ชิวเพ่ยเพ่ยรอคอยจดหมายตอบกลับจากท่านตา ท่านยายอย่างกระวนกระวายมาตลอดสามวัน กระทั่งจะเข้าวันใหม่ในวันที่สี่ นางยังไม่เห็นแม้แต่เงาของพิราบสื่อสารที่นางส่งไป ฮือ ท่านตาท่านยายก็ไม่รักนางอีกหรือนี่
ชิวเพ่ยเพ่ยได้แต่นั่งนึกจนหัวแทบระเบิดว่าท่านแม่ไปพูดอะไรจนทำให้ทุกคนในบ้านไม่แม้แต่จะมองหน้านางแบบนี้ สามวันที่ผ่านมา นางไม่กล้าไปร่วมโต๊ะกินข้าวกับพวกเขาเลย นางเพียงสั่งให้เตียวเตียวไปยกถาดอาหารมาให้นางที่เรือน โดยอ้างว่าทำงานอยู่ แต่การกินข้าวคนเดียวหรือจะสู้ได้นั่งกินกับคนที่รักและเอ็นดูนางมาตั้งแต่จำความได้กันเล่า
ชิวเพ่ยเพ่ยอดรนทนไม่ไหวอีกต่อไป นางรีบสอบถามองครักษ์เงาว่านกพิราบของนางหายไปไหน ทางด้านองครักษ์ผู้ภักดีที่ถูกเตียวเฟยหลิวข่มขู่ไว้มีหรือจะกล้าปริปาก พวกเขายังอยากทำหน้าที่ต่ออยู่นะ ฮือ
ชิวเพ่ยเพ่ยที่ถามไม่ได้ความอะไรจากปากคนของตนก็ยิ่งสงสัยว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกันแน่ นางรีบออกจากเรือนไปขอเข้าพบท่านปู่ ท่านย่าพร้อมแววตาที่แดงก่ำพร้อมจะร้องไห้ นางทุกข์ใจมากจริง ๆ ช่วงนี้ ดีที่ท่านทั้งสองยังเมตตาให้นางเข้าพบ
ชิวเพ่ยเพ่ยพอได้เห็นหน้าผู้อาวุโสที่เคยอุ้มชูมาแต่อ้อนแต่ออกก็ทนความเหงาไม่ไหว ร้องไห้โฮออกมาต่อหน้าท่านปู่ ท่านย่าอย่างไม่อาย นางสะอึกสะอื้นถามความว่าเกิดอันใดขึ้นกันแน่ ทำไมพวกท่านถึงได้ทำตัวเย็นชาเหมือนกับว่าพวกท่านไม่รักนางแล้วแบบนี้
สองเฒ่าชราที่เห็นว่าหลานสาวสุดที่รักทุกข์ใจเพียงใดก็รีบเข้ามากอดปลอบพร้อมกับลูบหัวลูบไหล่ไปด้วย พวกเขาเล่าถึงสาเหตุที่แสดงพฤติกรรมเหล่านั้นออกมาให้นางฟังทั้งหมด
ชิวเพ่ยเพ่ยพอรู้ความจริงว่าท่านแม่ผู้งดงามของนางทำอะไรลงไปบ้างในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา นางถึงกับหยุดน้ำตาเอาไว้ไม่ไหว ร้องไห้เหมือนกับจะเป็นจะตายเสียให้ได้ ฮือ ท่านแม่ใจร้ายกับนางจริง ๆ กับอีแค่เรื่องแต่งงาน นางถึงกับต้องแสดงอิทธิฤทธิ์จนทำให้นางต้องชอกช้ำระกำใจมาเสียหลายวันแบบนี้
สองเฒ่าชราได้แต่ปลอบอย่างไม่รู้จะทำอย่างไรได้ดีไปกว่านี้ นั่นก็ลูกสะใภ้สุดประเสริฐเลิศเลอของพวกเขา นี่ก็หลานสาวสุดที่รักเพียงคนเดียว เฮ้อ เป็นผู้เฒ่านี่ช่างลำบากเสียจริง ๆ พวกเขาคงต้องพึ่งพาลูกชายคนดีแทนเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นสองแม่ลูกคงยากที่จะปรองดองกันได้
