ด้านผู้ที่กำลังหลบหนีก็ไม่มีใครกล้าหันกลับไปมองจวนอ๋องที่แสนน่ากลัวนั่นอีก หนึ่งในผู้หลบหนียังมีเฟยหยุนกับองค์ชายสามที่เข้ามาสืบข่าวในแคว้นเยี่ย แต่เพราะพวกเขาบังเอิญเห็นเหตุการณ์ที่สองพ่อลูกอ๋องกำลังทำชั่ว แล้วแส่เข้าไปช่วยคนโดยลืมคิดไปว่าที่นี่ไม่ใช่แคว้นหนานของพวกเขา ด้วยจำนวนคนของอ๋องจิ่วที่มากมาย ทำให้พวกเขาพลาดพลั้งถูกจับตัวกลับมาทรมานจนแทบเอาตัวไม่รอด
ก่อนหน้าที่จะถูกช่วยออกจากจวนอ๋อง คนของชิวเพ่ยเพ่ยเห็นพวกเขาน่าสงสาร จึงกัดฟันป้อนยาที่เจ้าตำหนักให้เอาไว้รักษาตัวยามบาดเจ็บกับพวกเขาคนละเม็ด โดยเจ้าตัวคนให้เองไม่รู้เลยว่า ยานั้นสำคัญไฉน นี่เป็นยาที่นางปรุงเองจากสมุนไพรมีค่ามากกว่าหลายร้อยชนิด มันเป็นยาที่สามารถยื้อลมหายใจสุดท้ายของคนใกล้ตายได้มากกว่าห้าวันก่อนถึงมือหมอ นางจึงให้พวกเขาเอาไว้คนละสองเม็ดเท่านั้น แต่เจ้าคนใจดีคนนี้ มันกลับนำยาล้ำค่าให้คนอื่นเสียนี่ ถึงอย่างไรคนที่ถูกช่วยเหลือก็เป็นคู่หมั้นนาง ในตอนที่ชิวเพ่ยเพ่ยรู้ว่าเจ้าโง่คนนี้ทำอะไรลงไปจึงไม่ได้บ่นว่าอะไร นางเพียงแค่ให้ยาเพิ่มไปอีกสองเม็ดเท่านั้น
ตอนนี้ในตัวของเฟยหยุนและองค์ชายสามไม่มีเงินแม้แต่น้อย ก่อนที่จะถูกจับ พวกเขาสั่งไม่ให้องครักษ์เงาเผยตัวเพราะกลัวจะไม่มีคนส่งข่าวกลับแคว้นหนาน พอออกมาได้ไม่นาน องครักษ์เงาที่คอยเฝ้าจวนอ๋องอยู่ก็รีบเข้าไปช่วยพวกเขาไปที่พักทันที
เมื่อถึงที่พักก็พากันตรวจสอบบาดแผลของเจ้านาย และใช้ยารักษาให้พวกเขา กระทั่งเกือบรุ่งสาง สองผู้หลบหนีจึงหลับไปด้วยความเหนื่อยล้า องครักษ์ทั้งสี่ของนายทั้งสองได้แต่มองพวกเขาอย่างเป็นห่วง พวกเขาไม่น่าพาคนมาน้อยเกินไปจนทำให้นายน้อยบาดเจ็บกันขนาดนี้ ยังดีที่พวกเขารอดมาได้ ไม่อย่างนั้น ถึงพวกเขาจะมีหัวอีกสิบหัวก็ไม่พอให้ฮ่องเต้และท่านแม่ทัพใหญ่ตัดหรอก
ส่วนชิวเพ่ยเพ่ยที่ทำความดีในวันนี้เสียหลายอย่าง นางกลับห้องพักอาบน้ำเข้านอนอย่างสบายใจ รอนางตื่นก่อนค่อยจัดการเรื่องราวหลังจากนี้ก็แล้วกัน นางง่วงมาก
ก่อนเที่ยงวันต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยตื่นมาอย่างสดใส นางรีบล้างหน้าล้างตาไปหาของกินข้างนอกทันที โดยที่ไม่รู้เลยว่าข่าวจวนอ๋องไฟไหม้ดังกระฉ่อนไปทั่วเมืองหลวงแคว้นเยี่ยแล้ว บรรดาชาวบ้านชาวเมืองที่ตกทุกข์ได้ยากจากสองพ่อลูกต่างพากันกราบขอบคุณสวรรค์ที่เมตตากำจัดคนชั่วให้แคว้นของพวกเขา