กลางดึกคืนนั้น ชิวเพ่ยเพ่ยล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดดำพร้อมเสื้อคลุมเจ้าตำหนักสุดเท่ของนาง กลางลานบ้านหลังร้าน สมาชิกทั้ง 50 คนของตำหนักเมฆาดับสาขาชายแดนแคว้นหาน ยืนรออย่างเป็นระเบียบ พวกเขาทราบข่าวจากสาขาแคว้นเยี่ยว่าได้รับทรัพย์สินไม่น้อยจากที่เจ้าตำหนักไปจัดการงานคราก่อน ดังนั้นหัวหน้าสาขาจึงพาเหล่าลูกน้องรอรับทรัพย์เช่นเดียวกัน
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นคนทั้งหมดก็ได้แต่ถอนหายใจยาว นางไม่รู้ว่าจะได้อะไรติดมือมาบ้างน่ะสิ แต่ในเมื่อพวกเขาอยากไปวิ่งเล่น นางก็จะตามใจพวกเขาก็แล้วกัน
ชิวเพ่ยเพ่ยส่งสัญญาณให้พวกเขาตามนางให้ทัน นางดูแผนที่บนภูเขาจนจดจำได้แล้ว และเรื่องค่ายคูประตูกลนางเก่งกาจไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า แค่ค่ายกลกระจอก ๆ ของค่ายโจรจะสามารถขวางทางนางได้อย่างไรกัน
ด้วยคนจำนวนมากแถมยังฝีมือเปรียบไม่ได้กับองครักษ์เงาของนาง ชิวเพ่ยเพ่ยจึงเดินทางอย่างช้า ๆ ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะตามไม่ทัน ชิวเพ่ยเพ่ยทำลายกับดักหลายแห่งบนภูเขาไปตลอดทาง กระทั่งไปถึงหน้าค่ายโจรในเวลาหนึ่งชั่วยาม ที่นางช้าเพราะต้องรอพวกเขาหรอกหนา หากนางมาคนเดียว ป่านนี้ค่ายโจรคงถูกเผาวอดไปแล้ว
ชิวเพ่ยเพ่ยให้ทุกคนรอคำสั่งที่ด้านนอกค่ายริมชายป่า นางกับองครักษ์เงาไปวางยาพิษในค่ายไม่นานจะกลับมา ก็นะ การฆ่าคนก็เหมือนการละเล่นสำหรับนาง แถมยาพิษนางที่พัฒนามาล้วนแต่ร้ายแรงยิ่งนัก ในเมื่อลูกค้าต้องการทำลายค่าย นางก็จะไม่ให้ใครเหลือรอดไปส่งข่าวได้แม้แต่คนเดียว
องครักษ์เงาผู้รู้งาน กินยาแก้พิษรอเอาไว้ล่วงหน้า หลังชิวเพ่ยเพ่ยปล่อยปราณพิษไปได้เกือบสองเค่อ พวกเขาสามคนก็ตระเวนหาที่เก็บสมบัติเป็นอันดับแรก เหล่าโจรที่นอนตายอย่างไม่ทราบสาเหตุล้วนแต่ต้องไปถามในนรกว่าพวกเขาตายได้ยังไง ทั้งที่นอนหลับบนเตียงอยู่ดี ๆ ด้านอู๋ฉางไป๋หลงที่มารับวิญญาณได้แต่เบือนหน้าหนีไม่ตอบคำ พวกเขาจะตอบอย่างไรได้เล่า ในเมื่อแม่นางน้อยผู้นั้นเล่นปล่อยพิษไม่ให้รู้เนื้อรู้ตัวแบบนี้ พวกเขาแสนจะชินชาเวลามาเก็บวิญญาณที่แม่นางน้อยฆ่า แต่ละครั้งนางส่งวิญญาณมาให้พวกเขาเป็นกอบเป็นกำ และวิญญาณพวกนั้นล้วนแต่ก่อกรรมทำเข็ญกันมาไม่น้อย พวกเขาจึงเต็มใจทำงานนี้มาตลอด ใครเล่าจะไม่ชอบเก็บวิญญาณชั่วร้ายแล้วได้รับการเลื่อนขั้นเลื่อนเงินเดือนกัน
