หนึ่งเดือนต่อมา เตียวหย่งไจ้กับภรรยาที่ได้รับข่าวจากพิราบสื่อสารเมื่อสองสัปดาห์ก่อน พวกเขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนรีบมาหาหลานสาวสุดที่รักอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ดีที่สองผู้เฒ่ามีวรยุทธสูงส่งและร่างกายแข็งแรง ยิ่งยาบำรุงที่หลานสาวให้ไว้คราก่อนนี้ดีนักแล พวกเขาเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวเลยเชียวล่ะ
เตียวเฟยหลิวเองก็ซื้อจวนไม่ไกลจากจวนโหวนัก ห่างกันแค่หนึ่งจวนกั้นขวางเท่านั้น แถมจวนใหม่ยังใหญ่กว่าเก่าเกือบสี่เท่าเสียด้วย เตียวเฟยหลิวไม่สนใจราคาว่าจะแพงขนาดไหน ก็นางมันร๊วยย ฮ่า ฮ่า
ตอนนี้ตระกูลชิวจึงย้ายสำมะโนครัวมายังจวนใหม่ได้สองสัปดาห์หลังจากปรับปรุงจวนใหม่เล็กน้อย ท่านปู่ท่านย่าขยันเดินไปหาหลานสาวที่กำลังท้องแทบวันเว้นวันเลยทีเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยที่มีคนห้อมล้อมมากมาย คราแรกนางก็ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่พอนึกได้ว่าพวกท่านรักและเป็นห่วงนางนี่นะ นางจึงปล่อยเลยตามเลย ปกตินางจะไม่ขี้หงุดหงิดขนาดนี้ อาจเป็นเพราะอาการของคนท้องก็เป็นได้
ช่วงนี้งานในตำหนักมีท่านแม่คนงามมาช่วยแบ่งเบา ทำให้ชิวเพ่ยเพ่ยกิน ๆ นอน ๆ อย่างสบายอารมณ์ เตียวเฟยหลิวหมั่นไส้บุตรสาวไม่น้อย แต่ทำอย่างไรได้ ในเมื่อนางท้องอยู่ หากปล่อยให้บุตรสาวนางเคร่งเครียดมากเกินไป หลานนางที่กำลังจะเกิดจะไม่อารมณ์ร้ายหรืออย่างไรเล่า นางไม่อยากเสี่ยงเรื่องแบบนี้หรอกนะ นางอยากได้หลานที่น่ารักมากกว่า
เฟยหยุนที่ได้ข่าวตั้งแต่วันแรก รีบหนีงานกลับจวนไปเฝ้าเมียรักทันที เฟยโหวจึงต้องรับหน้าที่แทนบุตรชายเสียนี่ เขาได้แต่บ่นป้อย ๆ ว่ามันจะเห่ออะไรขนาดนั้น ขนาดว่าเขาเองดีใจไม่น้อยเช่นกัน แต่ยังคงทำงานให้เสร็จเสียก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้นเขากลับไปก็ไม่สบายใจอยู่ดี
เตียวหย่งไจ้กับเจียวไฉ่หลานขนของไปไว้ที่จวนบุตรสาวก่อน จากนั้นก็ชวนท่านปู่ ท่านย่าของหลานสาวไปเยี่ยมนางด้วยกัน ส่วนของฝากสองรถม้านั้นหรือ เขาก็ให้คนขับไปไว้ที่จวนโหวแล้วน่ะซี
ชิวเพ่ยเพ่ยที่รู้ว่าท่านตาท่านยายกลับมาแล้ว นางอยากรีบวิ่งออกไปหาพวกท่านใจจะขาด เสียดายที่แม่สามีเข้มงวดมาก กลัวนางจะเผลอทำร้ายลูกน้อยในครรภ์ นางจึงต้องนั่งรอที่เรือนอย่างสงบเสงี่ยมต่อไป
