ชิวเพ่ยเพ่ยที่กลับมาจากร้านเครื่องประดับแล้ว นางนำกล่องเครื่องประดับไปให้ท่านแม่ตรวจสอบก่อน
“เพ้ย นี่เจ้าไม่ได้ใช้ตาดูก่อนซื้อหรือเพ่ยเพ่ย เจ้าดูซิว่ามันจะใช้ในงานวันปักปิ่นของเจ้าพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ฮึ่ย” เตียวเฟยหลิวมองเครื่องประดับในกล่องที่ลูกสาวเลือกมาอย่างดูถูก ของราคาถูกแบบนี้จะมาใช้ในงานปักปิ่นลูกสาวนางได้ยังไงกัน ถ้าท่านพ่อท่านแม่รู้เข้า มีหวังตามมาฉีกอกนางแน่
“อ้าว ก็ท่านแม่สั่งให้ข้าไปเลือกเองนี่เจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ข้าใช้แค่ของที่ท่านแม่กับท่านย่าให้มาทั้งนั้น” ชิวเพ่ยเพ่ยทำหน้าตาใสซื่อให้แม่คนดีของนาง ไม่อย่างนั้นแม่นาง จะกลายร่างระหว่างที่ท่านพ่อไม่อยู่เรือนอีกเป็นแน่ นางยังไม่อยากต่อสู้กับท่านแม่ตอนนี้นะ
“เฮ้อ เอาล่ะ ๆ เจ้าไปรอที่เรือนไป เดี๋ยวแม่จะให้แม่นมเอาไปให้เจ้าพร้อมชุดที่เจ้าต้องสวมพรุ่งนี้ด้วย ส่วนพิธีการเจ้าคงรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหม” นางถอนหายใจแรงกับลูกสาวที่มีแววตาเดียวกับสามีไม่มีผิด พอจะต่อว่านางทีไรเป็นต้องหยุดเพราะแววตานี้ทุกทีสิน่า
“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน” ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงกิริยามารยาทอันแช่มช้อยเอาไว้ได้อย่างดี นี่เป็นเรื่องเดียวที่เตียวเฟยหลิวไม่สามารถเลียนแบบลูกสาวนางได้ ดีที่สามีนางชอบที่นางเป็นตัวของตัวเอง ไม่อย่างนั้นคงยากที่จะรักษาผู้ชายแสนดีแบบนี้เอาไว้แนบอก
ชิวเพ่ยเพ่ยเดินกลับเรือนไปรอตามท่านแม่สั่งอย่างเชื่อฟัง ไม่นานนักแม่นมก็มาพร้อมบ่าวอีกสองคน นางอธิบายชุดและเครื่องประดับให้คุณหนูของนางฟังอย่างละเอียด กระทั่งชิวเพ่ยเพ่ยพยักหน้ารับพร้อมรอยยิ้มการค้าให้นั่นแหละ แม่นมจึงพาบ่าวกลับเรือนท่านแม่ไปได้เสียที เฮ้อ ทำไมมันวุ่นวายนักนะกับอีแค่งานปักปิ่น
วันต่อมาฟ้ายังไม่สว่าง ชิวเพ่ยเพ่ยถูกแม่นมของท่านแม่นางมาปลุกให้เตรียมตัวตั้งแต่ไก่ยังไม่ตื่นนอน โอ้ยยยย นางง่วง ทำไมต้องรีบกันเสียขนาดนี้เนี่ย กว่างานจะเริ่มอีกตั้งหลายชั่วยาม นางวิ่งผ่านน้ำไม่ถึงครึ่งเค่อด้วยซ้ำ ฮือ ʕ ´•̥̥̥ ᴥ•̥̥̥`ʔ ท่านแม่รังแกนางอีกแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยที่โมโหมากจากการตื่นเช้า นางอยากอาละวาดให้จวนพลิกคว่ำเสียจริง ดีที่ยังจำคำเตือนท่านแม่ได้และเห็นแก่หน้าท่านพ่อผู้อ่อนโยน ไม่อย่างนั้นล่ะก็…
