หลังอาหารเย็นวันนั้น เตียวเฟยหลิวเข้ามาพบลูกสาวถึงเรือน ชิวเพ่ยเพ่ยมองท่านแม่คนงามอย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปีท่านแม่ของนางไม่แม้แต่จะห่างจากท่านพ่อ แต่วันนี้นางยอมมาหาถึงเรือนคนเดียวเสียนี่ เอ หรือมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า
“ท่านแม่มีอะไรหรือเจ้าคะ ถึงได้มาหาข้าที่นี่” ชิวเพ่ยเพ่ยเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาตามที่ได้รับการสอนสั่งจากอาจารย์สอนมารยาท
“ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่เห็นว่าเจ้าเริ่มโตเป็นสาวแล้วก็ตอนที่เจ้าหมั้นหมายนี่แหละ แม่แค่อยากจะสอนเจ้าบางเรื่องเท่านั้น”
“หืม ท่านแม่มีอะไรใหม่ ๆ มาสอนข้าเหรอเจ้าคะ” ชิวเพ่ยเพ่ยผู้บ้าเรียนแววตาสว่างวาบขึ้นในทันใด
เตียวเฟยหลิวเห็นอากัปกิริยาของลูกสาวก็แทบเอาเท้าก่ายหน้าผาก ลูกสาวนางอะไรก็ดีหมด ยกเว้นเรื่องการบ้าเรียนนี่แหละ ไม่รู้ว่าเพราะติดนิสัยสามีนางมาหรือเปล่า เฮ้อ
“ตอนนี้เจ้ามีคู่หมั้นแล้วใช่ไหม”
“เจ้าค่ะ”
“แล้วเจ้ารู้วิธีผูกมัดใจคู่หมั้นแล้วหรือยัง”
“ไม่เจ้าค่ะ” ชิวเพ่ยเพ่ยคิดแล้วก็รีบตอบท่านแม่คนงามไปตามจริง นางไม่เคยสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นนอกจากท่านพ่อ ท่านปู่กับท่านตามาก่อน แล้วนางจะรู้วิธีการพวกนี้ได้อย่างไร
“ก็นั่นไง ในเมื่อเจ้าไม่รู้ แม่ก็จะสอนเจ้า ไม่อย่างนั้นคู่หมั้นของเจ้าที่หน้าตาหล่อเหลาถึงขนาดนั้น ต้องถูกสตรียั่วยวนชวนเสียตัวเป็นแน่” เตียวเฟยหลิวพูดจากประสบการณ์ที่สามีนางถูกผู้หญิงสารเลวเข้าหาเมื่อสมัยก่อน นางจึงต้องรีบมาติวเข้มให้ลูกสาวหัวอ่อนของนางยังไงเล่า
“อืม ถ้าอย่างนั้นท่านแม่รอข้าประเดี๋ยว ข้าขอตัวไปเอากระดาษกับพู่กันมาเขียนไว้กันลืมเสียก่อนเจ้าค่ะ” พูดจบชิวเพ่ยเพ่ยก็วิ่งตื๋อเข้าไปในห้องหนังสือของนาง หยิบกระดาษกับพู่กันกลับมานั่งโต๊ะกับท่านแม่คนงามอีกครั้ง
เตียวเฟยหลิวมองท่าทางเตรียมพร้อมเรียนรู้ของลูกสาวก็ได้แต่เอือมระอา แต่นางก็ต้องพูดออกมาอยู่ดี
“ข้อแรก การมีคู่หมั้นหน้าตาดีแบบเจ้าเป็นเรื่องอันตรายมากรู้ไหมเพ่ยเพ่ย ดังนั้น เจ้าต้องส่งคนไปเฝ้าเขาเอาไว้ อย่าให้มีหญิงใดเข้ามาอ่อยเขาได้เป็นอันขาด เข้าใจหรือไม่”
“ข้าเข้าใจเจ้าค่ะท่านแม่ เดี๋ยวข้าจะส่งองครักษ์เงาไปสักสองคนหลังจากนี้นะเจ้าคะ ท่านไม่ต้องกังวล” ชิวเพ่ยเพ่ยจดไปคุยไปกับแม่ของนาง อืม ท่านแม่นางช่างรอบคอบเสียจริง