กระทั่งสี่ผู้ชราพากันมาพร้อมรอยยิ้ม ชิวเพ่ยเพ่ยรีบลุกขึ้นจะไปคารวะเหล่าผู้คนที่รักนาง แต่กลับได้รับการโบกมือห้ามปรามเป็นพัลวัน พวกท่านบอกว่านางกำลังท้องกำลังไส้ เหตุไฉนจึงต้องลำบากมากมารยาทขนาดนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยจึงได้แต่นั่งกลับลงไป
เหล่าผู้ชราทั้งสี่ต่างมาลูบหัวหลานรักที่ตอนนี้กำลังจะเป็นแม่คนและมีเหลนให้พวกเขาเลี้ยงแล้ว พวกเขาที่ชราไม่รู้ว่าจะตายวันตายพรุ่ง แต่พอหลานสาวกำลังจะมีทายาทให้พวกเขาอุ้มชูเลี้ยงดูได้สักพัก มันก็เหมือนทำให้พวกเขามีอายุขัยเพิ่มขึ้นอีกนับสิบปีเลยทีเดียว
ท่านตายังพูดเจื้อยแจ้วเรื่องไปเที่ยวกับท่านยายให้ทุกคนฟัง ทำเอาสองปู่ย่าอิจฉาไม่น้อย เสียดายที่พวกเขาร่างกายไม่แข็งแรงเท่าตากับยายของหลานสาว ถึงอยากจะไปก็คงไปเที่ยวได้ไม่ไกลหรอก ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสายตาท่านปู่ท่านย่าเข้า นางจึงสัญญาว่าจะลองหาจ้วงจื่อในเมืองใกล้ๆ แล้วทำเป็นเรือนพักร้อนให้พวกท่านปู่ ท่านย่าได้ไปพักผ่อนบ้าง
สองผู้ชราแย้มรอยยิ้มให้หลานสาวแสนกตัญญู พร้อมทั้งเอ่ยคำขอบคุณนางเสียยกใหญ่ ไม่เสียแรงที่พวกเขารักเอ็นดูนางมาตลอด พวกเขาคิดไม่ผิดจริง ๆ ที่ยอมให้สะใภ้มีนางเพียงคนเดียว ถึงนางจะเป็นหญิง แต่เด็กหญิงคนนี้ไม่เคยทำให้พวกเขาผิดหวังแม้เพียงนิด
เฟยโหวฮูหยินฟังคำของลูกสะใภ้ นางก็เห็นว่าดี นาน ๆ ที พวกเขาสองครอบครัวน่าจะไปเที่ยวกันเสียบ้าง ส่วนท่านตาท่านยายของชิวเพ่ยเพ่ยน่ะหรือ นี่แค่เรื่องขี้ปะติ๋วมาก พวกเขาเพียงสั่งคนไปจัดการไม่นานจ้วงจื่อน่าจะแล้วเสร็จ
ท่านตามองเรือนเก่าของหลานสาวแล้วไม่ค่อยพอใจนัก เขาลืมไปว่าจวนโหวนี้สร้างมานานและยังไม่ได้รับการปรับปรุง เตียวหย่งไจ้จึงเสนอว่าเขาจะช่วยปรับปรุงจวนโหวใหม่ทั้งหมดได้หรือไม่ เวลาเหลนเขาเกิดจะได้มีเรือนพักด้วย ความจริงจวนโหวนี้นับว่ากว้างไม่น้อย เพียงแต่เรือนเก่าหลายหลังไม่มีคนอยู่จนถูกทิ้งร้างและผุพังไปแล้ว ด้านท่านยายของชิวเพ่ยเพ่ยก็เห็นด้วยเช่นกัน นางอยากทำลานและสวนที่มีสระบัวเอาไว้พักผ่อนด้วยท่าจะดี
เฟยโหวฮูหยินคราแรกไม่ยินยอม นางจะให้ผู้อาวุโสมาเสียเงินเสียทองให้จวนพวกนางได้อย่างไร แต่พอทุกคนคะยั้นคะยอให้รับของขวัญจากท่านตา นางจึงยอมพยักหน้าให้เขาทำตามใจ
ด้านเตียวหย่งไจ้ที่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของจวนแล้ว เขารอส่งหลานสาวนอนพักก่อนจึงจะไปสั่งการคนของเขาให้รีบมาตรวจดูและร่างแบบให้พวกเขาดูก่อน ถึงยังไงการปลูกเรือนก็ต้องตามใจผู้อยู่สิ ใช่ไหม?