หลังอาหารเช้า คนในครอบครัวชิวต่างรอต้อนรับแขกเหรื่อที่ชิวกังเชิญมาร่วมงานปักปิ่นของบุตรสาวสุดที่รัก เขาสนิทกับขุนนางไม่มากนัก จึงได้เชิญมาเพียงสิบกว่าคนเท่านั้น อีกทั้งจวนของเขามีขนาดเล็ก ไม่สามารถรองรับแขกจำนวนมากได้ ครั้งนี้เขายังปรับปรุงลานด้านหลังเรือนหน้า ทำเป็นที่ทานอาหารหลังพิธีการในห้องโถงรับแขกเสร็จสิ้น ภรรยาคนดียังช่วยเขานำดอกไม้มาประดับตกแต่งอย่างสวยงามแปลกตา อ่า เขารักนางเสียจริง ๆ แม่ยอดรัก ??’•
ก่อนเวลาพิธีการเริ่มหนึ่งก้านธูป องค์ชายสามกับแม่ทัพเฟยมาถึงหน้าประตูโถงรับรองอย่างไม่มีใครคาดคิด ชิวกังเห็นคนใหญ่คนโตก็ตกใจจนเตียวเฟยหลิวสังเกตุได้ นางกระซิบถามสามีเสียงค่อย จนทราบว่าเขาไม่ได้เชิญสองคนนี้จริง ๆ นางหรี่ตามองสองหนุ่มน้อยตรงหน้าพร้อมประเมินสถานการณ์ว่าพวกเขามาทำอะไรที่นี่? ชิวกังชวนภรรยาต้อนรับก่อนตามมารยาท
“ถวายพระพรองค์ชายสาม คารวะท่านแม่ทัพ” สองสามีภรรยาคำนับเต็มพิธีการ
“ตามสบาย ข้าขอร่วมงานบ้านท่านในวันนี้ได้หรือไม่ขุนนางชิว ข้าได้ข่าวว่างานวันนี้ท่าทางจะสนุก ไม่รู้ว่าท่านจะรังเกียจข้ากับสหายหรือไม่” องค์ชายสามยังคงทำหน้าทะเล้นหยอกล้อเฟยหยุนที่อยากมางานหญิงในดวงใจแต่ไม่มีใครเชื้อเชิญ เขาจึงต้องใช้ประโยชน์จากองค์ชายสามจอมเกเรคนนี้
“เป็นเกียรติของตระกูลชิว ที่ฝ่าบาทกับท่านแม่ทัพเมตตามาร่วมงานพะย่ะค่ะ เชิญนั่งก่อนพะย่ะค่ะ” ชิวกังรีบตอบรับด้วยเกรงกลัวอาญา เขารู้ดีว่าองค์ชายสามผู้นี้ไม่ควรล้อเล่น จึงได้แต่พาไปนั่งในตำแหน่งสูงสุดและให้พ่อกับแม่ของเขาขยับลงมานั่งต่ำกว่าหนึ่งระดับจากแม่ทัพเฟย
“ไฮ้ เร็วเข้าสิไอ้แก่ เพราะแกมัวแต่ชักช้าขนของมาให้เพ่ยเพ่ยมากไปจนรถม้าแทบวิ่งไม่ไหวนี่แหละ เกือบมาไม่ทันงานหลานแล้วไหม ฮึ่ย ยัง ยังจะช้าอี๊กกก!!” เสียงเจียวไฉ่หลานดังมาแต่ไกล นางโมโหสามีเรื่องมากแทบตายแล้ว มีอย่างที่ไหน ขนกล่องสมบัติมาเสียเกือบ 20 กล่อง รถม้าคันนิดเดียวมันจะวิ่งไหวได้ยังไง เฮ้อ
“ช้าหน่อยภรรยา เจ้าจะรีบอะไรนักเล่า ยังไงตอนนี้เราก็มาถึงแล้วนี่นา พวกเจ้า!!! เร็วเข้าสิ ของพวกนี้ข้าเอามามอบให้เป็นของขวัญวันปักปิ่นหลานสาวสุดที่รักของข้าเชียวนะ ขนกันดี ๆ อย่าให้เสียหายล่ะ ไม่อย่างนั้นล่ะก็… หึหึ” เตียวหย่งไจ้ที่ถูกภรรยาเอ็ดต่อหน้าคนจำนวนมาก หาทางลงให้ตัวเองโดยการดุด่าคนของตนแก้เก้อ
แขกเหรื่อที่ได้ยินได้เห็นกล่องเกือบ 20 กล่องที่สองเฒ่าชราให้คนขนเข้ามาก็ได้แต่สงสัย อะไรอยู่ในนั้นหนอ?
