องค์ชายของแคว้นหนานฉี่ ถ้าเปรียบดังความสง่างามใน 4 ฤดู 1.ผู้ที่ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจน้ำเปล่า ซื่อตรง สดใส เพียบพร้อม สูงส่ง ราวกับฤดูใบไม้ผลิ คือองค์รัชทายาทอันซื่อ 2.ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความฉลาดมากความสามารถ มีความอบอุ่น และอ่อนโยน เปรียบดังฤดูร้อน คือองค์ชายรอง ต้วนอวี้ 3.ผู้ที่ร่าเริง แข็งแกร่งและทรงพลัง ดูมีชีวิตชีวา ส่องประกายแสงสีสองทองในฤดูใบไม้ร่วง คือองค์ชายสามซานอี้ 4.ผู้ที่เงียบขรึม ฉลาด สุขุม รอบคอบ เจ้าเล่ห์ มากแผนการและเยือกเย็นดังฤดูหนาว คือองค์ชายสี่ลั่วซือ “เจ้าคิดว่าเจ้าจะเป็นผู้เลือกได้รึ?
View Moreบทที่ 8 - แต่งงานสานสัมพันธ์ องค์รัชทายาทอันซื่อและองค์ชายต้วนอวี้ บัดนี้เดินทางถึงแคว้นหนานตูเรียบร้อยแล้ว แคว้นหนานตูเป็นแคว้นอยู่ติดหนางเจียงค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นหนานฉี่ กษัตย์แคว้นหนานตูไม่ฝักใฝ่การรบและมักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแคว้นอื่นๆ กษัตย์แคว้นหนานตูมีองค์หญิงมากมาย แต่กลับไม่มีพระโอรส จึงมักส่งองค์หญิงแต่งงานกับแคว้นอื่น เพื่อสานความสัมพันธ์ งานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตของแคว้นหนานตู ณ วังเจียหมิง ถูกจัดขึ้น มีโต๊ะวางเลี้ยงกันตลอดแนว มีของกินมากมาย มีการแสดงรำฟ้อนของแคว้นหนานตู มีบรรดาเหล่าองค์หญิงของเจ้าแคว้นและเหล่าเสนาบดีทั้งหลาย มาให้การต้อนรับ หนึ่งในนั้นคือองค์หญิงรองหนิงเอ๋อ องค์หญิงรองหนิงเอ๋อ สำรวจพินิจพิเคราะห์องค์ชายทั้งสอง สง่างามสมคำล่ำลือ ประทับใจเมื่อได้พบกันครั้งแรก นางอมยิ้มให้กับตัวเองอย่างมีแผนการ งานเลี้ยงฉลองต้อนรับเป็นไปอย่างราบรื่น ทางหนานฉี่นำไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่เท่ากำปันเด็ก ซึ่งเป็นของค้ำค่าและหายาก มาถวายกษัตริย์หนานตู การค้าซื้อขายแลกเปลี่ยน แร่เหล็ก อาหาร เสื้อผ้า เกลือและอื่นๆ เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน ศาลาสวนดอกไ
