สองสัปดาห์ต่อมา คนของตำหนักเมฆาดับสาขาเมืองหลวงแคว้นหนานขอเข้าพบนางที่จวนแม่ทัพ ชิวเพ่ยเพ่ยยังแปลกใจว่าเหตุใดเขาจึงมาพบนางถึงที่นี่ แต่ด้วยหน้าที่เจ้าตำหนัก ชิวเพ่ยเพ่ยจึงออกไปพบเขาที่โถงรับแขกเรือนใหญ่
หัวหน้าสาขารีบคารวะเจ้าตำหนักอย่างนอบน้อม เขารายงานเรื่องด่วนที่ต้องมาหานางด้วยตัวเองทันที ด้วยข่าวที่เขาได้รับมาสด ๆ ร้อน ๆ ปรากฏว่ามีขุนนางกำลังจะก่อกบฏในอีกไม่กี่วันนี้ ซึ่งราชสำนักกำลังจะจัดงานเลี้ยงฉลองวันเกิดของฮองเฮานั่นเอง พวกเขาวางแผนจะให้คนในวังที่เป็นพวกเดียวกันวางยาในอาหารและเครื่องดื่มในวันนั้น แถมยังตั้งใจจะฆ่าท่านแม่ทัพใหญ่และครอบครัวด้วย เขาที่พอทราบข่าวจึงรีบวิ่งแจ้นมาแจ้งนางถึงที่นี่ด้วยกลัวว่าจะเกิดสิ่งใดขึ้นเสียก่อน
ชิวเพ่ยเพ่ยฟังรายงานจากลูกน้องพร้อมคิดตาม อืม คนพวกนี้มันไม่อยากมีชีวิตอยู่กันจริง ๆ หนอ ช่างหาเรื่องตายไม่เว้นแต่ละวัน ชิวเพ่ยเพ่ยสั่งการให้เขาวางกำลังคนของตำหนักเมฆาดับทั่วเมืองหลวง หากคนไม่พอให้ส่งพิราบสื่อสารไปเรียกคนมาจากสาขาใหญ่ได้ ส่วนเรื่องอื่นนางจะบอกอีกครั้งหนึ่ง
หัวหน้าสาขารับคำสั่งเจ้าตำหนักแล้วรีบขอตัวจากไปทำงานที่ได้รับมอบหมายอย่างเร็วไว เขาคิดในใจว่าครานี้สาขาเขาคงมีโบนัสพิเศษจากเจ้าตำหนักแล้วสินะ ฮิฮิ
ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ นางคงต้องบอกสามีไปตามตรงเสียแล้ว อีกอย่างกิจการของนางตั้งแต่นางรับตำแหน่ง นางสั่งการให้ไม่รับงานที่ฆ่าคนดีเด็ดขาดน่ะซี ทำให้ทุกวันนี้งานฆ่าคนลดน้อยลงไปมาก ยังดีที่กิจการร้านแลกเงินทั้งห้าแคว้นยังไม่ได้รับผลกระทบ เป็นเพียงว่าสมาชิกในสาขาจะไม่ได้รับเงินพิเศษจากการฆ่าเท่านั้น
หลังจากนั่งคิดสะระตะไปจนเกือบเค่อ นางจึงลุกเดินกลับเรือนไปรอสามีที่น่าจะกลับค่ำอีกในวันนี้ เขาบอกนางก่อนหน้าแล้วว่าต้องเตรียมกำลงคนสำหรับงานฉลองในอีกไม่กี่วัน มีเรื่องหลายอย่างที่ต้องจัดการจึงไม่สามารถมาเร็วเช่นปกติ
มื้อเย็นวันนี้จึงมีเพียงพ่อแม่สามีและชิวเพ่ยเพ่ยที่นั่งกินไปคุยไปตามประสา พวกเขาขอบคุณลูกสะใภ้สำหรับเสื้อผ้าชุดใหม่ที่สวยถูกใจพวกเขามาก ราวกับว่าคนตัดเข้ามานั่งอยู่ในใจ แต่ละชุดนั้นใช้สีและลวดลายที่พวกเขาสองคนชอบเป็นการส่วนตัว ทั้งที่พวกเขาไม่ได้บอกตั้งแต่วันวัดตัวเลยแม้แต่น้อย หากสองสามีภรรยารู้ว่า ข้อมูลตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบของจวนแม่ทัพมีเก็บไว้ที่ตำหนักเมฆาดับแล้วละก็ ไม่รู้ว่าพวกเขาจะรู้สึกอย่างไร
