สามวันต่อมา เตียวหย่งไจ้ออกจากตระกูลชิวไปรับรองเพื่อนรัก เขาขอให้เพื่อนลอบเข้าจวนไปสอนหลานสาวช่วงที่คนในจวนนอนหลับ สำหรับพื้นฐานวรยุทธของตระกูล เขาบังคับลูกสาวตัวแสบถ่ายทอดให้เพ่ยเพ่ย
หลังพูดคุยกับเพื่อนจนเข้าใจ เตียวหย่งไจ้รีบกลับจวนไปรายงานภรรยาสุดที่รักทันที เจียวไฉ่หลานเองก็ไม่ชักช้า นางรีบบอกหลานสาวถึงเวลาที่นางต้องฝึกฝน เด็กน้อยเพ่ยเพ่ยผู้ไร้เดียงสาไม่รู้เลยว่าถูกท่านยายหลอกเข้าให้แล้ว
สองตายายหลังสะสางเรื่องราวหลานสาว พวกเขารีบหนีออกจากจวนชิวโดยไม่อยู่รอทานข้าวเย็นเสียด้วยซ้ำ พฤติกรรมของพวกเขาสร้างความงุนงงให้ในคนตระกูลชิว แต่สำหรับลูกสาวของพวกเขานั้น นี่เป็นเรื่องที่สุดแสนจะธรรมดา พวกเขาคงกลัวว่าหลานสาวสุดที่รักจะโกรธเคือง จึงรีบเผ่นหนีกันจนฝุ่นตลบ เป็นนางเสียอีกที่ต้องเจียดเวลาแสดงความรักกับสามี มาสอนคุณหนูแสนดีของตระกูลชิวไม่พอ พ่อจอมบงการยังทิ้งเรื่องตำหนักให้คนส่งข่าวมาถึงนางหากมีสิ่งที่พ่อบ้านจัดการไม่ได้ด้วย เฮ้อ~~ นางขอลาออกจากการเป็นลูกของพวกเขาตอนนี้ยังทันไหม
เด็กน้อยชิวเพ่ยเพ่ยผู้ไร้เดียงสา ตั้งแต่ท่านยายคนสวยช่วยหาคนสอนวรยุทธให้นาง นางก็ไม่พบท่านยายกับท่านตาอีกเลย นางพบเพียงท่านแม่ที่เคยอ่อนโยนต่อหน้าท่านพ่อ แปลงร่างเป็นปีศาจสาวแสนดุร้ายในยามที่สอนพื้นฐานวรยุทธให้นาง ฮือ~~ ข้าขอท่านแม่ผู้อ่อนโยนคืนมาได้หรือไม่
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ชิวเพ่ยเพ่ยต้องเรียนวรยุทธกับท่านแม่สี่วันต่อสัปดาห์ ส่วนอีกสามวันที่เหลือจะมีท่านตาใจดีสามคนสลับกันมาสั่งสอนนาง ท่านแม่ยังกำชับนางด้วยว่าเรื่องนี้ต้องเก็บเป็นความลับ ห้ามให้ท่านพ่อและคนอื่นในครอบครัวรู้เด็ดขาด ด้วยความที่ถูกเลี้ยงดูมาให้เชื่อฟังตั้งแต่จำความได้ ชิวเพ่ยเพ่ยต้องอดทนเรียนรู้ทุกอย่างไม่ต่างจากตกนรก ยังดีที่นางมีสมองเหมือนผู้เป็นพ่อ ทำให้สิ่งที่อาจารย์ทุกคนสั่งสอนมา นางสามารถจดจำและทำตามได้อย่างรวดเร็ว
โดยเฉพาะผู้เฒ่าเซียวฟาง เขาไม่คิดว่าเด็กหญิงตัวน้อยจะจดจำสมุนไพรในหนังสือที่เขามอบให้ได้ทั้งหมด ภายในเวลาเพียงแค่อาทิตย์เดียว เขาที่เห็นแววนางก่อนใครเพื่อน รีบยัดความรู้ทั้งหมดในชีวิตที่สั่งสมมาให้นางทันใด
