เมื่อเหล่าผู้ยิ่งใหญ่อิ่มหนำสำราญแล้ว ฮ่องเต้และฮองเฮาออกจากงานเลี้ยงเพื่อปล่อยให้บรรดาขุนทางทั้งหลายสร้างความสัมพันธ์กันเหมือนกับทุกครั้ง
คนจากจวนแม่ทัพรีบปรี่มาที่โต๊ะของชิวกัง ด้วยกลัวว่าพวกขุนนางที่ไม่กลัวตายจะแย่งชิงสะใภ้คนดีของพวกเขาเสียก่อน พวกเขามีหรือจะไม่เห็นสายตาหมาป่าที่อยากได้เหยื่อตัวน้อยแบบชิวเพ่ยเพ่ย หึ พวกมันกำลังฝัน!
ที่โต๊ะชิวกัง ชิวกับ เตียวเฟยหลิว แม่ทัพใหญ่และฮูหยินนั่งอยู่ร่วมกันแล้ว พวกเขาไล่เด็กสองคนไปเดินเล่นที่สวนด้านข้างก่อนกลับบ้านอย่างรู้กัน
ชิวเพ่ยเพ่ยผู้แสนเชื่อฟัง ลุกจากที่นั่งเดินตามเฟยหยุนต้อย ๆ ส่วนสองคู่รักวัยใกล้กลางคนเห็นลูก ๆ ออกไปไกลแล้วจึงรีบหันหน้ามาคุยกันอย่างจริงจัง
ฮูหยินจวนแม่ทัพคุยกับเตียวเฟยหลิวเรื่องวันแต่งงาน นางกลัวสะใภ้คนดีจะถูกพวกขุนนางเหล่านี้ตลบหลัง หรือไม่ก็วางแผนชั่วตามตำราหนังหมาที่สอนสั่งกันมาในหลังบ้านตระกูลใหญ่ทั้งหลายน่ะสิ
ชิวกังรู้เรื่องนี้ดีไม่น้อย เขาเองก็ไม่ชอบขุนนางพวกนั้นที่มีสามภรรยาสี่อนุแล้วยังเที่ยวคุยโวโอ้อวดไปทั่ว ทั้งที่หลังบ้านมีแต่ความวุ่นวายไม่เว้นแต่ละวัน ดีที่เขารู้ว่าจวนแม่ทัพไม่ยอมให้มีอนุมาตั้งแต่รุ่นก่อนแล้ว เขาจึงวางใจว่าที่ลูกเขยหน้าตาดีคนนี้
ในระหว่างที่คนทั้งสี่หน้าดำคร่ำเครียดปรึกษาหารือเรื่องงานแต่งงานแบบสายฟ้าแลบ ชิวเพ่ยเพ่ยที่เดินตามเฟยหยุนต้อย ๆ ก็ไปหยุดอยู่ริมสระน้ำที่เขาพามายืนรับลมเย็น ๆ พร้อมชมจันทร์ที่ส่องสว่างสะท้อนผิวน้ำดวงใหญ่ เฟยหยุนรีบเอ่ยคำก่อนเขาจะต้องรีบพานางกลับโต๊ะตามมารยาท
“เพ่ยเพ่ย ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้าถูกท่านป้าลงโทษ เจ้าอย่าโกรธข้าเลยนะ ข้า.. ข้าแค่กลัวว่าเจ้าจะสนใจคนอื่นมากกว่าข้า หลังจากเจ้าได้รับคำชมจากคนในงานมากมาย” เฟยหยุนตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จเพื่อขอความเห็นใจ
ชิวเพ่ยเพ่ยมองคนหล่อตรงหน้าที่เล่นบทโศกใส่นางอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ยก็หน้าเหวอ นางหายโกรธเขานานแล้วนะ นี่เขาใช้ตาไหนมองว่านางยังโกรธเขาอยู่น่ะ พอเห็นเขายังไม่เลิกเล่น นางจึงได้แต่พูดออกมาอย่างเกียจคร้านหลังอิ่มหนำสำราญจากอาหารเต็มโต๊ะเมื่อครู่
“ข้าไม่ได้โกรธเจ้าเสียหน่อย เจ้าคิดมากไปเอง อีกอย่างนะ พวกเขาชมข้าที่เล่นฉินต่างหากเล่า เจ้ายังจะกังวลสิ่งใดอีก”