ชิวเพ่ยเพ่ยที่อาบน้ำรอสามีมาเสียค่อนคืน เฟยหยุนที่เพิ่งกลับมาด้วยหน้าตาอ่อนล้าไม่กล้ากอดภรรยาเพราะตัวเขามีแต่เหงื่อ เขารีบไปอาบน้ำอาบท่าให้ตัวหอมกรุ่นก่อนเข้าไปกอดรัดภรรยาหวังว่าจะได้รับการปลอบโยนบ้าง แต่ภรรยาตัวน้อยกลับยังคงนิ่งเฉย จนเฟยหยุนหยุดการกระทำทั้งหมดและมองหน้านางเพื่อสอบถาม
ชิวเพ่ยเพ่ยตัดสินใจบอกข่าวที่คนของนางรายงานให้เขารู้ รวมถึงบอกว่านางเป็นเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานไปเสียให้หมด อย่างไรนางก็เป็นภรรยาของเขา หากเขารับไม่ได้กับหน้าที่การงานของนาง นางก็คงต้องตัดใจออกห่างจากเขาและครอบครัวไป
เฟยหยุนฟังทุกอย่างที่ภรรยาสุดที่รักเล่าให้ฟัง คราแรกเขาตกใจมากที่รู้ว่านางเป็นถึงเจ้าตำหนักนักฆ่าในตำนานผู้นั้น กระทั่งได้สติ เขาจึงไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใดภรรยาตัวน้อยจึงเก่งกาจมากมายขนาดนี้ เขาจึงเอื้อนเอ่ยพร้อมกอดนางอีกครั้งว่า
“เพ่ยเพ่ย ไม่ว่าเจ้าจะเป็นอะไร ไม่ว่าเจ้าจะโหดร้ายแค่ไหน แต่สำหรับข้าแล้ว เจ้าเป็นเพียงภรรยาสุดที่รักของข้าเท่านั้น ดังนั้น เจ้าอยากทำสิ่งใดก็จงทำไปเสีย ข้าจะไม่ห้ามเจ้า เพียงแต่ขอให้เจ้าระมัดระวังตัวเองให้มาก ข้าไม่อยากให้ภรรยาข้าบาดเจ็บแม้เพียงนิด เจ้าเข้าใจหรือไม่”
ชิวเพ่ยเพ่ยที่ฟังคำพูดที่จริงใจจากสามีของนางได้แต่กอดตอบเขาพร้อมกับพยักหน้ารับปากว่านางจะระวังตัวเองให้ดี
หลังจากผ่านเรื่องราวซาบซึ้งกันไปไม่นาน ชิวเพ่ยเพ่ยจึงสอบถามสามีอย่างจริงจังว่าจะให้นางช่วยเรื่องจัดการพวกกบฏหรือไม่ หากเป็นเรื่องยาพิษเล็ก ๆ น้อย ๆ พวกนั้น นางมียาแก้พิษสารพัดที่ทำเอาไว้มากมาย เฟยหยุนขอบคุณภรรยาพร้อมจูบนางไปมาจนน้ำลายเปียกหน้านางเต็มไปหมด พอเห็นเขาเล่นไม่หยุดนางจึงกำหมัดฟาดไปเสียหนึ่งตุ้บ ทำเอาเขาแทบพ่นเลือดออกจากปาก อ่า ภรรยาจ๋า เบามือหน่อยสิ เมื่อเห็นว่าสามีหยุดเล่นพิเรนทร์แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยบอกแผนการที่นางคิดเอาไว้ให้เขาฟังด้วย หากปล่อยให้พวกเขาจัดการเอง