“ข้อสอง หากเจ้าได้อยู่กับคู่หมั้นสองต่อสอง ให้พยายามเบียดกระแซะเพื่อเพิ่มความใกล้ชิดสนิทสนมเข้าใจหรือไม่ ข้ารับรองว่า ผู้ชายร้อยทั้งร้อยพอได้แตะนิดต้องหน่อยร่างนุ่มนิ่มของผู้หญิง เป็นต้องอ่อนระทวยทุกราย เจ้าดูตัวอย่างพ่อของเจ้าได้เลย” เตียวเฟยหลิวเชิดหน้าอย่างทะนงตัว สามีนางติดนางอย่างกับอะไรดี ก็เพราะนางมีดีให้ติดน่ะซี๊ คริคริ
“เจ้าค่ะท่านแม่ ว่าแต่ไอ้เบียดกระแซะนี่มันทำยังไงเจ้าคะ?” ชิวเพ่ยเพ่ยงงงวยกับคำสอนของท่านแม่คนงาม
เตียวเฟยหลิวได้แต่ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อนกับลูกสาวผู้ไม่ประสีประสาตรงหน้า นางลุกขึ้นไปนั่งข้างลูกสาวแล้วสาธิตวิธีการเบียดกระแซะให้นางเห็นเป็นบุญตา
ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นการแสดงของท่านแม่คนงามถึงกับตาวาว โอ้ววว ทำเช่นนี้นี่เอง นางพยักหน้าหงึกหงักแล้วรับปากท่านแม่ว่าจะทำตามที่ท่านสอนสั่งอย่างดี
“ข้อสาม คนของเจ้าก็คือของเจ้าเพียงคนเดียว ห้ามให้หญิงใดเข้ามาพูดจาด้วยหรือทำผ้าเช็ดหน้าตกตรงหน้าเขา หรือล้มลงตรงหน้าเขาเพื่อให้เขาช่วย เข้าใจหรือไม่ หากใครกล้าแตะต้องคนของเจ้า เจ้าก็เตะผู้หญิงพวกนั้นออกไปให้ห่างเสีย เพื่อความปลอดภัยของคู่หมั้นเจ้าเอง”
“เจ้าค่ะท่านแม่ ข้ารับรองว่าหากเขาอยู่กับข้าแล้ว ข้าจะไม่ให้ผู้หญิงคนใดเข้าใกล้เขาแน่นอน ท่านแม่ไว้ใจข้าได้เลย” ชิวเพ่ยเพ่ยรับปากมารดาพร้อมทำหน้าจริงจังสำทับไปอีก
“ดีมาก ข้อสี่ หากคู่หมั้นเจ้าขอชื่นใจก่อนแต่งงานนิด ๆ หน่อย ๆ เจ้าก็อย่าเล่นตัวให้มากนัก ยอม ๆ ไปเสีย ถึงอย่างไรก็จะได้แต่งงานกันอยู่แล้ว หัดเรียนรู้เอาไว้ก่อนแต่งงาน จะได้ไม่เคอะเขินเวลาเข้าหอ เข้าใจหรือไม่”
“เอ่อ ท่านแม่เจ้าคะ ไอ้ชื่นใจนิด ๆ หน่อย ๆ นี่มันเป็นยังไงกันเจ้าคะ” ชิวเพ่ยเพ่ยทำหน้างง
“โอ้ยยย ข้ามีลูกโง่ขนาดนี้ได้ยังไงเนี่ย ฮึ่ย เรื่องง่าย ๆ แค่นี้เจ้ายังไม่รู้ มีหวังคู่หมั้นเจ้าต้องเสร็จนางจิ้งจอกตามรายทางแน่”
“อ้าว ท่านแม่ก็บอกข้ามาสิเจ้าคะ ก็ข้าไม่รู้จริง ๆ นี่นา” ชิวเพ่ยเพ่ยมุ่ยหน้าอย่างจนใจ
“ก็เวลาคู่หมั้นเจ้าขอกอด ขอหอม ขอจูบนั่นยังไงล่ะ ที่แม่พูดถึง เฮ้อ ข้าล่ะเหนื่อยใจกับเจ้าจริง ๆ เพ่ยเพ่ย”
ชิวเพ่ยเพ่ยถึงกับอ้าปากหวอ ไอ้หยา ท่านแม่ของข้า ท่านให้ข้าทำแบบนั้นจริงเหรอ? แล้วทำไมอาจารย์สอนมารยาทข้าพูดตรงข้ามกับท่านเล่า อ่า เพ่ยเพ่ยเด็กดี จำเป็นต้องทำตามที่ท่านแม่สอนสั่ง ท่องไว้ ๆ
คืนนั้นกว่าที่เตียวเฟยหลิวจะติวลูกสาวเสร็จก็ดึกดื่นค่อนคืน ภรรยาผู้รักสามีรีบใช้วิชาตัวเบากลับห้องไปรับอ้อมกอดอุ่นแบบไม่เหลียวกลับมามองลูกสาวที่หน้าแดงก่ำจากบทเรียนท่านแม่เลยแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยนอนแทบไม่หลับ เพราะมัวแต่คิดทบทวนบทเรียนใหม่ที่ท่านแม่สอนนั่นแหละ