กลางดึก เฟ่ยเย่แต่งตัวเป็นชายรวบผมหางม้าทรงสูงใส่ชุดสีดำ ดูทะมัดทะแมง ออกตามสืบหาพี่ซานอี้ คงจะต้องเริ่มสืบจากค่ายทหารก่อน นางควบม้าเร็ววิ่งไปทางค่ายทหารของหนานเจียงติดชายแดนค่ายอี้ชาง ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพง และเดินไปบนหลังคา เบื้องล่างมีทหารเฝ้ายาม เดินตรวจตราอยู่ไม่น้อย นางพยายามค้นหา ทุกซอกทุกมุมในค่ายทหารของหนานเจียงนี่ แต่ก็ไม่พบ พวกมันเอาตัวพี่ซานอี้ไปไว้ที่ใดกัน? เฟ่ยเย่เดินไปเดินมาในห้องพักที่โรงเตี๊ยม เพื่อใช้ความคิด พี่ซานอี้เป็นถึงองค์ชาย หากจับองค์ชายเป็นตัวประกันได้ คงไม่เอาตัวมาคุมขังในคุกทหารหรอกกระมัง หรืออยู่ในวังของหนานเจียง เพื่อเอามาเป็นข้อต่อรองระหว่างสองแคว้นเป็นแน่ๆ! นอกจากเดินไปเดินมา พูดคนเดียว แล้วก็นั่งถอนหายใจ ติดๆ กัน 2-3 ครั้ง “จะเข้าไปในวังได้อย่างไร? จริงสิงานเทพธิดาบุปผา“ เฟ่ยเย่เหมือนจะคิดอะไรออก ”เถ้าแก่ ข้าจะขอพักอยู่ต่อจนถึงงานเทศกาลบุปผา” เฟ่ยเย่เรียกผู้ที่นั่งดีดลูกคิดไปมาไปอยู่โต๊ะด้านหลัง “ทั้งหมด 5 ตำลึงเงิน“ เถ้าแก่วางมือจากดีดลูกคิดไปมา เฟ่ยเย่ส่งก้อนเงินก้อนใหญ่สีทองส่งให้เถ้าแก่ วันต่อมา เฟ่ยเย่เดินเข้าไปสำรวจในหอหรูอี้ คร
ในถ้ำที่หนานเจียง “ข้าต้องออกไปหาเสบียง วันนี้เราจะต้องได้กินเนื้อกันบ้าง” เฟ่ยเย่เตรียมเก็บของเข้าย่ามและ สะพายห่อผ้ารัดคาดอก “ข้าไปด้วย” ซานอี้ก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อตัวนอกมาใส่ “ไม่ต้องไป ท่านต้องอยู่ที่นี่ ท่านมีแผลอยู่ ไม่ควรขยับตัวไปไหนมาไหนใช้แรงมากๆ” เฟ่ยเย่กอดอกออกคำสั่ง ส่วนซานอี้ก็นั่งกอดอกเงยหน้ามองกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร “ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น เราออกไปพร้อมกันเถอะ ข้าจะหายดีในอีกไม่กี่วัน” ซานอี้ยังยืนกร้าน “เสบียงเราหมดแล้วท่านพี่คนดีของข้า“ น้ำเสียงฟังดูประชดประชันเล็กน้อย จากที่นางยืนกอดอกเปลี่ยนกลับมาเป็นนั่งลงข้างๆ แทน อมยิ้มทำหน้าปนหยอกล้อเล็กน้อย “ท่านต้องเดินลมปราณเพื่อขับพิษ จนกว่าพิษในร่างกายจะออกหมด ข้าต้องไปหาสมุนไพร มาช่วยขับพิษด้วย“ เฟ่ยเย่อธิบายต่อ ”ลำบากเจ้าแล้ว“ ซานอี้วางมือบนไหล่เฟ่ยเย่ แม้ซานอี้ไม่อยากให้ไป แต่ก็ห้ามนางมิได้ เฟ่ยเย่ออกจากถ้ำมาแล้ว แต่ไม่พบเสี่ยวเป่า คาดว่าคงไปหลบรักษาบาดแผลที่ไหนสักที่ เฟ่ยเย่เดินลงเขามาประมาณ 1 ชั่วยามแล้วเจอหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง สอบถามจากชาวบ้านจึงรู้ว่าที่นี่คือแคว้นหนานเจียง เฟ่ยเย่รีบหาซื้อเสบี