ส่วนพวกของอ๋องจิ่วที่ร่วมกันก่อกรรมทำเข็ญต่างตัวสั่นอย่างหวาดกลัวหลังรู้ข่าวตอนรุ่งเช้า พวกเขาสั่งคนเก็บของมีค่าเพื่อเตรียมหลบหนี แต่ฮ่องเต้ที่ได้รับหลักฐานการร่วมมือของขุนนางมากกว่าครึ่งในราชสำนักได้ออกคำสั่งให้ทหารฝ่ายเขาไปล้อมจวนขุนนางทุกคนเอาไว้ตั้งแต่ก่อนรุ่งสางแล้ว กระทั่งช่วงสายที่ราชโองการถูกประกาศที่หน้าจวนขุนนางเหล่านั้นนั่นแหละ พวกของอ๋องจิ่วจึงถูกจับรอการประหารในอีกห้าวันหลังจากนี้ นับว่าตอนนี้แคว้นเยี่ยหมดสิ้นซึ่งขุนนางเลวแล้ว ฮ่องเต้ตอนที่ตกใจตื่นจากองครักษ์ลับพร้อมสมาชิกอีกสามคนในสาขายกกล่องมาวางให้เขาในห้องนอนเมื่อคืนแล้ว เขาไม่คิดว่าตำหนักเมฆาดับจะเมตตาแคว้นของเขาขนาดนี้ เขายังสัญญากับคนทั้งห้าว่า หากตำหนักเมฆาดับต้องการสิ่งใดในภายหน้า ขอเพียงส่งคนมาบอกเขา เขาจะตอบแทนบุญคุณครั้งนี้ให้ถึงที่สุด
ชิวเพ่ยเพ่ยนั่งกินข้าวที่คนในสาขาเตรียมไว้ให้นางอย่างสบายอารมณ์ นางฟังรายงานจากหัวหน้าสาขาและองครักษ์เงาเสร็จจึงได้มอบหมายงานให้หัวหน้าสาขาต่อทันที ทรัพย์สินในครั้งนี้นางได้มาไม่น้อย นางแบ่งหนึ่งส่วนให้หัวหน้าสาขาเอาไว้บริหารงานในแคว้นเยี่ย อีกหนึ่งส่วนนางให้เป็นเงินส่วนตัวกับคนในสาขาทั้งหมดนำไปแบ่งกัน สำหรับสองส่วนสุดท้าย ชิวเพ่ยเพ่ยให้คนของสาขานี้ขนไปที่สาขาใหญ่ในแคว้นหนาน อีกส่วนที่เหลือนางให้องครักษ์เงาพาคนเอาไปส่งฮ่องเต้คืนนี้อีกครั้ง ในเมื่อคลังว่างเปล่า นางก็ให้พวกเขาเอาไว้ใช้จ่ายนิดหน่อยก็แล้วกัน ถึงยังไงพวกเขายังไม่ได้ยึดทรัพย์สินขุนนางชั่วพวกนั้นเลย ถ้ารวบรวมจากขุนนางจำนวนมากขนาดนั้น หนึ่งส่วนที่นางให้ไปก็เป็นเพียงขนมกินเล่นเท่านั้นแหละน่า
สองวันต่อมาหลังจัดการเรื่องราวที่แคว้นเยี่ยทั้งหมด ชิวเพ่ยเพ่ยพาองครักษ์เงากลับไปยังแคว้นหนานอย่างไม่เร่งร้อน นางใช้เวลาเดินทางกลับเกือบหนึ่งเดือน เพราะเดี๋ยวก็หยุดเที่ยวเล่น เดี๋ยวก็หยุดล่าสัตว์ เดี๋ยวก็หยุดตกปลา นางทำประหนึ่งว่ามาท่องเที่ยวตามประสาเด็กหนุ่มเสียอย่างนั้น
หลังชิวเพ่ยเพ่ยกลับถึงตำหนักเมฆาดับได้เพียงวันเดียว นางต้องเก็บของกลับบ้านอย่างไม่เต็มใจ ใครใช้ให้ท่านปู่ท่านย่ากับท่านพ่อต่างพากันคิดถึงนางกันเล่า ท่านตาเล่าให้ฟังว่า ระหว่างที่นางไม่อยู่นั้น พวกเขาส่งจดหมายมาทุกสามวันเลยทีเดียว ทำเอาแม่คนงามผู้รักสามีนางอย่างกับอะไรดีทนไม่ไหว