เฒ่าหลิงไท่ที่สอนเรื่องค่ายคูประตูกลรู้เรื่องนี้เป็นคนที่สอง เขาเลียนแบบตาเฒ่าเซียวฟางเช่นกัน จนชิวเพ่ยเพ่ยตัวน้อยสมองแทบระเบิดเสียให้ได้ ยังดีที่ท่านตาหยวนซวนเอ็นดูนาง เขาจึงไม่เร่งรีบเหมือนเพื่อนทั้งสองที่ยัดความรู้มากมายให้เด็กวัยเพียงห้าขวบ
อย่าได้พูดถึงเตียวเฟยหลิวผู้เป็นแม่ นางเพียงแค่รีบสอนรีบจบจะได้กลับไปนอนในอ้อมกอดอุ่นของสามีนาง นางไม่เคยสนใจว่าลูกสาวตัวเองมีสิ่งใดผิดปกติ ยกเว้นองครักษ์ลับของเตียวหย่งไจ้ที่ส่งมาดูแลหลานสาวสองคนที่รับรู้ว่าคุณหนูของพวกเขามีพรสวรรค์มากเพียงใด มีที่ไหนกันที่เด็กอายุห้าขวบจะเรียนรู้การสั่งสมลมปราณได้เร็วขนาดนี้ คุณหนูใช้เวลาเพียงแค่หนึ่งสัปดาห์ร่วมกับยาของท่านผู้เฒ่าเซียวฟางก็สามารถผ่านปราณขั้นหนึ่งแล้ว ถ้าเป็นคนธรรมดา ถึงแม้จะใช้ยาร่วมด้วยยังต้องใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสามเดือนด้วยซ้ำ พวกเขาที่รู้เรื่องนี้เข้าด้วยความบังเอิญจึงรีบส่งพิราบสื่อสารหาท่านเจ้าตำหนักอย่างเร็วไว เพราะกลัวจะมีคนไม่ดีตรวจสอบพบคุณหนูของพวกเขาแล้วชิงตัวไปเสียก่อน วิธีการปกปิดลมปราณ พวกเขาคงต้องขออนุญาตท่านเจ้าตำหนักแอบสอนคุณหนูแสนซื่อไว้เสียก่อน ไม่อย่างนั้นคงเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ พวกเขาไม่มีความสามารถที่จะรับผิดชอบเรื่องใหญ่ขนาดนั้นได้ ถ้าท่านเจ้าตำหนักรู้ทีหลัง พวกเขามีหวังตายหยังเขียด
ชิวเพ่ยเพ่ยฝึกฝนทุกอย่างจนอายุ 14 ปี ตอนนี้นางไม่ต้องเหนื่อยยากมากเท่าปีแรกที่เริ่มต้นแล้ว แถมลมปราณของนางยังแซงหน้าผู้เป็นแม่ที่เอาแต่ออเซาะท่านพ่ออยู่ไม่เว้นแต่ละวันจนนางเอือมระอา ต่อหน้าท่านพ่อ ท่านปู่และท่านย่า นางยังคงเป็นคุณหนูผู้น่ารักดังเดิม แต่พอถึงยามค่ำคืน นางจะกลายร่างเป็นนายหญิงน้อยของตำหนักเมฆาดับเมื่อรับงาน ไม่มีงานใดที่นางทำพลาด และไม่มีผู้ใดที่นางฆ่าไม่ได้มาก่อน