เฟยหยุนช่วงนี้ถึงจะมีงานมาก แต่เขายังคงเจียดเวลามาดูแลภรรยารักอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนกิจกรรมตามตำราของภรรยา เขาขอให้นางงดเว้นจนกว่าจะคลอด ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของเขาคือนางกับลูกในท้อง เรื่องความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาสามารถปล่อยวางได้ ชิวเพ่ยเพ่ยยังถามสามีย้ำแล้วย้ำอีกว่าเขาแน่ใจหรือ เฟยหยุนจึงให้ความมั่นใจกับภรรยาว่าเขาทนได้ เขาอยากให้นางพักผ่อนมากกว่า และทุกวันเขายังกลับมานอนกอดนางด้วยนี่นา เหตุใดภรรยาตัวน้อยจึงหวาดระแวงเสียขนาดนี้ ความจริงชิวเพ่ยเพ่ยเชื่อใจสามีนางอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านแม่คนงามมักมาเป่าหูนางเรื่อยนี่สิ หึ ท่านแม่นะท่านแม่ สามีข้าน่ะหรือจะกล้า! ท่านตาผู้แสนดีนำช่างฝีมือมาจัดการเรือนเก่าที่ผุพังออกไป หลังจากตกลงเรื่องรูปแบบการปรับปรุงจวนใหม่กันแล้ว สำหรับจวนเก่าหลังที่ชิวเพ่ยเพ่ยอยู่ตอนนี้ พวกเขารอให้เรือนใหม่สร้างเสร็จเสียก่อนค่อยย้ายเข้าไปแล้วค่อยปรับปรุงเรือนนี้ใหม่ ส่วนเรือนของท่านพ่อท่านแม่สามีนาง ท่านตาก็รอให้จวนรับรองที่กำลังปรับปรุงเสร็จก่อน จึงจะปรับปรุงเรือนใหญ่ ช่างวางแผนงานมาเป็นอย่างดี เขาประมาณการก่อสร้างและปรั
เตียวเตียวที่ยังคงทำหน้าที่บ่าวในเรือนใหม่ นางอิจฉาคุณหนูที่ได้สามีดี ๆ เป็นถึงซื่อจื่อ เมื่อก่อนนางไม่เคยคิดแบบนี้หรอก แต่พอเปรียบเทียบครอบครัวนางกับครอบครัวคุณหนูทุกอย่างบ่อยครั้งเข้า ความคิดของเตียวเตียวก็เริ่มบิดเบี้ยว ยิ่งหลังจากชิวเพ่ยเพ่ยแต่งงาน นางที่ไม่ได้รับใช้ชิวเพ่ยเพ่ยและแต่งเข้าเป็นสินเดิมด้วยยิ่งคับแค้นใจ ถึงแม้สามีของคุณหนูจะมาค้างที่จวนตระกูลชิวอยู่บ่อย ๆ แต่ด้วยสี่บ่าวรับใช้สูงวัยของชิวเพ่ยเพ่ยคุมอยู่ เตียวเตียวไม่เคยมีโอกาสเข้าใกล้คู่สามีภรรยาอีกเลย ตอนนี้คุณหนูของนางท้องโตมากแล้ว นางจึงคิดว่าโอกาสที่จะเข้าใกล้ท่านเขยน่าจะมาถึงเสียที เตียวเตียวทำทีเป็นนำขนมไปให้คุณหนูในยามหลังอาหารเย็น นางกะว่าถ้าคุณหนูพักผ่อนอยู่ นางจะได้อ่อยท่านเขยให้ลงเอยกับนางลับหลังคุณหนูเสียเลย หึ ในเมื่อนางยังไม่ได้แต่งงาน หน้าตาก็ไม่ด้อยกว่าคุณหนูมากนัก นางจึงมั่นใจว่าตนเองที่ยังสดใหม่จะมัดใจท่านเขยได้แน่ ๆ แต่มีหรือแผนการงี่เง่าของคนโง่อย่างเตียวเตียวจะได้ผล แม้แต่เงาท่านเขยนางก็ไม่ได้พบ เพราะสี่บ่าวสุดแกร่งของชิวเพ่ยเพ่ย ลากเตียวเตียวออกไปพร้อมขนมผสมยาปล
