กวาดตามองโดยรอบแล้วขมวดคิ้วอย่างหงุดหงิดระคนประหลาดใจนี่คฤหาสน์หรืออารามร้างกันแน่หนอ
“เชิญแม่นางเหอเยว่ซินทางนี้ขอรับ” พ่อบ้านหนุ่มนามหันซูประสานมือคารวะแล้วเชื่อเชิญให้ก้าวไปด้านใน
“อืม” นางรับคำสั้นๆ หันไปพยักหน้าให้ผู้ติดตามขนข้าวของลงจากรถม้า นางมีข้าวของติดตัวแค่คันรถเดียว ไม่มีบ่าวรับใช้ติดตามข้างกาย คนเหล่านี้เมื่อทำหน้าที่เสร็จก็เดินทางกลับเมืองหลวง
มือเรียวยกชายกระโปรงขึ้นเล็กน้อย ก้าวเร็วๆด้วยท่าทีห้าวหาญเดินตามพ่อบ้านที่มารับ หันซูออกจะแปลกใจกับกิริยาท่าทางอยู่บ้าง เขาเองอยู่เมืองหลวงมานับสิบปี ย้ายติดตามนายท่านมาที่เมืองหานตานได้ปีครึ่ง แต่ไม่คิดว่ากิริยามารยาท ‘กุลสตรี’ของเมืองหลวงจะเปลี่ยนไปมากถึงเพียงนี้
“นี่ๆ พ่อบ้าน... ชื่ออะไรนะ” นางเอ่ยถามเสียงห้วน แต่สายตากวาดมองรอบตัวอย่างไม่เกรงมารยาท
“ข้าน้อยแซ่หันชื่อคำเดียวซูขอรับ”
“หันซู” นางทวนคำ “ดูท่าทางเจ้าจะเป็นทั้งพ่อบ้านและบ่าวรับใช้ข้างกายท่านราชครูสินะ”
“ขอรับ”
“ทั้งคฤหาสน์นี้มีบ่าวไพร่เท่าไหร่?”
“เอ่อ...ยี่สิบคนขอรับ”
“หือ?” นางทำเสียงไม่เชื่อ “ถ้ามีถึงยี่สิบคนจะปล่อยคฤหาสน์หลังงามให้ซอมซ่อขนาดนี้รึ”
“เอ่อ...”
“ไม่ถึงสิบคนละสินะ” นางยังคงพูดด้วยน้ำเสียงห้วน ทิ่มแทงคนฟัง
“ท่านราชครูรักสันโดษและใช้ชีวิตสมถะ จึงไม่ชอบให้มีผู้คนอยู่รายล้อมมากเกินไป”
“รักสันโดษหรือไม่มีเงินซื้อบ่าวรับใช้” นางถอดถอนใจอย่างรู้สึกเวทนา “ได้ยินว่าฮ่องเต้องค์ใหม่ไม่โปรดท่านราชครู เห็นท่าจะเป็นความจริง”
“แค่กๆ” หันซูถึงกับสำลักน้ำลายตัวเอง “แม่นางเหอ”
“เรียกข้าเยว่ซินก็พอ” นางโบกมือไปมา “ข้ามาถึงนานแล้ว เหตุใดยังไม่เห็นหน้าท่านราชครู”
“ท่านราชครูขึ้นเขาไปแช่น้ำพุร้อนขอรับ”
“ทั้งที่รู้ว่าข้ามานะหรือ?” นางกลอกตามองบน “ไม่อยากเจอหน้ากันก็ไม่เป็นไร แต่บ่าวรับใช้มีน้อย เจ้าที่เป็นคนสนิทต้องมาอยู่ต้อนรับข้า แล้วผู้ใดอยู่ดูแลท่านราชครู”
“เรื่องนั้น...ประเดี๋ยวบ่าวส่งแม่นางเหอแล้วจะขึ้นเขาไปรับใช้นายท่านขอรับ”
“ดีแล้ว อ้อ! ข้ามาที่นี่ไม่มีบ่าวรับใช้มาด้วย วานพ่อบ้านหันช่วยหาสาวใช้ให้ข้าสักคน”
“ขอรับ”
หญิงสาวเดินมาถึงเรือนของตนเองแล้วอ้าปากค้าง ใบหน้าสะกดอารมณ์เต็มที่แล้วกัดฟันถาม พลางชี้นิ้วไปที่เรือนพักที่อยู่ตรงนั้น
“อย่าบอกนะว่า นั้นเรือนของข้า”
“ขอรับ”
“สภาพนั้นยังสามารถใช้งานได้รึ ข้านอนอยู่ดีๆ หลังคาไม่พังมาใส่หรือไร”
“แม่นางเหอกล่าวเกินไปแล้ว” หันซูหยิบผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาซับเหงื่อ ท่าทางเอาแต่ใจช่างสมกับเป็นคณิกาอันดับหนึ่งที่ผู้อื่นกล่าวถึงจริงๆ
“เจ้าจะบอกว่า เรือนของข้าสภาพดีกว่าเรือนของท่านราชครู?”