นางเริ่มรับภารกิจแรกตั้งแต่อายุ 10 ขวบ ด้วยท่านตาอยากให้นางหาประสบการณ์เท่านั้น แต่กลับกลายเป็นว่านางทำได้ดีเกินคาดจนท่านตาบอกว่าจะให้นางสืบทอดแทนมารดาผู้หลงสามีแทน นางที่เห็นแก่ทรัพย์สมบัติที่ท่านตานำมาหลอกล่อตั้งแต่ 10 ขวบ จึงต้องเรียนรู้การควบคุมผู้คนในตำหนักไปด้วยอีกอย่างหนึ่งจนถึงทุกวันนี้
คืนหนึ่งมีนกพิราบสื่อสารจากท่านตามาเรียกนางไปเที่ยวที่ตำหนัก ชิวเพ่ยเพ่ยที่เบื่อจะมองสามีภรรยาที่เอาแต่รักกันจนนางต้องกินอาหารสุนัขแทนข้าว จึงรีบตอบกลับจดหมายท่านตาอย่างยินดี รุ่งเช้าวันต่อมา นางขออนุญาตท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อและท่านแม่อย่างเป็นทางการ ทุกคนไม่มีใครคัดค้านการไปเที่ยวของนางในครั้งนี้
วันนั้นทั้งวัน ท่านปู่ ท่านย่า และท่านพ่อให้คนจัดเตรียมของฝากเสียมากมายสำหรับท่านตากับท่านยาย ชิวเพ่ยเพ่ยได้แต่ให้คนจัดขึ้นรถม้าเตรียมเดินทางวันพรุ่งนี้หลังอาหารเช้า
ชิวเพ่ยเพ่ยใช้เวลาเดินทางจากเมืองหลวงถึงตำหนักเมฆาดับถึงสามวันเต็ม นางไปอย่างไม่เร่งรีบตามที่ท่านตากำชับมา นางจำได้ว่าที่นางต้องตกไปอยู่ในมือท่านแม่ก็เพราะสาเหตุที่ท่านยายถามนางว่าอยากเรียนรู้วรยุทธหรือไม่ พอมาถึงตอนนี้นางขี้เกียจที่จะโกรธเคืองผู้อาวุโสของนางแล้ว ไหน ๆ ก็เรียนมาขนาดนี้แล้ว แถมท่านตายังยอมที่จะยกตำหนักพร้อมสมบัติสูงกองท่วมหัวให้นางอีก นางมีหรือจะปฏิเสธความร่ำรวย เมื่อก่อนนางไม่รู้ว่าท่านแม่ร่ำรวย นางเพิ่งรู้เรื่องนี้หลังจากท่านตากับท่านยายแอบมาเยี่ยมนางในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี่เอง ท่านพ่อนางเป็นขุนนางน้ำดีที่แสนจะสมถะ ของดี ๆ บ้านนางไม่เคยมีใส่กับเขาหรอก พวกนางสวมเพียงเสื้อผ้าเนื้อดีกว่าบ่าวรับใช้นิดหน่อยเท่านั้นมาตลอดตั้งแต่นางเกิดจนโตเอาป่านนี้ ตอนนั้นนางก็นึกว่าบ้านนางไม่มีเงินทองเหมือนตระกูลขุนนางอื่น ที่นางเห็นพวกเขาสวมชุดผ้าไหม เดินกรีดกรายไปทั่วตลาดพวกนั้นเสียอีก ที่ไหนได้เป็นท่านแม่นางที่ไม่อยากทำให้ครอบครัวท่านพ่อเป็นจุดเด่น จึงได้ทำตัวดังเช่นอดีตจนถึงปัจจุบัน นางอยากบอกท่านแม่เสียจริง ๆ ว่านี่มันสมัยไหนแล้ว แถมท่านตากับท่านยายยังเก่