เช้าวันต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงไปทานอาหารร่วมกับครอบครัวสามีอย่างมีความสุข หลังจากกินอิ่มแล้ว นางตั้งใจจะกลับเรือนไปพักผ่อนเสียหน่อย นับวันลูกน้อยของนางชักจะเอาใหญ่ทำให้นางพักผ่อนไม่เพียงพอตลอดคืน พอสามีนางเผลอหลับ ลูกมักจะเตะท้องนางเสียอย่างนั้น เฮ้อ นางไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าตัวเล็กนี่ดี ขณะกำลังเดินกลับเรือนกับบ่าวทั้งสี่ ป้าที่ดูแลนางกระซิบบอกเรื่องเตียวเตียว ชิวเพ่ยเพ่ยชะงักเท้ากึก ถึงแม้สีหน้าของนางจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในใจนางนั้นปั่นป่วนไม่น้อย จนไม่สามารถก้าวเดินต่อเพราะกลัวตัวเองจะหกล้ม นางจึงยืนนิ่งอยู่ก่อน สี่บ่าวเห็นว่าคุณหนูของตนอาการแปลก ๆ พวกนางเริ่มกระวนกระวาย แต่ไม่นานชิวเพ่ยเพ่ยก็เอ่ยปากให้เดินต่อไปที่เรือนของนาง นางไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องเช่นนี้อย่างไรดี นี่เป็นครั้งแรกที่นางพบว่าบ่าวที่เคยสนิทกับนางมาตั้งแต่เด็ก กล้าคิดร้ายกับนาง ถึงแม้เรื่องจะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ภายในใจนางกลับเจ็บปวดราวกับมีเข็มมาทิ่มแทง นางเคยดูแลเตียวเตียวมาตลอดหลายปี มีเพียงช่วงเกือบปีมานี้ตั้งแต่นางรับตำแหน่งเจ้าตำหนักที่นางมักจะไม่เรียกใช้เตียวเตียว เป็นเ
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นตัวต้นเรื่องหนีไปเสียแล้ว นางจึงได้แต่มาลงกับสามี ชิวเพ่ยเพ่ยทั้งทุบทั้งตีสามีพร้อมถามเขาว่าเขากล้าที่จะไปหาความสุขหรือไม่ เฟยหยุนที่กำลังถูกภรรยานวดตัวอย่างไม่เบามือ เขาได้แต่ร้องโอดโอยแล้วบอกนางว่าเขาไม่เคยคิดที่จะทำแบบนั้นจริง ๆ หนา เป็นองค์ชายสามหาเรื่องก่อกวนเขาเท่านั้นเอง กว่าที่ชิวเพ่ยเพ่ยจะสงบลง เฟยหยุนก็ช้ำไปทั้งตัว พอเห็นว่าภรรยาสงบแล้ว เขารีบถามนางว่ามาได้อย่างไร ทำไมไม่พักผ่อนที่บ้าน ชิวเพ่ยเพ่ยจึงเล่าเรื่องเตียวเตียวให้เขาฟัง เฟยหยุนโกรธมากที่บ่าวคนนี้กล้าคิดปีนเตียงเขา หึ คิดว่าเขาเหมือนผู้ชายคนอื่นหรืออย่างไรกัน เขารักภรรยาคนเดียวรู้เอาไว้ซะด้วย! เฟยหยุนจึงเสนอวิธีให้ภรรยาไปหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นให้ยาทำลายมดลูกเอย ส่งนางขายซ่องเอย โอ้ยย แต่ละอย่าง ดีดีทั้งน๊านนน ชิวเพ่ยเพ่ยมองสามีที่นางคิดว่าเป็นคนดีตาโต โอ้โห สามีข้าชั่วร้ายไม่เบา แต่สุดท้ายแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยไม่อยากทำบาปกรรมมากเกินไป นางจึงปล่อยให้สี่บ่าวของท่านยายจัดการไปเถอะ นางจะคิดเสียว่าไม่เคยรู้เรื่องนี้เพื่อความสบายใจของนางเอง เฟยหยุนเห็นว่าภรรยาตัดสินใจแล