เมื่อได้เวลา พิธีการปักปิ่นเริ่มขึ้นทันที ชิวเพ่ยเพ่ยลูกสาวคนเดียวของขุนนางชิวที่แขกเห็นเป็นครั้งแรก นางมีสายตาใสซื่อเหมือนบิดาไม่มีผิด แถมกิริยามารยาทดียิ่งกว่าลูกขุนนางใหญ่บางคนเสียอีก ถึงว่าสิ ขุนนางชิวไม่เคยพาครอบครัวเข้าร่วมงานเลี้ยงในวังเลยสักครั้ง เขาเก็บไข่มุกเอาไว้ในฝ่ามือจริง ๆ
แขกที่มีบุตรชายยังไม่แต่งงานต่างพากันสอบถามชิวกังกันใหญ่ ถึงแม้ตระกูลชิวจะไม่ได้ร่ำรวย แต่ความซื่อสัตย์ภักดีแถมด้วยมีสมองนับเป็นจุดเด่นของเขามาแต่ไหนแต่ไร พวกเขาไม่รังเกียจถ้าได้เกี่ยวดองกับบ้านนี้
เฟยหยุนได้ยินที่พวกเขาพูดก็ได้แต่กำหมัดแน่น สาวน้อยของเขาจะรับหมั้นคนอื่นก่อนไม่ด๊ายยยย เขารีบส่งสัญญาณเรียกองครักษ์ให้ไปตามท่านพ่อกับท่านแม่ในทันใด หึ มาดูกันว่าตระกูลชิวอยากได้ลูกเขยไก่กาอาราเร่หรือข้าที่เป็นแม่ทัพหน้าหล่อคนนี้
หลังพิธีการผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ตอนที่ชิวเพ่ยเพ่ยรับของขวัญ มีขุนนางมากมายให้ฮูหยินนำปิ่นไปมอบให้นาง แต่นางไม่ยอมรับ เป็นเพราะธรรมเนียมที่ว่า หากรับปิ่นจากบ้านใด จะถือว่ารับหมั้นกับบ้านนั่นน่ะสิ ใครจะรับมาง่าย ๆ เล่า องค์ชายสามผู้ชอบความสนุนสนาน เอาศอกกระทุ้งสีข้างเพื่อนสนิทเพื่อเร่งเร้าให้เข้าไปมอบปิ่นให้หญิงในดวงใจ ก่อนที่นางจะถูกหมาข้างถนนคาบไปเสียก่อน เฟยหยุนเห็นการแสดงออกของชิวเพ่ยเพ่ยที่ไม่รับปิ่นจากฮูหยินบ้านใดก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนี้แม่เขายังมาไม่ถึงนี่สิ เขาคงต้องหน้าด้านเข้าไปมอบให้นางเองเสียล่ะมั้ง ด้านสองตายายมองเห็นแม่ทัพหนุ่มรูปหล่อมานานแล้ว แต่พวกเขายังไม่มีเวลาถามความเป็นมากับลูกเขยคนซื่อ เพราะมัวแต่ทักทายพ่อแม่ลูกเขยอยู่นี่แหละ พอเห็นว่าแม่ทัพเฟยลุกจากเก้าอี้ สองเฒ่าชราต่างลุ้นกันยกใหญ่ พวกเขาเคยหวังให้ลูกสาวได้แต่งเข้าจวนแม่ทัพเมื่อหลายสิบปีก่อน จนใจที่ลูกสาวไม่ได้ดั่งใจ ตอนนี้ดูท่าว่าหลานสาวผู้แสนประเสริฐของพวกเขาจะทำให้ความฝันของเฒ่าชราทั้งสองเป็นจริงได้แน่ เฟยหยุนเดินเข้าหาชิวเพ่ยเพ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ เขายื่นปิ่นทอง