“คารวะท่านตา ท่านยายเจ้าค่ะ” ชิวเพ่ยเพ่ยย่อกายคารวะผู้อาวุโสอย่างสวยงามตามแบบที่อาจารย์สอนมารยาทที่ท่านพ่อเสียเงินจ้างมาสอนนาง“ไฮ้ เจ้าจะมากพิธีไปไยเพ่ยเพ่ย มาให้ตาดูสิว่าเจ้าสูงแค่ไหนแล้ว” เตียวหย่งไจ้ผู้คลั่งไคล้หลานสาวมากกว่าบุตรสาวรีบเรียกนางเข้ามาใกล้ในทันใด“มาให้ยายกอดให้หายคิดถึงด้วยซิเพ่ยเพ่ย” เจียวไฉ่หลานเองก็คิดถึงหลานสาวที่มีกิริยามารยาทเรียบร้อยในตอนกลางวันคนนี้ไม่น้อย ชิวเพ่ยเพ่ยเดินก้าวเล็กไปให้ท่านตามองดูไม่นาน นางก็เดินเข้าไปสวมกอดท่านยายอย่างรักใคร่ สองผู้ชรารีบจับมือหลานสาวเข้าไปนั่งพักด้านใน ส่วนของฝากที่ท่านพ่อฝากมานั้นนางให้คนขับรถม้านำไปให้พ่อบ้านเก็บเรียบร้อยแล้ว สองผู้ชราและหนึ่งเด็กสาวคุยกัันไม่นานนัก พวกเขากลัวหลานสาวจะเหนื่อยจากการเดินทางจึงรีบให้นางไปพักผ่อนก่อนทานมื้อค่ำสักหน่อย ชิวเพ่ยเพ่ยที่อึดอัดอยู่ในรถม้ามานานมีหรือจะขัดใจเรื่องดี ๆ ที่ท่านตาท่านยายส่งมาให้ นางเดินตามบ่าวรับใช้ที่พ่อบ้านจัดไว้ให้ไปที่ห้องรับรอง อาหารค่ำมื้อนี้ล้วนแต่มีอาหารที่ชิวเพ่ยเพ่ยชอบเป็นหลัก สองผู้เฒ่าเอาอกเอาใจหลานสาวเสียจนบ่าวรับใช้แปลกใจ ปกติแล้
ชิวเพ่ยเพ่ยผู้แสนน่ารักตอนนี้โกรธจัดจนกลายเป็นแม่เสือสาวไปเสียแล้ว นางได้ยินว่าคนเลวพวกนี้ต้องการใช้ยาสกปรกครอบครองตัวนางแล้วบังคับท่านตากับท่านยายยกตำหนักนี้ให้พวกเขา หึ พวกมันกำลังฝัน!!! ชิวเพ่ยเพ่ยแฝงกายเข้าไปอย่างไร้ร่องรอย นางส่งยาพิษสารพัดที่สะสมไว้ในร่างกายด้วยพลังปราณ ไม่ถึงเค่อ คนพวกนั้นต่างอ่อนแรงและกระอักเลือดออกมา แถมพลังปราณที่สะสมไว้ชั่วชีวิตกลับหายไปเสียดื้อ ๆ นี่เป็นพิษที่ร้ายแรงที่สุดที่นางสร้างด้วยตนเอง ในใต้หล้านี้ไม่มีใครแก้ได้แม้แต่หมอเทวดาที่ว่าสามารถยื้อชีวิตคนจากมัจจุราช กว่าท่านตากับท่านยายจะมาถึง คนพวกนี้ก็กลายเป็นคนธรรมดาไปเสียสิ้น เฮ้อ หลังจากนี้เรื่องน้อยใหญ่ในตำหนักคงไม่พ้นพวกเขาสองสามีภรรยาต้องคอยสะสางเอง คนพวกนี้มีประโยชน์สำหรับเรื่องเล็กน้อยเหล่านี้นี่แหละ พวกเขาจึงยังไว้ชีวิตอยู่ แต่ใครใช้ให้พวกมันเหิมเกริมถึงขนาดนัดกันพูดคุยอย่างไม่กลัวใครได้ยินแบบนี้เล่า“ท่านเจ้าตำหนักช่วยพวกเราด้วย” ผู้อาวุโสใหญ่เห็นเขาเหมือนดั่งเทวดาแล้วตอนนี้ จากเมื่อก่อนที่มีฝีมือสูสีกัน แต่ตอนนี้เขาไม่มีแม้แต่พลังปราณพอที่จะยืนเสียด้วยซ้ำ ทำได้แค่
