เตียวเฟยหลิวและชิวกังอยู่กันอย่างมีความสุข ในปีแรกที่แต่งงานเตียวเฟยหลิวก็ท้องแล้ว ยิ่งนางท้องนางยิ่งติดหนึบกับสามี สามีผู้แสนอ่อนโยนยังตามอกตามใจภรรยารักเสียผู้คนในจวนต่างกินอาหารสุนัขแทนข้าว ขนาดว่าเตียวเฟยหลิวท้องโย้เสียขนาดนี้ ชิวกังยังทั้งรักทั้งหลงนางเหมือนวันแรก ส่วนพ่อแม่สามีที่เห็นลูกชายกับลูกสะใภ้รักกันยิ่งสนับสนุน มีเพียงเหล่าบ่าวรับใช้ที่ชิวกังเจียดเงินเดือนจ่ายค่าจ้างหลังซื้อตัวมานั่นแหละที่เฝ้าแต่อิจฉาตาร้อนในวาสนาของเตียวเฟยหลิว พวกเขาไม่กล้าแสดงฤทธิ์เดชใส่ฮูหยินผู้นี้หรอกหนา เพราะเห็นตัวอย่างบ่าวคนเก่าตั้งแต่นางเข้ามารักษาตัวในจวนแล้วเองกับตา ว่าฮูหยินผู้นี้ทำร้ายบ่าวคนนั้นอย่างโหดร้ายเพียงใด แถมยังมีองครักษ์ลับที่มาช่วยโยนบ่าวนิสัยเสีย หวังขึ้นเตียงนายน้อยคนนี้เข้าป่าไปให้หมากินอีก พวกเขามีหรือจะกล้า
กระทั่งเตียวเฟยหลิวคลอดบุตรสาวออกมา ชิวกังเห็นสภาพภรรยาทุกข์ทรมานในวันคลอดก็ยื่นคำขาดไม่ขอมีบุตรอีก ถึงจะได้ลูกสาวเขาก็รักไม่ต่างจากลูกชาย พ่อกับแม่เขาเองก็ไม่รังเกียจหลานสาวตัวแดง ๆ คนนี้เช่นกัน ถึงอย่างไรลูกชายพวกเขาก็เป็นแค่ขุนนางตัวเล็ก ๆ สมบัติพัสสถานอันใดก็ไม่มี แล้วจะไปถือสาเรื่องผู้สืบทอดให้โกรธเคืองกันในครอบครัวไปทำไม
เตียวเฟยหลิวฟังคำสามีอย่างไม่อิดออด นางเองก็เจ็บปวดไม่น้อยจริง ๆ ก่อนจะท้องมันก็สนุกอยู่หรอก แต่พอตอนคลอดนี่สิ มันช่างแสนจะทรมาน นางดีใจที่พ่อแม่สามีเห็นด้วยเช่นเดียวกัน ไม่อย่างนั้นที่บ้านคงเปิดศึกกันแน่
ครอบครัวชิวเลี้ยงดูชิวเพ่ยเพ่ยมาเป็นอย่างดี พวกเขาทะนุถนอมหลานสาวแสนน่ารักคนนี้ดั่งไข่ในหิน บ่าวไพร่คนใดกล้ากลั่นแกล้งนางหรือทำนางร้องไห้ พวกเขาเป็นต้องขายออกไปเสียทุกราย กระทั่งตอนนี้ในจวนมีแต่คนในตำหนักของเตียวเฟยหลิวที่ท่านพ่อของนางส่งมาดูแลแทบทั้งนั้น เตียวเฟยหลิวเองก็พอใจไม่น้อย ยิ่งสามีนางทำงานดีเท่าไหร่ ย่อมมีศัตรูคอยพยายามหาทางกลั่นแกล้งไปเสียทุกครั้ง
เตียวเฟยหลิวช่วยสามีจัดการอยู่เบื้องหลังมาตลอดตั้งแต่แต่งงาน โดยที่เขาเองไม่เคยระแคะระคายมาก่อนเลยว่า คนพวกนั้นที่คอยแต่ข่มเหงรังแกเขาในกรมโยธาหายตัวไปไหน เขายังคงทำหน้าที่ต่อไปอย่างซื่อสัตย์ กระทั่งสี่ปีต่อมาก็ได้รับการเลื่อนขั้นเป็นขุนนางขั้นสี่ มีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยของรองเสนาบดีกรมโยธา ทำให้ยิ่งมีตระกูลขุนนางใหญ่ทั้งหลายคอยสร้างปัญหามากยิ่งขึ้น พวกเขาต้องการให้คนในตระกูลรับตำแหน่งนั้นแทน เนื่องจากพวกเขาสามารถยักยอกเงินไม่น้อยจากตำแหน่งนั้น