“เอ่อ...”
“ช่างเถอะๆ” นางตัดบท ยังดีที่โดยรอบมีต้นไม้น้อยใหญ่ให้ความร่มรื่น “ให้คนขนข้าวของมาอย่าให้เสียหาย เรียกบ่าวมาเตรียมน้ำให้ข้าอาบ เดินทางมาไกลข้าอยากพักผ่อน และอย่าลืมน้ำชาและของว่างด้วย”
“ขอรับ”
“ไปดูแลท่านราชครูเถอะ ทางนี้ข้าจัดการเองได้”
หันซูผงกศีรษะรับแล้วถอยออกมา สั่งให้บ่าวรับใช้รับคำสั่งของเหอเยว่ซินอย่างดี ส่วนตัวเองหลบออกมา แต่อดเหลือบมองแผ่นหลังของหญิงสาวผู้นั้นไม่ได้
นางคือ ‘เหอเยว่ซิน’ คณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวงจริงๆ หรือ? เขาเองก็ไม่เคยเห็นใบหน้าของนางมาก่อน แต่ความงามปานเทพธิดาที่ผู้คนล่ำลือนั้นดูเหมือนจะห่างไกลกับสิ่งที่เขาเห็นในวันนี้มากนัก มิใช่นางมิงดงาม เพียงแค่มิดได้ผุดผาดสะกดสายตาผู้คน ลักษณะการเดิน การวางตัว หรือแม้แต่การสนทนา ดูไร้มารยาทไปสักหน่อย หรือว่า นางเอาแต่ใจตนเอง เมื่อเห็นว่าคฤหาสน์ของท่านราชครูซอมซ่อขนาดนี้จึงแสดงท่าทางเช่นนั้น
พ่อบ้านหนุ่มโคลงศีรษะไปมาแล้วเร่งเดินทางขึ้นเขาไปพบฉู่ห่าวหราน ต่อให้แม่นางเหอไม่ไล่เขาไป เขาก็คงทนอยู่กับสตรีเรื่องมากไม่ได้แน่นอน.
วันเวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า ล่วงเข้าสู่วันที่ห้าแล้ว หญิงสาวในชุดกระโปรงสีชมพูปักลายดอกไม้เล็กๆ เพิ่มความอ่อนหวาน นางมั่นใจว่าคนที่นางต้องการพบหน้านั้นกำลัง ‘หลบหน้า’นางควรรู้สึกอย่างไรดี เจ้าของบ้านต้องออกไปอยู่ด้านนอก ส่วนนางผู้มาอาศัยกลับนอนเอกเขนกอยู่ในเรือนที่สภาพที่พอซุกหัวนอนได้ หลังจากสำรวจดูที่ต้องซ่อมแซมแล้ว นางจึงถือสิทธิ์ที่พ่อบ้านหันซูอนุญาตให้นางเรียกใช้บ่าวไพร่ได้ เรียกคนมาโยกย้ายเครื่องเรือนและซ่อมหลังคาที่มีรอยรั่ว แม้เป็นต้นฤดูร้อน ทว่าหากมีพายุเข้าก็คงลำบากไม่น้อย เรื่องเหล่านี้ไม่ควรนิ่งนอนใจ ในเมื่อไม่มีอะไรให้ทำนางไม่ลังเลที่จะทำ หญิงสาวจึงเรียกบ่าวรับใช้มาจัดการซ่อมแซมหลังคา อะไรที่รกหูรกตานางก็ชี้นิ้วสั่งการให้บ่าวไพร่ทำ สิ่งไหนไม่ถูกใจ นางก็ลุกขึ้นทำด้วยตัวเอง จากวันแรกๆ ที่สวมอาภรณ์ถักทอด้วยไหมงดงามเพื่อรอพบท่านราชครู แต่เขาไม่ปรากฏกายเสียที หลายวันเข้าการแต่งตัวรอเก้อทำให้นางหงุดหงิด จนวันนี้นางสวมเพียงชุดผ้าฝ้ายธรรมดา เกล้าผมอย่างเรียบง่ายไม่ได้สวมเครื่องประดับมากมาย นางพาดบันไดพิงต้นสาลี่แล้วปีนขึ้นไป “แม่นางเหอ!”
วันนั้นมีคนมาไหว้ขอพรมากพอควร ธูปเกือบถูกใบหน้าของเหอเยว่ซินแล้ว หากไม่เพราะเซียงเยว่ซินยื่นมือไปกันไว้ได้ทัน มิเช่นนั้นใบหน้างดงามคงเป็นแผล นางเองก็ไม่รู้ว่าทำไมยอมเจ็บแทนผู้อื่น หรือเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายใบหน้างดงามน่ารัก หากต้องเป็นแผลคงน่าเสียดาย ส่วนนางนั้นผิวหนาหยาบกร้าน เรื่องแค่นี้ไม่นับว่าเรื่องใหญ่อันใด แต่เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้ทั้งสองได้พบกันบ่อยๆ และนับเป็นสหายถูกแล้ว นางไม่ใช่ ‘เหอเยว่ซิน’หญิงคณิกาอันดับหนึ่งของเมืองหลวง นางคือหัวขโมยสาวที่ใครๆ รู้จักในนาม ‘เยว่ซิน’ และน้อยคนนักที่จะรู้แซ่ของนางมุมปากของหญิงสาวยกยิ้มจนกลายเป็นรอยยิ้มกว้าง แม้เหอเยว่ซินเป็นหญิงคณิกา แต่เป็นอี้จี้ที่ขายศิลปะไม่ขายเรือนร่าง นางมีคนรัก แต่เมื่อได้รับคำสั่งจากฮ่องเต้ให้เป็นเครื่องบรรณาการมอบให้ท่านราชครูที่ถูกส่งมาอยู่ไกลจากเมืองหลวงนับพันลี้ นางจึงเสนอความคิดเปลี่ยนตัว ยินยอมเป็นเครื่องบรรณาการเสียเอง เพื่อให้เหอเยว่ซินได้หลบหนี้ไปใช้ชีวิตกับคนรัก นางมั่นใจว่าตนเองสามารถเจรจาต่อรองกับท่านราชครูได้ เขาต้องเข้าใจเหตุผลที่นางสลับตัวกับเหอเยว่ซิน ยอมรับเรื่องที่เกิดขึ้นแน่นอนหากเขาจะเลิกหล
“ข้าน้อยจะไปเตือนพวกเขา...” “ช่างเถอะ” เขาโบกมือห้ามแล้วเข็นรถที่ห้องหนังสือ ทุกอย่างยังคงเป็นระเบียบเรียบร้อยดี แต่เหมือนมีบางอย่างไม่เหมือนเดิม “มีใครเข้ามาในนี้หรือไม่” “มีแค่บ่าวไพร่เอาหนังสือออกมาตากแดดขอรับ” หันซูกล่าวไปตามจริง “หรือนายท่านเห็นสิ่งใดผิดปกติขอรับ” “ไม่มีอะไร ข้าคิดมากไปเอง เจ้าไปชงชามาเถิด ข้าจะอยู่อ่านตำราที่นี่” “ขอรับ” เมื่ออยู่คนเดียว ฉู่ห่าวหรานอดคิดถึงสตรีนางนั้นไม่ได้ ครึ่งเดือนที่เขาตั้งใจหลบหน้า คิดว่านางคงร้องไห้ฟูมฟายกับชะตากรรมแสนอาภัพที่ต้องมาอยู่ไกลในหมู่บ้านชนบทเช่นนี้ เขาคิดจะปล่อยให้นางเศร้าโศกให้พอ แล้วเจรจาเรื่องหาที่ทางให้นางออกจากที่นี่ไปใช้ชีวิตที่ดีกว่า เขาไม่รู้ว่าเหตุใด คนที่ไม่เป็นที่โปรดปรานเช่นเขาจึงได้รับหญิงบรรณาการเช่นนี้ หรือฮ่องเต้ยังคงไม่เชื่อใจ ไม่ไว้ใจ จึงส่งคนมาสอดแนมและส่งข่าว ปลายนิ้วยกขึ้นแตะแผลเป็นบนใบหน้าอย่างไม่รู้ตัว ครานั้น องค์ชายสามก่อกบฏ ลอบปลงพระชมน์ฮ่องเต้หมายสถาปนาตนเองขึ้นครองบัลลังก์ แต่เข
“เกิดเรื่องใดขึ้น” ฉู่ห่าวหรานเอ่ยถาม หันซูจึงรายงานเท่าที่ทราบ อยู่ที่นี่มาปีเศษ ไม่ค่อยมีเรื่องร้ายใดนัก แรกๆ ชาวบ้านมีความอยากรู้อยากเห็นอยู่บ้าง แต่นานไปเมื่อเห็นว่าเขาเป็นเพียงอดีตขุนนางตกอับยากจนไร้บารมีจะส่งเสริมผู้ใด จึงค่อยๆ ห่างหายเลิกสนใจไปเอง “ไม่ทราบขอรับ น่าจะเกิดเรื่องที่หมู่บ้าน คุณหนูเยว่ซินไปดูแล้วขอรับ” ฉู่ห่าวหรานยกน้ำชาขึ้นจิบแล้วเอ่ยถาม “เจ้าคิดอย่างไรเกี่ยวกับแม่นางเหอ” “ตอนอยู่ที่เมืองหลวงเคยได้ยินเรื่องของนางมาบ้าง แต่บ่าวไม่เคยเห็นใบหน้านางสักครั้ง อันที่จริง คนที่อยากได้ยินแค่เสียงของนางยังต้องจ่ายหลายตำลึงทอง ผู้ที่จะได้พบหน้านางยิ่งน้อยนัก ข้าเองก็ไม่มั่นใจว่าใช่ตัวจริงหรือไม่” “หรือฮ่องเต้ส่งผู้อื่นมาแทน” ฉู่ห่าวหรานขมวดคิ้ว “บ่าวก็คิดเช่นนั้นขอรับ” ใบหน้านางแม้มิได้ขี้ริ้วขี้เหร่แต่ไม่ถึงกับเรียกว่าหญิงงาม ยิ่งลักษณะนิสัยแล้ว เขากลับรู้สึกนางไม่มีทางเชี่ยวชาญดีดพิณ ผีผา ชงชาหรือร่ายรำใดๆ ได้เลย “ข้าไม่มีอำนาจใดในกำมือ ซ้ำยังอยู่ในภาพร่างกายเช่นนี้ คนผู้นั้นยังไม่ค