นางคิดว่าไม่น่าจะสำเร็จเหมือนคราวก่อนที่ถูกจับไปทรมานเสียหลายวันนั่นแล เฟยหยุนเห็นว่านางอยากช่วยจากใจจริง เขาจึงรับปากจะไปคุยกับองค์ชายสามให้เสียก่อน ครั้งนี้เขาไม่อยากให้องค์ชายสามไปรายงานฮ่องเต้แล้ว เพราะดูเหมือนว่าทุกครั้งที่รายงาน คนพวกนั้นมักจะทราบข่าวก่อนล่วงหน้าอยู่ตลอด ฮ่องเต้ที่คิดว่ากำจัดหนอนบ่อนไส้ได้แล้วจึงไม่ค่อยระมัดระวังตัวเอาเสียเลย ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นด้วยกับสามีในเรื่องนี้ นางรอให้เขาไปคุยกับสหายให้เสร็จเสียก่อนค่อยดำเนินการต่อก็แล้วกัน หลังพูดคุยเรื่
เฟยหยุนที่เห็นตัวละครทั้งหมดมาครบแล้ว เขาสั่งการองครักษ์เงาให้ส่งสัญญาณให้คนของเขาและภรรยาเข้ามาจัดการเหล่าคนชั่วให้หมด ส่วนจวนขุนนางทั้งหลายที่ก่อกบฏ มีทหารของตระกูลเฟยไปล้อมเอาไว้หมดแล้ว แม้แต่มดสักตัวก็อย่าได้หวังว่าจะหนีไปได้ในวันนี้ ชิวเพ่ยเพ่ยยังแอบสั่งการคนของนางให้ไปดูแลคนของสามีอีกทอดหนึ่ง ถึงอย่างไรพวกเขาก็ถูกเลี้ยงดูมาด้วยเงินทองของบ้านสามีนางนี่นะ นางก็ไม่อยากให้พวกเขาบาดเจ็บล้มตายไปเปล่า ๆ ปลี้ ๆ อีกอย่างคนของนางแต่ละคนนั้น มีฝีมือมากกว่าพวกเขาไม่น้อย ไม่ถึงหนึ่งเค่อ มีกำลังคนมากกว่า 1,000 คนมาล้อมกองกำลังกลุ่มแรกอีกชั้นหนึ่ง เป็นองค์ชายสามที่ออกคำสั่งให้จับพวกกบฏที่กำลังเชิดหน้าชูคอข่มขู่เสด็จพ่อของเขาเสียที เขาฟังพวกมันจนขี้หูแทบกระเด็นออกมาแล้วเนี่ย ขุนนางที่ไม่มีวรยุทธรีบรวมกลุ่มกันไปอยู่อีกมุมหนึ่งทันที พวกเขากลัวว่าดาบกระบี่ไม่มีตา อาจตายได้ง่าย ๆ น่ะซี เหล่ากบฏเห็นคนมากมายล้อมพวกเขาอยู่ จึงคิดได้ว่าแผนการรั่วไหลแน่แล้ว ตอนนี้พวกเขาต้องหนีออกไปให้ได้ก่อน เรื่องหลังจากนี้ค่อยคุยกันทีหลังก็แล้วกัน ชิวเพ่ยเพ่ยที่รำคาญกับความท่
ชิวเพ่ยเพ่ยเริ่มการตามล่าขุนนางที่เหลือจากคนที่อยู่ใกล้เมืองหลวงก่อน นางฆ่าไปจนกระทั่งถึงชายแดนตะวันออกที่คนของแม่ทัพตะวันออกและครอบครัวประจำการอยู่ ชิวเพ่ยเพ่ยไม่สนใจว่าราชสำนักจะจัดใครมาดูแลที่นี่ นางเพียงฆ่าคนที่รู้เรื่องและร่วมมือเท่านั้น ส่วนคนที่ไม่รู้เรื่องและทำตามคำสั่งเพราะถูกข่มขู่หรือว่าจ้างด้วยเงินทอง นางยังใจดีปล่อยพวกเขาไป ถึงอย่างไรการฆ่าคนน้อยลงสักหน่อยก็จะได้ไม่เปลืองยาพิษนาง กว่าจะเสร็จสิ้นงาน