ในถ้ำ
กองไฟถูกจุดขึ้น เพื่อให้ความสว่างและความอบอุ่น เฟ่ยเย่ค่อยๆพยุงซานอี้วางลงอย่างระมัดระวัง ซานอี้คงมีสติ แต่เหนื่อยอ่อน หมดแรง ปวดบาดแผล ซานอี้บาดเจ็บสาหัส เลือดสีดำไหลออกมาทางบาดแผลคมลูกธนูที่ปักคาอกของซานอี้ “ลูกธนูมีพิษ ข้าไม่รู้ว่าเป็นชนิดใด“ เฟ่ยเย่มีสีหน้าเป็นกังวลจนเห็นได้ชัด “ข้าจะต้องดึงธนูออกก่อน มันอาจจะเจ็บปวดมากท่านไหวมั้ย“ เฟ่ยเย่อธิบายพร้อมเงยหน้ามองซานอี้เพื่อขอความเห็น ซานอี้พยักหน้ารับ ”ข้าต้องถอดเสื้อท่านออกก่อน จะได้ทำแผลสะดวก“ พูดพลางมือก็ปลดเข็มของซานอี้ออก ครู่ต่อมา ซานอี้ก็รู้สึกประหม่า เขินอายนิดหน่อย ตั้งแต่โตมาไม่เคยมีสตรีนางใดมาปลดเปลื้องเสื้อผ้าของเค้าออกเช่นนี้ เฟ่ยเย่มีหอบผ้ามัดติดตัวมาด้วย นางรีบปลดออกจากตัวเพื่อความคล่องตัว เมื่อเตรียมทุกอย่างแล้ว ”ข้าจะดึงธนูออกแล้วนะ” เฟ่ยเย่หันไปสบตาซานอี้อีกครั้ง ซานอี้พยักหน้ารับ นางจัดท่าให้ซานอี้กึ่งนั่งกึ่งนอนพิงซ้อนทับตัวนางไว้ หันหน้าออกเฟ่ยเย่เม้มปากแน่น มือขวากำลูกธนูแน่น มือซ้ายกอดตัวซ่านอี้ไว้ ไม่ให้ขยับ ข้าจะดึงแล้วนะ พูดไม่ทันขาดคำ ฉึก! ซานอี้กัดฟัน เม้มริมฝีปากแน่น ลูกธนูถูกเฟ่ยเย่ดึงออกมาในครั้งเดียว แล้วเลือดสีดำก็ไหลตามออกมาเช่นกัน นางซับเลือดสีดำอยู่สักพักหนึ่ง ไม่ได้การล่ะ หากเลือดออกมาไม่หมดพิษคงวิ่งเข้าสู่หัวใจ นางจัดท่าให้ซานอี้นอนราบลงกับพื้นวิธีที่นางคิดได้ในตอนนี้คือดูดเอาเลือดออก นางล้มหน้าเอาปากดูดเลือดที่แผ่นอกของซานอี้ ในยามที่ปากสัมผัสโดนแผ่นอก ซานอี้สะท้านไปทั้งร่าง “เจ้า เจ้า ทำอะไรน่ะ” ซานอี้หัวใจเต้นแรง “ดูดเลือดพิษออก” เฟ่ยเย่หันมาตอบ สีหน้าปกติยามพ่นเลือดพิษออก ใช้แขนเสื้อเช็คเลือดที่ติดอยู่ที่ปาก “ข้าต้องถอดเสื้อผ้า ท่านอีก“ พลางยื่นมือไปดึงกางเกงของซานอี้ ห๊ะ ”เดี๋ยวๆ เจ้า เจ้า หยุดนะ“ ซานอี้ใช้มือยื้อกางเกงให้กลับขึ้นมา ”เจ้าเป็นผู้หญิงนะ ชื่อขึ้นธรรมเนียมสกุลสตรีอันดับหนึ่ง เจ้าได้มาได้อย่างไร“ ซานอี้ทำตาดุเม้มปากแน่น ตอนนี้ซานอี้ไม่มีแรงแม้แต่จะเชือดไก่ หากเฟ่ยเย่ยังดึงดันคงไม่มีแรงพอจะขัดขืน ”ข้าต้องฝั่งเข็มเส้นลมปราณ สกัดพิษ ตอนนี้พิษวิ่งไปทั่วแล้ว ข้าดูดพิษออกแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น หากชักช้า เจ้าน่าจะอยู่ไม่พ้นคืนนี้“ เฟ่ยเย่พูดด้วยสีหน้าจริงจัง ”ข้า เอ่อ ต้อง ถอดหมดหรือ ให้ตายสิ ข้า ยอมตายตรงนี้ดีหรือไม่” ซานอี้ยังคงกำชายกางเกงแน่น “ไม่ต้องกังวล ส่วนที่เจ้าหวงแหน ข้าจะเอาผ้าปิดไว้ให้ เช่นนั้นเจ้าวางใจเถอะ ข้าเองก็ไม่ได้อยากจะมองของเจ้านักหรอก” เฟ่ยเย่ขมวดคิ้วเข้าหากัน ซานอี้ปล่อยตัวตามสบาย เค้าหลับตาลง รู้สึกเหนื่อยอ่อนเต็มที เฟ่ยเย่เอาห่อเข็มออกมาจากย่าม คลี่ห่อเข็มออกภายในมีเข็มวางเรียงกันอยู่หลายสิบเข็ม นางลงเข็มปักไปตามร่างกายของซานอี้ เหงือเล็กๆผุดขึ้นที่หน้าผา การรักษาที่ใช้เวลาอย่างน้อย 1 ชั่วยาม และต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก ซานอี้รู้สึกถึงเข็มที่ทิ่มลงมาที่เนื้อ ทีละเข็มทีละเข็ม แต่เค้าก็อ่อนแรงจากการเสียเลือด แล้วยังบาดเจ็บจากการโดนกระบองหนามเหล็กฟาดแถมด้วยพิษจากลูกศรอีก เฟ่ยเย่เก็บเข็มทำความสะอาดเก็บเข้าห่อผ้า นางฉีกชายเสื้อมาพันบาดแผลให้ซานอี้เรียบร้อย ค่ำคืนนั้นต่างฝ่ายต่างอ่อนแรง ตอนเช้า ซานอี้รู้สึกตัวลืมตาตื่นขึ้น ก็พบกับแก้มของเฟ่ยเย่มาอยู่ติดปลายจมูกของเค้าได้กลิ่นหอม อ่อนๆ ทำให้ซานอี้ไม่กล้าหายใจแรงๆ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะอีกครั้ง เค้าไม่คิดจะหลบหลีกใบหน้ารูปไข่ ขาวนวลไรผม