บะหมี่หอมกรุ่นทำให้หญิงสาวไม่มีสมองไปคิดเรื่องอื่น นางรับบะหมี่มากิน พูดคุยเรื่องทั่วไปกับคนที่นี่ ทำให้นางรู้ว่าบ่าวรับใช้ที่นี่มิได้ติดตามมาจากเมืองหลวง การเดินทางออกจากเมืองหลวงนั้นมีเพียงฉู่ห่าวหรานกับหันซูและตำราสิบกว่าหีบที่ขนมา ส่วนบ่าวรับใช้เพิ่งหาคนมาทำงานเมื่อมาถึงที่นี่แล้ว เขาเลือกคนที่ไม่มีที่มาที่ไป ป้าลี่จือเป็นหม้ายและไร้บุตร เมื่อสามีตาย บรรดาญาติฝั่งสามีขับไล่ไสส่งนางเพราะนางไม่มีทายาทให้ตระกูล บ่าวชายอีกสองสามคนก็ไม่ต่างกันนัก และหากต้องทำอะไรที่ใช้แรงงานคน พ่อบ้านหันซูจะจ้างคนงานจ่ายค่าแรงเป็นรายวัน หญิงสาวกินอิ่มแล้ว นางพูดคุยเรื่องของว่างที่ต้องเตรียมส่งไปให้ท่านราชครู “ความจริง ใต้เท้าไม่ให้พวกเราเรียกท่านราชครู นายท่านบอกว่าท่านไม่ใช่ราชครูแล้ว” ต้าต่านบ่าวชายเอ่ยขึ้น เยว่ซินพยักหน้ารับ “เข้าใจแล้ว” นางสูดลมหายลึกๆ ผ่อนออกช้าๆ แล้วตั้งใจเดินหน้าไปพบฉู่ห่าวหราน ทว่าเดินไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็มีบ่าวชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาตามหานาง “แย่แล้วขอรับคุณหนูเยว่ซิน” “มีเรื่องใดรึ” ดว
“อุ้ย! พ่อบ้านก็คิดเช่นเดียวกันหรือนี่” หญิงสาวทำเป็นไร้เดียงสาขึ้นมาทันทีแล้วกลอกตามองทางฉู่ห่าวหราน “ท่านลองคิดดูเถิด แค่ชื่อตัวเองยังไม่เขียนไม่ได้ มันน่าน้อยใจในโชคชะตามากเพียงใด คนเราเลือกเกิดมิได้ แต่เลือกที่ใฝ่หาความรู้ได้ จะดีเพียงใด ถ้าคนมีความรู้ยอมสละเวลามาสอนเด็กเหล่านี้” “แม่นางเหอคิดว่าเด็กเหล่านี้อยากเรียนหนังสือรึ?” เขาเอ่ยถามเสียงเรียบ จ้องมองนางอย่างค้นหาความจริง แต่นางกลับฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาเป็นประกายแล้วหันไปทางเด็กกลุ่มนั้น “มีใครอยากเขียนชื่อตัวเองได้บ้าง!” “ข้า!” “ข้าด้วย! “ข้าเป็นผู้หญิง ก็...ก็...อยากเขียนอ่านเป็นนะ” เยว่ซินหันกลับมาสบกับฉู่ห่าวหราน “ท่านได้คำตอบแล้วสินะ” “ข้าไม่เคยสอนเด็กเล็กๆ ขนาดนี้ แต่ถ้าพวกเขาสนใจ ข้าจะสอนให้วันล่ะหนึ่งชั่วยาม” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงราบเรียบ ทว่าน้ำเสียงของเขาทำให้เด็กๆ โฮ่ร้องดีใจ หันซูอ้าปากค้างไม่คิดว่านายท่านจะตกปากรับคำง่ายดายเพียงนี้ “ข้าสอนเฉพาะคนที่ตั้งใจเรียนเท่านั้น หากผู้ใดไม่ตั้งใจเรียน ข้าจะหย