นางก็ใช้เวลาไปเกือบหนึ่งเดือนอีกแล้ว คราวนี้ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องหาซื้อของฝากตั้งแต่ชายแดนตะวันออกยาวไปจนถึงก่อนเข้าเมืองหลวง ขากลับนางซื้อรถม้านุ่ม ๆ นั่งกลับอย่างสบายใจ ทำให้ต้องใช้เวลาอีกกว่าครึ่งเดือนจึงไปถึงเมืองหลวง ชิวเพ่ยเพ่ยรีบนำของฝากมากมายไปให้พ่อกับแม่สามีเช่นเคย โดยใช้ข้ออ้างว่าไปดูแลร้านค้าหลายสาขาจึงทำให้นางกลับช้าไปบ้าง ทางด้านพ่อแม่สามีผู้แสนดีของนางมีหรือจะโทษว่าลูกสะใภ้คนนี้ได้ลง พวกเขารับของฝากพร้อมรอยยิ้มเต็มใบหน้า แถมยังไล่นางให้รีบไปพักผ่อนก่อนค่อยมาทานอาหารเย็นทีหลัง ชิวเพ่ยเพ่ยยิ้มรับคำพวกเขาแล้วขอตัวลาไปพักผ่อนที่เร
วันต่อมาหลังกลับจากบ้านตระกูลชิว ชิวเพ่ยเพ่ยรู้สึกว่าช่วงนี้นางง่วงนอนแปลก ๆ พออิ่มแล้วจะง่วงนอนทันที ทั้งที่กองบัญชีรอนางสะสางยาวเป็นหางว่าว นางไม่คิดอะไรมากนัก คิดแค่ว่าอาจเหนื่อยสะสมจากการเดินทางก็เป็นได้ ชิวเพ่ยเพ่ยไม่คิดจะฝืนตัวเอง นางนอนหลับไปจนเกือบเที่ยงจึงลุกไปทานอาหารกับท่านแม่สามี วันนี้ท่านพ่อสามีกับสามีนางมีงาน ถ้านางเดาไม่ผิดน่าจะเรื่องชายแดนตะวันออกที่นางไปจัดการมาเป็นแน่ ช่วงนี้ราชสำนักน่าจะวุ่นวายไม่น้อย ไหนจะขุนนางตายเป็นเบือ ทั้งยังไม่มีแม่ทัพคุมชายแดนตะวันออกอีก ชิวเพ่ยเพ่ยนั่งทานอาหารกับแม่สามีพร้อมคุยกันเรื่องบ้านใหม่ของตระกูลชิว คราก่อนที่ปราบกบฏมีบ้านขุนนางใหญ่หลายหลังถูกขายทอดตลาด ไหนจะร้านรวงมากมายที่พวกเขาเคยมีนั่นอีก แม่สามีนางเลยปรึกษาว่าจะซื้อเอาไว้บ้างดีหรือไม่ หลังทานอาหารเสร็จ ขณะที่กำลังจะกินของหวานตบท้ายตามปกติ ชิวเพ่ยเพ่ยกลับพะอืดพะอมจนวิ่งไปอ้วกนอกห้องอาหาร แม่สามีตกใจจนตะโกนเรียกคนเสียงดัง พ่อบ้านที่คอยเฝ้าอยู่รีบให้คนไปตามหมอมาดูฮูหยินซื่อจื่ออย่างร้อนรน หากฮูหยินซื่อจื่อเป็นอะไรไปล่ะก็ ซื่อจื่อมีหวังอาละวาดจน
หนึ่งเดือนต่อมา เตียวหย่งไจ้กับภรรยาที่ได้รับข่าวจากพิราบสื่อสารเมื่อสองสัปดาห์ก่อน พวกเขาเร่งเดินทางทั้งวันทั้งคืนรีบมาหาหลานสาวสุดที่รักอย่างไม่กลัวเหน็ดเหนื่อย ดีที่สองผู้เฒ่ามีวรยุทธสูงส่งและร่างกายแข็งแรง ยิ่งยาบำรุงที่หลานสาวให้ไว้คราก่อนนี้ดีนักแล พวกเขาเหมือนกลับไปเป็นหนุ่มเป็นสาวเลยเชียวล่ะ เตียวเฟยหลิวเองก็ซื้อจวนไม่ไกลจากจวนโหวนัก