ชิวเพ่ยเพ่ยพบห้องลับที่มีค่ายกลง่อย ๆ วางอยู่ แถมมีคนเฝ้าประตูนอนตายอีกสองศพตรงหน้า นางอัดฝ่ามือพลังปราณจนประตูแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ ด้านในยังมีทรัพย์สินเงินทองกองอยู่มากกว่าครึ่งห้อง ชิวเพ่ยเพ่ยนับว่ามาไม่เสียเที่ยวแล้ว สงสัยพวกมันจะยังไม่ได้ส่งสมบัติเหล่านี้กลับเมืองหลวงกระมัง ไม่อย่างนั้นนางคงไม่ได้รับค่าเหนื่อยเพิ่มแบบนี้
ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งองครักษ์คนหนึ่งไปเรียกคนในสาขามาจัดการของในคลัง ส่วนกลิ่นพิษทั้งหมดนางดูดกลับเข้าร่างไปก่อนหน้าแล้ว หลังจากตรวจสอบว่าไม่เหลือใครที่มีลมหายใจอยู่ในค่ายโจร ก็นะ พิษดี ๆ ของนางจะปล่อยให้เสียเปล่าได้อย่างไรเล่า นี่เป็นพิษตัวล่าสุดของล่าสุดที่นางปรุงมาเลยหนา ร้ายกาจอย่าบอกใครเชียว แค่สัมผัสนิดเดียวเป็นต้องไปเฝ้าพญามัจจุราชแล้ว ฮิฮิ
ชิวเพ่ยเพ่ยพาองครักษ์อีกคนไปค้นหาหลักฐานที่เรือนหัวหน้าโจร เดาได้ไม่ยากว่าเป็นหลังไหน มันต้องเป็นหลังใหญ่ที่สุดอยู่แล้ว ชิมิ? ใช้เวลาเพียงหนึ่งเค่อ ชิวเพ่ยเพ่ยก็พบห้องลับใต้เตียง นางถีบเตียงที่มีศพหัวหน้าโจรขวางทางเข้าอยู่ออกไป จากนั้นเปิดกลไกข้างผนังแล้วเข้าไปก่อน องครักษ์ผู้รู้งานของนางจุดตะเกียงรอนานแล้ว เขาเดินตามหลังคุณหนูเข้าไปในห้องจนพบกับชั้นวางหนังสือมากมายรอบผนังห้องลับ ชิวเพ่ยเพ่ยสุ่มหยิบมาหนึ่งเล่ม นางเปิดดูก็เห็นรายงานการทำชั่วของพวกโจรที่มีวันเวลาบอกเอาไว้ชัดเจน นี่แสดงว่าคนเหล่านี้ทำชั่วมานับหลายสิบปีแล้ว ไม่อย่างนั้นคงไม่มีหนังสือมากมายจนแทบล้นห้องแบบนี้
ชิวเพ่ยเพ่ยส่งสัญญาณให้องครักษ์รวบรวมหลักฐานทั้งหมดลงหีบเพื่อรอส่งให้ลูกค้าที่เมืองหลวงในภายหลัง นางออกไปตามคนมาช่วยเขาอีกห้าคน ไหนจะต้องหาหีบเปล่ามาใส่หนังสือพวกนี้อีก เฮ้อ งานยิบย่อยพวกนี้น่าเบื่อเสียจริง ๆ
ชิวเพ่ยเพ่ยจัดการงานในค่ายโจรกว่าจะเสร็จสิ้นพร้อมขนย้ายก็เกือบรุ่งสาง ดีที่ขากลับทางลงเขาไม่ลำบากเท่าขาขึ้น พวกเขาใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วยามก็กลับถึงสาขา นางสั่งงานต่าง ๆ ให้หัวหน้าสาขาอีกครั้งก่อนเข้านอนเอาแรง นางยังต้องกลับไปแคว้นหานอีก ไม่รู้ป่านนี้สามีจะบ่นนางหรือไม่ ก็นางเล่นออกจากบ้านมาเกือบเดือนแล้วนะสิ เฮ้อ มีผัวเป็นตัวตนช่างแสนลำบาก
