เมื่อบ่วงนาคบาศหายไป เจ้านางน้อยผู้ถูกใส่ร้าย ต้องรื้อฟื้นอดีตชาติ และเผชิญรักต้องห้าม ระหว่างพญานาคผู้ปกป้อง กับพญานาคผู้ยอมสลายเพื่อเธอ… ความรักครั้งนี้ อาจต้องแลกด้วยชะตาของทั้งสองโลก!
View Moreเรื่องเล่าที่ชาวบ้านกล่าวขานกันมาปากต่อปาก เกล็ดแห่งนาคา ที่ผู้คนต้องการครอบครองเพื่อความเป็นอมตะนิรันดร์กาล เชื่อกันว่าเกล็ดพญานาคหากได้ผสมน้ำดื่มกินคนผู้นั้นจะมีชีวิตอมตะ ฉันได้ฟังมาตั้งแต่เด็ก ๆ จนปัจจุบันเรื่องเล่านี้ก็ยังถูกพูดถึง มันคือสิ่งที่มนุษย์กิเลสหนาอยากได้ไว้เคียงกาย ด้วยอำนาจและอิทธิฤทธิ์ประหนึ่งเทวาสถิต เสริมให้ผู้ที่ได้ครอบครองอยู่เหนือสุดของมนุษย์ทั้งปวง ทั้งที่ไม่รู้ว่ามีอยู่จริงหรือเปล่า แต่อีกอย่างที่ฉันเคยได้ยินมาเช่นกันร่างตัวแทนแห่งนาคาที่แอบซ่อนในกายหยาบของมนุษย์ แต่คนผู้นั้นคือใครกัน? มีจริงเหมือนที่คนเฒ่าโบราณลือกันจริงหรือ?...ฉันก็ได้แต่ฟังเพราะไม่ค่อยเชื่อเรื่องเหล่านี้แต่ก็ไม่ได้หลบหลู่แต่อย่างใด
"นั่นสินะ ในโลกนี้ย่อมมีคนดีและไม่ดีปะปนกันไป เฮ้อ~~ แต่ฉันก็อยากให้โลกใบนี้มีแต่คนดีละนะ"
"บ่นอะไรของแกยัยณิน อะนี่น้ำที่แกฝากซื้อ"
"ขอบใจจ้าเพื่อนคนสวย...ไม่ได้บ่นอะไรหรอก อ่านหนังสือเล่มนี้แล้วคิดเฉย ๆ น่ะ"
"อ่านเรื่องอะไรอะ"
"อาศิรวิษ"
"เออชื่อเรื่องแปลกแต่น่าสนใจดี ขอยืมอ่านบ้างดิ"
"ได้...แต่แกต้องทะนุถนอมหนังสือฉันให้ดี ๆ ห้ามยับเยินเด็ดขาดไม่งั้นฉันจะตีมือแกให้เจ็บเลย"
"ย่ะ"
มันคือการสนทนาของฉันและเพื่อนสาวคนสนิท เธอชื่อว่าเนยหวาน เป็นเพื่อนคนแรกที่ฉันคบด้วย เรื่องทุกเรื่อง ปัญหาทุกปัญหา ฉันสามารถระบายกับเธอได้อย่างสนิทใจ เราสองคนไม่เคยมีอะไรปิดบังกัน แม้กระทั่งเรื่องเล็กน้อย
"เออเนยช่วงนี้ฉันรู้สึกแปลก ๆ อะ เป็นอะไรก็ไม่รู้ชอบปวดหัวตอนเย็นตลอดเลย ปวดมากเหมือนหัวจะระเบิด แล้วก็ฝันแปลก ๆ ทุกวัน"
"แล้วแกหาหมอยังอะ หรือแกอ่านหนังสือมากไป?"
"ไปหาหมอตรวจมาแล้ว แต่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติเลย"
"ไปตรวจอีกทีไหมแก เผื่อมันคลาดเคลื่อน"
("มันคือสัญญาณเตือน")
เสียงที่ดังแทรกระหว่างการสนทนาระหว่างฉันกับเนยหวาน ทำให้เราทั้งสองคนตกใจ และต้องหันหลังกลับไปมอง
"คุณยายหมายความว่ายังไงคะ?"
