หลังส่งคู่หมั้นเรียบร้อยแล้ว เฟยหยุนขอตัวรีบไปพบองค์ชายสามทันที เขามัวแต่อยู่กับนางจนแทบลืมว่ามีเรื่องต้องพูดคุยกับองค์ชายสามเสียแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยพยักหน้าให้เขาพร้อมรอยยิ้ม นางสั่งขนมห้ากล่องส่งขึ้นรถม้าเอาไว้แล้วจึงปล่อยเขาไปทำธุระ ถึงอย่างไรถ้าหากเขาว่างก็คงเข้าไปเยี่ยมนางกับครอบครัวเหมือนเดิมนั่นแหละ
เฟยหยุนไปถึงห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาเจ้าประจำ เขาถูกองค์ชายสามต่อว่าตั้งแต่ก่อนจะปิดประตูเสียด้วยซ้ำ
“เพ้ย!!! ข้านึกว่าเจ้าจะเดินเล่นจนลืมเรื่องงานไปเสียหมด หึ” องค์ชายสามที่ส่งองครักษ์เงาไปตามหาสหายแล้วได้ข่าวว่าเขามัวแต่ตามคู่หมั้นต้อย ๆ อดจะหมั่นไส้ไม่ได้
“หึ เจ้าก็พูดเกินไป ข้าแค่พาคู่หมั้นไปเลือกของขวัญให้เพื่อนพ่อของนางเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้เวลามากมายสักหน่อย”
“โอ้ววว เกือบชั่วยาม ไม่มากเลยจริง ๆ หึ ข้าว่าเจ้าหลงเสน่ห์นางมากเกินไปแล้วนะ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะแต่งกับนาง” องค์ชายสามผู้หวาดระแวงรีบเตือนสหายรัก
“ข้าไม่ได้หลงเสน่ห์นางเสียหน่อย เจ้าก็รู้ว่านางไม่ได้สวยเท่ากับหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงด้วยซ้ำ แต่ข้าชอบนางที่ความสามารถต่างหากเล่า วันนั้นเจ้าเองก็เห็นวิชาตัวเบานางพร้อมข้า แล้วยังมาถามข้าอีกเหรอว่าจะแต่งกับนางหรือไม่ ข้าขอบอกเจ้าไว้ตรงนี้เลยว่าข้าเฟยหยุน จะมีภรรยาคือชิวเพ่ยเพ่ยเพียงคนเดียวในชีวิตนี้ หึ” เฟยหยุนเชิดหน้าพูดอย่างภูมิใจกับคู่หมั้นสุดน่ารักและน่าสนใจของเขา
“อ้อ เป็นเช่นนั้นเอง ข้าก็นึกว่าเจ้าชอบที่นางคอยลวนลามเจ้าเสียอีก ได้ข่าวว่าแทบจะสิงแขนเจ้าตอนเดินเลยนี่นา หรือข้าจะได้รับข่าวสารมาผิดกันหนอ” องค์ชายสามมองสหายอย่างรังเกียจ หึ เขายังไม่เคยถูกหญิงใดใกล้ชิดแบบนั้นเลย ไอ้เพื่อนทรยศคนนี้บังอาจมีความสุขก่อนเขาเสียนี่ มันน่ากลั่นแกล้งยิ่งนัก
“เพ้ย!!! เจ้าก็พูดเกินไป มาหาว่าคู่หมัั้นข้าลวนลามข้าได้อย่างไรกัน เราสองคนเป็นคู่หมั้นกันแล้ว จะใกล้ชิดกันนิด ๆ หน่อย ๆ ก็ไม่เห็นจะผิดกฎหมายข้อไหนใช่หรือไม่ อีกอย่างคู่หมั้นข้านางออกจะเรียบร้อยเสียปานนั้น เจ้าอย่ามาว่าคู่หมั้นข้านะ” เฟยหยุนเคืองสหายรักที่อยู่ ๆ มากล่าวหาคู่หมั้นเขาแบบนี้ อย่าให้รู้นะว่าใครมันคาบข่าวมาบอก เขาจะลงโทษเสียให้เข็ด