ก่อนหน้านี้แม่ทัพคู่หมั้นของชิวเพ่ยเพ่ยแวะมาเยี่ยมเยียนนางอยู่บ้าง แต่หลังจากนั้นนางมารู้ทีหลังว่าเขามีงานด่วนเข้ามา ทำให้ต้องออกจากเมืองหลวงจนถึงกับไม่ได้แวะมาบอกนางเสียด้วยซ้ำ ชิวเพ่ยเพ่ยรู้ข่าวจากองครักษ์เงาที่ส่งไปเฝ้าคู่หมั้นของนาง เขาส่งพิราบสื่อสารมาบอกเมื่อสามวันก่อน อีกทั้งท่านตาท่านยายส่งข่าวมาให้นางกลับตำหนักเพื่อสืบทอดตำแหน่งได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นแก่ทรัพย์สินแต่แรก นางรีบออดอ้อนท่านปู่ท่านยาและท่านพ่อเพื่อไปบ้านท่านตาท่านยายในทันใด เตียวเฟยหลิวอดหมั่นไส้ลูกสาวตัวดีไม่ได้ หึ หากข้าไม่ปล่อยเจ้าสืบทอด เจ้ามีหรือจะสามารถได้รับสิ่งของพวกนั้น ชิชะ หลังได้รับอนุญาตแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยขนของฝากพร้อมเสื้อผ้าไม่กี่ชุดขึ้นรถม้าออกจากจวนไปอย่างรวดเร็ว คราวนี้นางไม่รอสิ่งใดมากมายแล้ว นางอยากได้สมบัติ วะ ฮ่า ฮ่า สามวันต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยมาถึงตำหนักเมฆาดับในช่วงเย็นเหมือนเช่นคราก่อน ท่านตาท่านยายรอต้อนรับอยู่ในห้องโถงด้านหน้าแล้ว พวกเขาไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบกันไม่นานนัก จึงพาหลานสาวไปทานอาหารก่อนจะรีบไล่นางไปพักผ่อน เพราะพรุ่งนี้ยังมีพิธีรับตำแหน่งเจ้าตำหน
หลังได้เป็นเจ้าตำหนักไม่ถึงสามวัน ชิวเพ่ยเพ่ยยอมรับงานจ้างฆ่าท่านอ๋องเสเพลของแคว้นเยี่ย ที่นางยอมรับงานนี้ไม่ไช่เพราะเงินเล็กน้อยที่ชาวบ้านรวบรวมกันเป็นค่าจ้างผ่านสาขาแคว้นเยี่ย แต่เพราะเจ้าอ๋องสารเลวคนนี้ฉุดคร่าสาวชาวบ้านมากกว่า 50 คนแล้ว ฮ่องเต้ขี้ขลาดผู้หวาดกลัวพ่อของอ๋องน้อยคนนี้มาแต่ไหนแต่ไร ถึงเขาจะรังเกียจการกระทำของสองพ่อลูก แต่จนใจที่คนของเขาอ่อนแอกว่ามากจนไม่สามารถโค่นล้มสองพ่อลูกนี่ได้เสียที นางจึงยินยอมรับงานนี้ด้วยตัวเอง นางชอบนักงานกำจัดคนพาลอภิบาลคนดีเช่นนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยปลอมตัวเป็นเด็กหนุ่มและเดินทางไปยังแคว้นเยี่ยด้วยม้าเร็วแทนการเอื่อยเฉื่อยนั่งรถม้า นางเบื่อรถม้าเสียจริง ๆ เพราะมันช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน ถ้าไม่ติดว่านางต้องเก็บแรงเอาไว้ถล่มจวนอ๋องล่ะก็นะ นางคงใช้วิชาตัวเบาเดินทางเองแล้ว เฮ้อ15 วันต่อมา เมืองหลวงแคว้นเยี่ย ชิวเพ่ยเพ่ยฝากม้าเอาไว้ที่โรงเตี๊ยมนอกเมืองหลวง นางเดินไปที่ร้านแลกเงินสาขาหนึ่งของตำหนักเมฆาดับ คนเฝ้าร้านเมื่อเห็นนางส่งหยกพกประจำตำแหน่งให้ดูรีบมองหน้านางอยู่สองสามครั้ง เขาไม่เคยพบเจ้าตำหนักคนใหม่มาก่อน ไม่คิดว่าจะยัง