ฉันเอ่ยถามพร้อมกับหัวคิ้วที่แทบชนกันด้วยความไม่เข้าใจ งงด้วยว่าคุณยายท่านนี้มาจากไหน เพราะไม่ได้ยินแม้กระทั่งเสียงเดิน
"เมื่อถึงเวลาก็จะรู้ด้วยตัวเอง ต่อให้ไม่ยอมรับ ท้ายสุดก็เลี่ยงและหนีไม่พ้น มันคือชะตาของเจ้า ผณินทร"
ทำเอาฉันงงหนักไปใหญ่ ยิ่งฟังที่คุณยายพูดฉันก็ยิ่งไม่เข้าใจ จนต้องหันไปสบตามองกับเนยหวานที่งงไม่ต่างกัน
“ผณินทร?” ฉันหันไปพูดกับเนยหวาน มันคือชื่อของใครกัน ฉันกับเนยหวานมองหน้ากันด้วยความงง
"คุณยะ....อ้าวหายไปไหนแล้วล่ะ?"
เนยหวานที่กำลังอ้าปากพูดต้องชะงัก รวมทั้งฉันด้วยที่งงเป็นไก่ตาแตก คุณยายหายไปไหน!? ทั้งที่แค่เสี้ยวนาทีเท่านั้น อายุของคุณยายไม่น่าจะเดินได้เร็วจนมองไม่เห็นแม้กระทั่งด้านหลัง เพราะฉันก็เห็นเต็มสองตาว่าท่านใช้ไม้เท้าช่วยประคองเดิน สิ่งที่คุณยายคนนั้นพูดมันคืออะไรกันแน่!?
“แกเปลี่ยนชื่อเหรอยัยณิน” เนยหวานถามพร้อมทั้งหัวเราะขบขัน
“บ้าเหรอ ก็ชื่อมณีณินมาแต่ไหนแต่ไรยังไม่เคยเปลี่ยนสักครั้ง พ่อแม่ตั้งให้ก็ยังใช้แบบเดิม” ฉันตอบเพื่อน
“แล้วคุณยายคนนั้นแกพูดชื่อใครกัน”
“นั่นสิ ฉันก็อยากจะรู้”
อย่าว่าแต่เพื่อนสงสัย ฉันเองก็ไม่เข้าใจเหมือนกัน คนยายคนนั้นเป็นใครกันแน่ ทำไมแค่มาพูดทิ้งปริศนาแล้วก็หายไป ทำให้ฉันครุ่นคิดไม่ตกและอยากรู้เรื่องราวที่ท่านพูดถึง
ฉันกลับมาถึงบ้านก็จวนพระอาทิตย์เริ่มจะตกดิน เดินเข้ามาในบ้านได้ไม่กี่นาที ก็มีอาการแบบเดิม ฉันปวดหัว มันปวดเหมือนหัวของฉันจะระเบิดออกมา เหมือนกับว่าสมองจะไหล ยืนแทบไม่ไหว เป็นอะไรที่ทรมานมาก ฉันเริ่มเป็นแบบนี้มานานหลายวัน ไปหาหมอก็ไม่พบการเจ็บไข้ได้ป่วยอะไร ได้แต่งงแล้วก็สงสัย
“แม่คะ” เรียกแม่เสียงเบา
“ณินเป็นอะไรลูก”
ฉันเริ่มไม่ไหวจนต้องเรียกแม่เพื่อขอความช่วยเหลือ แม่วิ่งตาตื่นเข้ามาแล้วประคองฉันไปนั่งบนโซฟา อาการของฉันยังคงปวดหัวตุบ ๆ เรื่อย ๆ ไม่มีทีท่าว่ามันจะหายไปสักนิด
“แม่ณินปวดหัวอีกแล้ว”
“ไหวหรือเปล่า ไปหาหมอไหมลูก”
“เหมือนหัวณินจะระเบิดเลย โอ๊ย!”