และคิ้ว ไล่สายตามาหยุดตรงปากอวบอิ่ม ทำให้นึกถึงเมื่อคืน นางใช้ปากประกบตรงหน้าอกดูดพิษอยู่หลายครั้ง เฟ่ยเย่ขยับตัวเล็กน้อย ส่วนซานอี้แกล้งหลับตา เฟ่ยเย่รู้สึกตัวตื่น นางเห็นใบหน้าซานอี้อยู่ตรงหน้า มองใกล้ๆ พี่ชายเราก็หล่อเหลาเอาการมากทีเดียว พี่ชายที่มีแสงสว่างในพยายามฤดูใบไม้ผลิของข้า นางใช้นิ้วมือเขี่ยตามไรผม และวางนิ้วค่อยๆวาดนิ้วบนคิ้วช้าๆ จากนั้นก็วางนิ้วที่สันจมูกแล้ววาดลงมาช้าๆ ซานอี้ลืมตาตื่น สบตาเฟ่ยเย่ที่อยู่ตรงหน้า “เจ้าทำอะไรน่ะ” ซานอี้ อมยิ้มทำให้มีลักยิ้มแก้มบุ๋ม “เอ่อ เออ เช้าแล้วเจ้าค่ะ ดูเหมือนท่านจะไม่มีไข้แล้ว แต่ยังต้องฝั่งเข็มต่ออีก 3-4 วัน พิษจึงจะถูกขับออกจนหมด ตอนนี้ท่านใช้วรยุทธไม่ได้ เพราะข้าผนึกลมปราณเอาไว้ก่อน เพื่อขจัดพิษ” เฟ่ยเย่ลุกขึ้น หยิบกระเป๋าทำจากหนังภายในบรรจุน้ำอยู่เต็มพอให้ทั้งสอง ล้างหน้าล้างตา และดื่มกิน นางหยิบแผ่นแป้งกลมออกมาย่างไฟ และแบ่งกันกิน ”ในห่อผ้าของเจ้า มีของกี่มากน้อย ข้าไม่คิดว่าคุณหนูผู้สูงศักดิ์อย่างเจ้า จะเตรียมตัวมาลำบากได้ดีถึงเพียงนี้” นี่ไม่ใช่คำประชดประชัน แต่เป็นการชื่นชมจากใจจริงของซานอี้ ฮึ! นางทำเสียงขึ้นจมูก ชำเรืองดูซานอี้ ”ข้าก็ต้องเตรียมตัวเตรียมใจมาแล้วสิ แน่นอนว่ามาทางเหนือคร่านี้ไม่ได้มาเที่ยวเล่น หากข้าไม่เป็นห่วงเจ้า..ข้าคงไม่มา” “เจ้าเป็นห่วงข้าอย่างนั้นรึ” ซานอี้แปลกใจ สายตาคาดคั้นอยากได้คำตอบ เฟ่ยเย่สะดุ้งเล็กน้อย ลืมตัว ตอนนี้นางไม่ใช่ เหยียนหลินน้องสาวสุดที่รักของซานอี้อีกต่อไปแล้ว เฟ่ยเย่ไม่ตอบ กัดริมฝีปากเงียบ ซานอี้ค่อยๆ พยุงตัวเองเดินมานั่งข้างๆ เฟ่ยเย่ เค้าจับมือทั้งสองข้างของเฟ่ยมากุมไว้ “มองข้า” เฟ่ยเย่สบตาซานอี้ “กลับถึงแคว้นฉู่ เมื่อไหร่ ข้าจะทูลเสร็จพ่อ ไปสู่ขอเจ้า ข้าจริงจังนะ” ลูกผู้ชายอย่างซานอี้เป็นสุภาพบุรุษ ที่มีความรับผิดชอบสูงส่ง แต่ไม่ใช่เพียงแค่นางช่วยชีวิต แต่มันเป็นความรู้สึกบางอย่างที่มันก่อตัวตั้งแต่ร่วมทางเดินมาด้วยกันจนถึงร่วมเป็นร่วมตายกัน จนตอนนี้ “ไม่ ข้าไม่อยากได้ความรับผิดชอบ หรือการตอบแทนใดๆ ด้วยวิธีนี้ ไม่ต้องตอบแทน ไม่ต้องถวายตัวให้ข้า ฮ่าๆๆ“ เฟ่ยเย่หัวเราะหยอกล้อสบายใจ เวลาที่อยู่ในสถานะเหยียนหลิน กับพี่ซานอี้เป็นพี่ที่สนิทที่สุด ดังนั้นถึงแม้ว่าตอนนี้จะเป็นเฟ่ยเย่ นางก็ยังอยากจะหยอกล้อ ยั่วโมโหเค้าเช่นเดิม ”เจ้านี่!“ เมื่อองค์ชายถูกดูถูกซึ่งหน้าเช่นนี้ ใบหน้าร้อนเผ่า ทำอะไรไม่ถูก ไม่คิดว่าจะมีสตรีนางใดมาดูถูกได้ถึงเพียงนี้ ซานอี้เอื้อมมือคว้าท้ายทอยของเฟ่ยเย่โน้มมาใกล้ใบหน้าของเค้า และกัดเข้าที่คอของเฟ่ยเย่กัดแล้วดูดอยู่สักพัก ”โอ๊ย ทำข้าเจ็บ“ เฟ่ยเย่พยายามผลักออก จับไปที่คอตนเอง สัมผัสได้ถึงรอยฟันและรอยช้ำแดงจากการดูด “รอยกัดนี้คือรอยตราประทับของข้า ข้าจองเจ้าไว้แล้ว” ซานอี้พูดพรางก็ยิ้มเขินอายเล็กน้อย “เจ้าจะบ้าหรือ ใครเค้าทำกันเช่นนี้เล่า” ซานอี้ยังคงต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่อง อยู่ถ้ำวันที่ 3 พิษในร่างซานอี้ยังคงต้องฝั่งเข็มขับพิษอยู่อีก อย่างน้อยวันละ 1-2 ชั่วยาม ณ ค่ายอี้ชาง ท่านแม่ทัพเกราะทองฟางหมิ่นเหยียน กลับถึงค่ายอี้ชางแล้ว หลังจากที่แยกจากเฟ่ยเย่ที่หุบเขาลิ่ว ตอนนี้พิษที่อยู่ในกายก็ถูกถอนออกไปบ้างแล้ว ข่าวการหายไปขององค์ชายสามซานอี้กับคุณหนูฟางเฟ่ยเย่ไปถึงฮ่องเต้แคว้นหนานฉู่แล้ว องค์ชายต้วนอี้ เดินวนไปวนมาอยู่หน้าตำหนักตงเตี้ยน เพื่อรอเข้าเฝ้าฝ่าบาท “องค์ชายรอง เชิญพะยะค่ะ ฝ่าบาทอยู่ที่ห้องทรงพระอักษร” ขันทีเว่ยผายมือ เชื้อเชิญ “ถวายบังคมเสร็จพ่อ ขอทรงพระเจริญหมื่นๆปี“ ต้วนอวี้คุกเข่าคำนับเสร็จพ่อ ฝ่าบาทเงยหน้าขึ้นมาจากฎีกา อืม “ลุกขึ้น เจ้าว่ามาสิ“ ฝ่าบาทถามผู้อยู่เบื้องหน้า ”ทูลเสร็จพ่อ ลูกได้ยินมาว่าน้องสามกับคุณหนูฟางเฟ่ยเย่ หายตัวไปหลังจากที่บุกช่วยท่านแม่ทัพฟาง บัดนี้ยังหาตัวไม่พบ ข้าขออนุญาตไปตามหาน้องสามทางเหนือ พระเจ้าข้า” “เรื่องนี้ แต่เจ้าไม่ต้องกังวล ข้าส่งองค์รักษ์ลับไปช่วยออกตามหาแล้ว ส่วนเจ้ายังมีเรื่องต้องทำ” “แต่..