หลังผ่านเรื่องราวของเตียวเตียว เฟยหยุนไม่ยอมนัดพบกับองค์ชายสามที่โรงน้ำชาอีก เขาให้เหตุผลว่าภรรยาท้องโตมากแล้ว เขาจำเป็นต้องอยู่ดูแลนางที่เรือน หากองค์ชายมีเรื่องสำคัญก็มาหาเขาที่จวน องค์ชายสามที่ก่อเรื่องคราก่อน เขามีหรือจะกล้าขัดใจสหายรัก เขายังอยากมีชีวิตอยู่หนา ภรรยาเขาก็ยังไม่มี ยังดีที่ท่านโหวพ่อของสหายคอยช่วยงานเสด็จพ่ออยู่ตลอด ช่วงนี้เขาจึงรอดพ้นงานยุ่ง ๆ ไปได้มาก ข่าวการตายของขุนนางหลายเมืองและพวกของแม่ทัพชายแดนตะวันออกมาไล่เลี่ยกันในช่วงหนึ่งเดือนที่ผ่านมา ทางการส่งคนออกสืบข่าวแล้วแต่ไม่พบมือสังหารหรือสาเหตุการตาย เหมือนกับว่าคนพวกนั้นหลับไปแล้วไม่หายใจไปเสียเฉย ๆ ขนาดว่าหมอที่เรียกว่าเก่งกาจยังไม่อาจชันสูตรหาสาเหตุการตายได้แม้แต่น้อย จึงได้แต่สรุปว่าพวกเขาตายเพราะไม่หายใจนั่นแล ยิ่งเข้าเดือนที่เจ็ด สองครอบครัวยิ่งเทียวไปเทียวมาหากันบ่อยขึ้น พวกเขามักเปลี่ยนที่ทานอาหารหรือไม่ก็เปลี่ยนที่นอนสลับกันสองจวน นับว่าความกลมเกลียวของบ้านเขยกับสะใภ้ครอบครัวนี้ดีจนคนในเมืองหลวงอิจฉาตาร้อน อย่าพูดถึงจวนขุนนางที่มีสามภรรยาสี่อนุเลยเถอะ พวกนั้นแทบอย
สัปดาห์ต่อมาขณะที่ทุกคนต่างพักผ่อนยามค่ำคืน ชิวเพ่ยเพ่ยปวดท้องอย่างหนักจนร้องเสียงดังออกมา เฟยหยุนได้ยินภรรยาเข้าเขาจึงรีบลุกไปจุดเทียน เขาเห็นมีน้ำไหลนองเต็มเตียงไปหมดก็ยิ่งตกใจ รีบตะโกนเรียกบ่าวของชิวเพ่ยเพ่ยให้เข้ามาดูทันที สี่บ่าวเห็นภาพคุณหนูตรงหน้า พวกนางรู้ว่าคุณหนูจะคลอดแล้ว นางขอให้ซื่อจื่อออกไปรอข้างนอก ด้านนี้พวกนางจะจัดการเอง องครักษ์รีบไปกระจายข่าวบอกเตียวหย่งไจ้กับภรรยา และเตียวเฟยหลิวกับสามี ส่วนเฟยหยุนก็ให้คนของเขารีบไปตามพ่อกับแม่เช่นกัน โชคดีที่พวกเขาเตรียมหมอตำแยเอาไว้หลายวันแล้ว เรื่องการทำคลอดจึงไม่น่าห่วงมากนัก แต่เฟยหยุนที่เห็นภรรยาปวดท้องจนหน้าตาบิดเบี้ยวไปหมด เขาได้แต่นึกสงสารนาง ถ้าเขารู้ว่าการคลอดบุตรจะทรมานขนาดนี้ เขาไม่น่าปล่อยให้นางขยันทดลองวิชาในตำราของแม่ยายเลย ฮือ ภรรยาจ๋า อดทนหน่อยนะ ไม่ถึงสองเค่อ ทุกคนที่พักในจวนโหวก็มาพร้อมกันที่หน้าเรือนของชิวเพ่ยเพ่ย แม้แต่ท่านปู่ท่านย่าที่พักผ่อนไปแล้วยังแข็งใจตื่นมาดูหลานสาวของพวกเขา พวกเขาเป็นห่วงนางมากจนไม่อาจรอที่เรือนได้หรอก ถึงจะไม่ได้เข้าไปอยู่ให้กำลังใจ แต่ขอแค