“ณิน โธ่ลูก...รอตรงนี้แม่ไปเอายาแก้ปวดมาให้”
ฉันนั่งปวดหัวอยู่แบบนั้น เหมือนมันไม่ได้ยินเสียงแม่ไม่ชัด หูอื้ออึงไปหมด ฉันมองและเห็นสีหน้าของแม่กังวลคงเพราะท่านกำลังเป็นห่วงฉัน เหมือนแม่จะร้องไห้เลย ก่อนจะวิ่งไปในบ้านเอายาตามที่ท่านบอก
“น้ำกับยาแก้ปวดลูก”
แม่ยื่นแก้วน้ำพร้อมกับยาแก้ปวดให้ ฉันจึงรีบกินมันลงไป เพราะตอนนี้ฉันไม่ไหวมันปวดเหลือเกิน หรือว่าฉันจะป่วยเป็นโรคร้ายแรงแล้วตรวจไม่พบ?
“เป็นไงบ้างลูก”
“ปวดเหมือนเดิมเลยค่ะแม่”
“นอนพักก่อนนะ ถ้าไม่ดีขึ้นแม่พาไปหาหมอ”
“ค่ะ”
แม่พูดพร้อมกับประคองฉันเอนตัวลงนอนบนโซฟา ไม่รู้ว่ามันเกิดจากอะไร ฉันถึงได้เป็นแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง ฉันนอนหลับตาเผื่อว่ามันจะดีขึ้น แต่อาการปวดก็ยังมีเหมือนเดิม รู้สึกว่าหัวมันบีบรัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
“แม่ณินปวดเหมือนเดิม โอ๊ย”
“เป็นอะไรนะณิน”
“ฮือ แม่คะณินไม่ไหวแล้ว”
ฉันทนไม่ไหวหัวมันปวดหนึบจนต้องร้องไห้ออกมา มันสุดแสนจะทรมานจนเริ่มจะหายใจไม่ออก
“ไปหาหมอกันปะ เดี๋ยวแม่ไปเรียกพี่น้ำก่อน”
“ค่ะ” แม่บอกแล้วรีบวิ่งขึ้นไปบนบ้านทันที พี่น้ำคงจะอยู่บนห้องนอน ตอนนี้ฉันแทบครองสติไม่ได้ จนลุกขึ้นมานั่งมือกุมหัวเอาไว้ ไม่รู้ต้องทำยังไงถึงจะหายจากอาการปวดนี้ และนี่ก็เป็นการหาหมอรอบที่สามนับจากวันที่ฉันมีอาการ และคำตอบจากปากของหมอก็เหมือนกัน ไม่ได้เป็นอะไร ทุกอย่างทุกปกติ ทั้งที่เข้าซีทีสแกนมาทั้งสามรอบ ตอนแรกฉันกลัวว่าเป็นเนื้องอกไหม แต่หมอบอกไม่มีอะไร
“น้ำเร็วลูก”
“น้องเป็นอะไรเหรอแม่”
“ปวดหัวอีกแล้ว”
ฉันได้ยินเสียงของแม่กับพี่น้ำแว่วเข้ามา น้ำเสียงการพูดคุยดูแตกตื่น ฉันได้แต่นั่งรอด้วยความทรมาน จนพี่น้ำกับแม่เข้ามาประชิดตัว
“น้องเป็นไงบ้างเดินไหวไหม”
“น้ำอุ้มน้องเลยลูก”
ฉันยังไม่ทันได้อ้าปากคุยกับพี่ชาย แม่ก็พูดสวนขึ้นก่อน จากนั้นพี่น้ำก็อุ้มฉันไปยังรถยนต์ แล้วขับออกไปทันที แม่นั่งกอดฉันอยู่เบาะหลัง คอยลูบแขนและนวดขมับช่วยเพื่อให้ฉันผ่อนคลาย แต่ว่ามันไม่มีวี่แววจะหายไปสักนิด
“น้ำเร่งอีกหน่อยน้องเหงื่อออกเยอะมาก”
“ครับ ๆ”
แม่บอกพี่น้ำด้วยน้ำเสียงร้อนรน และรถก็เริ่มวิ่งเร็วขึ้นจนฉันสัมผัสได้ ทุกคนกำลังกังวลและเป็นห่วงฉัน รู้สึกไม่ดีเลยที่ต้องเป็นภาระให้คนในบ้าน
“ใกล้ถึงยังน้ำ” แม่ถามย้ำกับพี่ชาย