“ฮึ่ย เจ้าไม่เห็นสายตาพวกลูกหมาบุตรชายขุนนางเหล่านั้นเหรอ ขนาดรู้ว่าเจ้าเป็นคู่หมั้นข้า ยังกล้ามองเจ้าอย่างไม่วางตาเลย” เฟยหยุนอยากควักลูกตาพวกมันออกมาเหยียบเล่นเสียจริง ๆ
ชิวเพ่ยเพ่ยที่ไม่เข้าใจว่าคู่หมั้นนางเป็นอันใด อยู่ดี ๆ ก็โมโหขึ้นมาเสียเฉย ๆ นางได้แต่มองเขาตาใส พร้อมเอ่ยถามอย่างตรงไปตรงมา
“ท่านโกรธอะไร ข้าไม่เห็นจะเข้าใจ พวกเขาอยากมองก็มองไปสิ ถึงอย่างไรข้าก็เป็นคู่หมั้นของท่าน ไม่เห็นเกี่ยวอะไรกับพวกเขาเสียหน่อย”
“เฮ้อ เพ่ยเพ่ย เจ้าไม่รู้หรือว่าข้าหึงข้าหวงเจ้ามากแค่ไหน ไม่ว่าผู้ชายคนไหน ข้าก็ไม่อยากให้มองเจ้าแม้แต่คนเดียว ข้าหวง” เฟยหยุนกัดฟันบอกนางตรง ๆ ในเมื่อนางไม่เข้าใจ เขาก็พร้อมอธิบายให้นางฟัง
“อ้าว แล้วถ้าพ่อข้า ปู่ข้า ตาข้ามองข้าเล่า เจ้ายังจะหึงจะหวงอยู่หรือ?”
เฟยหยุนมองดวงตาใสแจ๋วของชิวเพ่ยเพ่ยก็ไม่รู้จะตอบกลับอย่างไร นั่นมันเหมือนกันที่ไหนกันเล่า เฮ้อ เฟยหยุนคิดหาคำอธิบายอีกรอบแต่ยังคิดไม่ออกเสียที พอดีกับมีลูกชายเสนาบดีเดินมาทำเป็นทักทายพวกเขาเสียอย่างนั้น
“คำนับท่านแม่ทัพเฟย สวัสดีคุณหนูชิว” คำหลังชายหนุ่มคนนั้นพูดกับชิวเพ่ยเพ่ยเสียงอ่อนเสียงหวานจนนางขนลุก บรื๋อออ ผู้ชายอะไรเสียงตอแหล๊ตอแหล สู้คู่หมั้นนางก็ไม่ได้
ชิวเพ่ยเพ่ยไม่ได้ตอบรับกลับไป นางเพียงพยักหน้าให้แล้วกระดึ๊บ กระดึ๊บเข้าไปใกล้กับเฟยหยุนแทนอย่างรู้งาน อ่า แน่นอนอยู่แล้วว่าเพ่ยเพ่ยคนนี้เชื่อฟังคำสั่งสอนของท่านแม่มากที่สุดยังไงเล่า ถ้ามีคนมาทำตัวกะลิ้มกะเหลี่ยนางต่อหน้าคู่หมั้น นางต้องแสดงออกให้เขาเห็นว่านางไม่รู้เรื่องเลยหนา และไม่เต็มใจที่จะสนใจคนอื่นนอกจากเขา
เฟยหยุนเห็นคู่หมั้นขยับกายเข้ามาใกล้ก็ยิ้มอย่างได้ใจ เขาตอบกลับลูกชายเสนาบดีอย่างขอไปที พร้อมกับขอตัวพาคู่หมั้นกลับไปที่โต๊ะ โดยไม่รอฟังคำพูดของคนที่เข้ามาทัก เฟยหยุนจับชายแขนเสื้อคู่หมั้นแล้วเดินลิ่ว ๆ กลับเข้าไปในโถงจัดงานทันที ลูกชายเสนาบดีได้แต่ยืนมองอย่างพูดไม่ออก ท่านพ่อนะท่านพ่อ ไม่น่าส่งเขามาเป็นเป้าให้เจ้าแม่ทัพนี่ฉีกหน้าเลย ให้ตายสิ
เฟยหยุนกับชิวเพ่ยเพ่ยมาถึงโต๊ะ เหล่าพ่อแม่ของทั้งคู่ก็บรรลุข้อตกลงร่วมกันแล้ว พวกเขาจะรีบหาฤกษ์ดีในวันพรุ่งนี้ทันที โดยใช้วันที่เร็วที่สุดจัดงานแต่งงานให้ลูกทั้งสอง เพื่อป้องกันค่ำคืนอันยาวนานและฝันที่ยุ่งเหยิง เตียวเฟยหลิวยังตั้งใจจะคุยกับลูกสาวผู้ไม่ประสาของนางหลังจากได้ฤกษ์แล้วด้วย ไม่อย่างนั้นนังหนูสองบุคลิกของนางต้องอาละวาดจนจวนพังพินาศแน่ เห็นติ๋ม ๆ หงิ๋ม ๆ แบบนี้ บทจะร้ายก็ใช่ย่อยนะลูกสาวนาง เฮ้อ ไม่รู้นิสัยเหมือนใคร ( เตียวหย่งไจ้ : เหมือนเจ้านั่นแหละ ((* ̄(エ) ̄)ノ) สองครอบครัวเดินออกจากงานเลี้ยงพร้อมกัน ครอบครัวแม่ทัพใหญ่เดินไปส่งครอบครัวว่าที่ลูกสะใภ้จนถึงรถม้า ด้วยกลัวว่าจะมีลูกชายขุนนางที่ไม่รู้ดีชั่วมาสร้างปัญหาให้ชิวเพ่ยเพ่ยของพวกเขา เมื่อถึงรถม้าสองคันของตระกูลชิว เฟยหยุนเดินไปส่งคู่หมั้นแล้วให้นางจับมือขึ้นไปบนรถม้าอย่างสุภาพ ชิวกังเห็นว่าที่ลูกเขยดูแลบุตรสาวเขาได้ดีก็พยักหน้าอย่างพอใจ จากนั้นพวกเขาเอ่ยลาท่านแม่ทัพใหญ่กับฮูหยินที่ยืนรอส่งก่อนจะพากันขึ้นรถม้าแล้วออกจากหน้าพระราชวังไป สามพ่อแม่ลูกจวนแม่ทัพนำรถม้ามาคันเดียว ภายใน
วันต่อมาหลังกลับจากวัดนอกเมืองหลวง เตียวเฟยหลิวไปพบบุตรสาวที่เรือนของนางก่อนมื้ออาหารเย็นในทันใด นางต้องรีบให้บุตรสาวเตรียมตัวแต่งงานเสียก่อน เพราะฤกษ์ที่ได้มาคืออีกเจ็ดวันข้างหน้านี้แล้ว ยังดีที่นางรีบส่งพิราบสื่อสารไปบอกท่านพ่อกับท่านแม่ก่อน ดังนั้นเรื่องการเตรียมสินเดิมกับงานแต่งงาน นางจะปล่อยให้ตำหนักเมฆาดับเป็นคนจัดการ เรื่องอะไรนางจะต้องเหนื่อยจนหมดสวยเสียเล่า นางไม่อยากให้สามีเห็นสภาพแบบนั้นของนางหรอกหนา ชิวเพ่ยเพ่ยที่กำลังตรวจสอบบัญชีร้านรวงต่าง ๆ ทั้งห้าแคว้นตามปกติ นางยังมีงานอีกมากที่ต้องจัดการหลังเข้ารับตำแหน่งเจ้าตำหนัก แต่จู่ ๆ ท่านแม่ก็มาหานางอีกแล้ว นี่นางยังไม่ว่างเลยนะ ท่านแม๊!!!“ท่านแม่มีเรื่องด่วนอะไรหรือเปล่าเจ้าคะ ข้ากำลังยุ่งกับเรื่องของตำหนักเมฆาดับอยู่” ชิวเพ่ยเพ่ยรีบเข้าไปรับหน้ามารดาหน้าสวยของนาง ก่อนที่จะถูกบุกเข้าไปในห้องทำงาน“อ้าว ถ้าข้าไม่มีเรื่องด่วน ข้ามาหาเจ้าไม่ได้หรือยังไง ชิชะ เดี๋ยวนี้เจ้าชักจะปีกกล้าขาแข็งมากเกินไปแล้วนะเพ่ยเพ่ย ระวังข้าจะแอบมาเฆี่ยนตีเจ้ายามหลับเล่า หึ” เตียวเฟยหลิวยังไม่วายขู่ลูกสาว“เฮ้อ ท่านแม่มีอะไรก็บ
ชิวเพ่ยเพ่ยรอคอยจดหมายตอบกลับจากท่านตา ท่านยายอย่างกระวนกระวายมาตลอดสามวัน กระทั่งจะเข้าวันใหม่ในวันที่สี่ นางยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพิราบสื่อสารที่นางส่งไป ฮือ ท่านตาท่านยายก็ไม่รักนางอีกหรือนี่ ชิวเพ่ยเพ่ยได้แต่นั่งนึกจนหัวแทบระเบิดว่าท่านแม่ไปพูดอะไรจนทำให้ทุกคนในบ้านไม่แม้แต่จะมองหน้านางแบบนี้ สามวันที่ผ่านมา นางไม่กล้าไปร่วมโต๊ะกินข้าวกับพวกเขาเลย นางเพียงสั่งให้เตียวเตียวไปยกถาดอาหารมาให้นางที่เรือน โดยอ้างว่าทำงานอยู่ แต่การกินข้าวคนเดียวหรือจะสู้ได้นั่งกินกับคนที่รักและเอ็นดูนางมาตั้งแต่จำความได้กันเล่า