และในคืนนั้น ชิวเพ่ยเพ่ยปล่อยปราณพิษกระจายไปทั่วจวนอ๋อง กระทั่งเห็นว่าพิษทำงานแล้ว นางมอบยาถอนพิษให้คนที่ตามนางมาทุกคนรวมทั้งองครักษ์เงาทั้งสองที่พวกเขาได้รับยาของนางไว้เมื่อนานมาแล้ว เข้าไปในจวนอ๋องพร้อมกัน ชิวเพ่ยเพ่ยให้หัวหน้าสาขาเดินนำไปทางคลังที่เขารู้ดีว่าอยู่ที่ใดทันที ชิวเพ่ยเพ่ยมองดูแล้วไม่พบว่ามีค่ายกลหรือสิ่งใดที่น่าจะเป็นอันตรายกับคนของนาง นางจึงช่วยพวกเขาทำลายประตูคลังด้วยฝ่ามือเดียว เหล่าผู้ติดตามต่างตัวสั่นกับพลังปราณอันแข็งแกร่งของเจ้าตำหนัก พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนว่านางจะเก่งกาจยิ่งกว่าเจ้าตำหนักคนก่อนเสียอีก ทั้งที่อายุน้อยเพียงเท่านี้ โอ้ววว นับว่าสวรรค์เมตตาตำหนักเมฆาดับสินะ ที่ส่งเจ้าตำหนักสุดแสนจะเก่งกาจมาดูแลพวกเขา เมื่อเห็นประตูพังลงแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งคนทั้งหมดในสาขาให้ทยอยเก็บของในคลังไปซ่อนไว้ที่สาขาเสียก่อน ส่วนนางกับองครักษ์เงาจะไปเก็บกวาดคนในจวนอ๋องไม่นานแล้วจะกลับมาหาพวกเขาอีกที คนทั้งหมดรีบพยักหน้ารับคำสั่ง ด้วยกลัวเสียงจะดังจนจวนข้าง ๆ ได้ยิน ชิวเพ่ยเพ่ยปล่อยปราณเต็มที่เพื่อกดดันเหล่าสายสืบที่จวนต่าง ๆ และแม้แต่ฮ่องเต้ที่
ด้านผู้ที่กำลังหลบหนีก็ไม่มีใครกล้าหันกลับไปมองจวนอ๋องที่แสนน่ากลัวนั่นอีก หนึ่งในผู้หลบหนียังมีเฟยหยุนกับองค์ชายสามที่เข้ามาสืบข่าวในแคว้นเยี่ย แต่เพราะพวกเขาบังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่สองพ่อลูกอ๋องกำลังทำชั่ว แล้วแส่เข้าไปช่วยคนโดยลืมคิดไปว่าที่นี่ไม่ใช่แคว้นหนานของพวกเขา ด้วยจำนวนคนของอ๋องจิ่วที่มากมาย ทำให้พวกเขาพลาดพลั้งถูกจับตัวกลับมาทรมานจนแทบเอาตัวไม่รอด ก่อนหน้าที่จะถูกช่วยออกจากจวนอ๋อง คนของชิวเพ่ยเพ่ยเห็นพวกเขาน่าสงสาร จึงกัดฟันป้อนยาที่เจ้าตำหนักให้เอาไว้รักษาตัวยามบาดเจ็บกับพวกเขาคนละเม็ด โดยเจ้าตัวคนให้เองไม่รู้เลยว่า ยานั้นสำคัญไฉน นี่เป็นยาที่นางปรุงเองจากสมุนไพรมีค่ามากกว่าหลายร้อยชนิด มันเป็นยาที่สามารถยื้อลมหายใจสุดท้ายของคนใกล้ตายได้มากกว่าห้าวันก่อนถึงมือหมอ นางจึงให้พวกเขาเอาไว้คนละสองเม็ดเท่านั้น แต่เจ้าคนใจดีคนนี้ มันกลับนำยาล้ำค่าให้คนอื่นเสียนี่ ถึงอย่างไรคนที่ถูกช่วยเหลือก็เป็นคู่หมั้นนาง ในตอนที่ชิวเพ่ยเพ่ยรู้ว่าเจ้าโง่คนนี้ทำอะไรลงไปจึงไม่ได้บ่นว่าอะไร นางเพียงแค่ให้ยาเพิ่มไปอีกสองเม็ดเท่านั้น ตอนนี้ในตัวของเฟยหยุนและองค์ชายสามไม่