“รถเยอะมากเลยแม่ จะแซงก็แซงไม่ได้” พี่น้ำบอกแม่ และคงกังวลไม่ต่างกับแม่
“อดทนหน่อยนะณิน” แม่บอกส่วนฉันก็ได้แต่พยักหน้ารับ
ตอนนี้เหมือนจะถึงโรงพยาบาล สายตาของฉันพร่าเบลอมองไม่ชัดเจน แต่รู้สึกเหมือนกำลังนอนอยู่บนเตียง แล้วเคลื่อนที่ด้วยการเข็น ได้ยินเสียงของแม่แว่วเข้ามา
“ณินอดทนไว้นะลูก” นี่เป็นเสียงของแม่
“น้องอย่าเพิ่งหลับตานะ อดทนไว้ใกล้ถึงมือหมอแล้ว” และนี่เสียงของพี่ชาย ในที่สุดฉันก็อดทนลืมตาไม่ไหว ทุกอย่างมืดสนิทลงจนไม่รับรู้อะไรอีกเลย
การฝึกฝนแสนหนักหน่วงสะสมมานานนับหลายเดือนทำให้ฉันเหนื่อยล้าและเปลืองแรงมหาศาลแทบทุกวัน วันนี้ก็เช่นกันฉันฝึกวิชามาจนลึกล้ำถึงขั้นเปลี่ยนร่าง เหาะเหินเดินอากาศ และการใช้เวทย์ต่าง ๆ ตามที่ท่านอาจารย์สอนให้ ฉันรู้สึกประหลาดใจอย่างไม่คิดเชื่อเลยว่า คนธรรมดาแบบฉันสามารถฝึกวิชาโบราณได้มากถึงเพียงนี้ เป็นสิ่งที่ฉันคาดไม่ถึงเลย แม้กระทั่งความรู้สึกที่เริ่มเปลี่ยนไปกับใครบางคน“ทำได้ดีมากทีเดียวเจ้านางน้อย” ท่านอาจารย์เอ่ยเมื่อสิ้นสุดการฝึกในวันนี้“ไม่คิดว่าจะทำได้เหมือนกันเจ้าค่ะ”“สิ่งที่ติดตัวมา ต่อให้ลืมเลือนก็ย่อมรื้อฟื้นได้ไม่ยาก”“แต่หนูไม่เคยรู้วิชาพวกนี้ก่อนนะเจ้าคะ”“.....”“ท่านอาจารย์มองหน้าแบบนั้น รู้สึกแปลก ๆ เจ้าค่ะ มีอะไรเหรือเปล่าเจ้าคะ?”ระหว่างการพูดคุยกับท่านอาจารย์อยู่ในถ้ำ คำพูดบางประโยคทำให้ฉันแปลกใจ แถมสายตาที่ท่านอาจารย์มองมาที่ฉันยิ่งทำให้มีความรู้สึกแปลกประหลาด เหมือนกับว่าท่านอาจารย์รับรู้อะไรบางอย่างในตัวของฉัน หรือว่าฉันจะคิดมากไปเอง“ไม่มีกระไรหรอก วันนี้สิ้นสุดเพียงเท่านี้ เสด็จกลับตำหนักเถิดเจ้านางน้อย พรุ่งนี้ค่อยมาฝึกวิชาขั้นสูงสุด”“เจ้าค่ะ ศิษย์ของลา”แม้ท
“เจอกันจริง ๆ เสียทีนะ”“คะ?”คำพูดของท่านอาจารย์ทำให้ฉันเกิดความสงสัยขึ้นมาอีกครั้ง อะไรคือคำว่าเจอกันจริง ๆ เสียที“ศิษย์ขอฝากบุตรสาวคนนี้เป็นศิษย์ของท่านด้วยเถิด นางเป็นหน่อเนื้อเชื้อไขที่ศิษย์ไว้ใจให้ปกครองมคธนครในภายภาคหน้า และเชื่อว่านางจะทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี”เสด็จพ่อพูดขึ้น ตอนนี้ทุกอย่างประเดประดังเข้ามาในหัวของฉันไม่หยุดหย่อน นี่ฉันต้องรับภาระหน้าที่อันหนักอึ้งจริงหรือ ปกครองชีวิตนับแสนนับล้านฉันเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาจะทำมันได้อย่างไร“อย่าได้กังวลใจไป แม้จะไม่ใช่ตัวตนแต่จิตวิญญาณแท้จริงนั้นแสนลึกล้ำยิ่งนัก”“แต่ว่า...”