องครักษ์เงาที่รายงานข่าวเสียวสันหลังวาบกับความรู้สึกอาฆาตที่ปรากฎขึ้นมากระทันหัน เขาหันมองซ้าย ขวา ก็ไม่พบตัวต้นเหตุ จึงได้แต่คิดว่าเขาน่าจะคิดมากเกินไป
หลังจากคุยนอกเรื่องกันมานาน องค์ชายสามรีบพูดคุยเรื่องงานกับสหายต่อทันที ตอนนี้เสด็จพ่อให้เขาแอบสืบข่าวกองกำลังที่มีทีท่าจะก่อกบฏในเร็ว ๆ เพราะช่วงที่พวกเขาไม่อยู่ มีหลายฝ่ายที่โผล่หางออกมาบ้างแล้ว เสด็จพ่อที่ยอมส่งเขาไปแคว้นเยี่ยก็เพราะต้องการกวาดล้างเส้นทางเอาไว้ให้เขานั่งบัลลังก์อย่างมั่นคง เขาได้แต่ต้องทำตามแผนของเสด็จพ่ออย่างเชื่อฟัง เขารู้ดีว่าภายในวังเต็มไปด้วยอันตราย ไหนจะเหล่าสนมที่มีบุตรชายก่อนเสด็จแม่ของเขาพวกนั้นอีก หากเสด็จแม่ของเขาไม่ถูกวางยาทำให้ตั้งครรภ์ยากจนมีเขาหลังสนมคนอื่นล่ะก็ เสด็จพ่อคงไม่ต้องเหนื่อยมากขนาดนี้ เขาที่เป็นลูกจึงได้แต่ทำทุกอย่างให้พวกท่านสบายพระทัย เสด็จพ่อยังแอบกระซิบกับเขาด้วยว่า องค์ชายพวกนั้นเป็นลูกคนอื่น ท่านแอบสับเปลี่ยนตัวกับองครักษ์เงาจนจำไม่ได้ว่าพระสนมพวกนั้นนอนกับใครบ้างน่ะสิ และเขาเป็นคนเดียวที่ท่านสร้างมากับมือ เอิ่ม เขาควรจะดีใจใช่ไหมที่เสด็จพ่อเล่าเรื่องบนเตียงให้ฟัง?
เฟยหยุนฟังแผนการภารกิจในครั้งนี้จากองค์ชายสามแล้ว เขาลองเสนอแนะแผนการที่ปลอดภัยและรัดกุมยิ่งขึ้นอีกหน่อย หลังกลับจากแคว้นเยี่ยแล้วเขารู้สึกว่ากองกำลังในเมืองหลวงมีท่าทีผิดปกติ แต่ผิดปกติอย่างไร อันนี้เขายังต้องสืบหาอยู่ ดังนั้น เขาจึงไม่อยากที่จะแหวกหญ้าให้งูตื่นจากแผนการของฝ่าบาทและองค์ชายสามในครั้งนี้
องค์ชายสามรับปากกับเฟยหยุนว่าจะคุยกับฝ่าบาท ก่อนที่ทั้งสองจะแยกย้ายกันกลับไปเตรียมการก่อนเริ่มแผนในอีกสองวัน
สี่วันต่อมา องครักษ์เงาที่คอยเฝ้าเฟยหยุนรีบกลับมารายงานคุณหนูว่าคู่หมั้นของนางเข้าไปสืบข่าวที่ค่ายลับขุนนางคนหนึ่งแล้วถูกจับได้ เขาถูกส่งมาส่งข่าวก่อนจะสายเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เพิ่งตื่นนอนกลางดึก จากที่กำลังจะอาละวาดก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าแล้วให้เขารอนำทางด้านนอกเรือน นางใช้เวลาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดอาวุธไม่ถึงเค่อก็ออกมา ด้วยความเร่งรีบ ชิวเพ่ยเพ่ยจับแขนองครักษ์เงาแล้วพาเขาใช้วิชาตัวเบาไปดั่งเหินบิน คราแรกองครักษ์เงากำลังจะบอกว่าเขาเตรียมม้าให้คุณหนูแล้ว แต่พอเห็นความเร็วของนางที่เร็วยิ่งกว่าม้าศึกเสียอีกจึงได้แต่หุบปากอย่างรู้งาน