หลังชิวเพ่ยเพ่ยกลับถึงตำหนักเมฆาดับได้เพียงวันเดียว นางต้องเก็บของกลับบ้านอย่างไม่เต็มใจ ใครใช้ให้ท่านปู่ท่านย่ากับท่านพ่อต่างพากันคิดถึงนางกันเล่า ท่านตาเล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่นางไม่อยู่นั้น พวกเขาส่งจดหมายมาทุกสามวันเลยทีเดียว ทำเอาแม่คนงามผู้รักสามีนางอย่างกับอะไรดีทนไม่ไหว ต้องส่งคนมาก่อกวนพวกเขาสองตายายให้เร่งชิวเพ่ยเพ่ยกลับจากแคว้นเยี่ย ดีที่ชิวเพ่ยเพ่ยกำลังอยู่ระหว่างทางกลับ นางจึงไม่ต้องเผชิญความน่ารำคาญจากท่านแม่คนงามผู้เอาแต่ใจได้อย่างฉิวเฉียด ชิวเพ่ยเพ่ยกลับถึงจวนตระกูลชิว นางถูกท่านปู่ ท่านย่า กับท่านพ่อ พลิกคว่ำพลิกหงายดูว่านางสึกหรอตรงไหนหรือไม่ ทำเอานางหัวหมุนไปหมด กระทั่งท่านแม่เข้ามาปรามนั่นแหละ นางจึงถูกปล่อยให้ไปพักผ่อนจากการเดินทางอย่างเร่งรีบในครั้งนี้เสียก่อน เฮ้อ นางรู้ว่าพวกเขารักนาง แต่พวกเขาลืมไปหรือเปล่าว่านางไปบ้านท่านตา ท่านยายที่สุดแสนจะร่ำรวยน่ะ หลังพักผ่อนได้สองวันในจวนตระกูลชิว นางได้รับคำสั่งจากท่านแม่ให้ไปเลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนขุนนางของท่านพ่อแทน นางรีบถามท่านแม่ด้วยความสงสัย“ท่านแม่แน่ใจหรือว่าจะให้ข้าเลือก
หลังส่งคู่หมั้นเรียบร้อยแล้ว เฟยหยุนขอตัวรีบไปพบองค์ชายสามทันที เขามัวแต่อยู่กับนางจนแทบลืมว่ามีเรื่องต้องพูดคุยกับองค์ชายสามเสียแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยพยักหน้าให้เขาพร้อมรอยยิ้ม นางสั่งขนมห้ากล่องส่งขึ้นรถม้าเอาไว้แล้วจึงปล่อยเขาไปทำธุระ ถึงอย่างไรถ้าหากเขาว่างก็คงเข้าไปเยี่ยมนางกับครอบครัวเหมือนเดิมนั่นแหละ เฟยหยุนไปถึงห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาเจ้าประจำ เขาถูกองค์ชายสามต่อว่าตั้งแต่ก่อนจะปิดประตูเสียด้วยซ้ำ“เพ้ย!!! ข้านึกว่าเจ้าจะเดินเล่นจนลืมเรื่องงานไปเสียหมด หึ” องค์ชายสามที่ส่งองครักษ์เงาไปตามหาสหายแล้วได้ข่าวว่าเขามัวแต่ตามคู่หมั้นต้อย ๆ อดจะหมั่นไส้ไม่ได้“หึ เจ้าก็พูดเกินไป ข้าแค่พาคู่หมั้นไปเลือกของขวัญให้เพื่อนพ่อของนางเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้เวลามากมายสักหน่อย”“โอ้ววว เกือบชั่วยาม ไม่มากเลยจริง ๆ หึ ข้าว่าเจ้าหลงเสน่ห์นางมากเกินไปแล้วนะ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะแต่งกับนาง” องค์ชายสามผู้หวาดระแวงรีบเตือนสหายรัก“ข้าไม่ได้หลงเสน่ห์นางเสียหน่อย เจ้าก็รู้ว่านางไม่ได้สวยเท่ากับหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงด้วยซ้ำ แต่ข้าชอบนางที่ความสามารถต่างหากเล่า วันนั้นเจ้าเองก็เห็นวิชาตัว