ต้องส่งคนมาก่อกวนพวกเขาสองตายายให้เร่งชิวเพ่ยเพ่ยกลับจากแคว้นเยี่ย ดีที่ชิวเพ่ยเพ่ยกำลังอยู่ระหว่างทางกลับ นางจึงไม่ต้องเผชิญความน่ารำคาญจากท่านแม่คนงามผู้เอาแต่ใจได้อย่างฉิวเฉียด ชิวเพ่ยเพ่ยกลับถึงจวนตระกูลชิว นางถูกท่านปู่ ท่านย่า กับท่านพ่อ พลิกคว่ำพลิกหงายดูว่านางสึกหรอตรงไหนหรือไม่ ทำเอานางหัวหมุนไปหมด กระทั่งท่านแม่เข้ามาปรามนั่นแหละ นางจึงถูกปล่อยให้ไปพักผ่อนจากการเดินทางอย่างเร่งรีบในครั้งนี้เสียก่อน เฮ้อ นางรู้ว่าพวกเขารักนาง แต่พวกเขาลืมไปหรือเปล่าว่านางไปบ้านท่านตา ท่านยายที่สุดแสนจะร่ำรวยน่ะ หลังพักผ่อนได้สองวันในจวนตระกูลชิว นางได้รับคำสั่งจากท่านแม่ให้ไปเลือกของขวัญวันเกิดให้เพื่อนขุนนางของท่านพ่อแทน นางรีบถามท่านแม่ด้วยความสงสัย“ท่านแม่แน่ใจหรือว่าจะให้ข้าเลือก
หลังส่งคู่หมั้นเรียบร้อยแล้ว เฟยหยุนขอตัวรีบไปพบองค์ชายสามทันที เขามัวแต่อยู่กับนางจนแทบลืมว่ามีเรื่องต้องพูดคุยกับองค์ชายสามเสียแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยพยักหน้าให้เขาพร้อมรอยยิ้ม นางสั่งขนมห้ากล่องส่งขึ้นรถม้าเอาไว้แล้วจึงปล่อยเขาไปทำธุระ ถึงอย่างไรถ้าหากเขาว่างก็คงเข้าไปเยี่ยมนางกับครอบครัวเหมือนเดิมนั่นแหละ เฟยหยุนไปถึงห้องส่วนตัวของโรงน้ำชาเจ้าประจำ เขาถูกองค์ชายสามต่อว่าตั้งแต่ก่อนจะปิดประตูเสียด้วยซ้ำ“เพ้ย!!! ข้านึกว่าเจ้าจะเดินเล่นจนลืมเรื่องงานไปเสียหมด หึ” องค์ชายสามที่ส่งองครักษ์เงาไปตามหาสหายแล้วได้ข่าวว่าเขามัวแต่ตามคู่หมั้นต้อย ๆ อดจะหมั่นไส้ไม่ได้“หึ เจ้าก็พูดเกินไป ข้าแค่พาคู่หมั้นไปเลือกของขวัญให้เพื่อนพ่อของนางเท่านั้นเอง ไม่ได้ใช้เวลามากมายสักหน่อย”“โอ้ววว เกือบชั่วยาม ไม่มากเลยจริง ๆ หึ ข้าว่าเจ้าหลงเสน่ห์นางมากเกินไปแล้วนะ เจ้าแน่ใจหรือว่าจะแต่งกับนาง” องค์ชายสามผู้หวาดระแวงรีบเตือนสหายรัก“ข้าไม่ได้หลงเสน่ห์นางเสียหน่อย เจ้าก็รู้ว่านางไม่ได้สวยเท่ากับหญิงงามอันดับหนึ่งในเมืองหลวงด้วยซ้ำ แต่ข้าชอบนางที่ความสามารถต่างหากเล่า วันนั้นเจ้าเองก็เห็นวิชาตัว