“ปล่อยให้ทุกอย่างเดินตามเส้นทางที่ลิขิตเถิด การฝืนยิ่งจะทำให้เจ็บไม่รู้จบ”“เจ้าค่ะ”ท่านอาจารย์กล่าวออกมาอย่างกับอ่านความคิดของฉันได้ คำพูดของท่านทำให้ฉันปรายสายตามอง ในหัวตอนนี้มีเครื่องหมายคำถามเต็มไปหมด แต่ก็ไม่อาจจะเปล่งออกมาเป็นวาจาถามไถ่ ก็ได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในก้นบึ้งหัวใจ และก้มหัวยอมรับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนับจากนี้ฉันตั้งใจร่ำเรียนวิชาตามที่ท่านอาจารย์สอน มันช่างยากเย็นแสนเข็ญสำหรับฉันที่เป็นเพียงจิตวิญญาณธรรมดา วิชาเวทย์ที่ยากจะเข้าใจ
ตลอดเวลาสามวันที่ฉันรักษาตัวแช่อยู่ในสระนพเก้า มีอาศิรวิษคอยเฝ้าดูแลอย่างชิดใกล้ ได้รับการเอาใจใส่เป็นอย่างดี ร่างกายของฉันมีแรงขึ้นมากและเหมือนว่าจะมีพลังบางอย่างเวียนวนอยู่ภายในร่างกายของฉัน ระยะเวลาที่ผ่านฉันพยายามหลอกถามอาศิรวิษจนสามารถทำเบื้องต้นในสิ่งที่ผณินทรเคยทำ การเปลี่ยนร่างเหาะเหินล้วนได้รับการฝึกสอนมาจากอาศิรวิษทั้งนั้น แม้จะยังไม่ชำนาญมากแต่ก็สามารถทำได้มากกว่าแต่ก่อน เขาพาฉันกลับมายังตำหนักในเวลาพลบค่ำที่ไร้ผู้คนสัญจร ตามคำสั่งการของเจ้าหลวงว่าเรื่องที่เกิดขึ้นต้องเป็นความลับ“เจ้านางน้อยพักผ่อนเสียเถิด พรุ่งนี้จักต้องเข้าเฝ้าเจ้าหลวงแต่เช้า”“อืม”อาศิรวิษส่งฉันยังหน้าทางเข้าตำหนักพักผ่อน ย้ำเตือนในหน้าที่ต้องกระทำในวันพรุ่งนี้ ฉันรับฟังด้วยความยินดี จากนั้นก็เดินแยกจากเข้าไปยังตำหนักด้านใน เดินห่างออกไปจึงได้หันหลังกลับมามอง ยังคงเห็นเขายืนส่งไม่ไปไหน ฉันจึงส่งยิ้มอ่อนให้แล้วรีบเดินเข้าด้านในด้วยรอยยิ้มเปรมปรีดิ์เวลาผ่านไปนานจนฉันแทบไม่รู้วันเวลากับการที่มาอยู่ที่นี่ สถานที่แปลกตาผู้คนที่ฉันไม่รู้จัก แต่ด้วยสถานการณ์ที่ฉันยากจะปฏิเสธทุกอย่างจำต้องเดินตามเส้นทางที่ถูก
“หึ”“หึอะไรจะหัวเราะก็หัวเราะเลยสิ”เสียงแค่นขบขันจากลำคอ ทำให้ฉันเงยหน้ามองค้อนคนที่กำลังเดินเขามาใกล้ แต่เขาก็เหมือนจะยิ่งตลกไปใหญ่มีทีท่าขำขันไม่หยุด ฉันเหมือนเป็นตัวตลกในสายตาของเขาอย่างนั้นแหละ“กิริยาประหนึ่งเด็กน้อย”“ชิ”“เอาล่ะ เอาล่ะ เจ้านางน้อยอย่าได้บูดบึ้งเช่นนี้เลย ตอนนี้รู้สึกเป็นเยี่ยงไรบ้าง ปราณภายในดีขึ้นหรือยัง” เขาถามด้วยสายตาอบอุ่น