ชิวเพ่ยเพ่ยใช้เวลาอีก 10 วันกว่าจะเดินทางกลับถึงตำหนักเมฆาดับแคว้นหาน นางรีบสะสางงานอย่างเร็วรี่แล้วปรี่ขึ้นหลังม้าภายในเวลาสามวัน นางออกจากบ้านสามีมาได้เดือนครึ่งแล้ว ป่านนี้สามีสุดหล่อจะไม่แอบหนีไปกระดี๊กระด๊ากับสาว ๆ อย่างที่ท่านแม่เคยบอกเอาไว้หรือไม่หนอ ไม่ใช่ว่านางไม่กังวล แต่นางมีงานล้นมือจริง ๆ นี่นา ชิวเพ่ยเพ่ยยังแวะซื้อของฝากมากมายจนเต็มหลังม้า อย่างน้อยจะได้อ้างว่ามัวแต่ดูแลงานให้ท่านตาท่านยายจึงได้กลับมาช้าขนาดนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยกลับถึงจวนแม่ทัพก่อนเวลาอาหารเย็นพอดี นางรีบส่งม้าให้บ่าวในเรือนเอาไปเก็บ พร้อมจัดเสื้อผ้าที่ยับยู่ยี่จากการขี่ม้าเร็วมาก่อนหน้าให้ดูดีเสียหน่อย นางหอบห่อของฝากเต็มสองมือเข้าไปในเรือนใหญ่ แม่ทัพใหญ่กับฮูหยินได้ยินพ่อบ้านมารายงานว่าลูกสะใภ้กลับมาแล้ว พวกเขาจึงมานั่งรอที่ห้องโถงรับแขก ชิวเพ่ยเพ่ยอวดของฝากให้สองสามีภรรยาดูในทันใด ผู้ใหญ่สองคนเห็นลูกสะใภ้ออดอ้อนเข้าหน่อยก็ลืมเรื่องที่จะตักเตือนไปเสียหมด ใครเล่าจะหักใจต่อว่านางได้ลงคอ ไหน ๆ นางก็กลับมาแล้ว พวกเขาจึงปล่อยผ่านไปเสีย เฟยหยุนที่กลับมาช้าเนื่องจากงา
สองสัปดาห์ต่อมา คนของตำหนักเมฆาดับสาขาเมืองหลวงแคว้นหนานขอเข้าพบนางที่จวนแม่ทัพ ชิวเพ่ยเพ่ยยังแปลกใจว่าเหตุใดเขาจึงมาพบนางถึงที่นี่ แต่ด้วยหน้าที่เจ้าตำหนัก ชิวเพ่ยเพ่ยจึงออกไปพบเขาที่โถงรับแขกเรือนใหญ่ หัวหน้าสาขารีบคารวะเจ้าตำหนักอย่างนอบน้อม เขารายงานเรื่องด่วนที่ต้องมาหานางด้วยตัวเองทันที ด้วยข่าวที่เขาได้รับมาสด ๆ ร้อน ๆ ปรากฏว่ามีขุนนางกำลังจะก่อกบฏในอีกไม่กี่วันนี้ ซึ่งราชสำนักกำลังจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของฮองเฮานั่นเอง พวกเขาวางแผนจะให้คนในวังที่เป็นพวกเดียวกันวางยาในอาหารและเครื่องดื่มในวันนั้น แถมยังตั้งใจจะฆ่าท่านแม่ทัพใหญ่และครอบครัวด้วย เขาที่พอทราบข่าวจึงรีบวิ่งแจ้นมาแจ้งนางถึงที่นี่ด้วยกลัวว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเสียก่อน ชิวเพ่ยเพ่ยฟังรายงานจากลูกน้องพร้อมคิดตาม อืม คนพวกนี้มันไม่อยากมีชีวิตอยู่กันจริง ๆ หนอ ช่างหาเรื่องตายไม่เว้นแต่ละวัน ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งการให้เขาวางกำลังคนของตำหนักเมฆาดับทั่วเมืองหลวง หากคนไม่พอให้ส่งพิราบสื่อสารไปเรียกคนมาจากสาขาใหญ่ได้ ส่วนเรื่องอื่นนางจะบอกอีกครั้งหนึ่ง หัวหน้าสาขารับคำสั่งเจ้าตำหนักแล้วรีบขอตั