สี่วันต่อมา องครักษ์เงาที่คอยเฝ้าเฟยหยุนรีบกลับมารายงานคุณหนูว่าคู่หมั้นของนางเข้าไปสืบข่าวที่ค่ายลับขุนนางคนหนึ่งแล้วถูกจับได้ เขาถูกส่งมาส่งข่าวก่อนจะสายเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เพิ่งตื่นนอนกลางดึก จากที่กำลังจะอาละวาดก็เปลี่ยนเป็นพยักหน้าแล้วให้เขารอนำทางด้านนอกเรือน นางใช้เวลาล้างหน้าเปลี่ยนเสื้อผ้าจัดอาวุธไม่ถึงเค่อก็ออกมา ด้วยความเร่งรีบ ชิวเพ่ยเพ่ยจับแขนองครักษ์เงาแล้วพาเขาใช้วิชาตัวเบาไปดั่งเหินบิน คราแรกองครักษ์เงากำลังจะบอกว่าเขาเตรียมม้าให้คุณหนูแล้ว แต่พอเห็นความเร็วของนางที่เร็วยิ่งกว่าม้าศึกเสียอีกจึงได้แต่หุบปากอย่างรู้งาน คราก่อนที่แคว้นเยี่ย เขาไม่รู้ว่าคุณหนูไปที่นั่น ด้วยระยะทางที่ไกลกัน เขาจึงไม่ได้บอกนาง กระทั่งแม่ทัพเฟยรอดมาได้ เขาจึงไม่กล้าเอ่ยเรื่องนี้ให้คุณหนูโกรธย้อนหลัง เขาบอกทางนางไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเช้าก็ถึงหุบเขาร้างแห่งหนึ่งซึ่งซ่องสุมกำลังคนของเหล่าขุนนางชั่วที่ต้องการยึดบัลลังก์ให้หลานชายตัวเองที่เป็นองค์ชาย ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นว่าเช้าแล้ว ไม่สะดวกกับการช่วยคน นางจึงแอบสังหารทหารในค่ายแล้วปลอมตัวเป็นเขาแทน องครักษ์เงาของนางเองก็ถูก
นางยังไม่ยอมเคลื่อนย้ายออกจากห้องทรมาน นางรอคนทั้งสองฟื้นขึ้นมาเสียก่อน เพราะนางแปลกใจที่ไม่เห็นองครักษ์เงาของพวกเขา ส่วนองครักษ์เงาอีกคนของนางก็หายหัวไปไหนไม่รู้ด้วยสิ นางไม่อยากเสียคนมีฝีมือไปหรอกนะ เกือบสองเค่อ เฟยหยุนกับองค์ชายสามก็ฟื้นขึ้นมา ชิวเพ่ยเพ่ยรีบถามสิ่งที่นางอยากรู้ทันที“องครักษ์เงาของพวกเจ้าอยู่ที่ใด ทำไมข้าไม่เห็นพวกเขาในคุกนี่” นางไม่ได้เปลี่ยนเสียงเพราะนี่ก็คู่หมั้นนางเอง นางไม่สนใจว่าเขาจะรู้ตัวตนนางหรือไม่ด้วย“พวกเขาถูกจับไปทรมานอีกห้องหนึ่งด้านโน้น ข้าได้ยินพวกมันคุยกันก่อนหน้านี้ เจ้าช่วยพวกเขาแทนข้าได้ไหม ข้ามันฝีมือไม่เอาไหน จนมาถูกจับทรมานอยู่แบบนี้” เฟยหยุนที่ไม่รู้ว่าคนตรงหน้าเป็นคู่หมั้น ได้แต่หน้าด้านขอร้องให้ช่วยคนของเขาก่อน องครักษ์ของเขาเปรียบเหมือนพี่น้องที่โตมาด้วยกัน ถ้าพวกเขาเป็นอะไรไป เขาคงเสียใจไปตลอดชีวิต“เจ้าไปช่วยพวกเขาสิ แล้วตามหาคนของเราด้วย ข้าไม่รู้ว่าเขาเฝ้าประสาอะไร ข้าจึงไม่เห็นแม้แต่เงา”“เอ่อ คุณหนูขอรับ ข้าอยู่ตรงนี้” องครักษ์อีกคนถูกขังในคุกใกล้ ๆ เขาเห็นคุณหนูกับเพื่อนที่ปลอมตัวจึงไม่รู้ว่าเป็นพวกนาง พอได้ยิ