เขาไม่ได้ตอบนาง เพียงแค่ส่งสัญญาณให้หันซูเข็นรถกลับเรือนของตน เยว่ซินไม่ได้ขวางทางอีกแต่เดินตามเขาไปด้วย “นี่ๆ แล้วอาหารที่ข้าเตรียมให้ทุกมื้อ ท่านชอบหรือไม่” นางยังคงเดินตามเขา แม้อีกฝ่ายมีสีหน้าราบเรียบเช่นเดิม “ข้านี่ก็ถามอะไรโง่ๆ ท่านกินหมดก็แสดงว่าถูกปากสินะ” หันซูกลอกตามองบน สตรีนางนี้ช่าง...ช่างมีความมั่นใจอย่างล้นเหลือ ที่สำรับอาหารของนายท่านหมดเกลี้ยงเพราะเขาต่างหาก จะว่าไป นายท่านก็กินอาหารได้มากกว่าปกติ เอาเถอะ ถือว่าทำให้เขารอดพ้นเคราะห์กรรมเรื่องอาหารการกินของนายท่านไปได้ “ข้ายังมีต้องเรื่องคุยใต้เท้าฉู่” นางก้าวตามไปด้วย แต่เดินได้ไม่กี่ก้าวก็ได้ยินเสียงบ่าวชายเรียกจากด้านหลัง นางจึงจำใจหยุดเดินแล้วหมุนตัวหันกลับมา “มีเรื่องใดอีก” นางแยกเขี้ยวใส่ “ถ้าเรียกชื่อข้าอีก ข้าคิดสิบอีแปะ!” “เอ่อ..” บ่าวชายถึงกับสะอึกแล้วหดคอเหมือนเต่าในกระดอง “มะ...มีคนต้องการพบคุณหนูขอรับ เขาบอกว่าชื่ออาหยวนเป็นช่างตีเหล็ก” “ช่างตีเหล็ก...อ้อ... ข้าจะไปประเดี๋ยวนี้ล่ะ” นางยิ้มแหยลืมไปว่าตัวเองนัดหมายกับช่า
เยว่ซินดึงมีดสั้นที่พกติดตัวออกมาตัดเถาวัลย์ที่เกะกะทางเดินเบื้องหน้า ทว่าจิตใจกลับหวนคำนึงถึงวัยเด็กของตน บิดาเป็นบัณฑิตตกยาก มารดามักพูดด้วยรอยยิ้มเสมอว่า ท่านพ่อเป็นพวกยอมหักไม่ยอมงอ ซื่อตรงจนเกินไป จึงต้องมาอยู่ชนบทเช่นนี้ หากแต่ในความทรงจำของนางนั้น บ้านก็คือกระท่อมหลังน้อยที่อยู่รวมกัน พ่อแม่และพี่ชายทั้งสอง พี่ใหญ่มักฮึดฮัดอยู่เสมอเมื่อพูดถึงเรื่องราวเหล่านี้ วัยเด็กของนางเติบโตในทุ่งกว้าง ขึ้นเขากับพี่รองที่ชอบล่าสัตว์กับพรานป่า หรือบางครั้งก็เข้าป่าหาสมุนไพร เป็นชีวิตที่เรียบง่ายสงบสุข ท่ามกลางเสียงพร่ำบ่นของบิดาให้นางหมั่นฝึกเขียนอักษรและอ่านตำรา แต่นางสมองทึบไม่เหมือนพี่ชายทั้งสองที่ชาญฉลาด แต่กระนั้นนางก็ได้ทักษะการทำอาหารจากมารดา แม้นางเป็นหญิงชาวบ้าน แต่สองข้างของมารดาดุจมีเวทมนตร์เสกทุกสิ่งรอบกายให้เป็นอาหารแสนโอชะ หากท่านแม่ยังมีชีวิตอยู่ นางคงได้สืบทอดวิชาความรู้นี้มามากกว่านี้ ความเจ็บแปลบแล่นเข้าสู่หัวใจจนหญิงสาวต้องยกมือกดหน้าอกตัวเองไว้ ทุกคราวที่คิดถึง นางเจ็บหัวใจทุกครั้งไป เพียงพริบตา นางกลายเป็นเด็กกำพร้า เหลือเพียงคนเดียวที่รอดอยู่