เช้าตรู่หลังวันแต่งงาน ชิวเพ่ยเพ่ยผู้แข็งแกร่งตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวรอไปคารวะน้ำชาตามธรรมเนียม ส่วนเฟยหยุนที่ถูกภรรยารักลองวิชาในตำราปกขาวจนหน้าตาซีดเซียวไปเพราะหมดเรี่ยวแรงจากการเคี่ยวกรำของภรรยาคนดี ไอ้ว่ามีความสุขมันก็มีอยู่หรอกหนา แต่ภรรยาจ๋าน่าจะเบามือกับสามีสักนิ๊ดนึง นางทำเอาเขาเขียวช้ำไปทั้งตัวจากความอยากรู้อยากลองของนาง เขาไม่รู้ว่าท่านแม่ยายให้ตำราอะไรนางมา แต่ทั้งคืนภรรยาของเขาวิเคราะห์บทเรียนในตำราพร้อมทดลองและพูดเจื้อยแจ้วให้เขาฟังจนอายแทน
เฟยหยุนลากร่างที่อ่อนล้าไปอาบน้ำแบบลวก ๆ เขารีบแต่งตัวแล้วเดินไปพร้อมกับชิวเพ่ยเพ่ย ภรรยาคนดียังประคองสามีผู้น่าสงสารไปพบผู้อาวุโสของบ้าน
แม่ทัพใหญ่และฮูหยินเห็นสภาพบุตรชายที่ถูกสะใภ้ตัวน้อยประคองมาพร้อมหน้าตาซีดเซียวก็ได้แต่สงสัยในใจ นี่พวกเขาเข้าหอประสาอะไร ทำไมบทบาทมันสลับกันแปลก ๆ หนอ เฮ้อ สงสัยเขาต้องติวเข้มเจ้าลูกชายเสียหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นกว่าจะได้อุ้มหลานคงอีกนานเป็นแน่แท้
ทั้งสองคนรับน้ำชาจากลูกสะใภ้พร้อมอวยพรให้พวกเขาอยู่เย็นเป็นสุขและรีบมีหลานให้พวกเขาเร็ว ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยพอฟังคำขอของพ่อและแม่สามีได้แต่พยักหน้าเบา ๆ รับคำตามมารยาท แต่ในใจน่ะหรือ… นางยังไม่อยากท้องโย้! เฮ้อ พอนึกถึงท่านแม่คนงามที่สอนสั่งมา ชิวเพ่ยเพ่ยได้แต่อนาถใจ นางต้องเชื่อฟังพ่อแม่สามีเหมือนดั่งพ่อแม่ตัวเอง ท่องไว้ ๆ
หลังเสร็จธรรมเนียมแล้ว ทุกคนจึงไปนั่งทานอาหารเช้าร่วมกัน ชิวเพ่ยเพ่ยมองอาหารบนโต๊ะที่ต่างจากเมื่อคืนตรงหน้าราวฟ้ากับเหว นี่ท่านแม่สามีจ้างใครมาเนี่ย ทำไมหน้าตามันดูไม่อร่อยเหมือนขนมที่ท่านแม่สามีเคยให้มาหนอ ถึงในใจจะไม่อยากเขมือบแต่นางยังคงลองกินเข้าไปเสียหนึ่งชิ้น พออาหารเข้าปากนางแทบจะคายออกมาในทันใด ชิวเพ่ยเพ่ยมองปฏิกิริยาของคนร่วมโต๊ะก็เห็นว่าพวกเขากินกันปกติ นางได้แต่คิดในใจว่า พวกเขาไม่มีต่อมรับรสกันหรืออย่างไร ทั้งที่อาหารเมื่อกี้เค็มอย่างกับอะไรดี เฮ้อ แบบนี้นางจะไม่ผอมเป็นไม้เสียบผีหรือ