ลูก” ต้วนอวี้ทำถ้าจะเอ่ยปาก “เจ้าต้องไปแคว้นหนานตู ไปเป็นทูตเจรจาการค้า รีบออกเดินทางภายใน 2 วัน หากไม่มีอะไรก็ออกไปเถอะ“ ฮ่องเต้โบกมือให้ไป “ลูกทูลลา“ ต้วนอวี้โค้งคำนับ ค่อยถอยหลังและหันหลังเดินออกไปในถ้ำที่หนานเจียง “ข้าต้องออกไปหาเสบียง วันนี้เราจะต้องได้กินเนื้อกันบ้าง” เฟ่ยเย่เตรียมเก็บของเข้าย่ามและ สะพายห่อผ้ารัดคาดอก “ข้าไปด้วย” ซานอี้ก็ลุกขึ้นหยิบเสื้อตัวนอกมาใส่ “ไม่ต้องไป ท่านต้องอยู่ที่นี่ ท่านมีแผลอยู่ ไม่ควรขยับตัวไปไหนมาไหนใช้แรงมากๆ” เฟ่ยเย่กอดอกออกคำสั่ง ส่วนซานอี้ก็นั่งกอดอกเงยหน้ามองกันและกันอย่างไม่มีใครยอมใคร “ข้าไม่อยากกินอะไรทั้งนั้น เราออกไปพร้อมกันเถอะ ข้าจะหายดีในอีกไม่กี่วัน” ซานอี้ยังยืนกร้าน “เสบียงเราหมดแล้วท่านพี่คนดีของข้า“ น้ำเสียงฟังดูประชดประชันเล็กน้อย จากที่นางยืนกอดอกเปลี่ยนกลับมาเป็นนั่งลงข้างๆ แทน อมยิ้มทำหน้าปนหยอกล้อเล็กน้อย “ท่านต้องเดินลมปราณเพื่อขับพิษ จนกว่าพิษในร่างกายจะออกหมด ข้าต้องไปหาสมุนไพร มาช่วยขับพิษด้วย“ เฟ่ยเย่อธิบายต่อ ”ลำบากเจ้าแล้ว“ ซานอี้วางมือบนไหล่เฟ่ยเย่ แม้ซานอี้ไม่อยากให้ไป แต่ก็ห้ามนางมิได้ เฟ่ยเย่ออกจากถ้ำมาแล้ว แต่ไม่พบเสี่ยวเป่า คาดว่าคงไปหลบรักษาบาดแผลที่ไหนสักที่ เฟ่ยเย่เดินลงเขามาประมาณ 1 ชั่วยามแล้วเจอหมู่บ้านเล็กๆแห่งหนึ่ง สอบถามจากชาวบ้านจึงรู้ว่าที่นี่คือแคว้นหนานเจียง เฟ่ยเย่รีบหาซื้อเสบี
กลางดึก เฟ่ยเย่แต่งตัวเป็นชายรวบผมหางม้าทรงสูงใส่ชุดสีดำ ดูทะมัดทะแมง ออกตามสืบหาพี่ซานอี้ คงจะต้องเริ่มสืบจากค่ายทหารก่อน นางควบม้าเร็ววิ่งไปทางค่ายทหารของหนานเจียงติดชายแดนค่ายอี้ชาง ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพง และเดินไปบนหลังคา เบื้องล่างมีทหารเฝ้ายาม เดินตรวจตราอยู่ไม่น้อย นางพยายามค้นหา ทุกซอกทุกมุมในค่ายทหารของหนานเจียงนี่ แต่ก็ไม่พบ พวกมันเอาตัวพี่ซานอี้ไปไว้ที่ใดกัน? เฟ่ยเย่เดินไปเดินมาในห้องพักที่โรงเตี๊ยม เพื่อใช้ความคิด พี่ซานอี้เป็นถึงองค์ชาย หากจับองค์ชายเป็นตัวประกันได้ คงไม่เอาตัวมาคุมขังในคุกทหารหรอกกระมัง หรืออยู่ในวังของหนานเจียง เพื่อเอามาเป็นข้อต่อรองระหว่างสองแคว้นเป็นแน่ๆ! นอกจากเดินไปเดินมา พูดคนเดียว แล้วก็นั่งถอนหายใจ ติดๆ กัน 2-3 ครั้ง “จะเข้าไปในวังได้อย่างไร? จริงสิงานเทพธิดาบุปผา“ เฟ่ยเย่เหมือนจะคิดอะไรออก ”เถ้าแก่ ข้าจะขอพักอยู่ต่อจนถึงงานเทศกาลบุปผา” เฟ่ยเย่เรียกผู้ที่นั่งดีดลูกคิดไปมาไปอยู่โต๊ะด้านหลัง “ทั้งหมด 5 ตำลึงเงิน“ เถ้าแก่วางมือจากดีดลูกคิดไปมา เฟ่ยเย่ส่งก้อนเงินก้อนใหญ่สีทองส่งให้เถ้าแก่ วันต่อมา เฟ่ยเย่เดินเข้าไปสำรวจในหอหรูอี้ คร