ติดที่เตียวเฟยหลิวคอยจัดการเรื่องราวต่าง ๆ จนตระกูลใหญ่ทั้งหลายที่เคยส่งคนมาฆ่าขุนนางชิวไม่กล้าเหิมเกริมอีก เพราะเตียวเฟยหลิวโยนศพนักฆ่าหน้าประตูจวนพวกเขาเป็นว่าเล่น ตลอดระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ที่พวกเขาส่งคนไป จนทำให้กรมอาญาเริ่มสงสัย แถมฮ่องเต้ยังสั่งสืบสวนเพิ่มไปอีก นับแต่นั้น พวกเขาก็เก็บหัวซ่อนหาง ไม่กล้ากระทำการเหิมเกริมอีกเลย ทำให้การสืบสวนที่กำลังดำเนินอยู่สาวไปไม่ถึงไหน ฮ่องเต้แสนเสียดายที่ไม่ได้กำจัดขุนนางฉ้อฉลพวกนี้ในคราวเดียว
เตียวเฟยหลิวใช้เวลาเกือบหนึ่งปีในการจัดการตระกูลต่าง ๆ ให้สามีของนางหลังจากเขาหลับ กระทั่งปีนี้ลูกสาวนางอายุได้ห้าขวบปีแล้ว อยู่ดีดีท่านพ่อให้คนนำจดหมายมา เนื้อหาแจ้งว่าจะมาเยี่ยมนางกับหลานเสียอย่างนั้น ทั้งที่ปกติแล้ว ท่านพ่อของนางมักจะแวบไปแวบมาที่จวนนางออกจะบ่อย มีเพียงท่านแม่ของนางที่ขี้เกียจเดินทางจึงไม่ค่อยได้มา แต่ทุกปีพวกท่านจะแอบมาเยี่ยมอยู่ตลอด ด้านพ่อแม่สามีไม่เคยสงสัยอะไร ในเมื่อพวกท่านอยากมาแบบเป็นทางการก็ปล่อยให้มาเถอะ
วันรุ่งขึ้น เตียวเฟยหลิวแจ้งให้สามีและครอบครัวทราบในมื้อเช้าว่าพ่อกับแม่นางจะมาเยี่ยม พวกท่านเพียงถามวันที่จะมาถึงเท่านั้น แล้วสั่งบ่าวไพร่ไปจัดเตรียมห้องพักให้พวกเขา ความจริงนางอยากซื้อจวนใหม่ใหญ่กว่านี้ แต่สามีผู้แสนดีกลัวว่าภรรยาจะยากจนเพราะครอบครัวเขา จึงไม่อนุญาต เขายังบอกว่าครอบครัวเล็ก ๆ ก็ควรอยู่กันอบอุ่นแบบนี้ดีกว่า นางจึงได้แต่พยักหน้าตามความต้องการของสามีที่รัก เฮ้อ เงินทองนางกองจะท่วมห้องเก็บของแล้วเนี่ย ทำไมครอบครัวนางประหยัดเสียจริง ๆ
สี่วันต่อมา รถม้าสองคันก็มาถึงหน้าจวนตระกูลชิว ครอบครัวชิวมายืนต้อนรับพ่อตาแม่ยายกันพร้อมหน้าพร้อมตา หลานสาวตัวน้อยยังเรียกท่านตา ท่านยายอย่างอ่อนหวาน ท่านตาผู้เห็นกิริยามารยาทของหลานสาวที่ต่างกันราวฟ้ากับเหวกับลูกสาวเขาได้แต่อิจฉา เขาหรือก็อยากให้ลูกสาวเขาเป็นแบบนี้บ้าง แต่นางนั้นหรือก็มีแต่เล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวไปทุกที จนเขาไม่รู้ว่านางไปได้นิสัยนี้จากใครมา ( ʢᵕ﹏ᵕʡ เจียวไฉ่หลาน : แกไงไอ้แก่) เตียวหย่งไจ้ให้คนของเขายกของฝากหลายกล่องเข้าไปในห้องโถงรับแขก