หลังการทานอาหารเช้าอย่างทรมานของชิวเพ่ยเพ่ย นางรีบลากสามีกลับห้องเพื่อสอบถามความสงสัยในทันใด ปรากฎว่า แม่ครัวคนเก่าอายุมากแล้วจนต้องให้ลูกสาวนางมาทดลองทำแทน แต่ฝีมือก็อย่างที่นางลองชิมนั่นแหละ พวกเขาเกรงใจแม่ครัวเก่าที่อุตส่าห์มาช่วยทำอาหารงานแต่งให้เมื่อวานจึงขอให้ลูกสาวนางทดลองงานก่อนแล้วจะตัดสินใจว่าจะจ้างหรือไม่ ชิวเพ่ยเพ่ยพอรู้เหตุผลแล้วจึงรีบเรียกบ่าวที่ท่านยายจัดมาให้ มีคนวัยท่านยายสองคน วัยท่านแม่สองคน นี่ท่านยายนางจ้างคนมาคุมนางใช่หรือไม่? ทำไมแต่ละคนดูไม่เหมือนจะรับใช้นางเลยเล่า ฮือ ท่านยายนะท่านยาย
ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งพวกนางไปหาพ่อครัวแม่ครัวฝีมือดีมาไว้ในจวนทันที และมื้อถัดไปต้องทำอาหารให้นางกับครอบครัวด้วย นางส่งตั๋วแลกเงินหนึ่งหมื่นตำลึงให้ท่านยาย ท่านป้าทั้งสี่คนบริหารเงินเอาเอง ถ้าเงินหมดค่อยมาขอนางใหม่ แต่ถ้าเงินที่นางให้ไป ยังทำให้นางและครอบครัวสามีเจริญอาหารและสุขภาพดีขึ้นไม่ได้ นางจะส่งพวกนางกลับไปหาท่านยายให้หมด หึ นางใช้เงินทำงานนะจะบอกให้
เฟยหยุนมองภรรยาตาปริบ ๆ เขาเห็นนางใช้เงินหนึ่งหมื่นตำลึงอย่างไม่กระพริบตา เอ่อ ภรรยาจ๋า ข้าไม่มีเงินเยอะนักหรอกหนา เบามือบ้างได้ไหมนี่ ข้าผู้เป็นสามี ใจคอไม่ดีเลย
ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งงานเสร็จนางก็ให้ทุกคนออกไป นางเห็นสายตาสามีเข้าจึงได้ถามเขาว่าเป็นอะไร เขากลับอ้อมแอ้มตอบนางอย่างขวยเขินว่าเงินเดือนเขาไม่มากนักหรอกหนา กลัวว่าจะไม่สามารถหาเงินให้ภรรยาได้มากนัก แต่เขาจะส่งเงินเดือนทั้งหมด 50 ตำลึง ให้นางทุกเดือน
ชิวเพ่ยเพ่ยพอรู้ว่าสามีได้เงินเดือนเพียง 50 ตำลึง นางเบิกตาโตด้วยความตกใจ ทำไมเขาได้เงินน้อยแบบนี้ แต่งานกลับเสี่ยงเป็นเสี่ยงตายเสียแทบทุกครั้ง ชิวเพ่ยเพ่ยหน้านิ่วคิ้วขมวดด้วยคิดว่าจะให้สามีลาออกดีหรือไม่ แล้วให้เขามาช่วยนางบริหารร้านค้าน่าจะรวยกว่าไหม?