บทที่ 8 - แต่งงานสานสัมพันธ์ องค์รัชทายาทอันซื่อและองค์ชายต้วนอวี้ บัดนี้เดินทางถึงแคว้นหนานตูเรียบร้อยแล้ว แคว้นหนานตูเป็นแคว้นอยู่ติดหนางเจียงค่อนไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของแคว้นหนานฉี่ กษัตย์แคว้นหนานตูไม่ฝักใฝ่การรบและมักจะมีความสัมพันธ์ที่ดีกับแคว้นอื่นๆ กษัตย์แคว้นหนานตูมีองค์หญิงมากมาย แต่กลับไม่มีพระโอรส จึงมักส่งองค์หญิงแต่งงานกับแคว้นอื่น เพื่อสานความสัมพันธ์ งานเลี้ยงต้อนรับคณะทูตของแคว้นหนานตู ณ วังเจียหมิง ถูกจัดขึ้น มีโต๊ะวางเลี้ยงกันตลอดแนว มีของกินมากมาย มีการแสดงรำฟ้อนของแคว้นหนานตู มีบรรดาเหล่าองค์หญิงของเจ้าแคว้นและเหล่าเสนาบดีทั้งหลาย มาให้การต้อนรับ หนึ่งในนั้นคือองค์หญิงรองหนิงเอ๋อ องค์หญิงรองหนิงเอ๋อ สำรวจพินิจพิเคราะห์องค์ชายทั้งสอง สง่างามสมคำล่ำลือ ประทับใจเมื่อได้พบกันครั้งแรก นางอมยิ้มให้กับตัวเองอย่างมีแผนการ งานเลี้ยงฉลองต้อนรับเป็นไปอย่างราบรื่น ทางหนานฉี่นำไข่มุกราตรีเม็ดใหญ่เท่ากำปันเด็ก ซึ่งเป็นของค้ำค่าและหายาก มาถวายกษัตริย์หนานตู การค้าซื้อขายแลกเปลี่ยน แร่เหล็ก อาหาร เสื้อผ้า เกลือและอื่นๆ เป็นไปอย่างราบรื่นเช่นกัน ศาลาสวนดอกไ
ที่โรงเตี๊ยมแคว้นหนานเจียง หนอนมัจจุราช ถูกปลุกให้ตื่นด้วยพลังที่มันตามหาทำให้ลั่วซือมีอาการกระวนกระวายใจ ด้วยพลังบางอย่างในกายของเฟ่ยเย่ที่ดึงดูดหนอนมัจจุราช จนลั่วซือยากที่จะควบคุมสติขอตัวตัวเอง ครั้นเมื่อตอนกราบลาอาจารย์ ได้รับปากอาจารย์ว่าจะหาคนผู้นึง อาจารย์ไม่ได้บอกกล่าวสิ่งใดนอกจาก ถ่ายหนอนมัจจุราชเข้าไปร่างกายของลั่วซือ เมื่อมีหนอนมัจจุราชอยู่ในกาย ต้องอาศัยการดื่มเลือดผู้คน การดื่มเลือดจากผู้คน ผู้ที่ถูกดูดเลือดจะได้รับพลังเทพรักษาโรคได้หรือบางคนก็มีอาการเคลิบเคลิ้ม หรือสัมผัสเลือดแม้นเพียงเล็กน้อยจะสามารถรู้ได้ว่าใช่คนที่กำลังตามหาอยู่หรือไม่ แม้ว่าลั่วซือจะมีหนอนมัจจุราชในร่างกาย แต่ถึงกระนั้นเค้าก็ยังยินยอม เพื่อแลกกับเคล็ดวิชาที่อาจารย์สอนสั่ง แล้วอีกอย่างเค้าคิดว่ามันไม่ได้ทำอันตรายให้แก่ผู้คนแต่อย่างใด หากตามหาคนผู้นั้นพบ ถึงแม้เค้าเองจะต้องทรมาน แต่มันก็มีราคาที่ต้องจ่าย หากลั่วซือพบคนผู้นั้นได้ เค้าคงกราบลาอาจารย์อย่างจริงจังได้ และออกท่องยุทธภพต่อไป ประตูห้องพักของเฟ่ยเย่ ถูกกำลังภายในดันจนเปิดออก ภายในห้องพักของเฟ่ยเย่ นางกำลังหลับสบายบนเตียง นางรู้สึกตั
ก่อนวันงานเทศกาลธิดาบุปผาจะเริ่ม ทางหอหรูอี้ติดประกาศไปทั่วเกี่ยวกับการรับสมัครสตรีทั่วหล้า เพื่อประกวดแข่งขันชิงตำแหน่งเทพธิดาผู้ที่ทำให้ดอกไม้เบ่งบาน ต้นไม้เขียวชะอุ่มอุดมสมบูรณ์ตลอดปี หากผู้ใดได้รับการคัดเลือก จะขอประทานรางวัลได้หนึ่งอย่างจากฮ่องเต้ของแคว้นหนานเจียง และได้รับแต่งตั้งให้เป็นเทพธิดาพยากรณ์ของแคว้น! “นี่ๆๆ ท่านพี่ดูนี่สิ” เฟ่ยเย่หยิบกระดาษใบปลิวประกาศจากหอหรูอี้ เรื่องรับสมัครสตรีเข้าประกวดแข่งขันชิงตำแหน่งเทพธิดา ลั่วซือหยิบกระดาษประกาศจากมือเฟ่ยเย่เอามาอ่าน “อืม!..เจ้ามีแผนรึ?” ลั่วซือเลิกคิ้วถาม “โถ่..ก็มีน่ะสิ“แต่คุณสมบัติอื่นนอกจากความเป็นสตรีแล้ว ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่นะ”เฟ่ยเย่มองหาสือเนียงผู้ดูแลหอ ครั้นเฟ่ยเย่กวาดสายตามองไปปะทะบุรุษหนุ่มสองคนเดินเข้ามาในหอหรูอี้ เฟ่ยเย่ตาลุกแววทันที เอ๊ะ! เฟ่ยเย่อุทาน! ลั่วซือมองตามสายตาของนางไป “คุณชายทั้งสองโต๊ะนั่งของเราเต็มหมดแล้วเจ้าค่ะ” สือเนียงกล่าวอย่างนอบน้อม “แล้วห้องพักเล่า มีห้องพักสักหนึ่งหรือสองห้องหรือไม่? เราสองคนมีเงินจ่ายไหว แพงเพียงใดก็เรียกมาได้เลย” ต้วนอี้คราดครั้นเล็กน้อย “โถ่เอ๋ย! ท่านทั้
วันที่ 9 เดือน 10 งานประชันเทพธิดาบุปผางามสะพรั่งผู้คนต่างพากันหลั่งไหลเข้ามาในเมืองซินฮุยแคว้นหนานเจียง บัดนี้โรงเตี๊ยมและที่พักแน่นขนัดเต็มไปด้วยผู้คนองค์ชายทั้งสามต่างก็รีบไปจับจองที่นั่งในหอหรูอี้เร็วกว่าผู้ใด!องค์รัชทายาทอวิ๋นเทียนเหอและองค์ชายหยางหย่วนแห่งแคว้นหนานเจียงเสร็จมาถึงแล้ว! ขันทีที่ตามเสร็จประกาศหน้าหอหรูอี้ สือเนียงและเจ้าหอรีบออกไปต้อนรับ ภายในหอหรูอี้ทุกคนยืนขึ้นต้อนรับและนั่งลงหลังจากองค์รัชทายาทนั่งลงแล้วบนเวทีมีการแสดงจากนักระบำให้ดูฆ่าเวลาก่อนการประกวด ครู่ต่อมา! ชิงเฟิงองค์รักษ์เงาขององค์รัชทายาทอันซื่อ รีบเดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูของอันซื่อ จากนั้นก็รีบร้อนออกไป!พึบ! เสียงกางพัดของอันซื่อ เค้าโบกพัดเข้าหาตัวเบาๆ จากนั้นก็กระซิบที่ข้างหูต้วนอี้โดยเอาพัดขึ้นปิดไว้แบบพองาม“เราต้องรีบกลับกันแล้ว องค์หญิงรองหนิงเอ๋อ กับองค์หญิงสามจิ่งเสียนแห่งหนานตูกำลังมา” อันซื่อพูดข้างหูต้วนอวี้ด้วยเสียงแผ่วเบา ต้วนอวี้เบิ่งตากว้าง! มีอาการตกใจกับข่าวนี้ไม่น้อยหากมีผู้ใดรู้ว่าบัดนี้องค์ชายรัชทายาทและองค์ชายทั้งสี่พระองค์แห่งแคว้นฉี่ มาอยู่รวมตัวกันในดินแดนแคว้นศัตรู! จะต
บัดนี้องค์รัชทายาทอันซื่อและองค์ชายต้วนอวี้กลับถึงหนานฉี่อย่างปลอดภัยแล้ว!แม่ทัพเกราะทองฟางหมิ่นเฉียนยังคงประจำการในค่ายอี้ชาง ฟื้นฟูร่างกายหายเป็นปกติแล้ว ต้วนอวี้ส่งข่าวเรื่องคุณหนูฟางเฟ่ยเย่ให้แม่ทัพทราบแล้วเช่นกันลั่วซือหาทางลักรอบไปหาเฟ่ยเย่ในห้องพัก จากวันที่ประกวดวันนั้นจนถึงวันนี้นางสลบไปสามวันเต็มๆ ลั่วซือแอบมาตรวจดูอาการนางทุกวันถ่ายทอดพลังให้และขอกัดแขนนางบางวันที่อาการหนอนมัจจุราชกำเริบเฟ่ยเย่รู้สึกตัวได้สติแล้ว ค่อยๆลุกขึ้นนั่ง“มีราชองค์การ จากองค์ฮ่องเต้ถึงแม่นางจูจินหลาง” ขันทีป่าวประกาศเรียกที่ห้องโถงหอหรูอี้สือเนียงรีบเข้ามาประคองแขนของเฟ่ยเย่ในนามจูจินหลาง เดินไปถึงห้องโถงแล้วค่อยๆ นั่งคุกเข่าลง คนในห้องโถงต่างก็นั่งคุกทั้งหมดเพื่อรอฟังประกาศราชองค์การเนื้อความในราชองค์การ..!บัดนี้งานคัดเลือกเทพธิดาบุปผาได้สำเร็จลุล่วง จึงได้ผู้ที่มีความสามารถทำให้ดอกไม้นานาของแคว้นหนานเจียงผลิบาน อีกทั้งยังมีใบหน้างดงามราวนางฟ้า มีกิริยาวาจา และท่วงท่างามสง่า เราจึงขอแต่งตั้งเทพธิดาบุปผาคนใหม่ “จูจินหลาง” เป็นเทพธิดาบุปผา ประจำตำหนักหอดาราดาว“ ให้เทพธิดาจูจินหลางเข้าพัก
จูจินหลางใช้พลังมากเกินไปทำให้สลบไสลไปสามวันเต็มๆ นางค่อยฟื้นได้สติลืมตามองไปรอบๆ ห้องที่ไม่คุ้นเคย “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” องค์รัชทายาทอวิ๋นเทียนเหอถามด้วยความเป็นห่วง“ไม่เป็นไรแล้วเพคะ! แค่ใช้พลังมากไป“ จูจินหลางกล่าวหลังจากที่นางฟื้นขึ้นมาถึงได้รู้ว่าตลอดสามวันที่ผ่านมานางอยู่ในตำหนักขององค์รัชทายาทมาตลอดยามจื่อ! จูจินหลางสวมชุดดำมีผ้าคลุมปิดหน้าไปที่หอเก็บตำราหลวงอีกครั้งคราวนี้ไม่มีผู้ใดขัดขวาง นางได้แผนที่ราชวังมาแล้ว จึงเริ่มค้นหาจากตำหนักทางทิศตะวันออก นางปีนขึ้นหลังคาและค่อยๆเปิดแผ่นกระเบื้องหลังคาดูความเคลื่อนไหวของคนภายในตำหนักต่างๆที่นี่เป็นตำหนักหยงฉิ่ง ไทฮองไทเฮา ทรงประชวร จูจินหลางได้ยินลมหายใจที่ไม่สม่ำเสมอและมีอาการไอเป็นระยะ นางฟังอาการอยู่สักพักเจ้าของตำหนักนี้คือใครกัน ฟังจากเสียงลมหายใจแล้วเหมือนจะโดนพิษ? นางนึกในใจ ที่นี่คงไม่ใช่ที่คุมขังพี่ซานอี้เป็นแน่!ตามหาในวังแห่งนี้มาหลายตำหนักแล้วก็ยังไม่เจอ! ข้าคงต้องแอบสืบความจากใครสักคน ว่าแล้วก็นึกถึงองค์รัชทายาทอวิ๋นเทียนเหอขึ้นมา หลายวันมานี้ได้องค์รัชทายาทช่วยไว้หลายครั้ง จึงรอดพ้นจากนักฆ่าพวกนั้นมาได้! นางเดิ
