องครักษ์ทั้งสี่ที่อาการดีขึ้นมากแล้ว พากันไปหาฟืนมาก่อไฟให้นายน้อยกับคุณหนู ด้วยกลัวว่าถ้ามัวชักช้าอาจถูกดีดด้วยก้อนหินเหมือนปลาชะตาขาดพวกนั้น ฮือʢᵕ﹏ᵕʡ พวกเขายังไม่อยากตาย
ไม่นานนักกองไฟก็พร้อม ชิวเพ่ยเพ่ยที่ทำอาหารไม่เป็นนั่งรอที่ใต้ต้นไม้กับเฟยหยุนและองค์ชายสาม นางถามพวกเขาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้
“ข้าต้องปรึกษาเสด็จพ่อเสียก่อนค่อยตัดสินใจ” องค์ชายสามเอ่ยอย่างหนักใจ นางบอกพวกเขาแล้วว่าข่าวรั่วไหลได้อย่างไร เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีองครักษ์เงากี่คนที่ไปสมสู่กับพระสนมพวกนั้น เรื่องนี้ต้องให้เสด็จพ่อสืบเองแล้ว
“อืม ส่วนข้าก็ต้องรอคำสั่งฝ่าบาทก่อนเช่นกัน” เฟยหยุนบอกคู่หมั้นที่นั่งข้าง ๆ
“เจ้าอยากให้ข้าช่วยหรือไม่เล่า” ชิวเพ่ยเพ่ยที่มักตัดสินใจอะไรอย่างรวดเร็วรีบออกความเห็น แค่ฆ่าคน มันจะไปยากอะไร้!
“ข้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อนนะเพ่ยเพ่ย เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าต้องปกป้องเจ้าสิ” เฟยหยุนส่งสายตาหวานฉ่ำให้นาง เมื่อคืนเขายังจำสัมผัสนุ่มนิ่มในอ้อมกอดได้อยู่เลย ยิ่งคิดยิ่งอยากรีบแต่งเสียให้รู้แล้วรู้รอด
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสายตาเขาแปลก ๆ นางรู้สึกหน้าร้อนผ่าวขึ้นมาเสียเฉย ๆ จึงรีบเสหลบสายตาเขาไปอีกทาง พร้อมกระแอมไอและพูดต่อว่า
“เจ้าไม่ต้องกังวลเรื่องข้า ถ้าอยากให้ข้าช่วยก็แค่บอกออกมา เจ้าเองก็เป็นคู่หมั้นข้าเช่นกัน หากข้าไม่ช่วยเจ้าแล้วท่านตาท่านยายรู้เข้า มีหวังสมบัติที่ข้าได้มาต้องถูกพวกเขายึดคืนแน่” ชิวเพ่ยเพ่ยที่รักสมบัติมากบอกเขาตาใสซื่อ
“ขอบใจเจ้ามากเพ่ยเพ่ย รอให้ข้าตรวจสอบและหาหลักฐานได้ก่อนนะ ถ้ามีอะไรที่ข้าต้องการให้เจ้าช่วย ข้าจะส่งคนไปบอก” เขาใจฟูมากที่นางอยากช่วยเขาจัดการปัญหานี้ แต่เขาขอลองด้วยตัวเองอีกทีก่อนก็แล้วกัน แค่นางมาช่วยเขาครั้งนี้ เขาก็รู้สึกเสียหน้าไม่น้อย
ชิวเพ่ยเพ่ยพยักหน้าเข้าใจ เขาคงอายที่จะขอให้นางช่วยเสียกระมัง สงสัยนางต้องไปปรึกษาท่านแม่คนงามเรื่องนี้เสียหน่อยท่าจะดี