ลูกคนแรกของชิวเพ่ยเพ่ย เป็นท่านตาที่ช่วยตั้งชื่อให้ ท่านบอกว่า ในเมื่อเด็กคนนี้เกิดคืนเดือนมืด ท่านจึงตั้งชื่อให้ว่าเฟยซินเยว่ ทางด้านเฟยโหวและภรรยาไม่คัดค้านชื่อนี้ พวกเขาคิดว่าชื่อนี้ไม่เลวเช่นกัน หากให้พวกเขาคิดเองคงไม่ดีขนาดนี้ ดูอย่างเจ้าลูกชายพวกเขาสิที่ได้ชื่อว่าเฟยหยุนนั่นน่ะ ช่วงเดือนแรกนี้ชิวเพ่ยเพ่ยไม่สามารถออกนอกห้องของนางได้ ด้วยตามธรรมเนียมปกติของคนที่คลอดลูก โบราณห้ามถูกลมภายนอก ชิวเพ่ยเพ่ยจึงทำตามอย่างเชื่อฟัง ลูกชายนางเองก็แสนรู้ไม่น้อย เขามักหิวนมเป็นเวลาโดยไม่กล้าก่อกวนนางมากเกินจำเป็น ส่วนเฟยหยุนที่รับบทพ่อลูกอ่อน ตอนนี้ตาเขาคล้ำเหมือนหมีแพนด้าเชียวล่ะ เวลาบุตรชายก่อกวนยามดึก เขาต้องเป็นคนไปที่ห้องด้านข้างเพื่อเกลี้ยกล่อมเจ้าตัวเล็กอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน เด็กน้อยนี่ก็ช่างกระไร เขาไม่ได้หิวนมตอนดึก เพียงแต่คึกอยากร้องเรียกหาพ่อเท่านั้นเอง หลังผ่านเวลาไปหนึ่งเดือน ชิวเพ่ยเพ่ยพาเฟยซินเยว่ออกมาเดินเล่นหน้าเรือนอยู่บ่อย ๆ เด็กน้อยรู้ความ ไม่ก่อกวนนางแม้แต่น้อย ยิ่งเวลาที่เหล่าทวดมาเล่นด้วย เฟยซินเยว่จะร่าเริงจนทำให้พวกเขาระบายยิ้มเต
แต่ความจริงแล้วมีชายชุดดำสวมผ้าปิดหน้าจำนวนมากกว่าร้อยคนกำลังล้อมจวนโหวเอาไว้ ด้านหน้าประตูที่มีทหารรักษาการณ์อยู่ พวกเขาพยายามต่อสู้ไม่ให้คนเหล่านี้ฝ่าเข้ามาได้ แต่น้ำน้อยย่อมแพ้ไฟ พอคนของตำหนักเมฆาดับที่มาช่วยงานออกมาพบเข้า พวกเขารีบดึงตัวทหารรักษาการณ์ที่เกือบจะถูกฆ่าออกมา จากนั้นส่งสัญญาณให้คนอื่นไปส่งข่าวเจ้าตำหนักโดยเร็ว เหล่าชายชุดดำเห็นคนหลบหนีไปสามสี่คนก็ไม่ได้สนใจ พวกเขายังคงเดินเข้าไปภายในเพื่อฆ่าเป้าหมาย คนเหล่านี้ได้รับการว่าจ้างจากญาติของเหล่ากบฏที่หลบหนีไป บางคนก็เป็นญาติทางฝั่งภรรยาหรือฝั่งสามีที่มีผลประโยชน์ร่วมกัน เมื่อขาดเสาหลักไป คนพวกนี้ที่หาทางร่ำรวยเช่นเดิมไม่ได้อีกจึงโกรธแค้น พวกเขารู้ว่าเฟยโหวเป็นคนสนิทของฮ่องเต้จึงลงขันกันจ้างนักฆ่าจากแคว้นอื่นมาจัดการครอบครัวเฟยโหว โดยที่ไม่รู้เลยว่าวันนี้ที่จวนมีงานเลี้ยง เหล่านักฆ่าไม่คิดจะสนใจในเมื่อพวกเขามาจากต่างแคว้น ฆ่าแล้วหลบหนีไปเสียก็สิ้นเรื่อง องครักษ์เงาได้รับรายงานจากด้านนอกลาน เขารีบเข้าไปหาเจ้าตำหนักเพื่อรายงานในทันที ชิวเพ่ยเพ่ยพอรู้ว่ามีนักฆ่ากล้ามาที่นี่ นางสั่งพวกเขาให
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