วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง
หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท
“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้
เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง
“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่องเจ็บตัว เอ่อ เมียจ๋า สามีไม่รู้เรื๊องงงง
“ฮึก เหตุใดท่านจึงใจร้ายกับข้าเช่นนี้ ข้าหรืออุตส่าห์หวังดี เห็นว่าภรรยาท่านไม่ว่างหาอาหารมาให้ท่าน ข้าจึงอาสามาดูแลท่าน ท่านกลับไล่ข้าแบบนี้ได้อย่างไร ฮือ”
หญิงสาวตรงหน้าเฟยหยุน จู่ ๆ ก็บีบน้ำตาออกมาเสียอย่างนั้น จนทำเอาเฟยหยุนไม่รู้จะทำอย่างไรเช่นกันตอนนี้ เขากลัวเมียก็กลัว กลัวหญิงบ้าตรงหน้าก็กลัวเช่นกัน ฮือ เขาอยากร้องไห้
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีหันรีหันขวางไม่รู้จะทำอย่างไรกับคนที่กำลังร้องไห้อยู่ตรงหน้าเขา นางจึงเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยกับสามีนางว่า
“เจ้าอยากมีเมียน้อย?” นางเลิกคิ้วข้างหนึ่งถามสามีที่หน้าซีดจากคำถามนาง
“ภรรยา เจ้าอย่าใส่ร้ายข้า ข้าไม่เคยอยากมีเมียน้อยอย่างที่เจ้าว่าสักนิด แม้แต่คิดก็ไม่เค๊ยยยไม่เคย ภรรยาจ๋า เดี๋ยวข้าให้คนไล่นางไป เจ้าใจเย็นก่อน”
เฟยหยุนรีบตะโกนเรียกคนของตำหนักเมฆาดับให้จับผู้หญิงตรงหน้าเขาไปสืบสวนทันที เขาว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องหลังแน่ ร้อยวันพันปีไม่เคยมีใครมายุ่งกับเขา แต่นี่อะไรกัน เขากับภรรยาเพิ่งมาที่นี่เป็นวันที่สองก็มีเรื่องแล้ว ฮึ่ย อย่าให้ข้ารู้นะว่าใคร ข้าจะจับมันมาถลกหนังเสียให้เข็ด
ชิวเพ่ยเพ่ยได้ยินสามีสั่งคนของนาง นางจึงบอกพวกเขาเพิ่มอีกหนึ่งประโยค
“ยัดอาหารที่นางนำมาให้นางกินเข้าไปให้หมด ในเมื่อนางอยากวางยาปลุกกำหนัดสามีข้านัก ข้าก็จะให้นางลองมีกำหนัดดูบ้าง ข้าอยากรู้จริง ๆ ว่าครานี้นางจะมีสามีกี่คน”
นางพูดด้วยใบหน้าเย็นชา ไม่ได้มีเมตตาดังเช่นเวลารักษาผู้คนแม้สักนิด เหล่าชาวบ้านที่รอการรักษาต่างตกตะลึง อื้อหือ ท่านหมอหญิงใจบุญช่างโหดร้ายได้ใจอีช้อยนัก ใช่ว่าชาวบ้านจะชอบใจที่หญิงร่านคนนั้นเข้าหาสามีท่านหมอ แต่พวกเขาเป็นเพียงชาวบ้านยากจนจึงกลัวว่าจะไปเตะแผ่นเหล็กเข้านะซี
แต่ก่อนที่คนของนางจะลากตัวหญิงสาวเจ้าปัญหาไป กลับมีเจ้าหน้าที่ทางการรีบวิ่งมาห้ามเอาไว้เสียก่อน พวกเขาบอกว่าน่าจะเป็นการเข้าใจผิด หญิงสาวคนนี้เป็นน้องสาวของขุนนางท่านหนึ่งในกรมอาญา พวกเขาเพิ่งได้รับข่าวว่านางมาก่อเรื่องที่นี่จึงรีบตามมาจัดการนางให้
ชิวเพ่ยเพ่ยมองกลุ่มคนตรงหน้านางอย่างดูถูก หึ คำพูดหลอกเด็กเช่นนี้กลับกล้าพูดออกมาได้ พวกเขาไม่รู้หรือว่าที่นี่ที่ไหน