คราแรกชิวกังจะไม่ยอมรับหมั้น แต่ด้วยคำหว่านล้อมของพ่อตากับแม่ยายสายเปย์ของเขา เขาจึงได้แต่พยักหน้าอย่างจำใจ พ่อกับแม่เขาเองก็เห็นดีเห็นงามกับพ่อตาแม่ยายแต่แรก เขาเสียงเดียวจะสู้ได้อย่างไร ส่วนภรรยาคนดีที่เชื่อฟังคำสามีอย่างเตียวเฟยหลิวน่ะหรือ นางไม่สนใจสักนิดว่าลูกสาวจะได้สามีเป็นใคร แค่ลูกเขยนางหน้าตาพอดูได้ไม่เจ้าชู้นางก็รับได้หมดนั่นแหละ นางไม่นึกว่าลูกสาวนางจะมีวาสนาได้สามีเป็นถึงแม่ทัพเมืองหลวงตรงหน้า หน้าตาจัดว่าหล่อเลยทีเดียว แต่สำหรับสายตานาง สามีของนางดีที่สุด!!! หลังจากตกลงเรื่องราวดี ๆ กันแล้ว ครอบครัวทั้งสองก็นั่งทานข้าวร่วมกันอย่างกลมเกลียว สองเฒ่าชรายังเปิดกล่องของขวัญสารพัดกล่องให้หลานสาวคนดีดูเป็นน้ำจิ้ม ส่วนคนที่ร่วมเผือกด้วยต่างเบิกตาโตกับของเล็กน้อยที่สองเฒ่าชราตรงหน้าบอกไว้ นี่มันเล็กน้อยตรงไหน!!! กล่องทั้ง 17 เต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง ผ้าไหมชั้นดี ยาบำรุง สมุนไพรหายาก อา สิ่งใดที่มีค่าในใต้หล้านับว่ามากองตรงหน้าพวกเขานี่แล้ว พวกเขาไม่รู้หรอกว่าสองผู้เฒ่ามีอาชีพอะไร แต่ความร่ำรวยที่มากกว่าท้องพระคลังตรงหน้ายังทำให้คนในจวนแม่ทัพถึงกับ
หลังอาหารเย็นวันนั้น เตียวเฟยหลิวเข้ามาพบลูกสาวถึงเรือน ชิวเพ่ยเพ่ยมองท่านแม่คนงามอย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปีท่านแม่ของนางไม่แม้แต่จะห่างจากท่านพ่อ แต่วันนี้นางยอมมาหาถึงเรือนคนเดียวเสียนี่ เอ หรือมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า“ท่านแม่มีอะไรหรือเจ้าคะ ถึงได้มาหาข้าที่นี่” ชิวเพ่ยเพ่ยเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาตามที่ได้รับการสอนสั่งจากอาจารย์สอนมารยาท“ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่เห็นว่าเจ้าเริ่มโตเป็นสาวแล้วก็ตอนที่เจ้าหมั้นหมายนี่แหละ แม่แค่อยากจะสอนเจ้าบางเรื่องเท่านั้น”“หืม ท่านแม่มีอะไรใหม่ ๆ มาสอนข้าเหรอเจ้าคะ” ชิวเพ่ยเพ่ยผู้บ้าเรียนแววตาสว่างวาบขึ้นในทันใด เตียวเฟยหลิวเห็นอากัปกิริยาของลูกสาวก็แทบเอาเท้าก่ายหน้าผาก ลูกสาวนางอะไรก็ดีหมด ยกเว้นเรื่องการบ้าเรียนนี่แหละ ไม่รู้ว่าเพราะติดนิสัยสามีนางมาหรือเปล่า เฮ้อ“ตอนนี้เจ้ามีคู่หมั้นแล้วใช่ไหม”“เจ้าค่ะ”“แล้วเจ้ารู้วิธีผูกมัดใจคู่หมั้นแล้วหรือยัง”“ไม่เจ้าค่ะ” ชิวเพ่ยเพ่ยคิดแล้วก็รีบตอบท่านแม่คนงามไปตามจริง นางไม่เคยสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นนอกจากท่านพ่อ ท่านปู่กับท่านตามาก่อน แล้วนางจะรู้วิธีการพวกนี้ได้อย่างไร“ก็นั่นไง ใน