คราก่อนที่แคว้นเยี่ย เขาไม่รู้ว่าคุณหนูไปที่นั่น ด้วยระยะทางที่ไกลกัน เขาจึงไม่ได้บอกนาง กระทั่งแม่ทัพเฟยรอดมาได้ เขาจึงไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ให้คุณหนูโกรธย้อนหลัง เขาบอกทางนางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเช้าก็ถึงหุบเขาร้างแห่งหนึ่งซึ่งซ่องสุมกำลังคนของเหล่าขุนนางชั่วที่ต้องการยึดบัลลังก์ให้หลานชายตัวเองที่เป็นองค์ชาย ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นว่าเช้าแล้ว ไม่สะดวกกับการช่วยคน นางจึงแอบสังหารทหารในค่ายแล้วปลอมตัวเป็นเขาแทน องครักษ์เงาของนางเองก็ถูก
นางยังไม่ยอมเคลื่อนย้ายออกจากห้องทรมาน นางรอคนทั้งสองฟื้นขึ้นมาเสียก่อน เพราะนางแปลกใจที่ไม่เห็นองครักษ์เงาของพวกเขา ส่วนองครักษ์เงาอีกคนของนางก็หายหัวไปไหนไม่รู้ด้วยสิ นางไม่อยากเสียคนมีฝีมือไปหรอกนะ เกือบสองเค่อ เฟยหยุนกับองค์ชายสามก็ฟื้นขึ้นมา ชิวเพ่ยเพ่ยรีบถามสิ่งที่นางอยากรู้ทันที“องครักษ์เงาของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ทำไมข้าไม่เห็นพวกเขาในคุกนี่” นางไม่ได้เปลี่ยนเสียงเพราะนี่ก็คู่หมั้นนางเอง นางไม่สนใจว่าเขาจะรู้ตัวตนนางหรือไม่ด้วย“พวกเขาถูกจับไปทรมานอีกห้องหนึ่งด้านโน้น ข้าได้ยินพวกมันคุยกันก่อนหน้านี้ เจ้าช่วยพวกเขาแทนข้าได้ไหม ข้ามันฝีมือไม่เอาไหน จนมาถูกจับทรมานอยู่แบบนี้” เฟยหยุนที่ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคู่หมั้น ได้แต่หน้าด้านขอร้องให้ช่วยคนของเขาก่อน องครักษ์ของเขาเปรียบเหมือนพี่น้องที่โตมาด้วยกัน ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไป เขาคงเสียใจไปตลอดชีวิต“เจ้าไปช่วยพวกเขาสิ แล้วตามหาคนของเราด้วย ข้าไม่รู้ว่าเขาเฝ้าประสาอะไร ข้าจึงไม่เห็นแม้แต่เงา”“เอ่อ คุณหนูขอรับ ข้าอยู่ตรงนี้” องครักษ์อีกคนถูกขังในคุกใกล้ ๆ เขาเห็นคุณหนูกับเพื่อนที่ปลอมตัวจึงไม่รู้ว่าเป็นพวกนาง พอได้ยิ
หลังจากเสียเวลาจัดการคนป่วยทั้งหกอยู่เกือบชั่วยาม ชิวเพ่ยเพ่ยชักชวนพวกเขาออกจากคุกก่อนหลบหนีจากค่ายต่อ คนเจ็บได้แต่เดินตามชิวเพ่ยเพ่ยกับองครักษ์เงาของนางไปอย่างเงียบ ๆ ยิ่งองค์ชายสามที่ฟื้นมาตอนเห็นชิวเพ่ยเพ่ยทำลายประตูคุกตอนนั้นเขายังอกสั่นขวัญกระเจิงไม่หาย เขาไม่คิดว่าคู่หมั้นตัวน้อยของสหายรักจะเก่งกาจปานนี้ ถ้าเขากล้าพูดจาให้นางโมโห