ชิวเพ่ยเพ่ยกลับจากตำหนักเมฆาดับได้หลายวันแล้ว นางถูกท่านแม่ผู้แสนดีสั่งให้ออกไปเลือกปิ่นสำหรับงานปักปิ่นที่ใกล้จะถึงนี้ของนางด้วยตัวเอง ทั้งที่เรื่องแบบนี้ผู้เป็นแม่ต้องจัดหาให้นางไหม? เฮ้อ วันนี้นางจึงได้เดินออกมาจากบ้านพร้อมบ่าวคนสนิทเพียงคนเดียวของนางที่ชื่อเตียวเตียวคนนี้นี่เอง เตียวเตียวเป็นลูกสาวแม่ครัวที่ท่านย่าชอบในฝีมือการทำอาหาร นางจ้างแบบไปเช้าเย็นกลับมาตลอดหลายสิบปี พอเห็นว่าเตียวเตียวอายุมากกว่านางห้าปี เลยรับเข้ามาดูแลนางตอนอายุห้าขวบ ดีที่เตียวเตียวรู้ความ นางไม่เคยเอ่ยสิ่งที่นางรู้ให้พ่อกับแม่ของนางฟังแม้แต่ครั้งเดียว ทำให้ชิวเพ่ยเพ่ยไว้วางใจและช่วยเหลือนางไม่น้อยยามที่ครอบครัวนางลำบาก เป็นเพราะพี่ชายผู้ฟุ้งเฟ้อของนางที่สอบขุนนางได้แบบฉิวเฉียด เอาแต่คอยเรียกร้องเงินทองไปรองรับเหล่าคุณหนูและคุณชายเพื่อหวังไต่เต้าตำแหน่งขุนนางในเมืองหลวงนั่นแหละ ทำให้เตียวเตียวต้องเจียดเงินส่วนตัวไปช่วยเหลือพ่อแม่จนตัวเองแทบไม่มียาไส้ นางสงสารจึงคอยให้ทีละนิดละหน่อย ไม่อย่างนั้นพี่ชายสารเลวนั่นต้องมาปล้นสาวน้อยเตียวเตียวของนางแน่ เตียวเตียวที่เดินตามหลังคุณห
ชิวเพ่ยเพ่ยที่กลับมาจากร้านเครื่องประดับแล้ว นางนำกล่องเครื่องประดับไปให้ท่านแม่ตรวจสอบก่อน“เพ้ย นี่เจ้าไม่ได้ใช้ตาดูก่อนซื้อหรือเพ่ยเพ่ย เจ้าดูซิว่ามันจะใช้ในงานวันปักปิ่นของเจ้าพรุ่งนี้ได้หรือไม่ ฮึ่ย” เตียวเฟยหลิวมองเครื่องประดับในกล่องที่ลูกสาวเลือกมาอย่างดูถูก ของราคาถูกแบบนี้จะมาใช้ในงานปักปิ่นลูกสาวนางได้ยังไงกัน ถ้าท่านพ่อท่านแม่รู้เข้า มีหวังตามมาฉีกอกนางแน่“อ้าว ก็ท่านแม่สั่งให้ข้าไปเลือกเองนี่เจ้าคะ ท่านก็รู้ว่าข้าไม่รู้เรื่องพวกนี้สักเท่าไหร่ ข้าใช้แค่ของที่ท่านแม่กับท่านย่าให้มาทั้งนั้น” ชิวเพ่ยเพ่ยทำหน้าตาใสซื่อให้แม่คนดีของนาง