สี่วันต่อมา องครักษ์เงาที่คอยเฝ้าเฟยหยุนรีบกลับมารายงานคุณหนูว่าคู่หมั้นของนางเข้าไปสืบข่าวที่ค่ายลับขุนนางคนหนึ่งแล้วถูกจับได้ เขาถูกส่งมาส่งข่าวก่อนจะสายเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เพิ่งตื่นนอนกลางดึก จากที่กำลังจะอาละวาดก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าแล้วให้เขารอนำทางด้านนอกเรือน นางใช้เวลาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดอาวุธไม่ถึงเค่อก็ออกมา ด้วยความเร่งรีบ ชิวเพ่ยเพ่ยจับแขนองครักษ์เงาแล้วพาเขาใช้วิชาตัวเบาไปดั่งเหินบิน คราแรกองครักษ์เงากำลังจะบอกว่าเขาเตรียมม้าให้คุณหนูแล้ว แต่พอเห็นความเร็วของนางที่เร็วยิ่งกว่าม้าศึกเสียอีกจึงได้แต่หุบปากอย่างรู้งาน คราก่อนที่แคว้นเยี่ย เขาไม่รู้ว่าคุณหนูไปที่นั่น ด้วยระยะทางที่ไกลกัน เขาจึงไม่ได้บอกนาง กระทั่งแม่ทัพเฟยรอดมาได้ เขาจึงไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ให้คุณหนูโกรธย้อนหลัง เขาบอกทางนางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเช้าก็ถึงหุบเขาร้างแห่งหนึ่งซึ่งซ่องสุมกำลังคนของเหล่าขุนนางชั่วที่ต้องการยึดบัลลังก์ให้หลานชายตัวเองที่เป็นองค์ชาย ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นว่าเช้าแล้ว ไม่สะดวกกับการช่วยคน นางจึงแอบสังหารทหารในค่ายแล้วปลอมตัวเป็นเขาแทน องครักษ์เงาของนางเองก็ถูก
นางยังไม่ยอมเคลื่อนย้ายออกจากห้องทรมาน นางรอคนทั้งสองฟื้นขึ้นมาเสียก่อน เพราะนางแปลกใจที่ไม่เห็นองครักษ์เงาของพวกเขา ส่วนองครักษ์เงาอีกคนของนางก็หายหัวไปไหนไม่รู้ด้วยสิ นางไม่อยากเสียคนมีฝีมือไปหรอกนะ เกือบสองเค่อ เฟยหยุนกับองค์ชายสามก็ฟื้นขึ้นมา ชิวเพ่ยเพ่ยรีบถามสิ่งที่นางอยากรู้ทันที“องครักษ์เงาของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ทำไมข้าไม่เห็นพวกเขาในคุกนี่” นางไม่ได้เปลี่ยนเสียงเพราะนี่ก็คู่หมั้นนางเอง นางไม่สนใจว่าเขาจะรู้ตัวตนนางหรือไม่ด้วย“พวกเขาถูกจับไปทรมานอีกห้องหนึ่งด้านโน้น ข้าได้ยินพวกมันคุยกันก่อนหน้านี้ เจ้าช่วยพวกเขาแทนข้าได้ไหม ข้ามันฝีมือไม่เอาไหน จนมาถูกจับทรมานอยู่แบบนี้” เฟยหยุนที่ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคู่หมั้น ได้แต่หน้าด้านขอร้องให้ช่วยคนของเขาก่อน องครักษ์ของเขาเปรียบเหมือนพี่น้องที่โตมาด้วยกัน ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไป เขาคงเสียใจไปตลอดชีวิต“เจ้าไปช่วยพวกเขาสิ แล้วตามหาคนของเราด้วย ข้าไม่รู้ว่าเขาเฝ้าประสาอะไร ข้าจึงไม่เห็นแม้แต่เงา”“เอ่อ คุณหนูขอรับ ข้าอยู่ตรงนี้” องครักษ์อีกคนถูกขังในคุกใกล้ ๆ เขาเห็นคุณหนูกับเพื่อนที่ปลอมตัวจึงไม่รู้ว่าเป็นพวกนาง พอได้ยิ
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