เมืองซีเยียน“องค์รัชทายาทอันซื่อและองค์หญิงซีอิน! เสด็จมาถึงแล้ว พะยะค่ะ!” ขันทีกล่าวรายงานต่อเจ้าเมืองอ๋องอวี้ “อาอวี้!” อันซื่อเดินเข้าไปสวมกอดน้องชายตบหลังเบาๆ แสดงถึงความรักที่มีต่อกัน“ทำไมท่านทั้งสองถึงมาด้วยกันได้” อ๋องอวี้สงสัย“มีเรื่องยุ่งยากกับเจ้าสาม ข้ากับซีอินจึงมาช่วยเจ้า” อันซื่อจึงเล่าสถานการณ์การสลับร่างให้ต้วนอี้ได้รับรู้“อย่างนี้เจ้าสามก็ลำบากแล้ว แล้วเรื่องการหมั้นหมายเจ้าสามก็ยินยอมด้วยงั้นรึ?“ ต้วนอวี้ซักถามต่อ”เจ้าตัวไม่ยินยอมแต่จะมีทางไหนแก้ไขได้รึ? ตัวสลับกันแบบนั้น ราชโองการหมั้นก็ออกประกาศทั่วแล้ว“ ที่ทะเลสาบซางไห่ เมืองซีเยียนพ่อมดเป่ยเยียนกำลังใช้พลังจิตหาลูกแก้ววิญญาน แต่มังกรเทพ อวี่หลงที่ตามอารักษ์ขาองค์หญิงซีอินมาซีเยียนด้วยนั้นกลับรู้สึกกระวนกระวายใจ เหมือนถูกกระตุ่นด้วยอะไรบางอย่าง จนทำให้ต้องกลายร่างเป็นมังกรเหินขึ้นสู่ฟ้าเหาะวนไปวนมา จนมาถึงที่ทะเลสาบซางไห่ ลูกแก้ววิญญาณนั้นค่อยๆ ลอยตัวขึ้นจากทะเลสาบอย่างช้า พ่อมดร่ายคาถาพยายามจะสะกดลูกแก้ววิญญาน ซึ่งสร้างความเจ็บปวดให้มังกรเทพอวี่หลงเป็นอย่างมากอ่าาาาาาาาาา! มังกรอวี่หลงแผดเสียงร้องด้วยคว
อวี่หลงกายร่างเป็นมังกรพาซีอินเหาะไปพบเทพ อัคคีฉงหลีที่เขาเมิ่งซาน เล่าเรื่องการสลับร่างของพ่อมดเป่ยเยียนให้ท่านอาจารย์ฟัง เทพอัคคีฉงหลีกล่าวว่าหากจะให้แก้คาถาสลับร่างผู้ร่ายคาถาต้องเป็นผู้แก้เท่านั้นหรือไม่ก็ตายจากไปคาถาจะสลายหายไปเอง!ซีอินและอวี่หลงจึงแวะไปหาฮ่องเต้อวิ๋นเทียนเหอณ ห้องทรงพระอักษร หนานเจียง“ฝ่าบาท! องค์หญิงซีอินมาขอเข้าพบเป็นการส่วนพระองค์ พะยะค่ะ” องค์รักษ์ซิ่วอิงกล่าวรายงาน ทำให้อวิ๋นเทียนเหอ แปลกใจอยู่ไม่น้อย“นางมากับใคร ทำไมข้าถึงไม่รู้ล่วงหน้าเลย” ฝ่าบาทสงสัย“องค์หญิงมากับองค์รักษ์เพียงแค่สองคนเท่านั้น พะยะค่ะ” ซิ่วอิงกราบทูลฝ่าบาท“รีบเชิญเร็วเข้า” ฝ่าบาทมีท่าทีตื่นเต้นอย่างเห็นได้ชัด ซีอินเดินเข้ามาในห้องทรงพระอักษรเพียงลำพัง ซิ่วอิงกับอวี่หลงค่อยเฝ้าอยู่หน้าห้อง“ถวายบังคับ ฝ่าบาท ขอให้อายุยืนหมื่นๆปี เพคะ!” ซีอินเมื่อเดินไปถึงหน้าโต๊ะทรงงานก็ทำความเคารพฝ่าบาท อวิ๋นเทียนเหอเงยหน้ามองซีอินและยิ้มให้ด้วยความดีใจ ฝ่าบาทเดินมาพยุงซีอินให้ลุกขึ้น“ไม่ต้องมากพิธี ตามสบายนะ เราดีใจมากที่ได้เจอเจ้า ได้ยินมาว่าเจ้าเป็นองค์หญิงซีอินแล้ว เหมาะสมยิ่งนัก“ อวิ๋นเทียนเห
เช้าวันต่อมาหว่านชิงที่อยู่ในร่างซานอี้ค่อยๆรู้สึกตัวลืมตาตื่นนางพยายามพยุงร่างลุกขึ้นนั่งด้วยศรีษะอันอึ้งจำแทบไม่ได้ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น มองไปทางตั่งนั่งไม้พบลั่วซือกำลังนอนหลับอยู่“อ๊ายยย! เจ้าๆ มานอนในห้องข้าได้อย่างไร” หว่านชิงร้องความตกใจ และยิ่งตกใจไปมากกว่าคือน้ำเสียงที่เปล่งออกมาไม่ใช่เสียงนาง นางรีบก้มมองดูตัวเองจับหน้าตัวเองทันที”กรี๊ดดดดดด! นี่ไม่ใช่ข้า นี่ไม่ใช่ข้า“ หว่านชิงในร่างซานอี้แผดเสียงร้องลั่น ทำให้ลั่วซือสะดุ้งตื่นรีบวิ่งเข้ามาใกล้”พี่สาม! เจ้าเป็นอะไรไป เจ้าอย่ามัวแต่ร้องสิ เจ้าพูดสิ!” ลั่วซือจับไหล่ซานอี้เขย่าเบาๆ“ข้าไม่ใช่พี่สามของเจ้า ข้าคือหว่านชิง” หว่านชิงในร่างซานอี้ยังคงร้องไห้ลั่นชั่วครู่ต่อมา ปัง! ปัง! ปัง! เสียงทุบประตูดังขึ้น“เปิดประตู! ข้าบอกให้เปิดประตู”เสียงของซานอี้ในร่างหว่านชิงเร่งให้เปิดประตูห้องพักซานอี้ ลั่วซือจึงเดินไปเปิดประตู เมื่อประตูเปิดออกซานอี้ในร่างหว่านชิงรีบเดินเข้ามาหยุดตรงหน้าเตียงที่หว่านชิงในร่างซานอี้นั่งอยู่ และเมื่อทั้งสองได้เจอหน้ากัน ” เจ้า!“ ต่างฝ่ายต่างทำอะไรไม่ถูก”เจ้า! เจ้าคืนร่างข้ามานะ“ ซานอี้ในร่างหว่านช