ก่อนหน้านี้แม่ทัพคู่หมั้นของชิวเพ่ยเพ่ยแวะมาเยี่ยมเยียนนางอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นนางมารู้ทีหลังว่าเขามีงานด่วนเข้ามา ทำให้ต้องออกจากเมืองหลวงจนถึงกับไม่ได้แวะมาบอกนางเสียด้วยซ้ำ ชิวเพ่ยเพ่ยรู้ข่าวจากองครักษ์เงาที่ส่งไปเฝ้าคู่หมั้นของนาง เขาส่งพิราบสื่อสารมาบอกเมื่อสามวันก่อน อีกทั้งท่านตาท่านยายส่งข่าวมาให้นางกลับตำหนักเพื่อสืบทอดตำแหน่งได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นแก่ทรัพย์สินแต่แรก นางรีบออดอ้อนท่านปู่ท่านยาและท่านพ่อเพื่อไปบ้านท่านตาท่านยายในทันใด เตียวเฟยหลิวอดหมั่นไส้ลูกสาวตัวดีไม่ได้ หึ หากข้าไม่ปล่อยเจ้าสืบทอด เจ้ามีหรือจะสามารถได้รับสิ่งของพวกนั้น ชิชะ หลังได้รับอนุญาตแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยขนของฝากพร้อมเสื้อผ้าไม่กี่ชุดขึ้นรถม้าออกจากจวนไปอย่างรวดเร็ว คราวนี้นางไม่รอสิ่งใดมากมายแล้ว นางอยากได้สมบัติ วะ ฮ่า ฮ่า สามวันต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยมาถึงตำหนักเมฆาดับในช่วงเย็นเหมือนเช่นคราก่อน ท่านตาท่านยายรอต้อนรับอยู่ในห้องโถงด้านหน้าแล้ว พวกเขาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไม่นานนัก จึงพาหลานสาวไปทานอาหารก่อนจะรีบไล่นางไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ยังมีพิธีรับตำแหน่งเจ้าตำหน
หลังได้เป็นเจ้าตำหนักไม่ถึงสามวัน ชิวเพ่ยเพ่ยยอมรับงานจ้างฆ่าท่านอ๋องเสเพลของแคว้นเยี่ย ที่นางยอมรับงานนี้ไม่ไช่เพราะเงินเล็กน้อยที่ชาวบ้านรวบรวมกันเป็นค่าจ้างผ่านสาขาแคว้นเยี่ย แต่เพราะเจ้าอ๋องสารเลวคนนี้ฉุดคร่าสาวชาวบ้านมากกว่า 50 คนแล้ว ฮ่องเต้ขี้ขลาดผู้หวาดกลัวพ่อของอ๋องน้อยคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถึงเขาจะรังเกียจการกระทำของสองพ่อลูก แต่จนใจที่คนของเขาอ่อนแอกว่ามากจนไม่สามารถโค่นล้มสองพ่อลูกนี่ได้เสียที นางจึงยินยอมรับงานนี้ด้วยตัวเอง