เจียวไฉ่หลานให้คนเปิดกล่องให้ครอบครัวลูกเขยดูทั้งหมด ครั้งนี้พวกเขานำมาเพียงเล็กน้อยแค่ห้ากล่องเท่านั้น แต่คนตระกูลชิวพากันมองตาแทบถลน ในกล่องใบแรกเต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทองของมีค่า กล่องที่สองอัดแน่นไปด้วยเครื่องประดับและหยก กล่องที่สามเป็นผ้าเนื้อดีหายากที่แม้แต่สิ่งของบรรณาการจากต่างแคว้นยังสู้ไม่ได้ กล่องที่สี่เป็นก้อนเงินตำลึงอัดจนไม่มีที่ว่าง และกล่องที่ห้ายังมียาบำรุงสุดแสนล้ำค่ามากมาย“ท่านพ่อตา แม่ยายขอรับ ข้าไม่กล้ารับของมีค่าพวกนี้หรอกนะขอรับ แค่พวกท่านมาเยี่ยมด้วยใจ พวกข้าก็ดีใจมากแล้ว” ชิวกังหล
“ยังไงข้าก็ไม่ไป!!! ถ้าท่านอยากได้ผู้สืบทอด ท่านก็เอาเพ่ยเพ่ยไปสิ ข้าเห็นท่านทั้งรักทั้งหลงนางอย่างกับอะไรดี” เตียวเฟยหลิวรีบผลักลูกสาวตัวน้อยวัยห้าขวบไปให้ผู้เป็นพ่อทันที“บ๊ะ เพ่ยเพ่ยยังเล็กนัก เจ้าจะให้นางไปดูแลตำหนักแทนข้าได้อย่างไร หลานสาวข้าที่กิริยามารยาทเรียบร้อยขนาดนี้ ข้าจะหักใจให้นางเรียนวรยุทธแล้วกลายเป็นม้าดีดกะโหลกเหมือนเจ้าน่ะเหรอ ฝันไปเถอะ!” เตียวหย่งไจ้เถียงลูกสาวคอเป็นเอ็น เขาไม่อยากให้หลานสาวเขาได้นิสัยแย่ ๆ ของลูกสาวตัวดีมานี่นา“อ้าว แล้วทีตอนข้าอายุห้าขวบ ทำไมท่านบังคับสอนข้าทั้งที่ข้าไม่ต้องการเล่า ท่านรักข้าน้อยกว่าลูกสาวของข้าเหรอ ฮือ ʕ ´•̥̥̥ ᴥ•̥̥̥`ʔ ท่านแม่ ท่านพ่อไม่รักข้าจริง ๆ” เตียวเฟยหลิวรีบใช้วิชามารน้ำตาจระเข้ของนางเข้าไปออดอ้อนท่านแม่ทันที เจียวไฉ่หลานได้แต่ลูบหลังลูบไหล่ลูกสาวไปตามประสา นางรู้ว่าลูกสาวเสแสร้ง แต่ตัดใจทำใจร้ายกับนางไม่ลง ใครใช้ให้นางคลอดเด็กคนนี้มาเล่า เฮ้อ“เอาล่ะ ๆ เลิกร้องได้แล้วอาหลิว ตาเฒ่า เจ้าก็หาอาจารย์มาสอนเพ่ยเพ่ยเสียเถอะ ในเมื่อลูกสาวเจ้าไม่อยากสืบทอดก็ปล่อยนางไป ข้าจะลองคุยกับเพ่ยเพ่ยให้เองว่านางต้องการหรือไม่
สามวันต่อมา เตียวหย่งไจ้ออกจากตระกูลชิวไปรับรองเพื่อนรัก เขาขอให้เพื่อนลอบเข้าจวนไปสอนหลานสาวช่วงที่คนในจวนนอนหลับ สำหรับพื้นฐานวรยุทธของตระกูล เขาบังคับลูกสาวตัวแสบถ่ายทอดให้เพ่ยเพ่ย หลังพูดคุยกับเพื่อนจนเข้าใจ เตียวหย่งไจ้รีบกลับจวนไปรายงานภรรยาสุดที่รักทันที เจียวไฉ่หลานเองก็ไม่ชักช้า นางรีบบอกหลานสาวถึงเวลาที่นางต้องฝึกฝน เด็กน้อยเพ่ยเพ่ยผู้ไร้เดียงสาไม่รู้เลยว่าถูกท่านยายหลอกเข้าให้แล้ว สองตายายหลังสะสางเรื่องราวหลานสาว