หลังจากผ่านเรื่องราวซาบซึ้งกันไปไม่นาน ชิวเพ่ยเพ่ยจึงสอบถามสามีอย่างจริงจังว่าจะให้นางช่วยเรื่องจัดการพวกกบฏหรือไม่ หากเป็นเรื่องยาพิษเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้น นางมียาแก้พิษสารพัดที่ทำเอาไว้มากมาย เฟยหยุนขอบคุณภรรยาพร้อมจูบนางไปมาจนน้ำลายเปียกหน้านางเต็มไปหมด พอเห็นเขาเล่นไม่หยุดนางจึงกำหมัดฟาดไปเสียหนึ่งตุ้บ ทำเอาเขาแทบพ่นเลือดออกจากปาก อ่า ภรรยาจ๋า เบามือหน่อยสิ เมื่อเห็นว่าสามีหยุดเล่นพิเรนทร์แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยบอกแผนการที่นางคิดเอาไว้ให้เขาฟังด้วย หากปล่อยให้พวกเขาจัดการเอง นางคิดว่าไม่น่าจะสำเร็จเหมือนคราวก่อนที่ถูกจับไปทรมานเสียหลายวันนั่นแล เฟยหยุนเห็นว่านางอยากช่วยจากใจจริง เขาจึงรับปากจะไปคุยกับองค์ชายสามให้เสียก่อน ครั้งนี้เขาไม่อยากให้องค์ชายสามไปรายงานฮ่องเต้แล้ว เพราะดูเหมือนว่าทุกครั้งที่รายงาน คนพวกนั้นมักจะทราบข่าวก่อนล่วงหน้าอยู่ตลอด ฮ่องเต้ที่คิดว่ากำจัดหนอนบ่อนไส้ได้แล้วจึงไม่ค่อยระมัดระวังตัวเอาเสียเลย ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นด้วยกับสามีในเรื่องนี้ นางรอให้เขาไปคุยกับสหายให้เสร็จเสียก่อนค่อยดำเนินการต่อก็แล้วกัน หลังพูดคุยเรื่
เฟยหยุนที่เห็นตัวละครทั้งหมดมาครบแล้ว เขาสั่งการองครักษ์เงาให้ส่งสัญญาณให้คนของเขาและภรรยาเข้ามาจัดการเหล่าคนชั่วให้หมด ส่วนจวนขุนนางทั้งหลายที่ก่อกบฏ มีทหารของตระกูลเฟยไปล้อมเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่มดสักตัวก็อย่าได้หวังว่าจะหนีไปได้ในวันนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยยังแอบสั่งการคนของนางให้ไปดูแลคนของสามีอีกทอดหนึ่ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ถูกเลี้ยงดูมาด้วยเงินทองของบ้านสามีนางนี่นะ นางก็ไม่อยากให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ อีกอย่างคนของนางแต่ละคนนั้น มีฝีมือมากกว่าพวกเขาไม่น้อย ไม่ถึงหนึ่งเค่อ มีกำลังคนมากกว่า 1,000 คนมาล้อมกองกำลังกลุ่มแรกอีกชั้นหนึ่ง เป็นองค์ชายสามที่ออกคำสั่งให้จับพวกกบฏที่กำลังเชิดหน้าชูคอข่มขู่เสด็จพ่อของเขาเสียที เขาฟังพวกมันจนขี้หูแทบกระเด็นออกมาแล้วเนี่ย ขุนนางที่ไม่มีวรยุทธรีบรวมกลุ่มกันไปอยู่อีกมุมหนึ่งทันที พวกเขากลัวว่าดาบกระบี่ไม่มีตา อาจตายได้ง่าย ๆ น่ะซี เหล่ากบฏเห็นคนมากมายล้อมพวกเขาอยู่ จึงคิดได้ว่าแผนการรั่วไหลแน่แล้ว ตอนนี้พวกเขาต้องหนีออกไปให้ได้ก่อน เรื่องหลังจากนี้ค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน ชิวเพ่ยเพ่ยที่รำคาญกับความท่