นางชอบนักงานกำจัดคนพาลอภิบาลคนดีเช่นนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มและเดินทางไปยังแคว้นเยี่ยด้วยม้าเร็วแทนการเอื่อยเฉื่อยนั่งรถม้า นางเบื่อรถม้าเสียจริง ๆ เพราะมันช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน ถ้าไม่ติดว่านางต้องเก็บแรงเอาไว้ถล่มจวนอ๋องล่ะก็นะ นางคงใช้วิชาตัวเบาเดินทางเองแล้ว เฮ้อ15 วันต่อมา เมืองหลวงแคว้นเยี่ย ชิวเพ่ยเพ่ยฝากม้าเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวง นางเดินไปที่ร้านแลกเงินสาขาหนึ่งของตำหนักเมฆาดับ คนเฝ้าร้านเมื่อเห็นนางส่งหยกพกประจำตำแหน่งให้ดูรีบมองหน้านางอยู่สองสามครั้ง เขาไม่เคยพบเจ้าตำหนักคนใหม่มาก่อน ไม่คิดว่าจะยัง
และในคืนนั้น ชิวเพ่ยเพ่ยปล่อยปราณพิษกระจายไปทั่วจวนอ๋อง กระทั่งเห็นว่าพิษทำงานแล้ว นางมอบยาถอนพิษให้คนที่ตามนางมาทุกคนรวมทั้งองครักษ์เงาทั้งสองที่พวกเขาได้รับยาของนางไว้เมื่อนานมาแล้ว เข้าไปในจวนอ๋องพร้อมกัน ชิวเพ่ยเพ่ยให้หัวหน้าสาขาเดินนำไปทางคลังที่เขารู้ดีว่าอยู่ที่ใดทันที ชิวเพ่ยเพ่ยมองดูแล้วไม่พบว่ามีค่ายกลหรือสิ่งใดที่น่าจะเป็นอันตรายกับคนของนาง นางจึงช่วยพวกเขาทำลายประตูคลังด้วยฝ่ามือเดียว เหล่าผู้ติดตามต่างตัวสั่นกับพลังปราณอันแข็งแกร่งของเจ้าตำหนัก พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่านางจะเก่งกาจยิ่งกว่าเจ้าตำหนักคนก่อนเสียอีก ทั้งที่อายุน้อยเพียงเท่านี้ โอ้ววว นับว่าสวรรค์เมตตาตำหนักเมฆาดับสินะ ที่ส่งเจ้าตำหนักสุดแสนจะเก่งกาจมาดูแลพวกเขา เมื่อเห็นประตูพังลงแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งคนทั้งหมดในสาขาให้ทยอยเก็บของในคลังไปซ่อนไว้ที่สาขาเสียก่อน ส่วนนางกับองครักษ์เงาจะไปเก็บกวาดคนในจวนอ๋องไม่นานแล้วจะกลับมาหาพวกเขาอีกที คนทั้งหมดรีบพยักหน้ารับคำสั่ง ด้วยกลัวเสียงจะดังจนจวนข้าง ๆ ได้ยิน ชิวเพ่ยเพ่ยปล่อยปราณเต็มที่เพื่อกดดันเหล่าสายสืบที่จวนต่าง ๆ และแม้แต่ฮ่องเต้ที่