หลังจากเสียเวลาจัดการคนป่วยทั้งหกอยู่เกือบชั่วยาม ชิวเพ่ยเพ่ยชักชวนพวกเขาออกจากคุกก่อนหลบหนีจากค่ายต่อ คนเจ็บได้แต่เดินตามชิวเพ่ยเพ่ยกับองครักษ์เงาของนางไปอย่างเงียบ ๆ ยิ่งองค์ชายสามที่ฟื้นมาตอนเห็นชิวเพ่ยเพ่ยทำลายประตูคุกตอนนั้นเขายังอกสั่นขวัญกระเจิงไม่หาย เขาไม่คิดว่าคู่หมั้นตัวน้อยของสหายรักจะเก่งกาจปานนี้ ถ้าเขากล้าพูดจาให้นางโมโห มีหวังเขาต้องมีสภาพเหมือนประตูคุกแน่ บรื๋อออ ข้ากลัวแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยเดินอาด ๆ ออกจากคุกอย่างไม่กลัวใครจะเห็นสักนิด ถึงเห็นนางก็ไม่กลัว ในเมื่อพวกนั้นกำลังแข่งกันขี้แตกขี้แตนกันอยู่นี่นา ฮิฮิ พวกเขาออกจากค่ายทางด้านหลังโดยไม่มีใครพบ เฟยหยุนที่แปลกใจว่าคนหลายพันทำไมไม่มีเวรยามเหมือนตอนที่พวกเขาโดนจับ“ทหารพวกนั้นไปไหนหมดเหรอเพ่ยเพ่ย” มีเพียงเฟยหยุนคนเดียวที่กล้าคุยกับนาง“อ๋อ น่าจะขี้แตกอยู่น่ะนะ ข้าส่งขนมนิดหน่อยลงในอาหารกับน้ำดื่มของพวกเขาช่วงสายก่อนไปช่วยเจ้าน่ะ ฮิฮิ” ชิวเพ่ยเพ่ยตอบอย่างอารมณ์ดี“อา ถึงว่าข้าได้กลิ่นเหม็นไปทั่วตอนเดินออกจากคุก เจ้าช่างร้ายกาจจริง ๆ เพ่ยเพ่ย” เฟยหยุนรีบอวยคู่หมั้นผู้น่ารักของเขา นางช่างซุกซนจริ
รุ่งเช้า ชิวเพ่ยเพ่ยกระพริบตาปริบ ๆ อย่างงุนงง พอตั้งสติได้แล้ว นางค่อย ๆ เปิดเปลือกตาขึ้น นางเห็นใบหน้าคู่หมั้นสุดหล่อในระยะใกล้เพียงฝ่ามือ เขามองนางพร้อมอมยิ้มน้อย ๆ อา ʕ≧ᴥ≦ʔ มันทำให้นางรู้สึกดีต่อใจแบบแปลก ๆ หรือว่านี่เป็นอย่างที่ท่านแม่พูดเอาไว้ว่ามันจะรู้สึกฟินถ้าได้อยู่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน เฟยหยุนที่เห็นคนในอ้อมกอดตื่นขึ้นมาแล้ว เขาจึงแย้มรอยยิ้มมากขึ้น โอ ขอบคุณสวรรค์ที่นางตื่นเสียที เขาต้องรีบไปล้างคราบน้ำลายเต็มหน้าอกออกก่อนเดินทางเสียด้วย นางในดวงใจของเขานี่ก็ช่างกระไร ไม่รู้นางฝันดีอีท่าไหน ถึงได้มีน้ำลายไหลย้อยได้ทั้งคืน ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นเขายิ้มกว้างขึ้น จึงรีบกระแอมเบา ๆ อย่างขวยเขิน นางกอดเขาอย่างกับลูกหมีกอดแม่ แถมตรงอกเสื้อของเขายังเปียกชื้นไปหมด แฮ่ะ แฮ่ะ นางลืมไปว่าตัวเองชอบนอนน้ำลายไหล พอเช้าทีไร บ่าวนางจะรีบเปลี่ยนหมอนใบใหม่พร้อมปลอกให้ทุกวัน ชิวเพ่ยเพ่ยรีบปล่อยมือนางออกจากตัวเขาด้วยความอับอาย เฟยหยุนอยากแกล้งนางสักหน่อย แต่กลัวแม่สาวน้อยจะเขินอายจนถีบเขาแทน ตอนนี้เขายังบาดเจ็บอยู่ อย่าหาเรื่องตอนนี้จะดีกว่า เขารีบบอกนางว่าจะไปล้างหน