ณ ตำหนักลี่ถิง“องค์รัชทายาทเสด็จ! พะยะค่ะ“ เสียงขันทีหน้าตำหนักลี่ถิงรายงาน ซีอินจึงรีบเดินออกไปต้อนรับ พร้อมทำความเคารพ”เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ที่นี่อยู่สบายดีหรือไม่?“ อันซื่อทักทายยิ้มแย้ม”อยู่สบายดี เพคะ“ ซีอันตอบกลับ”ข้านำต้นอิงฮวา มาปลูกให้เจ้า หลายต้นเลย และนำคนงานมาทำชิงช้าให้น้องหญิงด้วย“อันซื่อพูดอย่างมีไมตรีและเรียกซีอินว่าน้องหญิง”ขอบพระทัยท่านพี่ เพคะ! เชิญเข้ามานั่งดื่มชาก่อน เพคะ!” อันซื่อเดินเข้าไปนั่งในห้องโถงของตำหนักลี่ถิง นั่งจิบน้ำชาเงียบๆ“น้องหญิงเจ้าจะไปหนานเจียงเมื่อใดรึ” อันซื่อเป็นฝ่ายทำลายความเงียบขึ้น“ต้องถามทางองค์รัชทายาทหยางหย่วนว่าพร้อมเมื่อใด เพคะ” อันซื่อและซีอินคุยกันได้สักพักเสียงขันทีหน้าตำหนักก็ดังขึ้นอีกครั้ง“องค์ชายซานอี้และองค์ชายลั่วซือเสด็จ พะยะค่ะ” เมื่อทั้งสองหันไปมองที่ต้นเสียงก็ปรากฏว่าองค์ชายทั้งสองที่พึ่งมาถึงเดินเข้ามาในห้องโถงของตำหนักลี่ถิงแล้ว ซานอี้กับลั่วซือชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นอันซื่อนั่งอยู่ก่อนแล้ว“ถวายบังคมเสด็จพี่ พระข้าเจ้า” ซานอี้กับลั่วซือทำความเคารพองค์รัชทายาทอันซื่อ“ท่านพี่ทั้งสองเชิญนั่งก่อน” ซีอินเชิญแขกผู้มาใ
ตำหนักรับรองราชฑูต“เสด็จพี่! ท่านนอนหรือยัง?” หว่านชิงเคาะประตูห้องของหยางหย่วน หยางหย่วนจึงลุกขึ้นไปเปิดประตู“เข้ามาสิ” หยางหย่วนชวนหว่านชิงเข้ามาในห้อง“มีเรื่องอะไรหรือไม่?” หยางหย่วนถามหว่านชิง“ข้าแค่สงสัย!” หว่านชิงเหมือนมีคำถาม“ว่ามาสิ” หยางหย่วนรินน้ำชาใส่ถ้วยยกขึ้นจิบ“องค์ชายของหนานฉี่มีทั้งหมด 4 คน ทำไมวันนี้เห็นแค่สามคน” หว่านชิงถามข้อสงสัย“ได้ข่าวมาว่าองค์ชายสี่ไม่เป็นที่โปรดปรานของฮ่องเต้ ส่วนใหญ่ใช้ชีวิตอยู่นอกวัง แต่ก็ได้ข่าวว่าหล่อเหลา สง่างามไม่แพ้กัน เจ้าชอบองค์ชายคนไหนล่ะ” หยางหย่วนศึกษาข้อมูลมาไม่น้อย“คนที่ข้าชอบ ข้าจะต้องรู้สึกตกหลุมรักเค้าในครั้งแรก แต่องค์ชายทั้งสามไม่ได้ทำให้ข้ารู้สึกเช่นนั้น!” หว่านชิงแสดงความรู้สึกที่ชัดเจน“เออ! จริงสิ ทำไมท่านพี่อวิ๋นเทียนเหอถึงอยากให้แม่นางฟางนั่นไปที่แคว้นเราด้วยล่ะ” หว่านชิงสงสัย “หรือท่านพี่จะชอบนาง?” “ชอบก็ส่วนชอบ แต่แคว้นของเราก็มีความจำเป็นต้องพานางไปจริงๆ หากหนานฉี่หวาดระแวงไม่ปล่อยให้แม่นางฟางกลับไปกับข้า คงต้องให้เจ้าอยู่ที่หนานฉี่แลกตัวกันสักพัก นี่เป็นบัญชาจากองค์ฮ่องเต้” หยางหย่วนพูดด้วยสีหน้าจริงจัง“ท่
ณ แคว้นหนานฉี่“กราบทูลฝ่าบาท ตอนนี้คณะราชฑูตของหนานเจียงเดินทางมาถึงประตูเมืองแล้ว พะยะค่ะ” เสนาบดีฝ่ายกรมพิธีการกล่าวรายงานฮ่องเต้แคว้นฉี่“อืม! เจ้าจัดคนไปต้อนรับแล้วหรือไม่?“ ฮ่องเต้ตรัสถาม”องค์ชายทั้งสามพระองค์ขอรับอาสาไปต้อนรับแล้วพะยะค่ะ“เสนาบดีฝ่ายกรมพิธีการตอบกลับที่ประตูเมืองหลวงแคว้นหนานฉี่ เมื่อประตูเมืองเปิดออก ขบวนของคณะฑูตของแคว้นหนานเจียงก็ขับเคลื่อนเดินทางเข้ามามีทั้งเดินเท้าและรถม้ารถเสบียง ม้าทหารองค์รักษ์ขององค์รัชทายาทและองค์หญิงเสด็จเข้าเมืองมามีประชาชนของแคว้นยืนรอรับเสด็จ ประชาชนส่วนใหญ่เพียงอยากรู้อยากเห็นเท่านั้น เบื้องหน้ารอรับขบวนคณะฑูตนั้นคือ องค์ชายทั้งสามเจ้าของแคว้น ทรงนั่งอยู่หลังม้าทั้งสามพระองค์งามสง่าสมคำร่ำลือ เปรียบดังความสง่างามใน 4 ฤดู 1.ผู้ที่ใสซื่อบริสุทธิ์ดุจน้ำเปล่า ซื่อตรง สดใส เพียบพร้อม สูงส่ง ราวกับฤดูใบไม้ผลิ คือองค์รัชทายาทอันซื่อ 2.ผู้ที่เปี่ยมไปด้วยความฉลาดมากความสามารถ มีความอบอุ่น และอ่อนโยน เปรียบดังฤดูร้อน คือองค์ชายรอง ต้วนอวี้ 3.ผู้ที่ร่าเริง แข็งแกร่งและทรงพลัง ดูมีชีวิตชีวา ส่องประกายแสงสีสองทองในฤดูใบไม้ร่วง คือองค์ชาย