ห่างกันแค่หนึ่งจวนกั้นขวางเท่านั้น แถมจวนใหม่ยังใหญ่กว่าเก่าเกือบสี่เท่าเสียด้วย เตียวเฟยหลิวไม่สนใจราคาว่าจะแพงขนาดไหน ก็นางมันร๊วยย ฮ่า ฮ่า ตอนนี้ตระกูลชิวจึงย้ายสำมะโนครัวมายังจวนใหม่ได้สองสัปดาห์หลังจากปรับปรุงจวนใหม่เล็กน้อย ท่านปู่ท่านย่าขยันเดินไปหาหลานสาวที่กำลังท้องแทบวันเว้นวันเลยทีเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยที่มีคนห้อมล้อมมากมาย คราแรกนางก็ไม่ค่อยชอบใจนัก แต่พอนึกได้ว่าพวกท่านรักและเป็นห่วงนางนี่นะ นางจึงปล่อยเลยตามเลย ปกตินางจะไม่ขี้หงุดหงิดขนาดนี้ อาจเป็นเพราะอาการของคนท้องก็เป็นได้ ช่วงนี้งานในตำหนักมีท่านแม่คนงามมาช่วยแบ่งเบา ทำให้ชิวเพ่ยเพ่ยกิน ๆ นอน ๆ อย่างสบายอารมณ์ เตียวเฟยหลิวหมั่นไส้บุตรสาวไม่น
เฟยหยุนช่วงนี้ถึงจะมีงานมาก แต่เขายังคงเจียดเวลามาดูแลภรรยารักอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง ส่วนกิจกรรมตามตำราของภรรยา เขาขอให้นางงดเว้นจนกว่าจะคลอด ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดของเขาคือนางกับลูกในท้อง เรื่องความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ เขาสามารถปล่อยวางได้ ชิวเพ่ยเพ่ยยังถามสามีย้ำแล้วย้ำอีกว่าเขาแน่ใจหรือ เฟยหยุนจึงให้ความมั่นใจกับภรรยาว่าเขาทนได้ เขาอยากให้นางพักผ่อนมากกว่า และทุกวันเขายังกลับมานอนกอดนางด้วยนี่นา เหตุใดภรรยาตัวน้อยจึงหวาดระแวงเสียขนาดนี้ ความจริงชิวเพ่ยเพ่ยเชื่อใจสามีนางอยู่แล้ว เพียงแต่ท่านแม่คนงามมักมาเป่าหูนางเรื่อยนี่สิ หึ ท่านแม่นะท่านแม่ สามีข้าน่ะหรือจะกล้า! ท่านตาผู้แสนดีนำช่างฝีมือมาจัดการเรือนเก่าที่ผุพังออกไป หลังจากตกลงเรื่องรูปแบบการปรับปรุงจวนใหม่กันแล้ว สำหรับจวนเก่าหลังที่ชิวเพ่ยเพ่ยอยู่ตอนนี้ พวกเขารอให้เรือนใหม่สร้างเสร็จเสียก่อนค่อยย้ายเข้าไปแล้วค่อยปรับปรุงเรือนนี้ใหม่ ส่วนเรือนของท่านพ่อท่านแม่สามีนาง ท่านตาก็รอให้จวนรับรองที่กำลังปรับปรุงเสร็จก่อน จึงจะปรับปรุงเรือนใหญ่ ช่างวางแผนงานมาเป็นอย่างดี เขาประมาณการก่อสร้างและปรั