หนึ่งเดือนหลังชิวเพ่ยเพ่ยเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านแม่ทัพใหญ่ พ่อและแม่สามีแสนจะรักใคร่นางมากกว่าบุตรชายของพวกเขาแล้ว เพราะหลังจากนางได้พ่อครัวแม่ครัวมือดีที่คนของท่านยายหามาให้ คนในครอบครัวเหมือนได้กินอาหารในวังทุกวันก็ว่าได้ ไหนจะเรื่องร้านค้าที่มีปัญหาของแม่สามี ชิวเพ่ยเพ่ยยังให้คนไปจัดการเสียจนได้กำไรมากมาย แม่ทัพใหญ่และฮูหยินไม่เคยห้ามปรามชิวเพ่ยเพ่ย เมื่อใดที่นางต้องการกลับบ้านเดิม พวกเขารู้ว่านางเป็นบุตรสาวคนเดียวก็คงต้องกลับไปดูแลผู้อาวุโสบ้าง นางมักจะไปค้างสัปดาห์ละครั้ง บุตรชายก็จะไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน พวกเขาสองคนจึงไม่ห่วงอันใดมากมายนัก อีกอย่างที่จวนแม่ทัพไม่มีผู้อาวุโสเหลืออยู่แล้วด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยก็ชอบใจกับความใจกว้างของพ่อแม่สามี ที่พวกเขาปล่อยให้นางทำสิ่งใดก็ได้ตามใจ ไม่เหมือนบ้านขุนนางคนอื่นที่คอยแต่จะจิกใช้สะใภ้จนคล้ายกับบ่าวไปเสียนั่น นางที่รู้ปัญหาของจวนแม่ทัพเรื่องเลี้ยงดูคนอยู่มากมาย จึงคอยให้คำปรึกษาพวกเขาไปด้วย ทำให้ตอนนี้คนของพวกเขา นอกจากฝึกฝนเพื่อสู้ศึกแล้ว ในเวลาว่างยังช่วยกันดูแลร้านค้าให้นายท่านของพวกเขาด้วย ฮูหยินเฟยเห็นว่าวิธ
สัปดาห์ต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยได้รับข่าวว่าที่ตำหนักมีปัญหาใหญ่เข้ามา พวกเขาไม่กล้าตัดสินใจจึงอยากให้นางไปช่วยดูให้สักหน่อย ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นสามียังไม่กลับมาเสียที นางจึงเขียนจดหมายวางเอาไว้ให้เขาที่โต๊ะน้ำชาหน้าเตียงนอน โดยนางคิดว่าเขาน่าจะเห็นได้อย่างชัดเจนหลังเข้าห้องเหมือนเช่นทุกวัน ชิวเพ่ยเพ่ยให้คนของท่านยายไปแจ้งท่านแม่สามีให้นางก่อนจะขี่ม้าออกจากจวนแม่ทัพไปอย่างรวดเร็ว นางคิดว่าจะรีบไปรีบมาจึงใช้ม้าแทนรถม้าในครานี้ ส่วนเสื้อผ้านางไม่จำเป็นต้องนำไปด้วย ที่นั่นมีเสื้อผ้าของนางมากมายที่ท่านยายผู้รักหลานสาวสั่งคนเตรียมเอาไว้ให้ สองวันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยไปถึงตำหนักเมฆาดับ นางจัดการงานไปหลายอย่างตั้งแต่ไปถึง ท่านตาท่านยายยังเป็นห่วงหลานสาวที่ต้องเหนื่อยยากในวัยเพียงเท่านี้ แต่ชิวเพ่ยเพ่ยผู้รักเงินทองเพียงบอกพวกท่านให้อย่ากังวล นางมียาสารพัดจะบำรุงและยังส่งขวดยาที่นางปรุงเองให้ท่านตาท่านยายบำรุงร่างกายเพิ่มเสียอีก สองเฒ่าชราได้แต่เชื่อฟังหลานสาวบังเกิดเกล้าตรงหน้าและเลิกรบกวนนาง เฟยหยุนที่กลับจวนแล้วไม่พบภรรยาออกมารอรับดังเช่นปกติ เขากลับเรือนไปดูเผื่อว