ชิวเพ่ยเพ่ยเริ่มการตามล่าขุนนางที่เหลือจากคนที่อยู่ใกล้เมืองหลวงก่อน นางฆ่าไปจนกระทั่งถึงชายแดนตะวันออกที่คนของแม่ทัพตะวันออกและครอบครัวประจำการอยู่ ชิวเพ่ยเพ่ยไม่สนใจว่าราชสำนักจะจัดใครมาดูแลที่นี่ นางเพียงฆ่าคนที่รู้เรื่องและร่วมมือเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องและทำตามคำสั่งเพราะถูกข่มขู่หรือว่าจ้างด้วยเงินทอง นางยังใจดีปล่อยพวกเขาไป ถึงอย่างไรการฆ่าคนน้อยลงสักหน่อยก็จะได้ไม่เปลืองยาพิษนาง กว่าจะเสร็จสิ้นงาน นางก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือนอีกแล้ว คราวนี้ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องหาซื้อของฝากตั้งแต่ชายแดนตะวันออกยาวไปจนถึงก่อนเข้าเมืองหลวง ขากลับนางซื้อรถม้านุ่ม ๆ นั่งกลับอย่างสบายใจ ทำให้ต้องใช้เวลาอีกกว่าครึ่งเดือนจึงไปถึงเมืองหลวง ชิวเพ่ยเพ่ยรีบนำของฝากมากมายไปให้พ่อกับแม่สามีเช่นเคย โดยใช้ข้ออ้างว่าไปดูแลร้านค้าหลายสาขาจึงทำให้นางกลับช้าไปบ้าง ทางด้านพ่อแม่สามีผู้แสนดีของนางมีหรือจะโทษว่าลูกสะใภ้คนนี้ได้ลง พวกเขารับของฝากพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า แถมยังไล่นางให้รีบไปพักผ่อนก่อนค่อยมาทานอาหารเย็นทีหลัง ชิวเพ่ยเพ่ยยิ้มรับคำพวกเขาแล้วขอตัวลาไปพักผ่อนที่เร
วันต่อมาหลังกลับจากบ้านตระกูลชิว ชิวเพ่ยเพ่ยรู้สึกว่าช่วงนี้นางง่วงนอนแปลก ๆ พออิ่มแล้วจะง่วงนอนทันที ทั้งที่กองบัญชีรอนางสะสางยาวเป็นหางว่าว นางไม่คิดอะไรมากนัก คิดแค่ว่าอาจเหนื่อยสะสมจากการเดินทางก็เป็นได้ ชิวเพ่ยเพ่ยไม่คิดจะฝืนตัวเอง นางนอนหลับไปจนเกือบเที่ยงจึงลุกไปทานอาหารกับท่านแม่สามี วันนี้ท่านพ่อสามีกับสามีนางมีงาน ถ้านางเดาไม่ผิดน่าจะเรื่องชายแดนตะวันออกที่นางไปจัดการมาเป็นแน่ ช่วงนี้ราชสำนักน่าจะวุ่นวายไม่น้อย ไหนจะขุนนางตายเป็นเบือ ทั้งยังไม่มีแม่ทัพคุมชายแดนตะวันออกอีก ชิวเพ่ยเพ่ยนั่งทานอาหารกับแม่สามีพร้อมคุยกันเรื่องบ้านใหม่ของตระกูลชิว คราก่อนที่ปราบกบฏมีบ้านขุนนางใหญ่หลายหลังถูกขายทอดตลาด ไหนจะร้านรวงมากมายที่พวกเขาเคยมีนั่นอีก แม่สามีนางเลยปรึกษาว่าจะซื้อเอาไว้บ้างดีหรือไม่ หลังทานอาหารเสร็จ ขณะที่กำลังจะกินของหวานตบท้ายตามปกติ ชิวเพ่ยเพ่ยกลับพะอืดพะอมจนวิ่งไปอ้วกนอกห้องอาหาร แม่สามีตกใจจนตะโกนเรียกคนเสียงดัง พ่อบ้านที่คอยเฝ้าอยู่รีบให้คนไปตามหมอมาดูฮูหยินซื่อจื่ออย่างร้อนรน หากฮูหยินซื่อจื่อเป็นอะไรไปล่ะก็ ซื่อจื่อมีหวังอาละวาดจน