ในถ้ำกองไฟถูกจุดขึ้น เพื่อให้ความสว่างและความอบอุ่น เฟ่ยเย่ค่อยๆพยุงซานอี้วางลงอย่างระมัดระวังซานอี้คงมีสติ แต่เหนื่อยอ่อน หมดแรง ปวดบาดแผล ซานอี้บาดเจ็บสาหัส เลือดสีดำไหลออกมาทางบาดแผลคมลูกธนูที่ปักคาอกของซานอี้“ลูกธนูมีพิษ ข้าไม่รู้ว่าเป็นชนิดใด“ เฟ่ยเย่มีสีหน้าเป็นกังวลจนเห็นได้ชัด“ข้าจะต้องดึงธนูออกก่อน มันอาจจะเจ็บปวดมากท่านไหวมั้ย“ เฟ่ยเย่อธิบายพร้อมเงยหน้ามองซานอี้เพื่อขอความเห็นซานอี้พยักหน้ารับ”ข้าต้องถอดเสื้อท่านออกก่อน จะได้ทำแผลสะดวก“ พูดพลางมือก็ปลดเข็มของซานอี้ออกครู่ต่อมา ซานอี้ก็รู้สึกประหม่า เขินอายนิดหน่อย ตั้งแต่โตมาไม่เคยมีสตรีนางใดมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเค้าออกเช่นนี้ เฟ่ยเย่มีหอบผ้ามัดติดตัวมาด้วย นางรีบปลดออกจากตัวเพื่อความคล่องตัว เมื่อเตรียมทุกอย่างแล้ว”ข้าจะดึงธนูออกแล้วนะ” เฟ่ยเย่หันไปสบตาซานอี้อีกครั้ง ซานอี้พยักหน้ารับ นางจัดท่าให้ซานอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงซ้อนทับตัวนางไว้ หันหน้าออกเฟ่ยเย่เม้มปากแน่น มือขวากำลูกธนูแน่น มือซ้ายกอดตัวซ่านอี้ไว้ ไม่ให้ขยับ ข้าจะดึงแล้วนะ พูดไม่ทันขาดคำ ฉึก! ซานอี้กัดฟัน เม้มริมฝีปากแน่นลูกธนูถูกเฟ่ยเย่ดึงออกมาใน
การมาของเฟ่ยเย่ครั้งนี้ เฟ่ยเย่เองก็รู้สึกหนักใจเป็นอย่างยิ่ง ในสถานะองค์หญิงเหยียนหลินก็ไม่ได้มีความสนิทอะไรกับท่านแม่ทัพฟางเลยแม้แต่น้อย การที่นางมาที่นี่ประการแรกเป็นห่วงพี่ซานอี้เสียมากกว่า อีกอย่างตอนนี้นางเองก็อยู่ในสถานะลูกสาวของท่านแม่ทัพฟางแล้ว จะให้นิ่งดูดายเฝ้าเรือน ทั้งๆที่รู้ว่าบิดาตนถูกพวกศัตรูล้อมเช่นนั้น นางคงทนไม่ได้ “เราต้องวางแผน บุกหุบเขาลิ่ว เพื่อชิงตัวท่านแม่ทัพฟางในคืนนี้ ต้องช่วยให้ได้ในคราวเดียว ไม่ให้พวกมันตั้งรับได้ทัน“ ซานอี้ใช้ไม้จิ้มไปที่แผนที่จำลอง และวางแผนให้ทุกฝ่ายกระจายกำลัง บุกโจมตีพร้อมกันรอบหุบเขาลิ่ว หลังจากที่เฟ่ยเย่นั่งและทำความเข้าใจแผนสักพัก ”แล้วข้าล่ะ ข้าต้องทำอะไร“ เฟ่ยเย่เอ่ยถาม ”เจ้าไม่ต้องทำอะไร อยู่ในค่ายรักษาผู้บาดเจ็บ“ ซานอี้พูดทำเสียงเข้ม สีหน้าสงบนิ่ง ”เดิมทีเจ้าก็ไม่ได้อยู่ในแผนเราตั้งแต่แรก รอที่ค่ายเถอะ“ มีเจ้าช่วยรักษาทหารบาดเจ็บคงช่วยได้มากทีเดียว เมื่อเข้าใจแผนแล้วเหตุใดข้าจะตามไปด้วยมิได้เล่า เฟ่ยเย่เม้มปากแน่นแต่ก็ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดนอกจาก ”ข้าเข้าใจแล้ว“ เฟ่ยเย่เอามือประสานกันทำความเคารพแบบผู้ชาย ยามจื่อ! เสียงสัญ