หัวหน้าสาขาเห็นสีหน้ามืดมนของอดีตเจ้าตำหนักของเขาแล้วก็หวาดกลัวจนขนทั้งตัวลุกซู่ชูชัน ใครกันที่หาเรื่องตาย พวกมันมีสมองหมูกันหรืออย่างไร ช่างหาเรื่องให้สาขาของเขาลำบากเสียจริง
“พวกเจ้ากลับไปเสีย เรื่องนี้ตำหนักเมฆาดับจะจัดการเอง” หัวหน้าสาขาไม่สนใจที่จะให้หน้ากับเจ้าหน้าที่แม้แต่สักนิด
“เฮ้ มันจะมากเกินไปแล้วนะหลงจู๊ พวกข้าเป็นถึงเจ้าหน้าที่ทางการที่มาจัดการเรื่องให้พวกเจ้า แต่พวกเจ้าไม่ยอมรับความหวังดีไม่พอ ยังกล้าไล่พวกข้าไปอีกหรือ เจ้าไม่กลัวว่าข้าจะให้ทหารมารื้อร้านของพวกเจ้าหรืออย่างไร” เจ้าหน้าที่หนุ่มผู้โง่เขลายังตะโกนปาว ๆ อย่างเย่อหยิ่ง
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
เตียวเฟยหลิว ลูกสาวคนเดียวของตำหนักนักฆ่าเมฆาดับ ตกหลุมรัก ชิวกัง ขุนนางขั้นห้ากรมโยธาผู้แสนหล่อเหลาและอ่อนโยนเข้าให้ นางทำทุกวิธีทางเพื่ออ่อยเขา กระทั่งชายผู้ไม่ทันกับเล่ห์เหลี่ยมสตรีตกหลุมรักนางเข้าจนได้ เตียวหย่งไจ้ผู้เป็นพ่อ เมื่อรู้ว่าลูกสาวทำอะไรลงไปก็คัดค้านหัวชนฝา เขามีลูกสาวเพียงคนเดียวไว้สืบทอดตำหนักที่สร้างมากับภรรยาอย่างยากลำบาก นางจะมีสามีอ่อนแอและหน่อมแน้มแบบนี้น่ะหรือ เขารับไม่ด๊ายยยยย เจียวไฉ่หลานผู้เป็นภรรยา หลังฟังสามีพร่ำบ่นจนปวดประสาท นางเพียงเอ่ยเอื้อนกลับไปหาสามีประโยคเดียวว่า“เจ้าเฒ่าน่าตาย แล้วใครกันตามใจลูกจนเสียคน ข้าบอกเจ้านานแล้วให้สั่งสอนนางให้ดี แล้วทีนี้เจ้าจะพูดมากให้ข้ารำคาญทำไม ฮึ่ย” เตียวหย่งไจ้เมื่อเห็นภรรยารักชักจะโกรธจริงกลับไม่กล้าหือ เขากลัวต้องออกไปนอนนอกห้องที่สุด การนอนกอดภรรยา เป็นสิ่งสำคัญมากกว่าลูกสาวเจ้าเล่ห์มากนัก ใครใช้ให้ตอนเด็ก ๆ นางช่างออเซาะและฉอเลาะเรียกเขาท่านพ่อเจ้าคะ ท่านพ่อเจ้าขาตลอดเวลาเล่า เขาที่ไม่อยากให้ภรรยารักเจ็บปวดจากการคลอดลูกจึงยอมตัดใจมีนางเป็นลูกสาวคนเดียว ทั้งที่เขาก็สั่งสอน
เตียวเฟยหลิวและชิวกังอยู่กันอย่างมีความสุข ในปีแรกที่แต่งงานเตียวเฟยหลิวก็ท้องแล้ว ยิ่งนางท้องนางยิ่งติดหนึบกับสามี สามีผู้แสนอ่อนโยนยังตามอกตามใจภรรยารักเสียผู้คนในจวนต่างกินอาหารสุนัขแทนข้าว ขนาดว่าเตียวเฟยหลิวท้องโย้เสียขนาดนี้ ชิวกังยังทั้งรักทั้งหลงนางเหมือนวันแรก ส่วนพ่อแม่สามีที่เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้รักกันยิ่งสนับสนุน มีเพียงเหล่าบ่าวรับใช้ที่ชิวกังเจียดเงินเดือนจ่ายค่าจ้างหลังซื้อตัวมานั่นแหละที่เฝ้าแต่อิจฉาตาร้อนในวาสนาของเตียวเฟยหลิว พวกเขาไม่กล้าแสดงฤทธิ์เดชใส่ฮูหยินผู้นี้หรอกหนา เพราะเห็นตัวอย่างบ่าวคนเก่าตั้งแต่นางเข้ามารักษาตัวในจวนแล้วเองกับตา ว่าฮูหยินผู้นี้ทำร้ายบ่าวคนนั้นอย่างโหดร้ายเพียงใด แถมยังมีองครักษ์ลับที่มาช่วยโยนบ่าวนิสัยเสีย หวังขึ้นเตียงนายน้อยคนนี้เข้าป่าไปให้หมากินอีก พวกเขามีหรือจะกล้า กระทั่งเตียวเฟยหลิวคลอดบุตรสาวออกมา ชิวกังเห็นสภาพภรรยาทุกข์ทรมานในวันคลอดก็ยื่นคำขาดไม่ขอมีบุตรอีก ถึงจะได้ลูกสาวเขาก็รักไม่ต่างจากลูกชาย พ่อกับแม่เขาเองก็ไม่รังเกียจหลานสาวตัวแดง ๆ คนนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรลูกชายพวกเขาก็เป็นแค่ขุนนางตัวเล็ก ๆ