องครักษ์ที่ย่างปลาเสร็จแล้วนำมาให้พวกเขาคนละไม้ ชิวเพ่ยเพ่ยหิวมากที่กินข้าวผิดเวลา นางสวาปามปลาเผาทั้งที่ควันยังกรุ่นอยู่ กินไปก็เป่าปากไปจากความร้อน แต่ก็ไม่ยอมหยุดปากเสียที เฟยหยุนเห็นคู่หมั้นตัวน้อยแบบนี้ก็ได้แต่มองอย่างรักใคร่เอ็นดู
องค์ชายสามที่เป็นก้างนั่งข้างสหายรัก เขาได้แต่กลอกตามองบนอย่างหมั่นไส้ ไม่ว่าชิวเพ่ยเพ่ยทำอะไร สหายเขาก็มองว่าดี มองว่าน่ารักไปเสียหมด เฮ้อ เขาไม่เข้าใจเรื่องแบบนี้จริง ๆ ด้วยที่ไม่อยากกินอาหารสุนัขบ่อย ๆ องค์ชายสามหันหน้าหนีไปทางอื่นพร้อมกับกินปลาเผาอย่างสง่างามตามแบบฉบับองค์ชายที่ได้รับการสั่งสอนมาอย่างดี
ไม่ถึงสองชั่วยาม องครักษ์ของชิวเพ่ยเพ่ยที่ให้ไปหารถม้าก็กลับมาพร้อมรถม้าสองคันตามคำสั่ง พวกเขาโชคดีที่สาขาของตำหนักเมฆาดับอยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก จึงเข้าไปขอรถม้ามาแบบหน้าด้าน ๆ ลองคนในสาขาไม่ให้พวกเขามาดูสิ เขาจะฟ้องเจ้าตำหนักตัวน้อยให้ดู หึ
ชิวเพ่ยเพ่ยขึ้นรถม้ากับเฟยหยุนและองค์ชายสาม คนขับเป็นองครักษ์เงาของนางเอง ส่วนคนที่เหลือก็นั่งในรถม้าอีกคัน พวกเขาเดินทางกันจนค่ำก็จอดพักค้างคืนเสียก่อน ส่วนอาหารน่ะหรือ องครักษ์นางช่างแสนดี พวกเขาขนอาหารขึ้นรถม้ามาด้วยน่ะซี ฮิฮิ สบายปากนางเสียจริง ๆ
ยามค่ำคืน ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงได้นอนในอ้อมกอดของเฟยหยุนในรถม้าเช่นเคย องค์ชายสามที่ไม่อยากเสียสายตาหนีไปนอนที่รถม้าอีกคัน องครักษ์คนอื่น ๆ นอนด้านนอกกันหมดจนถึงเช้า
พวกเขาเดินทางกันต่ออีกเกือบสองวันกว่าจะกลับถึงเมืองหลวง ชิวเพ่ยเพ่ยไม่รู้เลยว่านางไปไกลถึงขนาดนี้ อาจเพราะความเร่งรีบจนลืมสังเกตุกระมัง
นางสั่งให้ไปส่งองค์ชายสามกลับวังเสียก่อนจะมืดค่ำไปอีก จากนั้นจึงไปแวะส่งเฟยหยุนที่จวนแม่ทัพ เขาชวนนางเข้าไปทานอาหารค่ำด้วย แต่นางที่ลืมบอกที่บ้านก่อนออกไป ได้แต่ปฏิเสธอย่างเสียดาย แม่ของเขาใจดีกับนางมาก ชอบให้เขานำขนมไปฝากนางบ่อย ๆ แถมขนมพวกนั้นอร่อยกว่าแม่ครัวที่จวนนางทำเสียด้วยสิ เฮ้อ เอาไว้คราวหน้านางค่อยมาเที่ยวแล้วกัน
เฟยหยุนที่ชวนหวานใจไม่สำเร็จ เขาได้แต่ยืนส่งนางหน้าจวนแล้วเดินกลับเข้าไปรายงานเรื่องราวให้ท่านพ่อท่านแม่ทราบ แน่นอนว่าเขาต้องชมคู่หมั้นสุดเก่งของเขาให้พวกท่านฟังด้วยน่ะสิ ฮิฮิ เขาจะได้รีบขอให้พ่อแม่หาฤกษ์แต่งให้เสียที เขาไม่อยากรอแล้ว เขารีบ!!!