ด้านผู้ที่กำลังหลบหนีก็ไม่มีใครกล้าหันกลับไปมองจวนอ๋องที่แสนน่ากลัวนั่นอีก หนึ่งในผู้หลบหนียังมีเฟยหยุนกับองค์ชายสามที่เข้ามาสืบข่าวในแคว้นเยี่ย แต่เพราะพวกเขาบังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่สองพ่อลูกอ๋องกำลังทำชั่ว แล้วแส่เข้าไปช่วยคนโดยลืมคิดไปว่าที่นี่ไม่ใช่แคว้นหนานของพวกเขา ด้วยจำนวนคนของอ๋องจิ่วที่มากมาย ทำให้พวกเขาพลาดพลั้งถูกจับตัวกลับมาทรมานจนแทบเอาตัวไม่รอด ก่อนหน้าที่จะถูกช่วยออกจากจวนอ๋อง คนของชิวเพ่ยเพ่ยเห็นพวกเขาน่าสงสาร จึงกัดฟันป้อนยาที่เจ้าตำหนักให้เอาไว้รักษาตัวยามบาดเจ็บกับพวกเขาคนละเม็ด โดยเจ้าตัวคนให้เองไม่รู้เลยว่า ยานั้นสำคัญไฉน นี่เป็นยาที่นางปรุงเองจากสมุนไพรมีค่ามากกว่าหลายร้อยชนิด มันเป็นยาที่สามารถยื้อลมหายใจสุดท้ายของคนใกล้ตายได้มากกว่าห้าวันก่อนถึงมือหมอ นางจึงให้พวกเขาเอาไว้คนละสองเม็ดเท่านั้น แต่เจ้าคนใจดีคนนี้ มันกลับนำยาล้ำค่าให้คนอื่นเสียนี่ ถึงอย่างไรคนที่ถูกช่วยเหลือก็เป็นคู่หมั้นนาง ในตอนที่ชิวเพ่ยเพ่ยรู้ว่าเจ้าโง่คนนี้ทำอะไรลงไปจึงไม่ได้บ่นว่าอะไร นางเพียงแค่ให้ยาเพิ่มไปอีกสองเม็ดเท่านั้น ตอนนี้ในตัวของเฟยหยุนและองค์ชายสามไม่
หลังชิวเพ่ยเพ่ยกลับถึงตำหนักเมฆาดับได้เพียงวันเดียว นางต้องเก็บของกลับบ้านอย่างไม่เต็มใจ ใครใช้ให้ท่านปู่ท่านย่ากับท่านพ่อต่างพากันคิดถึงนางกันเล่า ท่านตาเล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่นางไม่อยู่นั้น พวกเขาส่งจดหมายมาทุกสามวันเลยทีเดียว ทำเอาแม่คนงามผู้รักสามีนางอย่างกับอะไรดีทนไม่ไหว ต้องส่งคนมาก่อกวนพวกเขาสองตายายให้เร่งชิวเพ่ยเพ่ยกลับจากแคว้นเยี่ย ดีที่ชิวเพ่ยเพ่ยกำลังอยู่ระหว่างทางกลับ นางจึงไม่ต้องเผชิญความน่ารำคาญจากท่านแม่คนงามผู้เอาแต่ใจได้อย่างฉิวเฉียด ชิวเพ่ยเพ่ยกลับถึงจวนตระกูลชิว นางถูกท่านปู่ ท่านย่า กับท่านพ่อ พลิกคว่ำพลิกหงายดูว่านางสึกหรอตรงไหนหรือไม่ ทำเอานางหัวหมุนไปหมด กระทั่งท่านแม่เข้ามาปรามนั่นแหละ นางจึงถูกปล่อยให้ไปพักผ่อนจากการเดินทางอย่างเร่งรีบในครั้งนี้เสียก่อน เฮ้อ นางรู้ว่าพวกเขารักนาง แต่พวกเขาลืมไปหรือเปล่าว่านางไปบ้านท่านตา ท่านยายที่สุดแสนจะร่ำรวยน่ะ หลังพักผ่อนได้สองวันในจวนตระกูลชิว นางได้รับคำสั่งจากท่านแม่ให้ไปเลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนขุนนางของท่านพ่อแทน นางรีบถามท่านแม่ด้วยความสงสัย“ท่านแม่แน่ใจหรือว่าจะให้ข้าเลือก
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