หน้าจวนองค์ชายซานอวี้ มีรถม้าคันหนึ่งมาจอดตั้งแต่เช้ามืด ฟ้ายังไม่สาง “องค์ชายสาม หน้าจวนมีรถม้าจากสกุลฟางมาจอดรอ พะยะค่ะ” องค์รักษ์มากล่าวรายงาน “เห็นว่าจะร่วมเดินทางร่วมทัพไปกับองค์ชายด้วย พะยะค่ะ” ซานอี้ขมวดคิ้วแปลกใจ ใช้นิ้วเคาะโต๊ะเรียงกันเบาๆ ความแปลกใจคงอยู่ในใบหน้างามสง่าเกลี้ยงเกลา “สกุลฟางรึ ลูกสาวคนเดียวของท่านแม่ทัพ คุณหนูฟางเฟ่ยเย่ใช่หรือไม่” ใช่พะยะค่ะ องค์รักษ์พยักหน้า ”ไปเชิญนางมาพบข้า“ องค์รักษ์รับคำสั่ง ”หม่อมชั้น ฟางเฟ่ยเย่ ถวายบังคมองค์ชาย“ เฟ่ยเย่ย่อตัวทำความเคารพ ”ทำตัวตามสบายเถอะ เชิญนั่ง“ องค์ชายสามผายมือไปทางเก้าอี้ “องค์ชายเพคะ หม่อมชั้นขอติดตามร่วมเดินทางไปช่วยท่านพ่อด้วยได้หรือไม่เพคะ เอ่อ ข้ารับรองข้าจะไม่ทำตัวเป็นภาระ แน่นอน“ ”ในกองทัพมีเหล่าทหารมากมาย เจ้าเป็นหญิง ครั้งนี้เราเกรงว่าจะไม่ได้สะดวกสบายนักหรอก ถึงแม้นครานั้นที่ร่องเรือ ก็มิได้เรียบรื่น เราต้องสูญเสียน้องสาวอันเป็นที่รักของเราไป“ ซานอี้แววตาเศร้าหมอง หลบตาต่ำ “หม่อมชั้นจะปลอมตัวเป็นชาย เป็นองค์รักษ์ของพระองค์ หม่อมชั้นมีวรยุทธ์ ชำนาญการแพทย์ ขี่ม้า ยิงธนูได้ เพคะ” เฟ่ยเย่
จวนสกุลฟาง ข่าวการเดินทางไปส่งเสบียงและช่วยออกรบทางเหนือขององค์ชายซานอี้ก็เข้าหู ของคุณหนูฟางเฟ่ยเย่ “คุณหนูเจ้าคะ อีกไม่กี่วันองค์ชายซานอี้จะไปส่งเสบียงให้ท่านแม่ทัพ นายท่านมีโอกาสได้กลับมาบ้านแล้ว” พูดพลางหวีผมให้เฟ่ยเย่ไปด้วย “ข้าจะไปกับพี่สามด้วย เอ่อ หมายถึง ข้าจะร่วมเดินทางไปกับองค์ชายสามด้วย พรุ่งข้าต้องออกจากจวน” เหยียนหลินในร่างเฟ่ยเย่เริ่มคิดวางแผนต่างๆนานา ในใจ ”มันอันตรายนะเจัาคะ! ครานั้นก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด ข้าว่าฮูหยินท่านไม่มีทางให้ไปคุณหนูไปเจ้าค่ะ“ รุ่ยรุ่ยสาวใช้ผู้นี้ พอจะมีความคิดความอ่านบ้าง ณ ถ้ำในเขาเจ็ดสี “เสี่ยวเป่า!..เสี่ยวเป่า!“ เฟ่ยเย่เอ่ยชื่อใครสักคนเดินเข้าไปในถ้ำ ในมือถือคบเพลิงส่องสว่าง ”เสี่ยวเป่า!...เสี่ยวเป่า!” เดินสองสามก้าวก็เรียกครั้งนึง ส่ายมือไปมาให้แสงไฟจากคบเพลิงส่องตามที่ตามองพยายามเพ่งมอง นางพยายามหาใครสักคนในถ้ำ มีดวงตาสีแดงฉานคู่หนึ่ง จับจองมาที่เฟ่ยเย่ ใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา เฟ่ยเย่หาได้หวาดกลัวสายตาคู่นั้นไม่ กับยื่นมือเข้าหาอย่างช้าๆ คร่าาาาาาาา...ฮ่าาาาา เสียงคำรามดังกึกก้องสะท้านไปทั่ว เจ้าของดวงตาแดงฉานคู่นั้น บัดนี้อ้างปา