หนึ่งเดือนต่อมา เตียวหย่งไจ้กับภรรยาที่ได้รับข่าวจากพิราบสื่อสารเมื่อสองสัปดาห์ก่อน พวกเขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนรีบมาหาหลานสาวสุดที่รักอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ดีที่สองผู้เฒ่ามีวรยุทธสูงส่งและร่างกายแข็งแรง ยิ่งยาบำรุงที่หลานสาวให้ไว้คราก่อนนี้ดีนักแล พวกเขาเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวเลยเชียวล่ะ เตียวเฟยหลิวเองก็ซื้อจวนไม่ไกลจากจวนโหวนัก ห่างกันแค่หนึ่งจวนกั้นขวางเท่านั้น แถมจวนใหม่ยังใหญ่กว่าเก่าเกือบสี่เท่าเสียด้วย เตียวเฟยหลิวไม่สนใจราคาว่าจะแพงขนาดไหน ก็นางมันร๊วยย ฮ่า ฮ่า ตอนนี้ตระกูลชิวจึงย้ายสำมะโนครัวมายังจวนใหม่ได้สองสัปดาห์หลังจากปรับปรุงจวนใหม่เล็กน้อย ท่านปู่ท่านย่าขยันเดินไปหาหลานสาวที่กำลังท้องแทบวันเว้นวันเลยทีเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยที่มีคนห้อมล้อมมากมาย คราแรกนางก็ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่พอนึกได้ว่าพวกท่านรักและเป็นห่วงนางนี่นะ นางจึงปล่อยเลยตามเลย ปกตินางจะไม่ขี้หงุดหงิดขนาดนี้ อาจเป็นเพราะอาการของคนท้องก็เป็นได้ ช่วงนี้งานในตำหนักมีท่านแม่คนงามมาช่วยแบ่งเบา ทำให้ชิวเพ่ยเพ่ยกิน ๆ นอน ๆ อย่างสบายอารมณ์ เตียวเฟยหลิวหมั่นไส้บุตรสาวไม่น
เฟยหยุนช่วงนี้ถึงจะมีงานมาก แต่เขายังคงเจียดเวลามาดูแลภรรยารักอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนกิจกรรมตามตำราของภรรยา เขาขอให้นางงดเว้นจนกว่าจะคลอด ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของเขาคือนางกับลูกในท้อง เรื่องความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาสามารถปล่อยวางได้ ชิวเพ่ยเพ่ยยังถามสามีย้ำแล้วย้ำอีกว่าเขาแน่ใจหรือ เฟยหยุนจึงให้ความมั่นใจกับภรรยาว่าเขาทนได้ เขาอยากให้นางพักผ่อนมากกว่า และทุกวันเขายังกลับมานอนกอดนางด้วยนี่นา เหตุใดภรรยาตัวน้อยจึงหวาดระแวงเสียขนาดนี้ ความจริงชิวเพ่ยเพ่ยเชื่อใจสามีนางอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านแม่คนงามมักมาเป่าหูนางเรื่อยนี่สิ หึ ท่านแม่นะท่านแม่ สามีข้าน่ะหรือจะกล้า! ท่านตาผู้แสนดีนำช่างฝีมือมาจัดการเรือนเก่าที่ผุพังออกไป หลังจากตกลงเรื่องรูปแบบการปรับปรุงจวนใหม่กันแล้ว สำหรับจวนเก่าหลังที่ชิวเพ่ยเพ่ยอยู่ตอนนี้ พวกเขารอให้เรือนใหม่สร้างเสร็จเสียก่อนค่อยย้ายเข้าไปแล้วค่อยปรับปรุงเรือนนี้ใหม่ ส่วนเรือนของท่านพ่อท่านแม่สามีนาง ท่านตาก็รอให้จวนรับรองที่กำลังปรับปรุงเสร็จก่อน จึงจะปรับปรุงเรือนใหญ่ ช่างวางแผนงานมาเป็นอย่างดี เขาประมาณการก่อสร้างและปรั
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