หนึ่งสัปดาห์หลังจากชิวเพ่ยเพ่ยไปเยี่ยมท่านตาท่านยาย เฟยหยุนที่เริ่มทำใจได้แล้วกับการไม่ได้นอนกอดภรรยา เขากลับมาทำงานอย่างคร่ำเคร่งดังเช่นเดิมแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยเพิ่งได้รับงานจากแคว้นหานเช่นกัน นางตั้งใจจะไปดูสาขานั้นพร้อมรับงานให้สมาชิกในสาขาดูเป็นขวัญตา นางไม่ได้แสดงบารมีมานานตั้งแต่แต่งงาน ครั้งนี้ไหน ๆ ได้ออกมาเที่ยวเล่น ชิวเพ่ยเพ่ยจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จากตำหนักเมฆาดับในแคว้นหนาน ชิวเพ่ยเพ่ยใช้เวลาเดินทาง 10 วัน กว่าจะไปถึงสาขาหนึ่งในแคว้นหาน ดีที่งานครั้งนี้เป็นการปราบโจรบนภูเขา ราชสำนักแคว้นหานเคยส่งคนมาปราบโจรเหล่านี้หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า ฮ่องเต้รู้สึกสงสัยว่าโจรอะไรทำไมจึงร้ายกาจได้ขนาดนี้ เขาจึงนำเงินส่วนพระองค์สั่งให้ขันทีคนสนิทไปว่าจ้างตำหนักเมฆาดับของสาขาแคว้นหาน จากนั้นข่าวของงานนี้ถูกส่งตามสาขาต่าง ๆ จนไปถึงสาขาใหญ่ที่แคว้นหนานนั่นแล ชิวเพ่ยเพ่ยให้คนหาข่าวทั้งหมดของกลุ่มโจรให้นางก่อนหน้าที่นางจะเดินทางไปถึงตำหนักเมฆาดับสาขาชายแดนแคว้นหาน นางยังคงปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนคนหน้าหล่อเช่นเคย ชิวเพ
กลางดึกคืนนั้น ชิวเพ่ยเพ่ยล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดดำพร้อมเสื้อคลุมเจ้าตำหนักสุดเท่ของนาง กลางลานบ้านหลังร้าน สมาชิกทั้ง 50 คนของตำหนักเมฆาดับสาขาชายแดนแคว้นหาน ยืนรออย่างเป็นระเบียบ พวกเขาทราบข่าวจากสาขาแคว้นเยี่ยว่าได้รับทรัพย์สินไม่น้อยจากที่เจ้าตำหนักไปจัดการงานคราก่อน ดังนั้นหัวหน้าสาขาจึงพาเหล่าลูกน้องรอรับทรัพย์เช่นเดียวกัน ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นคนทั้งหมดก็ได้แต่ถอนหายใจยาว นางไม่รู้ว่าจะได้อะไรติดมือมาบ้างน่ะสิ แต่ในเมื่อพวกเขาอยากไปวิ่งเล่น นางก็จะตามใจพวกเขาก็แล้วกัน ชิวเพ่ยเพ่ยส่งสัญญาณให้พวกเขาตามนางให้ทัน นางดูแผนที่บนภูเขาจนจดจำได้แล้ว และเรื่องค่ายคูประตูกลนางเก่งกาจไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า แค่ค่ายกลกระจอก ๆ ของค่ายโจรจะสามารถขวางทางนางได้อย่างไรกัน ด้วยคนจำนวนมากแถมยังฝีมือเปรียบไม่ได้กับองครักษ์เงาของนาง ชิวเพ่ยเพ่ยจึงเดินทางอย่างช้า ๆ ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะตามไม่ทัน ชิวเพ่ยเพ่ยทำลายกับดักหลายแห่งบนภูเขาไปตลอดทาง กระทั่งไปถึงหน้าค่ายโจรในเวลาหนึ่งชั่วยาม ที่นางช้าเพราะต้องรอพวกเขาหรอกหนา หากนางมาคนเดียว ป่านนี้ค่ายโจรคงถูกเผาวอดไป