ชิวเพ่ยเพ่ยอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป นางรีบสอบถามองครักษ์เงาว่านกพิราบของนางหายไปไหน ทางด้านองครักษ์ผู้ภักดีที่ถูกเตียวเฟยหลิวข่มขู่ไว้มีหรือจะกล้าปริปาก พวกเขายังอยากทำหน้าที่ต่ออยู่นะ ฮือ ชิวเพ่ยเพ่ยที่ถามไม่ได้ความอะไรจากปากคนของตนก็ยิ่งสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นางรีบออกจากเรือนไปขอเข้าพบท่านปู่ ท่านย่าพร้อมแววตาที่แดงก่ำพร้อมจะร้องไห้ นางทุกข์ใจมากจริง ๆ ช่วงนี้ ดีที่ท่านทั้งสองยังเมตตาให้นางเข้าพบ ชิวเพ่ยเพ่ยพอได้เห็นหน้าผู้อาวุ
ช่วงสายหลังอาหารเช้า เตียวเฟยหลิวไปที่เรือนบุตรสาว นางเห็นสีหน้าบุตรสาวดูไม่ดีเหมือนก่อน แถมยังดูซีดเซียวเหมือนผีดิบอีก เตียวเฟยหลิวรีบลากดึงบุตรสาวมานั่งคุยกันดี ๆ ทันที“เจ้าโตแล้วทำไมยังไม่รู้จักดูแลตัวเองอีก ห๊ะ! เจ้าอยากเห็นข้าอกแตกตายหรือยังไงกัน” เตียวเฟยหลิวตะคอกบุตรสาวที่เห็นนางไม่รักตัวเองแบบนี้ นางถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งการเสแสร้งตามปกติ ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นท่านแม่แสดงความรักกับนางอย่างจริงใจ นางก็สะอื้นไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้นอีกครั้ง นางกอดมารดาแน่นแล้วเอาแต่พูดจาซ้ำ ๆ ว่าข้าจะแต่ง ๆ อยู่อย่างนั้น ทำเอาเตียวเฟยหลิวน้ำตาไหลเป็นสายธารเช่นกัน สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้อยู่เป็นนาน กว่าจะหักห้ามใจคุยกันดี ๆ ได้เสียที เตียวเฟยหลิวยังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้บุตรสาวในอ้อมกอด พร้อมเอ่ยคำให้นางเข้าใจในทุกอย่างที่นางทำลงไปก่อนหน้านี้ด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยจึงได้รู้ว่ามารดารักนางมากขนาดไหน ทำเอานางน้ำตาร่วงจนหยุดไม่ไหวอีกแล้ว“เอาล่ะ ๆ เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว อีกสองวันจะถึงวันแต่งงานของเจ้า หากเจ้าตาบวมเหมือนปลาทองแล้วจะเป็นเจ้าสาวสุดสวยจนมัดใจสามีได้อย่าง
ก่อนไก่ขันเช้าวันแต่งงาน ชิวเพ่ยเพ่ยถูกคนของท่านแม่ลากไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า ทำผมเสียจนนางแทบหมดแรง ตอนนี้เช้าแล้วแต่ไม่มีใครเอาอาหารมาให้นางกินเลย นางหิว!!! ขณะที่นางกำลังจะใช้ให้เตียวเตียวไปนำสำรับมาให้นั้นนน ท่านย่า ท่านยายกับท่านแม่ก็มาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงจนนางสะดุ้งโหยง