ชิวเพ่ยเพ่ยที่หายออกจากเรือนไปไม่บอกไม่กล่าว เกือบถูกท่านแม่คนงามแพ่นกบาลเสียแล้ว ถ้าท่านพ่อคนดีไม่เข้ามาห้ามเอาไว้เสียก่อน ที่ท่านแม่โกรธก็ไม่ใช่อะไร เป็นท่านพ่อคนดีที่หาลูกสาวสุดที่รักไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ จนเขาเกือบไปแจ้งทางการ ท่านแม่ของนางจึงแก้ตัวว่านางไปเที่ยวบ้านท่านตาท่านยายน่ะสิ แต่พอนางกลับมา แล้วท่านแม่เห็นหน้าเท่านั้นแหละ ความโกรธที่สะสมมาก็ปะทุขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เดือดร้อนท่านพ่อที่คราแรกแสนจะเป็นห่วงบุตรสุดสวาท ต้องเกลี้ยกล่อมภรรยารักเสียหลายยกกว่านางจะหายดี เฮ้อ ภรรยาเขาแรงดีเสียจริง ๆ ส่วนตัวต้นเหตุที่ทำให้คนที่บ้านเป็นห่วงนั้นนนน ตอนนี้นอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ไปนานแล้ว นางรู้นิสัยท่านแม่คนงามดีจะตาย แค่นางอยากให้ท่านพ่อเกลี้ยกล่อมใช่ไหมเล่า จึงได้ทำการแสดงที่แม้แต่นางยังดูออก เสียดายที่ท่านพ่อคนซื่อมีหรือจะทันเล่ห์เพทุบายของท่านแม่นาง ป่านนี้คงหมดแรงคาเตียงไปแล้วล่ะมั้ง หึ วันต่อมา ท่านพ่อกลับบ้านตั้งแต่บ่าย โดยบอกให้นางสองแม่ลูกเตรียมตัวไปงานเลี้ยงในวังตอนเย็น โอ้ ไม่นะ นางเบื่อหน่ายคุณหนูผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน
หลังจากคารวะคนใหญ่คนโตเต็มพิธีการแล้วนั่งลง เป็นฮ่องเต้ที่ประกาศให้เริ่มงานเลี้ยงพระจันทร์เต็มดวงในวันนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยที่มางานแบบนี้เป็นครั้งแรกได้แต่เบ้ปากมองบน พระจันทร์มันก็เต็มดวงอยู่ทุกเดือน ฝ่าบาทจะไม่จัดงานเลี้ยงทุกเดือนเลยหรือ? กรมพิธีการจัดการแสดงเปิดงานจากกรมสังคีต บรรดานักเต้น นักดนตรีต่างทำงานกันอย่างแข็งขัน หากการแสดงออกมาเป็นที่พอพระทัย พวกเขาอาจจะได้รางวัลตอบแทนไม่น้อย หลังจบการแสดง เป็นฮองเฮาที่มอบรางวัลให้คนของกรมสังคีต และแนะนำให้บุตรสาวขุนนางขึ้นมาแสดงความสามารถ เนื่องด้วยองค์ชายสามบุตรชายนางยังไม่มีคู่ครองทั้งที่อายุเหมาะสมแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงถึงบางอ้อกับเป้าหมายของงานเลี้ยงครั้งนี้ ที่แท้ก็หาเมียให้ลูกชายนี่เอง นางอยากรู้เช่นกันว่าองค์ชายสามผู้นั้นจะได้รับสตรีเช่นไร ชิวเพ่ยเพ่ยที่ลืมไปว่านางก็เป็นบุตรีขุนนางคนหนึ่งจึงต้องขึ้นแสดงด้วย นั่งดูการแสดงอย่างเพลิดเพลิน กระทั่งขันทีเอ่ยเรียกบุตรีขุนนางชิวนั่นแล นางจึงได้สะดุ้งโหยงแทบตกเก้าอี้ เอ้า นางไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย แล้วจะแสดงอะไรเล่า ชิวเพ่ยเพ่ยหันไปมองท่านพ่อกับท่านแม่