ชิวเพ่ยเพ่ยที่ร้องไห้จนตาบวม กล่าวลาท่านปู่ ท่านย่าแล้วเดินโซเซกลับเรือน นางคิดไม่ออกจริง ๆ ว่าต้องทำยังไงให้ท่านแม่หยุดใส่ร้ายนาง หากนางแก้ตัวก็จะถูกหาว่าอกตัญญูไปอีกนั่นแหละ ในเมื่อทำนั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่ได้ นางที่เหนื่อยล้าหัวใจมาหลายวันจึงผล็อยหลับไปโดยไม่ได้กินข้าวเสียด้วยซ้ำ
ด้านเตียวเฟยหลิวที่รู้เรื่องบุตรสาวทุกอย่างจากองครักษ์ของนาง นางเองก็ไม่อยากทำแบบนี้กับบุตรสาวที่เบ่งออกมาหรอหนา แต่ใครใช้ให้เจ้าเด็กนั่นดื้อรั้นไม่เข้าท่ากันเล่า นางก็ต้องสั่งสอนก่อนบุตรสาวจะออกเรือนเสียหน่อย ว่านางอย่าได้เอาแต่ใจเหมือนอยู่ที่บ้าน ถึงแม้ท่านแม่ทัพใหญ่และฮูหยินจะรับปากพวกนางแล้วก็เถอะ แต่ใครจะแน่ใจได้เล่าว่า พวกเขาจะไม่เปลี่ยนไปในอนาคต ไม่ใช่ว่านางไม่รักบุตรสาวเสียหน่อย
ชิวกังที่กลับจากทำงานตอนเย็น เขาไปร่วมโต๊ะกับท่านพ่อ ท่านแม่ ดังเช่นปกติ พวกท่านเล่าให้เขาฟังถึงอาการเศร้าโศกเสียใจของบุตรสาวในวันนี้ จนเขาแทบกลืนอาหารไม่ลง เขาเองก็ไม่ใช่จะไม่เสียใจ แต่ครั้งนี้บุตรสาวทำกับภรรยาเขาเกินไปจริง ๆ ในเมื่อท่านพ่อ ท่านแม่ ขอร้องให้เขาปรับความเข้าใจระหว่างภรรยากับบุตรสาวแบบนี้ เขาก็คงต้องทำตามที่ท่านบอก อีกอย่าง เขาเองก็คิดถึงบุตรสาวที่รักไม่น้อยเช่นกัน เวลาไม่ได้ยินนางเรียกท่านพ่ออย่างอ่อนหวานเหมือนเช่นทุกวัน เขายังรู้สึกเหมือนชีวิตขาดอะไรไป
ค่ำคืนนั้น ชิวกังต้องสูญเสียกำลังวังชาไปไม่น้อย เพื่อเกลี้ยกล่อมภรรยาให้คืนดีกับบุตรสาวสุดที่รัก กระทั่งก่อนไปทำงาน นางจึงรับปากว่าจะจัดการเรื่องที่เขาขอร้องให้ในวันนี้ เขาจึงไปทำงานได้อย่างสบายใจเสียที เฮ้อ ร้อยวันพันปี ภรรยาเขากับบุตรสาวไม่เคยทะเลาะกันแบบนี้มาก่อน พอเกิดเรื่องเข้าจริง ๆ ก็มีแต่คนทุกข์ใจ
ช่วงสายหลังอาหารเช้า เตียวเฟยหลิวไปที่เรือนบุตรสาว นางเห็นสีหน้าบุตรสาวดูไม่ดีเหมือนก่อน แถมยังดูซีดเซียวเหมือนผีดิบอีก เตียวเฟยหลิวรีบลากดึงบุตรสาวมานั่งคุยกันดี ๆ ทันที“เจ้าโตแล้วทำไมยังไม่รู้จักดูแลตัวเองอีก ห๊ะ! เจ้าอยากเห็นข้าอกแตกตายหรือยังไงกัน” เตียวเฟยหลิวตะคอกบุตรสาวที่เห็นนางไม่รักตัวเองแบบนี้ นางถึงกับน้ำตารื้นขึ้นมาอย่างไร้ซึ่งการเสแสร้งตามปกติ ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นท่านแม่แสดงความรักกับนางอย่างจริงใจ นางก็สะอื้นไห้ออกมาอย่างสุดจะกลั้นอีกครั้ง นางกอดมารดาแน่นแล้วเอาแต่พูดจาซ้ำ ๆ ว่าข้าจะแต่ง ๆ อยู่อย่างนั้น ทำเอาเตียวเฟยหลิวน้ำตาไหลเป็นสายธารเช่นกัน สองแม่ลูกกอดกันร้องไห้อยู่เป็นนาน กว่าจะหักห้ามใจคุยกันดี ๆ ได้เสียที เตียวเฟยหลิวยังใช้ผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตาให้บุตรสาวในอ้อมกอด พร้อมเอ่ยคำให้นางเข้าใจในทุกอย่างที่นางทำลงไปก่อนหน้านี้ด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยจึงได้รู้ว่ามารดารักนางมากขนาดไหน ทำเอานางน้ำตาร่วงจนหยุดไม่ไหวอีกแล้ว“เอาล่ะ ๆ เจ้าหยุดร้องไห้ได้แล้ว อีกสองวันจะถึงวันแต่งงานของเจ้า หากเจ้าตาบวมเหมือนปลาทองแล้วจะเป็นเจ้าสาวสุดสวยจนมัดใจสามีได้อย่าง
ก่อนไก่ขันเช้าวันแต่งงาน ชิวเพ่ยเพ่ยถูกคนของท่านแม่ลากไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า แต่งหน้า ทำผมเสียจนนางแทบหมดแรง ตอนนี้เช้าแล้วแต่ไม่มีใครเอาอาหารมาให้นางกินเลย นางหิว!!! ขณะที่นางกำลังจะใช้ให้เตียวเตียวไปนำสำรับมาให้นั้นนน ท่านย่า ท่านยายกับท่านแม่ก็มาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงจนนางสะดุ้งโหยง นางรีบเข้าไปออดอ้อนท่านย่ากับท่านยายเพื่อขอของกินแก้หิว แต่ท่านแม่นางกลับทำตาขวางใส่เสียอย่างนั้น ชิวเพ่ยเพ่ยแกล้งบีบน้ำตาจนท่านย่าทนไม่ไหว โบกมือไล่คนให้รีบไปนำของว่างมาให้นางประทังความหิวเสียก่อน ชิวเพ่ยเพ่ยเมื่อได้สิ่งที่ต้องการก็กลับกลายมาเป็นคุณหนูผู้ดีอีกครั้ง ดั่งเมื่อกี้ไม่มีใครทำกิริยาไม่งามเลยแม้แต่นิดเดียว เตียวเฟยหลิวได้แต่เบ้ปากใส่บุตรสาวเจ้าบทบาทที่แสดงละครได้ดียิ่งกว่านางเสียอีก ชิวเพ่ยเพ่ยเตรียมตัวรอเจ้าบ่าวมารับจนเหงือกแห้ง นางไม่รู้ว่าทำไมจะต้องรีบแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาตั้งแต่เช้าถึงขนาดนี้ ทั้งที่ฤกษ์รับเจ้าสาวก็แสนจะสายจนตะวันแยงก้น บ่นไปบ่นมาอยู่นานจนกระทั่งแม่นมของท่านแม่มาเอาผ้าคลุมหน้านางแล้วประคองออกจากห้องนอนนั่นแหละ ชิวเพ่ยเพ่ยจึงกลับสู่สภาพค