น้ำเสียงละมุนฟังแล้วเสนาะหู ถามในสิ่งที่ฉันไม่อาจจะรู้สึกได้ อะไรคือปราณ แล้วมันต้องรู้สึกแบบไหนฉันจะตอบเขาได้ยังไงกัน“อะ อืม” ตอบแบบขอทีไปทีเพราะไม่รู้จะตอบยังไง“อืม? ดีขึ้นหรือไม่ดี” อาศิรวิษย้อน“ดีขึ้น” ฉันยืนยันคำตอบ“แล้วไยถึงไม่ตอบให้ชัดเจน ช่างแปลกประหลาดนักตั้งแต่ที่เจ้านางน้อยฟื้นขึ้นมา”“แล้วจะเซ้าซี้ทำไมนักหนาเล่า” ฉันพูดขึ้นเสียงดังเมื่อเขาเอาแต่ยอกย้อนยียวน “ก็ไม่ใช่ผณินทรจะเหมือนเดิมได้ยังไงล่ะ” ประโยคนี้ฉันมองหน้าเขาแล้วพูดในใจ“ปราณภายในคงดีขึ้นจริง ๆ เพราะเสียงดังฟังชัดเพียงนี้” เขาพูดแหย่ด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง“นี่เจ้าพี่ขอถามอะไรหน่อยสิ”“จะถามกระไรอย่างนั้นหรือ”“ที่เสด็จพ่อทำวันนี้เรียกว่าอะไร ทำไมมันถึงได้เจ็บปวดเ
ฉันรู้สึกถึงความเย็นเริ่มวิ่งวนอยู่ในร่างกาย แต่เปลือกตาไม่อาจจะเบิกมองได้ มันหนักอึ้งไปหมด เสียงของผู้คนพูดคุยกันแว่วผ่านเข้ามาในหู ฉันได้ยินเพียงบางเบาไม่สามารถจับใจความได้เลยว่าผู้คนเหล่านั้นพูดคุยอะไรกัน บางคนกำลังจับแขนของฉันเขย่าเบา ๆ ทำให้ฉันเริ่มรู้สึกตัวและพยายามจะลืมตามอง ภาพเลือนรางตรงหน้าทำให้ฉันมองเห็นใครบางคน ฉันพยายามปรับสายตาเพ่งมอง จนเห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ใบหน้ายุ่งคิ้วขมวดอยู่ในระยะใกล้ อาศิรวิษ“เจ้าพี่” ฉันเรียกขานด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง ไม่รู้ว่าเขาจะได้ยินมันหรือไม่“เจ้านางน้อย” อาศิรวิษเรียกฉันพร้อมกับกุมมือฉันแน่น เรี่ยวแรงที่เคยมีตอนนี้มันปวกเปียกไม่มีแรงพอแม้จะยกแขน“ยังรู้สึกเจ็บปวดหรือไม่ลูก” เป็นเจ้าหลวงที่เข้ามาถามด้วยน้ำเสียงฟังแล้วเหมือนห่วงใย“ที่นี่ที่ไหน” เจ้าถามเมื่อมองโดยรอบแล้วเป็นสถานที่ไม่คุ้นตา และมีเพียงอาศิรวิษกับเจ้าหลวงเท่านั้นที่อยู่ตรงนี้“สระนพเก้า” อาศิรวิษตอบฉัน“อะไรคือสระนพเก้า” ฉันย้อนถามเพราะไม่คุ้นเคยมาก่อน“สระนพเก้าเป็นสระน้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถรักษาทุกการบาดเจ็บได้ ที่แห่งนี้ไม่มีผู้ใดรู้นอกจากพ่อและอาศิรวิษ” เจ้าหลวงพูดขึ้น“ท