สี่วันต่อมา รถม้าสองคันก็มาถึงหน้าจวนตระกูลชิว ครอบครัวชิวมายืนต้อนรับพ่อตาแม่ยายกันพร้อมหน้าพร้อมตา หลานสาวตัวน้อยยังเรียกท่านตา ท่านยายอย่างอ่อนหวาน ท่านตาผู้เห็นกิริยามารยาทของหลานสาวที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวกับลูกสาวเขาได้แต่อิจฉา เขาหรือก็อยากให้ลูกสาวเขาเป็นแบบนี้บ้าง แต่นางนั้นหรือก็มีแต่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไปทุกที จนเขาไม่รู้ว่านางไปได้นิสัยนี้จากใครมา ( ʢᵕ﹏ᵕʡ เจียวไฉ่หลาน : แกไงไอ้แก่) เตียวหย่งไจ้ให้คนของเขายกของฝากหลายกล่องเข้าไปในห้องโถงรับแขก เจียวไฉ่หลานให้คนเปิดกล่องให้ครอบครัวลูกเขยดูทั้งหมด ครั้งนี้พวกเขานำมาเพียงเล็กน้อยแค่ห้ากล่องเท่านั้น แต่คนตระกูลชิวพากันมองตาแทบถลน ในกล่องใบแรกเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทองของมีค่า กล่องที่สองอัดแน่นไปด้วยเครื่องประดับและหยก กล่องที่สามเป็นผ้าเนื้อดีหายากที่แม้แต่สิ่งของบรรณาการจากต่างแคว้นยังสู้ไม่ได้ กล่องที่สี่เป็นก้อนเงินตำลึงอัดจนไม่มีที่ว่าง และกล่องที่ห้ายังมียาบำรุงสุดแสนล้ำค่ามากมาย“ท่านพ่อตา แม่ยายขอรับ ข้าไม่กล้ารับของมีค่าพวกนี้หรอกนะขอรับ แค่พวกท่านมาเยี่ยมด้วยใจ พวกข้าก็ดีใจมากแล้ว” ชิวกังหล
“ยังไงข้าก็ไม่ไป!!! ถ้าท่านอยากได้ผู้สืบทอด ท่านก็เอาเพ่ยเพ่ยไปสิ ข้าเห็นท่านทั้งรักทั้งหลงนางอย่างกับอะไรดี” เตียวเฟยหลิวรีบผลักลูกสาวตัวน้อยวัยห้าขวบไปให้ผู้เป็นพ่อทันที“บ๊ะ เพ่ยเพ่ยยังเล็กนัก เจ้าจะให้นางไปดูแลตำหนักแทนข้าได้อย่างไร หลานสาวข้าที่กิริยามารยาทเรียบร้อยขนาดนี้ ข้าจะหักใจให้นางเรียนวรยุทธแล้วกลายเป็นม้าดีดกะโหลกเหมือนเจ้าน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ!” เตียวหย่งไจ้เถียงลูกสาวคอเป็นเอ็น เขาไม่อยากให้หลานสาวเขาได้นิสัยแย่ ๆ ของลูกสาวตัวดีมานี่นา“อ้าว แล้วทีตอนข้าอายุห้าขวบ ทำไมท่านบังคับสอนข้าทั้งที่ข้าไม่ต้องการเล่า ท่านรักข้าน้อยกว่าลูกสาวของข้าเหรอ ฮือ ʕ ´•̥̥̥ ᴥ•̥̥̥`ʔ ท่านแม่ ท่านพ่อไม่รักข้าจริง ๆ” เตียวเฟยหลิวรีบใช้วิชามารน้ำตาจระเข้ของนางเข้าไปออดอ้อนท่านแม่ทันที เจียวไฉ่หลานได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ลูกสาวไปตามประสา นางรู้ว่าลูกสาวเสแสร้ง แต่ตัดใจทำใจร้ายกับนางไม่ลง ใครใช้ให้นางคลอดเด็กคนนี้มาเล่า เฮ้อ“เอาล่ะ ๆ เลิกร้องได้แล้วอาหลิว ตาเฒ่า เจ้าก็หาอาจารย์มาสอนเพ่ยเพ่ยเสียเถอะ ในเมื่อลูกสาวเจ้าไม่อยากสืบทอดก็ปล่อยนางไป ข้าจะลองคุยกับเพ่ยเพ่ยให้เองว่านางต้องการหรือไม่