พวกเขารีบหนีออกจากจวนชิวโดยไม่อยู่รอทานข้าวเย็นเสียด้วยซ้ำ พฤติกรรมของพวกเขาสร้างความงุนงงให้ในคนตระกูลชิว แต่สำหรับลูกสาวของพวกเขานั้น นี่เป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดา พวกเขาคงกลัวว่าหลานสาวสุดที่รักจะโกรธเคือง จึงรีบเผ่นหนีกันจนฝุ่นตลบ เป็นนางเสียอีกที่ต้องเจียดเวลาแสดงความรักกับสามี มาสอนคุณหนูแสนดีของตระกูลชิวไม่พอ พ่อจอมบงการยังทิ้งเรื่องตำหนักให้คนส่งข่าวมาถึงนางหากมีสิ่งที่พ่อบ้านจัดการไม่ได้ด้วย เฮ้อ~~ นางขอลาออกจากการเป็นลูกของพวกเขาตอนนี้ยังทันไหม เด็กน้อยชิวเพ่ยเพ่ยผู้ไร้เดียงสา ตั้งแต่ท่านยายคนสวยช่วยหาคนสอนวรยุทธให
ชิวเพ่ยเพ่ยใช้เวลาเดินทางจากเมืองหลวงถึงตำหนักเมฆาดับถึงสามวันเต็ม นางไปอย่างไม่เร่งรีบตามที่ท่านตากำชับมา นางจำได้ว่าที่นางต้องตกไปอยู่ในมือท่านแม่ก็เพราะสาเหตุที่ท่านยายถามนางว่าอยากเรียนรู้วรยุทธหรือไม่ พอมาถึงตอนนี้นางขี้เกียจที่จะโกรธเคืองผู้อาวุโสของนางแล้ว ไหน ๆ ก็เรียนมาขนาดนี้แล้ว แถมท่านตายังยอมที่จะยกตำหนักพร้อมสมบัติสูงกองท่วมหัวให้นางอีก นางมีหรือจะปฏิเสธความร่ำรวย เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าท่านแม่ร่ำรวย นางเพิ่งรู้เรื่องนี้หลังจากท่านตากับท่านยายแอบมาเยี่ยมนางในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี่เอง ท่านพ่อนางเป็นขุนนางน้ำดีที่แสนจะสมถะ ของดี ๆ บ้านนางไม่เคยมีใส่กับเขาหรอก พวกนางสวมเพียงเสื้อผ้าเนื้อดีกว่าบ่าวรับใช้นิดหน่อยเท่านั้นมาตลอดตั้งแต่นางเกิดจนโตเอาป่านนี้ ตอนนั้นนางก็นึกว่าบ้านนางไม่มีเงินทองเหมือนตระกูลขุนนางอื่น ที่นางเห็นพวกเขาสวมชุดผ้าไหม เดินกรีดกรายไปทั่วตลาดพวกนั้นเสียอีก ที่ไหนได้เป็นท่านแม่นางที่ไม่อยากทำให้ครอบครัวท่านพ่อเป็นจุดเด่น จึงได้ทำตัวดังเช่นอดีตจนถึงปัจจุบัน นางอยากบอกท่านแม่เสียจริง ๆ ว่านี่มันสมัยไหนแล้ว แถมท่านตากับท่านยายยังเก่
“คารวะท่านตา ท่านยายเจ้าค่ะ” ชิวเพ่ยเพ่ยย่อกายคารวะผู้อาวุโสอย่างสวยงามตามแบบที่อาจารย์สอนมารยาทที่ท่านพ่อเสียเงินจ้างมาสอนนาง“ไฮ้ เจ้าจะมากพิธีไปไยเพ่ยเพ่ย มาให้ตาดูสิว่าเจ้าสูงแค่ไหนแล้ว” เตียวหย่งไจ้ผู้คลั่งไคล้หลานสาวมากกว่าบุตรสาวรีบเรียกนางเข้ามาใกล้ในทันใด“มาให้ยายกอดให้หายคิดถึงด้วยซิเพ่ยเพ่ย” เจียวไฉ่หลานเองก็คิดถึงหลานสาวที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อยในตอนกลางวันคนนี้ไม่น้อย