มีหวังเขาต้องมีสภาพเหมือนประตูคุกแน่ บรื๋อออ ข้ากลัวแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยเดินอาด ๆ ออกจากคุกอย่างไม่กลัวใครจะเห็นสักนิด ถึงเห็นนางก็ไม่กลัว ในเมื่อพวกนั้นกำลังแข่งกันขี้แตกขี้แตนกันอยู่นี่นา ฮิฮิ พวกเขาออกจากค่ายทางด้านหลังโดยไม่มีใครพบ เฟยหยุนที่แปลกใจว่าคนหลายพันทำไมไม่มีเวรยามเหมือนตอนที่พวกเขาโดนจับ“ทหารพวกนั้นไปไหนหมดเหรอเพ่ยเพ่ย” มีเพียงเฟยหยุนคนเดียวที่กล้าคุยกับนาง“อ๋อ น่าจะขี้แตกอยู่น่ะนะ ข้าส่งขนมนิดหน่อยลงในอาหารกับน้ำดื่มของพวกเขาช่วงสายก่อนไปช่วยเจ้าน่ะ ฮิฮิ” ชิวเพ่ยเพ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี“อา ถึงว่าข้าได้กลิ่นเหม็นไปทั่วตอนเดินออกจากคุก เจ้าช่างร้ายกาจจริง ๆ เพ่ยเพ่ย” เฟยหยุนรีบอวยคู่หมั้นผู้น่ารักของเขา นางช่างซุกซนจริ
รุ่งเช้า ชิวเพ่ยเพ่ยกระพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงง พอตั้งสติได้แล้ว นางค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น นางเห็นใบหน้าคู่หมั้นสุดหล่อในระยะใกล้เพียงฝ่ามือ เขามองนางพร้อมอมยิ้มน้อย ๆ อา ʕ≧ᴥ≦ʔ มันทำให้นางรู้สึกดีต่อใจแบบแปลก ๆ หรือว่านี่เป็นอย่างที่ท่านแม่พูดเอาไว้ว่ามันจะรู้สึกฟินถ้าได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เฟยหยุนที่เห็นคนในอ้อมกอดตื่นขึ้นมาแล้ว เขาจึงแย้มรอยยิ้มมากขึ้น โอ ขอบคุณสวรรค์ที่นางตื่นเสียที เขาต้องรีบไปล้างคราบน้ำลายเต็มหน้าอกออกก่อนเดินทางเสียด้วย นางในดวงใจของเขานี่ก็ช่างกระไร ไม่รู้นางฝันดีอีท่าไหน ถึงได้มีน้ำลายไหลย้อยได้ทั้งคืน ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นเขายิ้มกว้างขึ้น จึงรีบกระแอมเบา ๆ อย่างขวยเขิน นางกอดเขาอย่างกับลูกหมีกอดแม่ แถมตรงอกเสื้อของเขายังเปียกชื้นไปหมด แฮ่ะ แฮ่ะ นางลืมไปว่าตัวเองชอบนอนน้ำลายไหล พอเช้าทีไร บ่าวนางจะรีบเปลี่ยนหมอนใบใหม่พร้อมปลอกให้ทุกวัน ชิวเพ่ยเพ่ยรีบปล่อยมือนางออกจากตัวเขาด้วยความอับอาย เฟยหยุนอยากแกล้งนางสักหน่อย แต่กลัวแม่สาวน้อยจะเขินอายจนถีบเขาแทน ตอนนี้เขายังบาดเจ็บอยู่ อย่าหาเรื่องตอนนี้จะดีกว่า เขารีบบอกนางว่าจะไปล้างหน