เตียวเตียวที่ยังคงทำหน้าที่บ่าวในเรือนใหม่ นางอิจฉาคุณหนูที่ได้สามีดี ๆ เป็นถึงซื่อจื่อ เมื่อก่อนนางไม่เคยคิดแบบนี้หรอก แต่พอเปรียบเทียบครอบครัวนางกับครอบครัวคุณหนูทุกอย่างบ่อยครั้งเข้า ความคิดของเตียวเตียวก็เริ่มบิดเบี้ยว ยิ่งหลังจากชิวเพ่ยเพ่ยแต่งงาน นางที่ไม่ได้รับใช้ชิวเพ่ยเพ่ยและแต่งเข้าเป็นสินเดิมด้วยยิ่งคับแค้นใจ ถึงแม้สามีของคุณหนูจะมาค้างที่จวนตระกูลชิวอยู่บ่อย ๆ แต่ด้วยสี่บ่าวรับใช้สูงวัยของชิวเพ่ยเพ่ยคุมอยู่ เตียวเตียวไม่เคยมีโอกาสเข้าใกล้คู่สามีภรรยาอีกเลย ตอนนี้คุณหนูของนางท้องโตมากแล้ว นางจึงคิดว่าโอกาสที่จะเข้าใกล้ท่านเขยน่าจะมาถึงเสียที เตียวเตียวทำทีเป็นนำขนมไปให้คุณหนูในยามหลังอาหารเย็น นางกะว่าถ้าคุณหนูพักผ่อนอยู่ นางจะได้อ่อยท่านเขยให้ลงเอยกับนางลับหลังคุณหนูเสียเลย หึ ในเมื่อนางยังไม่ได้แต่งงาน หน้าตาก็ไม่ด้อยกว่าคุณหนูมากนัก นางจึงมั่นใจว่าตนเองที่ยังสดใหม่จะมัดใจท่านเขยได้แน่ ๆ แต่มีหรือแผนการงี่เง่าของคนโง่อย่างเตียวเตียวจะได้ผล แม้แต่เงาท่านเขยนางก็ไม่ได้พบ เพราะสี่บ่าวสุดแกร่งของชิวเพ่ยเพ่ย ลากเตียวเตียวออกไปพร้อมขนมผสมยาปล
เช้าวันต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยยังคงไปทานอาหารร่วมกับครอบครัวสามีอย่างมีความสุข หลังจากกินอิ่มแล้ว นางตั้งใจจะกลับเรือนไปพักผ่อนเสียหน่อย นับวันลูกน้อยของนางชักจะเอาใหญ่ทำให้นางพักผ่อนไม่เพียงพอตลอดคืน พอสามีนางเผลอหลับ ลูกมักจะเตะท้องนางเสียอย่างนั้น เฮ้อ นางไม่รู้จะทำอย่างไรกับเจ้าตัวเล็กนี่ดี ขณะกำลังเดินกลับเรือนกับบ่าวทั้งสี่ ป้าที่ดูแลนางกระซิบบอกเรื่องเตียวเตียว ชิวเพ่ยเพ่ยชะงักเท้ากึก ถึงแม้สีหน้าของนางจะไม่เปลี่ยนแปลง แต่ภายในใจนางนั้นปั่นป่วนไม่น้อย จนไม่สามารถก้าวเดินต่อเพราะกลัวตัวเองจะหกล้ม นางจึงยืนนิ่งอยู่ก่อน สี่บ่าวเห็นว่าคุณหนูของตนอาการแปลก ๆ พวกนางเริ่มกระวนกระวาย แต่ไม่นานชิวเพ่ยเพ่ยก็เอ่ยปากให้เดินต่อไปที่เรือนของนาง นางไม่รู้ว่าจะจัดการเรื่องเช่นนี้อย่างไรดี นี่เป็นครั้งแรกที่นางพบว่าบ่าวที่เคยสนิทกับนางมาตั้งแต่เด็ก กล้าคิดร้ายกับนาง ถึงแม้เรื่องจะยังไม่เกิดขึ้นจริง แต่ภายในใจนางกลับเจ็บปวดราวกับมีเข็มมาทิ่มแทง นางเคยดูแลเตียวเตียวมาตลอดหลายปี มีเพียงช่วงเกือบปีมานี้ตั้งแต่นางรับตำแหน่งเจ้าตำหนักที่นางมักจะไม่เรียกใช้เตียวเตียว เป็นเ
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