ชิวเพ่ยเพ่ยใช้เวลาอีก 10 วันกว่าจะเดินทางกลับถึงตำหนักเมฆาดับแคว้นหาน นางรีบสะสางงานอย่างเร็วรี่แล้วปรี่ขึ้นหลังม้าภายในเวลาสามวัน นางออกจากบ้านสามีมาได้เดือนครึ่งแล้ว ป่านนี้สามีสุดหล่อจะไม่แอบหนีไปกระดี๊กระด๊ากับสาว ๆ อย่างที่ท่านแม่เคยบอกเอาไว้หรือไม่หนอ ไม่ใช่ว่านางไม่กังวล แต่นางมีงานล้นมือจริง ๆ นี่นา ชิวเพ่ยเพ่ยยังแวะซื้อของฝากมากมายจนเต็มหลังม้า อย่างน้อยจะได้อ้างว่ามัวแต่ดูแลงานให้ท่านตาท่านยายจึงได้กลับมาช้าขนาดนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยกลับถึงจวนแม่ทัพก่อนเวลาอาหารเย็นพอดี นางรีบส่งม้าให้บ่าวในเรือนเอาไปเก็บ พร้อมจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่จากการขี่ม้าเร็วมาก่อนหน้าให้ดูดีเสียหน่อย นางหอบห่อของฝากเต็มสองมือเข้าไปในเรือนใหญ่ แม่ทัพใหญ่กับฮูหยินได้ยินพ่อบ้านมารายงานว่าลูกสะใภ้กลับมาแล้ว พวกเขาจึงมานั่งรอที่ห้องโถงรับแขก ชิวเพ่ยเพ่ยอวดของฝากให้สองสามีภรรยาดูในทันใด ผู้ใหญ่สองคนเห็นลูกสะใภ้ออดอ้อนเข้าหน่อยก็ลืมเรื่องที่จะตักเตือนไปเสียหมด ใครเล่าจะหักใจต่อว่านางได้ลงคอ ไหน ๆ นางก็กลับมาแล้ว พวกเขาจึงปล่อยผ่านไปเสีย เฟยหยุนที่กลับมาช้าเนื่องจากงา
สองสัปดาห์ต่อมา คนของตำหนักเมฆาดับสาขาเมืองหลวงแคว้นหนานขอเข้าพบนางที่จวนแม่ทัพ ชิวเพ่ยเพ่ยยังแปลกใจว่าเหตุใดเขาจึงมาพบนางถึงที่นี่ แต่ด้วยหน้าที่เจ้าตำหนัก ชิวเพ่ยเพ่ยจึงออกไปพบเขาที่โถงรับแขกเรือนใหญ่ หัวหน้าสาขารีบคารวะเจ้าตำหนักอย่างนอบน้อม เขารายงานเรื่องด่วนที่ต้องมาหานางด้วยตัวเองทันที ด้วยข่าวที่เขาได้รับมาสด ๆ ร้อน ๆ ปรากฏว่ามีขุนนางกำลังจะก่อกบฏในอีกไม่กี่วันนี้ ซึ่งราชสำนักกำลังจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของฮองเฮานั่นเอง พวกเขาวางแผนจะให้คนในวังที่เป็นพวกเดียวกันวางยาในอาหารและเครื่องดื่มในวันนั้น แถมยังตั้งใจจะฆ่าท่านแม่ทัพใหญ่และครอบครัวด้วย เขาที่พอทราบข่าวจึงรีบวิ่งแจ้นมาแจ้งนางถึงที่นี่ด้วยกลัวว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเสียก่อน ชิวเพ่ยเพ่ยฟังรายงานจากลูกน้องพร้อมคิดตาม อืม คนพวกนี้มันไม่อยากมีชีวิตอยู่กันจริง ๆ หนอ ช่างหาเรื่องตายไม่เว้นแต่ละวัน ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งการให้เขาวางกำลังคนของตำหนักเมฆาดับทั่วเมืองหลวง หากคนไม่พอให้ส่งพิราบสื่อสารไปเรียกคนมาจากสาขาใหญ่ได้ ส่วนเรื่องอื่นนางจะบอกอีกครั้งหนึ่ง หัวหน้าสาขารับคำสั่งเจ้าตำหนักแล้วรีบขอตั