นางรีบเข้าไปออดอ้อนท่านย่ากับท่านยายเพื่อขอของกินแก้หิว แต่ท่านแม่นางกลับทำตาขวางใส่เสียอย่างนั้น ชิวเพ่ยเพ่ยแกล้งบีบน้ำตาจนท่านย่าทนไม่ไหว โบกมือไล่คนให้รีบไปนำของว่างมาให้นางประทังความหิวเสียก่อน ชิวเพ่ยเพ่ยเมื่อได้สิ่งที่ต้องการก็กลับกลายมาเป็นคุณหนูผู้ดีอีกครั้ง ดั่งเมื่อกี้ไม่มีใครทำกิริยาไม่งามเลยแม้แต่นิดเดียว เตียวเฟยหลิวได้แต่เบ้ปากใส่บุตรสาวเจ้าบทบาทที่แสดงละครได้ดียิ่งกว่านางเสียอีก ชิวเพ่ยเพ่ยเตรียมตัวรอเจ้าบ่าวมารับจนเหงือกแห้ง นางไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรีบแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าถึงขนาดนี้ ทั้งที่ฤกษ์รับเจ้าสาวก็แสนจะสายจนตะวันแยงก้น บ่นไปบ่นมาอยู่นานจนกระทั่งแม่นมของท่านแม่มาเอาผ้าคลุมหน้านางแล้วประคองออกจากห้องนอนนั่นแหละ ชิวเพ่ยเพ่ยจึงกลับสู่สภาพค
ชิวเพ่ยเพ่ยที่รอเจ้าบ่าวนานจนหิวอีกแล้ว นางเห็นว่าในห้องไม่มีใคร จึงย่องลงจากเตียงไปที่โต๊ะอาหารด้านนอก หลังดูลาดเลาดีแล้ว นางรีบยกผ้าปิดหน้าแล้วสวาปามอาหารบนโต๊ะเสียจนอิ่มแปร้ เตียวเตียวไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นบ่าวติดตามสินเดิมนางมา เพราะชิวเพ่ยเพ่ยไม่เคยให้นางทำสัญญาทาสใด ๆ เตียวเตียวจึงยังทำหน้าที่บ่าวรับใช้ในจวนตระกูลชิวดังเดิม แต่ท่านยายของนางส่งคนจากตำหนักเมฆาดับมาให้นางสี่คนไว้ใช้งาน ท่านบอกว่าพวกเขาไว้ใจได้ นางจึงจะลองใช้พวกเขาดูก็แล้วกัน หลังหนังท้องตึงหนังตานางก็หย่อน ด้วยเพราะตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันนั่นเอง ชิวเพ่ยเพ่ยเดินกลับไปนอนแผ่บนเตียงอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ใด ๆ ในเมื่อเขาแต่งนางเข้าบ้านแล้ว เขาต้องรับทุกอย่างที่นางเป็นได้สิ ใช่ไหม? ฟากฝั่งเจ้าบ่าวที่เดินจนปวดเมื่อย เขาอยากรีบเข้าห้องหอไปทำหน้าที่สามีใจจะขาด แต่บรรดาญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมปล่อยเขาไปเสียที โดยเฉพาะท่านพ่อตากับท่านตาของนาง พวกเขาต่างใช้เหตุผลร้อยแปดพันประการรั้งเขาเอาไว้ เขาที่กลัวท่านตานางมากกว่าพ่อตาจึงได้แต่ยอมรับสภาพไปด้วยประการฉะนี้ เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามเย็น