องค์ชายทั้งสามเมื่อออกจากตำหนักตงเตี้ยน อันซื่อจึงเอ่ยปากเรียกน้องชายทั้งสอง “อาอวี้-อี้เอ๋อร์” องค์ชายทั้งสองหันกลับมามองทางต้นเสียง อันซื่อจึงเดินไปโอบไหล่ของน้องชายด้วยแขนคนละข้าง”พวกเจ้าน่ะ ดีกันเถอะ หายโกรธกันได้แล้ว“ อันซื่อกล่าวด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล”เสด็จพ่อพูดขนาดนั้น ข้าหายโกรธตั้งนานแล้ว!” ซานอี้นั้นถึงแม้จะอารมณ์ร้อนไปบ้างแต่ก็มีเหตุผล“อืม! ข้าขอโทษด้วยนะซานอี้ และขอโทษเสด็จพี่ด้วย เราไม่ได้ต่อยกันนานแล้ว หมัดซานอี้หนักชะมัด!“ ทั้งสามยังคงยิ้มให้กัน“จริงสิ ถ้าลั่วซืออยู่ด้วยล่ะก็ หมอนั่นจะกล้ายอมรับกับเสด็จพ่อมั้ยว่าชอบอาเย่ด้วยเหมือนกัน” ซานอี้พูดถึงองค์ชายสี่ลั่วซือต้วนอวี้ยังมิได้กลับจวน แต่เดินมาเรื่อยๆ จนถึงตำหนักจิ่งหลิน ซึ่งเป็นตำหนักขององค์หญิงเหยียนหลิน มีนางกำนัลยืนเฝ้าอยู่หน้าห้องโถง เมื่อเปิดประตูภายในห้องโถงตกแต่งไว้อาลัย ศพขององค์หญิงบรรจุอยู่ในโลงตั้งไว้ที่กลางโถง ต้วนอวี้นั่งลงจุดธูปเพื่อเคารพศพน้องสาวอย่างเงียบๆ “ตอนนี้เจ้าน่ะไปอยู่ในร่างคนอื่นแล้ว เราไม่ได้เกี่ยวดองกันทางสายเลือดอีกแล้ว ชาตินี้พี่ชายดูแลเจ้าไม่ดี! พี่ชายรู้สึกผิดต่อเจ้ายิ่งนัก! แ
หน้าตำหนักตงเตี้ยน แคว้นหนานฉี่องค์รัชทายาทอันซื่อ,องค์ชายต้วนอวี้,องค์ชายซานอี้ มาขอเข้าเฝ้าฝ่าบาท! ขันทีเว่ยจึงรีบไปรายงานฮ่องเต้ ที่ห้องทรงพระอักษร“เป็นอย่างนี้ไปได้อย่างไร?” ซานอี้เปยขึ้นมากับตัวเอง แล้วเดินไปเดินมาอยู่หน้าตำหนักตงเตี้ยนไม่สามารถสงบใจได้เลย ส่วนอันซื่อและต้วนอวี้ต่างก็รอที่หน้าตำหนักอย่างร้อนใจเช่นกันครู่ต่อมา ขันทีเว่ยก็ออกมารายงานให้องค์ชายทั้งสามแยกย้ายกลับได้ “พระองค์ไม่ทรงอนุญาตให้เข้าพบหรือสงสัยในราชองค์การที่ทรงรับสั่งไปแล้ว! พะยะค่ะ” ขันทีเว่ยถ่ายทอดคำสั่งอันซื่อได้แต่ทอดถอนใจแล้วเดินกลับตำหนักบูรพา เมื่อมาถึงตำหนักบูรพาได้ประมาณหนึ่งก้านธูป องค์ชายต้วนอวี้และองค์ชายซานอี้ก็มาขอเข้าพบ!ในตำหนักบูรพา!“ท่านพี่ทั้งสอง ข้าชอบอาเย่ นางมีบุญคุณช่วยชีวิตข้า ข้าต้องแต่งงานกับนาง“ ซานอี้เริ่มก่อน”ไม่ได้! นางจะแต่งกับใครไม่ได้ทั้งนั้น“ ต้วนอวี้พูดขัดขึ้น”พี่รอง พูดแบบนี้หมายความว่าไง” ซานอี้เดินไปประจันหน้ากับ ต้วนอี้ขมวดคิ้วสีหน้าจริง“ถ้าพูดถึงเรื่องบุญคุณ นางก็มีคุณบุญกับข้าช่วยเหลือข้า ตอนเรือแตกติดถ้ำอยู่กับข้า” ต้วนอวี้ยอมลดละ“นางไม่ได้ชอบเจ้า ทำไมต้อ
ณ แคว้นหนานฉี่องค์ชายทั้งสามกลับมาถึงหนานฉี่อย่างปลอดภัย ส่วนฟางเฟ่ยเย่ก็กลับถึงจวนสกุลฟางเรียบร้อยแล้ว“คุณหนูกลับมาแล้ว” รุ่ยรุ่ยสาวใช้ประจำตัวรีบวิ่งเข้าไปต้อนรับ ”คุณหนู! ยูหยินรอท่านอยู่ที่ศาลบรรพชนเจ้าค่ะ“ สาวใช้รุ่ยรุ่ยรีบรายงาน”อืม ข้าจะไปเดี๋ยวนี้“ ฟางเฟ่ยเย่เดินมาหยุดที่ประตูทางเข้าศาลบรรพชนนางสูดลมหายใจเข้าลึกๆ แล้วค่อยเปิดประตูก้าวเท้าเข้าไปยูหยินสกุลฟางนั่งสวดมนต์อยู่ก่อนแล้วเทียนไขในห้องนั้นถูกจุดสว่าง ป้ายชื่อผู้ล่วงลับตั้งวางเรียงไว้อย่างเป็นระเบียบเมื่อฟางเฟ่ยเย่เข้ามาในห้องนางก็รีบจุดรูปสักการะบรรพบุรุษทันที ก้มลงกราบสามครั้ง แล้วนั่งนิ่งๆ จองมองแผ่นหลังของผู้เป็นมารดา“เจ้ากลับมาบ้านได้อย่างปลอดภัยแม่ก็สบายใจแล้ว แต่เจ้ามีความผิดที่หลบหนีออกไปเช่นนี้ เจ้าเป็นกุลสตรีที่ยังไม่ออกเรือน หากวันนี้แม่ไม่ลงโทษเจ้า เจ้าคงไม่เห็นความสำคัญของชื่อเสียงตนเองและวงศ์ตระกูล เจ้าจงนั่งสำนึกผิดในศาลบรรพชนนี้สักสามวันเถอะ” เมื่อพูดจบยูหยินก็ลุกขึ้นช้าๆแล้วเดินออกจากโถงบรรพชนไปเฟ่ยเย่ได้แต่นั่งสำนึกผิดในห้องตามลำพัง!วันต่อมา!องค์ชายทั้งสามและฟางเฟ่ยเย่ได้รับราชองค์การให้ไปเข้า