หลังจากผ่านเรื่องราวซาบซึ้งกันไปไม่นาน ชิวเพ่ยเพ่ยจึงสอบถามสามีอย่างจริงจังว่าจะให้นางช่วยเรื่องจัดการพวกกบฏหรือไม่ หากเป็นเรื่องยาพิษเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้น นางมียาแก้พิษสารพัดที่ทำเอาไว้มากมาย เฟยหยุนขอบคุณภรรยาพร้อมจูบนางไปมาจนน้ำลายเปียกหน้านางเต็มไปหมด พอเห็นเขาเล่นไม่หยุดนางจึงกำหมัดฟาดไปเสียหนึ่งตุ้บ ทำเอาเขาแทบพ่นเลือดออกจากปาก อ่า ภรรยาจ๋า เบามือหน่อยสิ เมื่อเห็นว่าสามีหยุดเล่นพิเรนทร์แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยบอกแผนการที่นางคิดเอาไว้ให้เขาฟังด้วย หากปล่อยให้พวกเขาจัดการเอง นางคิดว่าไม่น่าจะสำเร็จเหมือนคราวก่อนที่ถูกจับไปทรมานเสียหลายวันนั่นแล เฟยหยุนเห็นว่านางอยากช่วยจากใจจริง เขาจึงรับปากจะไปคุยกับองค์ชายสามให้เสียก่อน ครั้งนี้เขาไม่อยากให้องค์ชายสามไปรายงานฮ่องเต้แล้ว เพราะดูเหมือนว่าทุกครั้งที่รายงาน คนพวกนั้นมักจะทราบข่าวก่อนล่วงหน้าอยู่ตลอด ฮ่องเต้ที่คิดว่ากำจัดหนอนบ่อนไส้ได้แล้วจึงไม่ค่อยระมัดระวังตัวเอาเสียเลย ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นด้วยกับสามีในเรื่องนี้ นางรอให้เขาไปคุยกับสหายให้เสร็จเสียก่อนค่อยดำเนินการต่อก็แล้วกัน หลังพูดคุยเรื่
เฟยหยุนที่เห็นตัวละครทั้งหมดมาครบแล้ว เขาสั่งการองครักษ์เงาให้ส่งสัญญาณให้คนของเขาและภรรยาเข้ามาจัดการเหล่าคนชั่วให้หมด ส่วนจวนขุนนางทั้งหลายที่ก่อกบฏ มีทหารของตระกูลเฟยไปล้อมเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่มดสักตัวก็อย่าได้หวังว่าจะหนีไปได้ในวันนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยยังแอบสั่งการคนของนางให้ไปดูแลคนของสามีอีกทอดหนึ่ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ถูกเลี้ยงดูมาด้วยเงินทองของบ้านสามีนางนี่นะ นางก็ไม่อยากให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ อีกอย่างคนของนางแต่ละคนนั้น มีฝีมือมากกว่าพวกเขาไม่น้อย ไม่ถึงหนึ่งเค่อ มีกำลังคนมากกว่า 1,000 คนมาล้อมกองกำลังกลุ่มแรกอีกชั้นหนึ่ง เป็นองค์ชายสามที่ออกคำสั่งให้จับพวกกบฏที่กำลังเชิดหน้าชูคอข่มขู่เสด็จพ่อของเขาเสียที เขาฟังพวกมันจนขี้หูแทบกระเด็นออกมาแล้วเนี่ย ขุนนางที่ไม่มีวรยุทธรีบรวมกลุ่มกันไปอยู่อีกมุมหนึ่งทันที พวกเขากลัวว่าดาบกระบี่ไม่มีตา อาจตายได้ง่าย ๆ น่ะซี เหล่ากบฏเห็นคนมากมายล้อมพวกเขาอยู่ จึงคิดได้ว่าแผนการรั่วไหลแน่แล้ว ตอนนี้พวกเขาต้องหนีออกไปให้ได้ก่อน เรื่องหลังจากนี้ค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน ชิวเพ่ยเพ่ยที่รำคาญกับความท่
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