เช้าตรู่หลังวันแต่งงาน ชิวเพ่ยเพ่ยผู้แข็งแกร่งตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวรอไปคารวะน้ำชาตามธรรมเนียม ส่วนเฟยหยุนที่ถูกภรรยารักลองวิชาในตำราปกขาวจนหน้าตาซีดเซียวไปเพราะหมดเรี่ยวแรงจากการเคี่ยวกรำของภรรยาคนดี ไอ้ว่ามีความสุขมันก็มีอยู่หรอกหนา แต่ภรรยาจ๋าน่าจะเบามือกับสามีสักนิ๊ดนึง นางทำเอาเขาเขียวช้ำไปทั้งตัวจากความอยากรู้อยากลองของนาง เขาไม่รู้ว่าท่านแม่ยายให้ตำราอะไรนางมา แต่ทั้งคืนภรรยาของเขาวิเคราะห์บทเรียนในตำราพร้อมทดลองและพูดเจื้อยแจ้วให้เขาฟังจนอายแทน เฟยหยุนลากร่างที่อ่อนล้าไปอาบน้ำแบบลวก ๆ เขารีบแต่งตัวแล้วเดินไปพร้อมกับชิวเพ่ยเพ่ย ภรรยาคนดียังประคองสามีผู้น่าสงสารไปพบผู้อาวุโสของบ้าน แม่ทัพใหญ่และฮูหยินเห็นสภาพบุตรชายที่ถูกสะใภ้ตัวน้อยประคองมาพร้อมหน้าตาซีดเซียวก็ได้แต่สงสัยในใจ นี่พวกเขาเข้าหอประสาอะไร ทำไมบทบาทมันสลับกันแปลก ๆ หนอ เฮ้อ สงสัยเขาต้องติวเข้มเจ้าลูกชายเสียหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นกว่าจะได้อุ้มหลานคงอีกนานเป็นแน่แท้ ทั้งสองคนรับน้ำชาจากลูกสะใภ้พร้อมอวยพรให้พวกเขาอยู่เย็นเป็นสุขและรีบมีหลานให้พวกเขาเร็ว ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยพอฟังคำขอของพ่อและแม่
หนึ่งเดือนหลังชิวเพ่ยเพ่ยเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านแม่ทัพใหญ่ พ่อและแม่สามีแสนจะรักใคร่นางมากกว่าบุตรชายของพวกเขาแล้ว เพราะหลังจากนางได้พ่อครัวแม่ครัวมือดีที่คนของท่านยายหามาให้ คนในครอบครัวเหมือนได้กินอาหารในวังทุกวันก็ว่าได้ ไหนจะเรื่องร้านค้าที่มีปัญหาของแม่สามี ชิวเพ่ยเพ่ยยังให้คนไปจัดการเสียจนได้กำไรมากมาย แม่ทัพใหญ่และฮูหยินไม่เคยห้ามปรามชิวเพ่ยเพ่ย เมื่อใดที่นางต้องการกลับบ้านเดิม พวกเขารู้ว่านางเป็นบุตรสาวคนเดียวก็คงต้องกลับไปดูแลผู้อาวุโสบ้าง นางมักจะไปค้างสัปดาห์ละครั้ง บุตรชายก็จะไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน พวกเขาสองคนจึงไม่ห่วงอันใดมากมายนัก อีกอย่างที่จวนแม่ทัพไม่มีผู้อาวุโสเหลืออยู่แล้วด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยก็ชอบใจกับความใจกว้างของพ่อแม่สามี ที่พวกเขาปล่อยให้นางทำสิ่งใดก็ได้ตามใจ ไม่เหมือนบ้านขุนนางคนอื่นที่คอยแต่จะจิกใช้สะใภ้จนคล้ายกับบ่าวไปเสียนั่น นางที่รู้ปัญหาของจวนแม่ทัพเรื่องเลี้ยงดูคนอยู่มากมาย จึงคอยให้คำปรึกษาพวกเขาไปด้วย ทำให้ตอนนี้คนของพวกเขา นอกจากฝึกฝนเพื่อสู้ศึกแล้ว ในเวลาว่างยังช่วยกันดูแลร้านค้าให้นายท่านของพวกเขาด้วย ฮูหยินเฟยเห็นว่าวิธ
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