ไม่อย่างนั้นแม่นาง จะกลายร่างระหว่างที่ท่านพ่อไม่อยู่เรือนอีกเป็นแน่ นางยังไม่อยากต่อสู้กับท่านแม่ตอนนี้นะ“เฮ้อ เอาล่ะ ๆ เจ้าไปรอที่เรือนไป เดี๋ยวแม่จะให้แม่นมเอาไปให้เจ้าพร้อมชุดที่เจ้าต้องสวมพรุ่งนี้ด้วย ส่วนพิธีการเจ้าคงรู้ดีอยู่แล้วใช่ไหม” นางถอนหายใจแรงกับลูกสาวที่มีแววตาเดียวกับสามีไม่มีผิด พอจะต่อว่านางทีไรเป็นต้องหยุดเพราะแววตานี้ทุกทีสิน่า“ขอบคุณท่านแม่เจ้าค่ะ ข้าขอตัวก่อน” ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงกิริยามารยาทอันแช่มช้อยเอาไว้ไ
หลังพิธีการผ่านพ้นไปอย่างราบรื่น ตอนที่ชิวเพ่ยเพ่ยรับของขวัญ มีขุนนางมากมายให้ฮูหยินนำปิ่นไปมอบให้นาง แต่นางไม่ยอมรับ เป็นเพราะธรรมเนียมที่ว่า หากรับปิ่นจากบ้านใด จะถือว่ารับหมั้นกับบ้านนั่นน่ะสิ ใครจะรับมาง่าย ๆ เล่า องค์ชายสามผู้ชอบความสนุนสนาน เอาศอกกระทุ้งสีข้างเพื่อนสนิทเพื่อเร่งเร้าให้เข้าไปมอบปิ่นให้หญิงในดวงใจ ก่อนที่นางจะถูกหมาข้างถนนคาบไปเสียก่อน เฟยหยุนเห็นการแสดงออกของชิวเพ่ยเพ่ยที่ไม่รับปิ่นจากฮูหยินบ้านใดก็ใจชื้นขึ้นมาหน่อย แต่ตอนนี้แม่เขายังมาไม่ถึงนี่สิ เขาคงต้องหน้าด้านเข้าไปมอบให้นางเองเสียล่ะมั้ง ด้านสองตายายมองเห็นแม่ทัพหนุ่มรูปหล่อมานานแล้ว แต่พวกเขายังไม่มีเวลาถามความเป็นมากับลูกเขยคนซื่อ เพราะมัวแต่ทักทายพ่อแม่ลูกเขยอยู่นี่แหละ พอเห็นว่าแม่ทัพเฟยลุกจากเก้าอี้ สองเฒ่าชราต่างลุ้นกันยกใหญ่ พวกเขาเคยหวังให้ลูกสาวได้แต่งเข้าจวนแม่ทัพเมื่อหลายสิบปีก่อน จนใจที่ลูกสาวไม่ได้ดั่งใจ ตอนนี้ดูท่าว่าหลานสาวผู้แสนประเสริฐของพวกเขาจะทำให้ความฝันของเฒ่าชราทั้งสองเป็นจริงได้แน่ เฟยหยุนเดินเข้าหาชิวเพ่ยเพ่ยอย่างมั่นอกมั่นใจ เขายื่นปิ่นทอง
คราแรกชิวกังจะไม่ยอมรับหมั้น แต่ด้วยคำหว่านล้อมของพ่อตากับแม่ยายสายเปย์ของเขา เขาจึงได้แต่พยักหน้าอย่างจำใจ พ่อกับแม่เขาเองก็เห็นดีเห็นงามกับพ่อตาแม่ยายแต่แรก เขาเสียงเดียวจะสู้ได้อย่างไร ส่วนภรรยาคนดีที่เชื่อฟังคำสามีอย่างเตียวเฟยหลิวน่ะหรือ นางไม่สนใจสักนิดว่าลูกสาวจะได้สามีเป็นใคร