“เจ้านางน้อย”“เพคะ”เจ้าหลวงที่ก่อนหน้ายืนมือไขว้หลัง เรียกฉันแล้วหันมาประจันหน้า สายตานิ่งมองมายังฉัน จนทำให้รู้สึกขนลุกไปทั้งแขน“กาลเบื้องหน้าพ่อไม่รู้ว่าจักเกิดสิ่งใดขึ้นบ้าง ทุกอย่างล้วนเป็นไปตามฟ้าลิขิต เจ้าเป็นบุตรเพียงคนเดียวของพระมเหสี และจำต้องแบกรับภาระหน้าที่บ้านเมืองดูแลปกป้องเหล่าประชาต่อจากพ่อ” เจ้าหลวงพูดขึ้นทำให้ฉันรู้สึกตกใจ มันเป็นคำพูดปริศนาที่คุณยายคนนั้นเคยบอกฉัน“แต่ว่าหนูเป็นผู้หญิงนะคะ คงไม่สามารถ...”“มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่จะรับหน้าที่นี้ได้”ฉันยังพูดไม่ทันจบประโยค เจ้าหลวงก็พูดแทรกขึ้นด้วยสีหน้าและน้ำเสียงจริงจัง แววตาเปล่งประกายรัศมีที่ยากจะคาดเดา ฉันไม่สามารถสัมผัสได้เลยว่าเจ้าหลวงกำลังวางแผนอะไรอยู่ในหัว แต่เรื่องราวที่ฉันเคยเจอมา คำพูดปริศนาและเหตุการณ์มากมาย ทำให้ฉันเริ่มเป็นกังวล เพราะคนธรรมดาอย่างฉันมันจะปกป้องดูแลใครได้ เวทย์คาถาอะไรก็ไม่มี แค่จะป้องกันตัวจากคนรอบข้างก็แสนจะยากเย็น“แล้วทำไมถึงต้องเป็นหนูละคะ...หนูไม่เข้าใจเลย” ฉันย้อนถาม“เพราะเจ้านางน้อยถูกลิขิตไว้แล้ว และหน้าที่นี้ไม่มีผู้ใดกระทำแทนได้”“หนูก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี เพราะเสด็จพ่อก็มี
หลังจากที่เรื่องราวแสนวุ่นวายในยามเช้าจบลง สิ่งที่อาศิรวิษพูดทิ้งท้ายก่อนจากไป ทำเอายังครุ่นคิดไม่ตกปลงไม่ลงเสียที ได้แต่นอนมือก่ายหน้าผากคิดวนเวียนอยู่บนเตียงอย่างกับคนไม่มีงานการจะทำ แน่ล่ะ ก็ฉันไม่รู้ว่าการเป็นเจ้านางน้อยต้องทำอะไรบ้าง กาลัดกับกลีบบัวก็ไม่ได้บอกกล่าวเล่าเรื่องอะไร พวกหล่อนทำเพียงเอนตามผู้เป็นนายเท่านั้นไม่อาจจะสั่งการให้ทำอะไรได้ สิ่งไม่รู้เป็นฉันต้องเริ่มเอ่ยปากก่อนอยู่ร่ำไป และรวมถึงเรื่องนี้เช่นกัน“ขอถามอะไรหน่อยสิ” ความไม่กระจ่างทำให้ฉันต้องตามหาคำตอบเอง“ถามกระไรหรือเพคะเจ้านางน้อย” กาลัดว่าขึ้นในขณะที่มือยังคงทำหน้าที่โบกพัดไปมา“คนของตำหนักประจิมมีใครบ้างเหรอ” ฉันผุดลุกนั่งกับเตียงแล้วถามด้วยความอยากรู้“พระสนมผศิกาเพคะ” กลีบบัวให้คำตอบ“กาลัดกับกลีบบัวพอจะเล่าเรื่องราวในวังนี้ให้ฉันฟังได้ไหม ฉันอยากจะรื้อฟื้นความทรงจำที่หายไป ขอแบบละเอียดเลยนะ” ฉันอ้างเหตุผลจากการเจ็บป่วย เพราะสีหน้าของกาลัดและกลีบบัวล้วนเต็มไปด้วยความงวยงง“ได้เพคะ พระสนมผศิกานั้นเดิมแล้วเป็นพระสหายตั้งแต่พระเยาว์ของเจ้าหลวง เติบโตมาด้วยกันเพคะ จนวันที่เจ้าหลวงต้องครองบัลลังก์เหตุจำเป็นทำ