องครักษ์ทั้งสี่ที่อาการดีขึ้นมากแล้ว พากันไปหาฟืนมาก่อไฟให้นายน้อยกับคุณหนู ด้วยกลัวว่าถ้ามัวชักช้าอาจถูกดีดด้วยก้อนหินเหมือนปลาชะตาขาดพวกนั้น ฮือʢᵕ﹏ᵕʡ พวกเขายังไม่อยากตาย ไม่นานนักกองไฟก็พร้อม ชิวเพ่ยเพ่ยที่ทำอาหารไม่เป็นนั่งรอที่ใต้ต้นไม้กับเฟยหยุนและองค์ชายสาม นางถามพวกเขาว่าจะทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อแผนการล้มเหลวไม่เป็นท่าแบบนี้“ข้าต้องปรึกษาเสด็จพ่อเสียก่อนค่อยตัดสินใจ” องค์ชายสามเอ่ยอย่างหนักใจ นางบอกพวกเขาแล้วว่าข่าวรั่วไหลได้อย่างไร เขาไม่รู้เลยว่าตอนนี้มีองครักษ์เงากี่คนที่ไปสมสู่กับพระสนมพวกนั้น เรื่องนี้ต้องให้เสด็จพ่อสืบเองแล้ว“อืม ส่วนข้าก็ต้องรอคำสั่งฝ่าบาทก่อนเช่นกัน” เฟยหยุนบอกคู่หมั้นที่นั่งข้าง ๆ“เจ้าอยากให้ข้าช่วยหรือไม่เล่า” ชิวเพ่ยเพ่ยที่มักตัดสินใจอะไรอย่างรวดเร็วรีบออกความเห็น แค่ฆ่าคน มันจะไปยากอะไร้!“ข้าไม่อยากให้เจ้าเดือดร้อนนะเพ่ยเพ่ย เจ้าเป็นคู่หมั้นของข้า ข้าต้องปกป้องเจ้าสิ” เฟยหยุนส่งสายตาหวานฉ่ำให้นาง เมื่อคืนเขายังจำสัมผัสนุ่มนิ่มในอ้อมกอดได้อยู่เลย ยิ่งคิดยิ่งอยากรีบแต่งเสียให้รู้แล้วรู้รอด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสายตาเขาแปลก ๆ
ชิวเพ่ยเพ่ยที่หายออกจากเรือนไปไม่บอกไม่กล่าว เกือบถูกท่านแม่คนงามแพ่นกบาลเสียแล้ว ถ้าท่านพ่อคนดีไม่เข้ามาห้ามเอาไว้เสียก่อน ที่ท่านแม่โกรธก็ไม่ใช่อะไร เป็นท่านพ่อคนดีที่หาลูกสาวสุดที่รักไม่เจอ ถามใครก็ไม่มีใครรู้ จนเขาเกือบไปแจ้งทางการ ท่านแม่ของนางจึงแก้ตัวว่านางไปเที่ยวบ้านท่านตาท่านยายน่ะสิ แต่พอนางกลับมา แล้วท่านแม่เห็นหน้าเท่านั้นแหละ ความโกรธที่สะสมมาก็ปะทุขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย เดือดร้อนท่านพ่อที่คราแรกแสนจะเป็นห่วงบุตรสุดสวาท ต้องเกลี้ยกล่อมภรรยารักเสียหลายยกกว่านางจะหายดี เฮ้อ ภรรยาเขาแรงดีเสียจริง ๆ ส่วนตัวต้นเหตุที่ทำให้คนที่บ้านเป็นห่วงนั้นนนน ตอนนี้นอนกระดิกเท้าอยู่บนเตียงนุ่ม ๆ ไปนานแล้ว นางรู้นิสัยท่านแม่คนงามดีจะตาย แค่นางอยากให้ท่านพ่อเกลี้ยกล่อมใช่ไหมเล่า จึงได้ทำการแสดงที่แม้แต่นางยังดูออก เสียดายที่ท่านพ่อคนซื่อมีหรือจะทันเล่ห์เพทุบายของท่านแม่นาง ป่านนี้คงหมดแรงคาเตียงไปแล้วล่ะมั้ง หึ วันต่อมา ท่านพ่อกลับบ้านตั้งแต่บ่าย โดยบอกให้นางสองแม่ลูกเตรียมตัวไปงานเลี้ยงในวังตอนเย็น โอ้ ไม่นะ นางเบื่อหน่ายคุณหนูผู้ดีตีนแดงตะแคงตีนเดิน
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