แค่ลูกเขยนางหน้าตาพอดูได้ไม่เจ้าชู้นางก็รับได้หมดนั่นแหละ นางไม่นึกว่าลูกสาวนางจะมีวาสนาได้สามีเป็นถึงแม่ทัพเมืองหลวงตรงหน้า หน้าตาจัดว่าหล่อเลยทีเดียว แต่สำหรับสายตานาง สามีของนางดีที่สุด!!! หลังจากตกลงเรื่องราวดี ๆ กันแล้ว ครอบครัวทั้งสองก็นั่งทานข้าวร่วมกันอย่างกลมเกลียว สองเฒ่าชรายังเปิดกล่องของขวัญสารพัดกล่องให้หลานสาวคนดีดูเป็นน้ำจิ้ม ส่วนคนที่ร่วมเผือกด้วยต่างเบิกตาโตกับของเล็กน้อยที่สองเฒ่าชราตรงหน้าบอกไว้ นี่มันเล็กน้อยตรงไหน!!! กล่องทั้ง 17 เต็มไปด้วยแก้วแหวนเงินทอง ผ้าไหมชั้นดี ยาบำรุง สมุนไพรหายาก อา สิ่งใดที่มีค่าในใต้หล้านับว่ามากองตรงหน้าพวกเขานี่แล้ว พวกเขาไม่รู้หรอกว่าสองผู้เฒ่ามีอาชีพอะไร แต่ความร่ำรวยที่มากกว่าท้องพระคลังตรงหน้ายังทำให้คนในจวนแม่ทัพถึงกับ
หลังอาหารเย็นวันนั้น เตียวเฟยหลิวเข้ามาพบลูกสาวถึงเรือน ชิวเพ่ยเพ่ยมองท่านแม่คนงามอย่างแปลกใจ ร้อยวันพันปีท่านแม่ของนางไม่แม้แต่จะห่างจากท่านพ่อ แต่วันนี้นางยอมมาหาถึงเรือนคนเดียวเสียนี่ เอ หรือมีเรื่องใหญ่อะไรเกิดขึ้นหรือเปล่า“ท่านแม่มีอะไรหรือเจ้าคะ ถึงได้มาหาข้าที่นี่” ชิวเพ่ยเพ่ยเอื้อนเอ่ยแผ่วเบาตามที่ได้รับการสอนสั่งจากอาจารย์สอนมารยาท“ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าแค่เห็นว่าเจ้าเริ่มโตเป็นสาวแล้วก็ตอนที่เจ้าหมั้นหมายนี่แหละ แม่แค่อยากจะสอนเจ้าบางเรื่องเท่านั้น”“หืม ท่านแม่มีอะไรใหม่ ๆ มาสอนข้าเหรอเจ้าคะ” ชิวเพ่ยเพ่ยผู้บ้าเรียนแววตาสว่างวาบขึ้นในทันใด เตียวเฟยหลิวเห็นอากัปกิริยาของลูกสาวก็แทบเอาเท้าก่ายหน้าผาก ลูกสาวนางอะไรก็ดีหมด ยกเว้นเรื่องการบ้าเรียนนี่แหละ ไม่รู้ว่าเพราะติดนิสัยสามีนางมาหรือเปล่า เฮ้อ“ตอนนี้เจ้ามีคู่หมั้นแล้วใช่ไหม”“เจ้าค่ะ”“แล้วเจ้ารู้วิธีผูกมัดใจคู่หมั้นแล้วหรือยัง”“ไม่เจ้าค่ะ” ชิวเพ่ยเพ่ยคิดแล้วก็รีบตอบท่านแม่คนงามไปตามจริง นางไม่เคยสนิทสนมกับผู้ชายคนอื่นนอกจากท่านพ่อ ท่านปู่กับท่านตามาก่อน แล้วนางจะรู้วิธีการพวกนี้ได้อย่างไร“ก็นั่นไง ใน
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