หลังจบการแสดงจากบุตรีขุนนางทั้งหมด ฮองเฮาที่เล็งเป้าหมายบุตรีขุนนางที่อยากได้มาให้ลูกชายก็ประทานรางวัลให้เกือบสิบคน รวมทั้งชิวเพ่ยเพ่ยก็ได้รับกับเขาด้วย ฮองเฮาและฮ่องเต้ต่างยกย่องเพลงฉินของชิวเพ่ยเพ่ยอย่างไม่ตระหนี่คำชม พวกเขายังหยอกล้อชิวกังด้วยว่าที่ไม่พาภรรยาและบุตรสาวมา คงเพราะกลัวถูกครอบครัวอื่นแย่งชิงบุตรสาวไปหรือไม่ ถึงแม้ฮ่องเต้และฮองเฮาจะแอบเสียดายนางอยู่ไม่น้อย แต่พวกเขารู้ดีว่าจวนแม่ทัพคงไม่ปล่อยนางมาให้พวกเขาแน่ เด็กดีมีความสามารถขนาดนี้ เป็นใครใครก็คงหวงแหนยิ่งนักกระมัง ชิวเพ่ยเพ่ยยิ้มรับคำชมอย่างถ่อมตัว นางเพียงตอบกลับฮ่องเต้และฮองเฮาว่า เป็นเพราะท่านพ่อและท่านแม่ให้การศึกษาแก่นางมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงทำให้นางสามารถเล่นฉินได้อย่างไพเราะเช่นนี้ คำพูดของนางยิ่งทำให้พวกเขารวมทั้งขุนนางอีกหลายครอบครัวที่คราแรกตั้งใจจะทาบทามนางให้บุตรชายตน เสียดายยิ่งขึ้นไปอีก ถ้านางไม่ใช่คู่หมั้นของแม่ทัพใจโฉดคนนั้นแล้วล่ะก็ พวกเขาคงกล้าหน้าด้านส่งแม่สื่อให้ตระกูลชิวเลือกอีกสักครั้ง แต่ลองถ้าพวกเขาทำจริง ๆ ตอนนี้ พวกเขาไม่กล้าคิดเลยจริง ๆ ว่าคนในจวนแม่ท
เมื่อเหล่าผู้ยิ่งใหญ่อิ่มหนำสำราญแล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮาออกจากงานเลี้ยงเพื่อปล่อยให้บรรดาขุนทางทั้งหลายสร้างความสัมพันธ์กันเหมือนกับทุกครั้ง คนจากจวนแม่ทัพรีบปรี่มาที่โต๊ะของชิวกัง ด้วยกลัวว่าพวกขุนนางที่ไม่กลัวตายจะแย่งชิงสะใภ้คนดีของพวกเขาเสียก่อน พวกเขามีหรือจะไม่เห็นสายตาหมาป่าที่อยากได้เหยื่อตัวน้อยแบบชิวเพ่ยเพ่ย หึ พวกมันกำลังฝัน! ที่โต๊ะชิวกัง ชิวกับ เตียวเฟยหลิว แม่ทัพใหญ่และฮูหยินนั่งอยู่ร่วมกันแล้ว พวกเขาไล่เด็กสองคนไปเดินเล่นที่สวนด้านข้างก่อนกลับบ้านอย่างรู้กัน ชิวเพ่ยเพ่ยผู้แสนเชื่อฟัง ลุกจากที่นั่งเดินตามเฟยหยุนต้อย ๆ ส่วนสองคู่รักวัยใกล้กลางคนเห็นลูก ๆ ออกไปไกลแล้วจึงรีบหันหน้ามาคุยกันอย่างจริงจัง ฮูหยินจวนแม่ทัพคุยกับเตียวเฟยหลิวเรื่องวันแต่งงาน นางกลัวสะใภ้คนดีจะถูกพวกขุนนางเหล่านี้ตลบหลัง หรือไม่ก็วางแผนชั่วตามตำราหนังหมาที่สอนสั่งกันมาในหลังบ้านตระกูลใหญ่ทั้งหลายน่ะสิ ชิวกังรู้เรื่องนี้ดีไม่น้อย เขาเองก็ไม่ชอบขุนนางพวกนั้นที่มีสามภรรยาสี่อนุแล้วยังเที่ยวคุยโวโอ้อวดไปทั่ว ทั้งที่หลังบ้านมีแต่ความวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน
เฟยหยุนกับชิวเพ่ยเพ่ยมาถึงโต๊ะ เหล่าพ่อแม่ของทั้งคู่ก็บรรลุข้อตกลงร่วมกันแล้ว พวกเขาจะรีบหาฤกษ์ดีในวันพรุ่งนี้ทันที โดยใช้วันที่เร็วที่สุดจัดงานแต่งงานให้ลูกทั้งสอง เพื่อป้องกันค่ำคืนอันยาวนานและฝันที่ยุ่งเหยิง เตียวเฟยหลิวยังตั้งใจจะคุยกับลูกสาวผู้ไม่ประสาของนางหลังจากได้ฤกษ์แล้วด้วย ไม่อย่างนั้นนังหนูสองบุคลิกของนางต้องอาละวาดจนจวนพังพินาศแน่ เห็นติ๋ม ๆ หงิ๋ม ๆ แบบนี้ บทจะร้ายก็ใช่ย่อยนะลูกสาวนาง เฮ้อ ไม่รู้นิสัยเหมือนใคร ( เตียวหย่งไจ้ : เหมือนเจ้านั่นแหละ ((* ̄(エ) ̄)ノ) สองครอบครัวเดินออกจากงานเลี้ยงพร้อมกัน ครอบครัวแม่ทัพใหญ่เดินไปส่งครอบครัวว่าที่ลูกสะใภ้จนถึงรถม้า ด้วยกลัวว่าจะมีลูกชายขุนนางที่ไม่รู้ดีชั่วมาสร้างปัญหาให้ชิวเพ่ยเพ่ยของพวกเขา เมื่อถึงรถม้าสองคันของตระกูลชิว เฟยหยุนเดินไปส่งคู่หมั้นแล้วให้นางจับมือขึ้นไปบนรถม้าอย่างสุภาพ ชิวกังเห็นว่าที่ลูกเขยดูแลบุตรสาวเขาได้ดีก็พยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นพวกเขาเอ่ยลาท่านแม่ทัพใหญ่กับฮูหยินที่ยืนรอส่งก่อนจะพากันขึ้นรถม้าแล้วออกจากหน้าพระราชวังไป สามพ่อแม่ลูกจวนแม่ทัพนำรถม้ามาคันเดียว ภายใน
วันต่อมาหลังกลับจากวัดนอกเมืองหลวง เตียวเฟยหลิวไปพบบุตรสาวที่เรือนของนางก่อนมื้ออาหารเย็นในทันใด นางต้องรีบให้บุตรสาวเตรียมตัวแต่งงานเสียก่อน เพราะฤกษ์ที่ได้มาคืออีกเจ็ดวันข้างหน้านี้แล้ว ยังดีที่นางรีบส่งพิราบสื่อสารไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ก่อน ดังนั้นเรื่องการเตรียมสินเดิมกับงานแต่งงาน นางจะปล่อยให้ตำหนักเมฆาดับเป็นคนจัดการ เรื่องอะไรนางจะต้องเหนื่อยจนหมดสวยเสียเล่า นางไม่อยากให้สามีเห็นสภาพแบบนั้นของนางหรอกหนา ชิวเพ่ยเพ่ยที่กำลังตรวจสอบบัญชีร้านรวงต่าง ๆ ทั้งห้าแคว้นตามปกติ นางยังมีงานอีกมากที่ต้องจัดการหลังเข้ารับตำแหน่งเจ้าตำหนัก แต่จู่ ๆ ท่านแม่ก็มาหานางอีกแล้ว นี่นางยังไม่ว่างเลยนะ ท่านแม๊!!!“ท่านแม่มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ข้ากำลังยุ่งกับเรื่องของตำหนักเมฆาดับอยู่” ชิวเพ่ยเพ่ยรีบเข้าไปรับหน้ามารดาหน้าสวยของนาง ก่อนที่จะถูกบุกเข้าไปในห้องทำงาน“อ้าว ถ้าข้าไม่มีเรื่องด่วน ข้ามาหาเจ้าไม่ได้หรือยังไง ชิชะ เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะปีกกล้าขาแข็งมากเกินไปแล้วนะเพ่ยเพ่ย ระวังข้าจะแอบมาเฆี่ยนตีเจ้ายามหลับเล่า หึ” เตียวเฟยหลิวยังไม่วายขู่ลูกสาว“เฮ้อ ท่านแม่มีอะไรก็บ