สามวันต่อมา เตียวหย่งไจ้ออกจากตระกูลชิวไปรับรองเพื่อนรัก เขาขอให้เพื่อนลอบเข้าจวนไปสอนหลานสาวช่วงที่คนในจวนนอนหลับ สำหรับพื้นฐานวรยุทธของตระกูล เขาบังคับลูกสาวตัวแสบถ่ายทอดให้เพ่ยเพ่ย หลังพูดคุยกับเพื่อนจนเข้าใจ เตียวหย่งไจ้รีบกลับจวนไปรายงานภรรยาสุดที่รักทันที เจียวไฉ่หลานเองก็ไม่ชักช้า นางรีบบอกหลานสาวถึงเวลาที่นางต้องฝึกฝน เด็กน้อยเพ่ยเพ่ยผู้ไร้เดียงสาไม่รู้เลยว่าถูกท่านยายหลอกเข้าให้แล้ว สองตายายหลังสะสางเรื่องราวหลานสาว พวกเขารีบหนีออกจากจวนชิวโดยไม่อยู่รอทานข้าวเย็นเสียด้วยซ้ำ พฤติกรรมของพวกเขาสร้างความงุนงงให้ในคนตระกูลชิว แต่สำหรับลูกสาวของพวกเขานั้น นี่เป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดา พวกเขาคงกลัวว่าหลานสาวสุดที่รักจะโกรธเคือง จึงรีบเผ่นหนีกันจนฝุ่นตลบ เป็นนางเสียอีกที่ต้องเจียดเวลาแสดงความรักกับสามี มาสอนคุณหนูแสนดีของตระกูลชิวไม่พอ พ่อจอมบงการยังทิ้งเรื่องตำหนักให้คนส่งข่าวมาถึงนางหากมีสิ่งที่พ่อบ้านจัดการไม่ได้ด้วย เฮ้อ~~ นางขอลาออกจากการเป็นลูกของพวกเขาตอนนี้ยังทันไหม เด็กน้อยชิวเพ่ยเพ่ยผู้ไร้เดียงสา ตั้งแต่ท่านยายคนสวยช่วยหาคนสอนวรยุทธให
ชิวเพ่ยเพ่ยใช้เวลาเดินทางจากเมืองหลวงถึงตำหนักเมฆาดับถึงสามวันเต็ม นางไปอย่างไม่เร่งรีบตามที่ท่านตากำชับมา นางจำได้ว่าที่นางต้องตกไปอยู่ในมือท่านแม่ก็เพราะสาเหตุที่ท่านยายถามนางว่าอยากเรียนรู้วรยุทธหรือไม่ พอมาถึงตอนนี้นางขี้เกียจที่จะโกรธเคืองผู้อาวุโสของนางแล้ว ไหน ๆ ก็เรียนมาขนาดนี้แล้ว แถมท่านตายังยอมที่จะยกตำหนักพร้อมสมบัติสูงกองท่วมหัวให้นางอีก นางมีหรือจะปฏิเสธความร่ำรวย เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าท่านแม่ร่ำรวย นางเพิ่งรู้เรื่องนี้หลังจากท่านตากับท่านยายแอบมาเยี่ยมนางในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี่เอง ท่านพ่อนางเป็นขุนนางน้ำดีที่แสนจะสมถะ ของดี ๆ บ้านนางไม่เคยมีใส่กับเขาหรอก พวกนางสวมเพียงเสื้อผ้าเนื้อดีกว่าบ่าวรับใช้นิดหน่อยเท่านั้นมาตลอดตั้งแต่นางเกิดจนโตเอาป่านนี้ ตอนนั้นนางก็นึกว่าบ้านนางไม่มีเงินทองเหมือนตระกูลขุนนางอื่น ที่นางเห็นพวกเขาสวมชุดผ้าไหม เดินกรีดกรายไปทั่วตลาดพวกนั้นเสียอีก ที่ไหนได้เป็นท่านแม่นางที่ไม่อยากทำให้ครอบครัวท่านพ่อเป็นจุดเด่น จึงได้ทำตัวดังเช่นอดีตจนถึงปัจจุบัน นางอยากบอกท่านแม่เสียจริง ๆ ว่านี่มันสมัยไหนแล้ว แถมท่านตากับท่านยายยังเก่
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