“หนาว..หนาวยิ่งนัก” ความเย็นยะเยือกที่รายล้อมอยู่รอบตัวของแม่นางเฟ่ยเย่ เสื้อผ้าที่เปียกชื้นนั่น ทำให้นางยิ่งหนาวมากขึ้น นางยังคงไม่ได้สติ ภายในถ้ำ บุรุษรูปงามนั่งอยู่หน้ากองไฟ คิ้วเข้มงามใบหน้าได้รูป ผิวขาว ในดวงตามีกองไฟเต้นอยู่ตามจังหวะ การสั่นไหวของเปลวไฟ เค้าครุ่นคิด สาเหตุของเรือที่อับปราง มันเป็นอุบัติเหตุหรืออะไรกันแน่! “หนาว..ข้าหนาวยิ่งนัก” เสียงนาง ทำให้บุรุษหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ ใกล้นางอีกนิด พยายามหาฟางใบไม้แห้งมาห่อนางเพื่อให้ความอบอุ่น เฟ่ยเย่ปรือตามองชายหนุ่มเบื้องหน้า “ข้าปวดหัว ข้าหนาวยิ่งนัก ท่านพี่รองขอข้ากอดหน่อย กอดข้าหน่อย” พูดไม่ทันขาดคำ เฟ่ยเย่ก็โผเข้าหาอ้อมกอดของต้วนอวี้ เค้าไม่ทันได้ตั้งหลัก ตัวแข็งทือ ทำอะไรไม่ถูก ค่อยๆคลายมือ ของเฟ่ยเย่ออก ”แม่นางเฟ่ยเย่ เจ้าปล่อยมือออกก่อน“ พลางค่อยๆแกะมือนางออกจากท้ายทอย หลุดจากท้ายทอยก็มากอดรอบตัว รัดมือแน่นกว่าเดิม จนแผ่นหน้าอกแนบชิดกัน ต้วนอวี้หัวใจเต้นรั่วยิ่งนัก! ผ้าที่ผิงไฟไว้น่าจะพอแห้งแล้ว เค้ารีบสลัดแกะมือของเฟ่ยเย่แล้วรีบออกจากพันธนาการของมือนางก็คว้าเสื้อมาคลุมไว้แทน เค้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ชา
“หนาว..หนาวยิ่งนัก” ความเย็นยะเยือกที่รายล้อมอยู่รอบตัวของแม่นางเฟ่ยเย่ เสื้อผ้าที่เปียกชื้นนั่น ทำให้นางยิ่งหนาวมากขึ้น นางยังคงไม่ได้สติ ภายในถ้ำ บุรุษรูปงามนั่งอยู่หน้ากองไฟ คิ้วเข้มงามใบหน้าได้รูป ผิวขาว ในดวงตามีกองไฟเต้นอยู่ตามจังหวะ การสั่นไหวของเปลวไฟ เค้าครุ่นคิด สาเหตุของเรือที่อับปราง มันเป็นอุบัติเหตุหรืออะไรกันแน่! “หนาว..ข้าหนาวยิ่งนัก” เสียงนาง ทำให้บุรุษหนุ่มขยับเข้าไปใกล้ ใกล้นางอีกนิด พยายามหาฟางใบไม้แห้งมาห่อนางเพื่อให้ความอบอุ่น เฟ่ยเย่ปรือตามองชายหนุ่มเบื้องหน้า “ข้าปวดหัว ข้าหนาวยิ่งนัก ท่านพี่รองขอข้ากอดหน่อย กอดข้าหน่อย” พูดไม่ทันขาดคำ เฟ่ยเย่ก็โผเข้าหาอ้อมกอดของต้วนอวี้ เค้าไม่ทันได้ตั้งหลัก ตัวแข็งทือ ทำอะไรไม่ถูก ค่อยๆคลายมือ ของเฟ่ยเย่ออก ”แม่นางเฟ่ยเย่ เจ้าปล่อยมือออกก่อน“ พลางค่อยๆแกะมือนางออกจากท้ายทอย หลุดจากท้ายทอยก็มากอดรอบตัว รัดมือแน่นกว่าเดิม จนแผ่นหน้าอกแนบชิดกัน ต้วนอวี้หัวใจเต้นรั่วยิ่งนัก! ผ้าที่ผิงไฟไว้น่าจะพอแห้งแล้ว เค้ารีบสลัดแกะมือของเฟ่ยเย่แล้วรีบออกจากพันธนาการของมือนางก็คว้าเสื้อมาคลุมไว้แทน เค้าสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ชา...
Comments