ชิวเพ่ยเพ่ยรอคอยจดหมายตอบกลับจากท่านตา ท่านยายอย่างกระวนกระวายมาตลอดสามวัน กระทั่งจะเข้าวันใหม่ในวันที่สี่ นางยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพิราบสื่อสารที่นางส่งไป ฮือ ท่านตาท่านยายก็ไม่รักนางอีกหรือนี่ ชิวเพ่ยเพ่ยได้แต่นั่งนึกจนหัวแทบระเบิดว่าท่านแม่ไปพูดอะไรจนทำให้ทุกคนในบ้านไม่แม้แต่จะมองหน้านางแบบนี้ สามวันที่ผ่านมา นางไม่กล้าไปร่วมโต๊ะกินข้าวกับพวกเขาเลย นางเพียงสั่งให้เตียวเตียวไปยกถาดอาหารมาให้นางที่เรือน โดยอ้างว่าทำงานอยู่ แต่การกินข้าวคนเดียวหรือจะสู้ได้นั่งกินกับคนที่รักและเอ็นดูนางมาตั้งแต่จำความได้กันเล่า ชิวเพ่ยเพ่ยอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป นางรีบสอบถามองครักษ์เงาว่านกพิราบของนางหายไปไหน ทางด้านองครักษ์ผู้ภักดีที่ถูกเตียวเฟยหลิวข่มขู่ไว้มีหรือจะกล้าปริปาก พวกเขายังอยากทำหน้าที่ต่ออยู่นะ ฮือ ชิวเพ่ยเพ่ยที่ถามไม่ได้ความอะไรจากปากคนของตนก็ยิ่งสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นางรีบออกจากเรือนไปขอเข้าพบท่านปู่ ท่านย่าพร้อมแววตาที่แดงก่ำพร้อมจะร้องไห้ นางทุกข์ใจมากจริง ๆ ช่วงนี้ ดีที่ท่านทั้งสองยังเมตตาให้นางเข้าพบ ชิวเพ่ยเพ่ยพอได้เห็นหน้าผู้อาวุ
ช่วงสายหลังอาหารเช้า เตียวเฟยหลิวไปที่เรือนบุตรสาว นางเห็นสีหน้าบุตรสาวดูไม่ดีเหมือนก่อน แถมยังดูซีดเซียวเหมือนผีดิบอีก เตียวเฟยหลิวรีบลากดึงบุตรสาวมานั่งคุยกันดี ๆ ทันที“เจ้าโตแล้วทำไมยังไม่รู้จักดูแลตัวเองอีก ห๊ะ! เจ้าอยากเห็นข้าอกแตกตายหรือยังไงกัน” เตียวเฟยหลิวตะคอกบุตรสาวที่เห็นนางไม่รักตัวเองแบบนี้ นางถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งการเสแสร้งตามปกติ ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นท่านแม่แสดงความรักกับนางอย่างจริงใจ นางก็สะอื้นไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้นอีกครั้ง นางกอดมารดาแน่นแล้วเอาแต่พูดจาซ้ำ ๆ ว่าข้าจะแต่ง ๆ อยู่อย่างนั้น ทำเอาเตียวเฟยหลิวน้ำตาไหลเป็นสายธารเช่นกัน สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้อยู่เป็นนาน กว่าจะหักห้ามใจคุยกันดี ๆ ได้เสียที เตียวเฟยหลิวยังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้บุตรสาวในอ้อมกอด พร้อมเอ่ยคำให้นางเข้าใจในทุกอย่างที่นางทำลงไปก่อนหน้านี้ด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยจึงได้รู้ว่ามารดารักนางมากขนาดไหน ทำเอานางน้ำตาร่วงจนหยุดไม่ไหวอีกแล้ว“เอาล่ะ ๆ เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว อีกสองวันจะถึงวันแต่งงานของเจ้า หากเจ้าตาบวมเหมือนปลาทองแล้วจะเป็นเจ้าสาวสุดสวยจนมัดใจสามีได้อย่าง
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