“ถ้าเยี่ยงนั้นคงจักต้องรักษาด้วยการขอดเกล็ดที่เสียหายทิ้ง”“ห๊ะ!!!”อาศิรวิษพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก ก่อนจะหันหน้ามามองฉัน และคำพูดของเขาทำเอาฉันตกใจจนร้องเสียงหลง อะไรคือการขอดเกล็ดมันไม่ใช่อย่างที่ฉันคิดใช่ไหม?“ท่านอาศิรวิษเจ้าคะ เกรงว่า...” กลีบบัวพูดเสริมขึ้น แต่ยังพูดไม่ทันจบประโยคดี ก็มีเสียงเข้มขรึมแทรกขึ้นก่อน“ก็ผิวกายเสียหาย หากปล่อยทิ้งไว้คงจะลามเป็นแผลใหญ่กว่าเดิม เจ้าไม่ห่วงนายของตัวเองหรือไร” อาศิรวิษร่ายยาว“แค่เกาตัวเองแล้วเป็นรอย ลามบ้าบออะไรกัน” ฉันก้มหน้าบ่นยุบยิบ“ห่วงเจ้าค่ะ” กลีบบัวตอบเสียงเบา“เดี๋ยวนะ!? ขอดเกล็ดที่ว่านี่แบบขอดเกล็ดปลาไหม แบบดึงเกล็ดออกจากผิวอีกชั้นแบบนี้เหรอ” ฉันถามวิธีการเพื่อให้แน่ใจ“อย่างที่เจ้านางน้อยเข้าใจ ถูกต้องแล้วพ่ะย่ะค่ะ” อาศิรวิษตอบหน้าตาย“นายจะบ้าเหรอกะอีแค่...เอ่อ...แค่” ฉันตอบเขาออกไปอย่างเผลอลืมตัว นึกได้จึงรีบหยุดปากไว้ เกิดอาการตะกุกตะกักพูดไม่ออก บอกเลยตอนนี้สายตาของอาศิรวิษจ้องมองมาทางฉันไม่กะพริบ เขาคงจับพิรุธฉันได้แล้วแน่ แต่ฉันจะไม่ยอมจำนนหรอก เขามันงูยักษ์เจ้าเล่ห์หลอกฉันให้จนมุม“แค่กระไรรึพ่ะย่ะค่ะเจ้านางน้
“เฮ้อ เกือบโดนจับได้ซะละ” ฉันถอนหายใจ แล้วยกมือลูบอกอย่างโล่งใจเมื่อเดินเข้ามาในตำหนักส่วนตัว มีกลีบบัวยืนเคียงข้างอยู่ในท่าทางไม่ต่างกับฉัน“กาลัดตามหมอหลวงถึงที่ใดกัน ยังไม่เห็นโผล่มา...คัน แสบร้อน หรือไม่เพคะเจ้านางน้อย” กลีบบัวพ่น แล้วจึงเอ่ยถามฉันด้วยความห่วงใย“ไม่ได้เป็นอะไรซะหน่อย” ฉันพูดบอกเธอแล้วเดินไปนั่งบนเตียงอย่างคนอารมณ์ดี“แต่...”“ฉันทำตัวเองน่ะ”กลีบบัวกำลังจะอ้าปากถาม ฉันเลยรีบบอกเธอให้เข้าใจ แต่เหมือนว่าจะยังไม่คลายความสงสัย เพราะกลีบบัวขมวดคิ้วอย่างกับมีคำคาใจ“เรียกร้องความสงสารไง ยัยเจ้านางน้อยอัปสรานั่นจะได้บทเรียนซะบ้าง ท่าทางกร่างเหลือเกิน”“ถ้าหากว่าโดนจับได้ขึ้นมาล่ะเพคะ” กลีบบัวดูกังวล“ไม่หรอกน่า เจ้าหลวงก็ทรงตัดสินโทษแล้วไม่ใช่หรือไง ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไรคงไม่มีใครมารื้อฟื้นหรอก เพียงสตรีวิวาทหยอกล้อ ยิ่งใหญ่แค่เพียงปลายช้อนตักข้าว”“หม่อมฉันฟังประโยคสุดท้ายของเจ้านางน้อยเข้าใจเพคะ”“เป็นแบบนั้นแหละ...สบายใจได้ไม่มีใครรื้อฟื้นเรื่องวันนี้หรอก”“แต่วาจานี้หม่อมฉันไม่เข้าใจเพคะ”“เดี๋ยวก็ชิน ไปอาบน้ำกันเถอะเริ่มจะคันแล้ว”“เพคะ”จากนั้นกลีบบัวก็พาฉันไปอาบ
Comments