ชิวเพ่ยเพ่ยเดินก้าวเล็กไปให้ท่านตามองดูไม่นาน นางก็เดินเข้าไปสวมกอดท่านยายอย่างรักใคร่ สองผู้ชรารีบจับมือหลานสาวเข้าไปนั่งพักด้านใน ส่วนของฝากที่ท่านพ่อฝากมานั้นนางให้คนขับรถม้านำไปให้พ่อบ้านเก็บเรียบร้อยแล้ว สองผู้ชราและหนึ่งเด็กสาวคุยกัันไม่นานนัก พวกเขากลัวหลานสาวจะเหนื่อยจากการเดินทางจึงรีบให้นางไปพักผ่อนก่อนทานมื้อค่ำสักหน่อย ชิวเพ่ยเพ่ยที่อึดอัดอยู่ในรถม้ามานานมีหรือจะขัดใจเรื่องดี ๆ ที่ท่านตาท่านยายส่งมาให้ นางเดินตามบ่าวรับใช้ที่พ่อบ้านจัดไว้ให้ไปที่ห้องรับรอง อาหารค่ำมื้อนี้ล้วนแต่มีอาหารที่ชิวเพ่ยเพ่ยชอบเป็นหลัก สองผู้เฒ่าเอาอกเอาใจหลานสาวเสียจนบ่าวรับใช้แปลกใจ ปกติแล้
ชิวเพ่ยเพ่ยผู้แสนน่ารักตอนนี้โกรธจัดจนกลายเป็นแม่เสือสาวไปเสียแล้ว นางได้ยินว่าคนเลวพวกนี้ต้องการใช้ยาสกปรกครอบครองตัวนางแล้วบังคับท่านตากับท่านยายยกตำหนักนี้ให้พวกเขา หึ พวกมันกำลังฝัน!!! ชิวเพ่ยเพ่ยแฝงกายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย นางส่งยาพิษสารพัดที่สะสมไว้ในร่างกายด้วยพลังปราณ ไม่ถึงเค่อ คนพวกนั้นต่างอ่อนแรงและกระอักเลือดออกมา แถมพลังปราณที่สะสมไว้ชั่วชีวิตกลับหายไปเสียดื้อ ๆ นี่เป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุดที่นางสร้างด้วยตนเอง ในใต้หล้านี้ไม่มีใครแก้ได้แม้แต่หมอเทวดาที่ว่าสามารถยื้อชีวิตคนจากมัจจุราช กว่าท่านตากับท่านยายจะมาถึง คนพวกนี้ก็กลายเป็นคนธรรมดาไปเสียสิ้น เฮ้อ หลังจากนี้เรื่องน้อยใหญ่ในตำหนักคงไม่พ้นพวกเขาสองสามีภรรยาต้องคอยสะสางเอง คนพวกนี้มีประโยชน์สำหรับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้นี่แหละ พวกเขาจึงยังไว้ชีวิตอยู่ แต่ใครใช้ให้พวกมันเหิมเกริมถึงขนาดนัดกันพูดคุยอย่างไม่กลัวใครได้ยินแบบนี้เล่า“ท่านเจ้าตำหนักช่วยพวกเราด้วย” ผู้อาวุโสใหญ่เห็นเขาเหมือนดั่งเทวดาแล้วตอนนี้ จากเมื่อก่อนที่มีฝีมือสูสีกัน แต่ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่พลังปราณพอที่จะยืนเสียด้วยซ้ำ ทำได้แค่