องครักษ์ทั้งสี่ที่อาการดีขึ้นมากแล้ว พากันไปหาฟืนมาก่อไฟให้นายน้อยกับคุณหนู ด้วยกลัวว่าถ้ามัวชักช้าอาจถูกดีดด้วยก้อนหินเหมือนปลาชะตาขาดพวกนั้น ฮือʢᵕ﹏ᵕʡ พวกเขายังไม่อยากตาย ไม่นานนักกองไฟก็พร้อม ชิวเพ่ยเพ่ยที่ทำอาหารไม่เป็นนั่งรอที่ใต้ต้นไม้กับเฟยหยุนและองค์ชายสาม นางถามพวกเขาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้“ข้าต้องปรึกษาเสด็จพ่อเสียก่อนค่อยตัดสินใจ” องค์ชายสามเอ่ยอย่างหนักใจ นางบอกพวกเขาแล้วว่าข่าวรั่วไหลได้อย่างไร เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีองครักษ์เงากี่คนที่ไปสมสู่กับพระสนมพวกนั้น เรื่องนี้ต้องให้เสด็จพ่อสืบเองแล้ว“อืม ส่วนข้าก็ต้องรอคำสั่งฝ่าบาทก่อนเช่นกัน” เฟยหยุนบอกคู่หมั้นที่นั่งข้าง ๆ“เจ้าอยากให้ข้าช่วยหรือไม่เล่า” ชิวเพ่ยเพ่ยที่มักตัดสินใจอะไรอย่างรวดเร็วรีบออกความเห็น แค่ฆ่าคน มันจะไปยากอะไร้!“ข้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อนนะเพ่ยเพ่ย เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าต้องปกป้องเจ้าสิ” เฟยหยุนส่งสายตาหวานฉ่ำให้นาง เมื่อคืนเขายังจำสัมผัสนุ่มนิ่มในอ้อมกอดได้อยู่เลย ยิ่งคิดยิ่งอยากรีบแต่งเสียให้รู้แล้วรู้รอด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสายตาเขาแปลก ๆ
ชิวเพ่ยเพ่ยที่หายออกจากเรือนไปไม่บอกไม่กล่าว เกือบถูกท่านแม่คนงามแพ่นกบาลเสียแล้ว ถ้าท่านพ่อคนดีไม่เข้ามาห้ามเอาไว้เสียก่อน ที่ท่านแม่โกรธก็ไม่ใช่อะไร เป็นท่านพ่อคนดีที่หาลูกสาวสุดที่รักไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ จนเขาเกือบไปแจ้งทางการ ท่านแม่ของนางจึงแก้ตัวว่านางไปเที่ยวบ้านท่านตาท่านยายน่ะสิ แต่พอนางกลับมา แล้วท่านแม่เห็นหน้าเท่านั้นแหละ ความโกรธที่สะสมมาก็ปะทุขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เดือดร้อนท่านพ่อที่คราแรกแสนจะเป็นห่วงบุตรสุดสวาท ต้องเกลี้ยกล่อมภรรยารักเสียหลายยกกว่านางจะหายดี เฮ้อ ภรรยาเขาแรงดีเสียจริง ๆ ส่วนตัวต้นเหตุที่ทำให้คนที่บ้านเป็นห่วงนั้นนนน ตอนนี้นอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ไปนานแล้ว นางรู้นิสัยท่านแม่คนงามดีจะตาย แค่นางอยากให้ท่านพ่อเกลี้ยกล่อมใช่ไหมเล่า จึงได้ทำการแสดงที่แม้แต่นางยังดูออก เสียดายที่ท่านพ่อคนซื่อมีหรือจะทันเล่ห์เพทุบายของท่านแม่นาง ป่านนี้คงหมดแรงคาเตียงไปแล้วล่ะมั้ง หึ วันต่อมา ท่านพ่อกลับบ้านตั้งแต่บ่าย โดยบอกให้นางสองแม่ลูกเตรียมตัวไปงานเลี้ยงในวังตอนเย็น โอ้ ไม่นะ นางเบื่อหน่ายคุณหนูผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน
หลังจากคารวะคนใหญ่คนโตเต็มพิธีการแล้วนั่งลง เป็นฮ่องเต้ที่ประกาศให้เริ่มงานเลี้ยงพระจันทร์เต็มดวงในวันนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยที่มางานแบบนี้เป็นครั้งแรกได้แต่เบ้ปากมองบน พระจันทร์มันก็เต็มดวงอยู่ทุกเดือน ฝ่าบาทจะไม่จัดงานเลี้ยงทุกเดือนเลยหรือ? กรมพิธีการจัดการแสดงเปิดงานจากกรมสังคีต บรรดานักเต้น นักดนตรีต่างทำงานกันอย่างแข็งขัน หากการแสดงออกมาเป็นที่พอพระทัย พวกเขาอาจจะได้รางวัลตอบแทนไม่น้อย หลังจบการแสดง เป็นฮองเฮาที่มอบรางวัลให้คนของกรมสังคีต และแนะนำให้บุตรสาวขุนนางขึ้นมาแสดงความสามารถ เนื่องด้วยองค์ชายสามบุตรชายนางยังไม่มีคู่ครองทั้งที่อายุเหมาะสมแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงถึงบางอ้อกับเป้าหมายของงานเลี้ยงครั้งนี้ ที่แท้ก็หาเมียให้ลูกชายนี่เอง นางอยากรู้เช่นกันว่าองค์ชายสามผู้นั้นจะได้รับสตรีเช่นไร ชิวเพ่ยเพ่ยที่ลืมไปว่านางก็เป็นบุตรีขุนนางคนหนึ่งจึงต้องขึ้นแสดงด้วย นั่งดูการแสดงอย่างเพลิดเพลิน กระทั่งขันทีเอ่ยเรียกบุตรีขุนนางชิวนั่นแล นางจึงได้สะดุ้งโหยงแทบตกเก้าอี้ เอ้า นางไม่ได้เตรียมอะไรมาเลย แล้วจะแสดงอะไรเล่า ชิวเพ่ยเพ่ยหันไปมองท่านพ่อกับท่านแม่
หลังจบการแสดงจากบุตรีขุนนางทั้งหมด ฮองเฮาที่เล็งเป้าหมายบุตรีขุนนางที่อยากได้มาให้ลูกชายก็ประทานรางวัลให้เกือบสิบคน รวมทั้งชิวเพ่ยเพ่ยก็ได้รับกับเขาด้วย ฮองเฮาและฮ่องเต้ต่างยกย่องเพลงฉินของชิวเพ่ยเพ่ยอย่างไม่ตระหนี่คำชม พวกเขายังหยอกล้อชิวกังด้วยว่าที่ไม่พาภรรยาและบุตรสาวมา คงเพราะกลัวถูกครอบครัวอื่นแย่งชิงบุตรสาวไปหรือไม่ ถึงแม้ฮ่องเต้และฮองเฮาจะแอบเสียดายนางอยู่ไม่น้อย แต่พวกเขารู้ดีว่าจวนแม่ทัพคงไม่ปล่อยนางมาให้พวกเขาแน่ เด็กดีมีความสามารถขนาดนี้ เป็นใครใครก็คงหวงแหนยิ่งนักกระมัง ชิวเพ่ยเพ่ยยิ้มรับคำชมอย่างถ่อมตัว นางเพียงตอบกลับฮ่องเต้และฮองเฮาว่า เป็นเพราะท่านพ่อและท่านแม่ให้การศึกษาแก่นางมาตั้งแต่เยาว์วัย จึงทำให้นางสามารถเล่นฉินได้อย่างไพเราะเช่นนี้ คำพูดของนางยิ่งทำให้พวกเขารวมทั้งขุนนางอีกหลายครอบครัวที่คราแรกตั้งใจจะทาบทามนางให้บุตรชายตน เสียดายยิ่งขึ้นไปอีก ถ้านางไม่ใช่คู่หมั้นของแม่ทัพใจโฉดคนนั้นแล้วล่ะก็ พวกเขาคงกล้าหน้าด้านส่งแม่สื่อให้ตระกูลชิวเลือกอีกสักครั้ง แต่ลองถ้าพวกเขาทำจริง ๆ ตอนนี้ พวกเขาไม่กล้าคิดเลยจริง ๆ ว่าคนในจวนแม่ท
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