ชิวเพ่ยเพ่ยกลับจากตำหนักเมฆาดับได้หลายวันแล้ว นางถูกท่านแม่ผู้แสนดีสั่งให้ออกไปเลือกปิ่นสำหรับงานปักปิ่นที่ใกล้จะถึงนี้ของนางด้วยตัวเอง ทั้งที่เรื่องแบบนี้ผู้เป็นแม่ต้องจัดหาให้นางไหม? เฮ้อ วันนี้นางจึงได้เดินออกมาจากบ้านพร้อมบ่าวคนสนิทเพียงคนเดียวของนางที่ชื่อเตียวเตียวคนนี้นี่เอง เตียวเตียวเป็นลูกสาวแม่ครัวที่ท่านย่าชอบในฝีมือการทำอาหาร นางจ้างแบบไปเช้าเย็นกลับมาตลอดหลายสิบปี พอเห็นว่าเตียวเตียวอายุมากกว่านางห้าปี เลยรับเข้ามาดูแลนางตอนอายุห้าขวบ ดีที่เตียวเตียวรู้ความ นางไม่เคยเอ่ยสิ่งที่นางรู้ให้พ่อกับแม่ของนางฟังแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ชิวเพ่ยเพ่ยไว้วางใจและช่วยเหลือนางไม่น้อยยามที่ครอบครัวนางลำบาก เป็นเพราะพี่ชายผู้ฟุ้งเฟ้อของนางที่สอบขุนนางได้แบบฉิวเฉียด เอาแต่คอยเรียกร้องเงินทองไปรองรับเหล่าคุณหนูและคุณชายเพื่อหวังไต่เต้าตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงนั่นแหละ ทำให้เตียวเตียวต้องเจียดเงินส่วนตัวไปช่วยเหลือพ่อแม่จนตัวเองแทบไม่มียาไส้ นางสงสารจึงคอยให้ทีละนิดละหน่อย ไม่อย่างนั้นพี่ชายสารเลวนั่นต้องมาปล้นสาวน้อยเตียวเตียวของนางแน่ เตียวเตียวที่เดินตามหลังคุณห
ชิวเพ่ยเพ่ยที่กลับมาจากร้านเครื่องประดับแล้ว นางนำกล่องเครื่องประดับไปให้ท่านแม่ตรวจสอบก่อน“เพ้ย นี่เจ้าไม่ได้ใช้ตาดูก่อนซื้อหรือเพ่ยเพ่ย เจ้าดูซิว่ามันจะใช้ในงานวันปักปิ่นของเจ้าพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ฮึ่ย” เตียวเฟยหลิวมองเครื่องประดับในกล่องที่ลูกสาวเลือกมาอย่างดูถูก ของราคาถูกแบบนี้จะมาใช้ในงานปักปิ่นลูกสาวนางได้ยังไงกัน ถ้าท่านพ่อท่านแม่รู้เข้า มีหวังตามมาฉีกอกนางแน่“อ้าว ก็ท่านแม่สั่งให้ข้าไปเลือกเองนี่เจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ข้าใช้แค่ของที่ท่านแม่กับท่านย่าให้มาทั้งนั้น” ชิวเพ่ยเพ่ยทำหน้าตาใสซื่อให้แม่คนดีของนาง ไม่อย่างนั้นแม่นาง จะกลายร่างระหว่างที่ท่านพ่อไม่อยู่เรือนอีกเป็นแน่ นางยังไม่อยากต่อสู้กับท่านแม่ตอนนี้นะ“เฮ้อ เอาล่ะ ๆ เจ้าไปรอที่เรือนไป เดี๋ยวแม่จะให้แม่นมเอาไปให้เจ้าพร้อมชุดที่เจ้าต้องสวมพรุ่งนี้ด้วย ส่วนพิธีการเจ้าคงรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหม” นางถอนหายใจแรงกับลูกสาวที่มีแววตาเดียวกับสามีไม่มีผิด พอจะต่อว่านางทีไรเป็นต้องหยุดเพราะแววตานี้ทุกทีสิน่า“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน” ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงกิริยามารยาทอันแช่มช้อยเอาไว้ไ
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