ชิวเพ่ยเพ่ยที่รอเจ้าบ่าวนานจนหิวอีกแล้ว นางเห็นว่าในห้องไม่มีใคร จึงย่องลงจากเตียงไปที่โต๊ะอาหารด้านนอก หลังดูลาดเลาดีแล้ว นางรีบยกผ้าปิดหน้าแล้วสวาปามอาหารบนโต๊ะเสียจนอิ่มแปร้ เตียวเตียวไม่ได้รับอนุญาตให้เป็นบ่าวติดตามสินเดิมนางมา เพราะชิวเพ่ยเพ่ยไม่เคยให้นางทำสัญญาทาสใด ๆ เตียวเตียวจึงยังทำหน้าที่บ่าวรับใช้ในจวนตระกูลชิวดังเดิม แต่ท่านยายของนางส่งคนจากตำหนักเมฆาดับมาให้นางสี่คนไว้ใช้งาน ท่านบอกว่าพวกเขาไว้ใจได้ นางจึงจะลองใช้พวกเขาดูก็แล้วกัน หลังหนังท้องตึงหนังตานางก็หย่อน ด้วยเพราะตื่นตั้งแต่ไก่ยังไม่ขันนั่นเอง ชิวเพ่ยเพ่ยเดินกลับไปนอนแผ่บนเตียงอย่างไม่สนใจภาพลักษณ์ใด ๆ ในเมื่อเขาแต่งนางเข้าบ้านแล้ว เขาต้องรับทุกอย่างที่นางเป็นได้สิ ใช่ไหม? ฟากฝั่งเจ้าบ่าวที่เดินจนปวดเมื่อย เขาอยากรีบเข้าห้องหอไปทำหน้าที่สามีใจจะขาด แต่บรรดาญาติผู้ใหญ่ฝ่ายเจ้าสาวไม่ยอมปล่อยเขาไปเสียที โดยเฉพาะท่านพ่อตากับท่านตาของนาง พวกเขาต่างใช้เหตุผลร้อยแปดพันประการรั้งเขาเอาไว้ เขาที่กลัวท่านตานางมากกว่าพ่อตาจึงได้แต่ยอมรับสภาพไปด้วยประการฉะนี้ เวลาล่วงเลยไปจนถึงยามเย็น
เช้าตรู่หลังวันแต่งงาน ชิวเพ่ยเพ่ยผู้แข็งแกร่งตื่นมาอาบน้ำแต่งตัวรอไปคารวะน้ำชาตามธรรมเนียม ส่วนเฟยหยุนที่ถูกภรรยารักลองวิชาในตำราปกขาวจนหน้าตาซีดเซียวไปเพราะหมดเรี่ยวแรงจากการเคี่ยวกรำของภรรยาคนดี ไอ้ว่ามีความสุขมันก็มีอยู่หรอกหนา แต่ภรรยาจ๋าน่าจะเบามือกับสามีสักนิ๊ดนึง นางทำเอาเขาเขียวช้ำไปทั้งตัวจากความอยากรู้อยากลองของนาง เขาไม่รู้ว่าท่านแม่ยายให้ตำราอะไรนางมา แต่ทั้งคืนภรรยาของเขาวิเคราะห์บทเรียนในตำราพร้อมทดลองและพูดเจื้อยแจ้วให้เขาฟังจนอายแทน เฟยหยุนลากร่างที่อ่อนล้าไปอาบน้ำแบบลวก ๆ เขารีบแต่งตัวแล้วเดินไปพร้อมกับชิวเพ่ยเพ่ย ภรรยาคนดียังประคองสามีผู้น่าสงสารไปพบผู้อาวุโสของบ้าน แม่ทัพใหญ่และฮูหยินเห็นสภาพบุตรชายที่ถูกสะใภ้ตัวน้อยประคองมาพร้อมหน้าตาซีดเซียวก็ได้แต่สงสัยในใจ นี่พวกเขาเข้าหอประสาอะไร ทำไมบทบาทมันสลับกันแปลก ๆ หนอ เฮ้อ สงสัยเขาต้องติวเข้มเจ้าลูกชายเสียหน่อยแล้ว ไม่อย่างนั้นกว่าจะได้อุ้มหลานคงอีกนานเป็นแน่แท้ ทั้งสองคนรับน้ำชาจากลูกสะใภ้พร้อมอวยพรให้พวกเขาอยู่เย็นเป็นสุขและรีบมีหลานให้พวกเขาเร็ว ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยพอฟังคำขอของพ่อและแม่
หนึ่งเดือนหลังชิวเพ่ยเพ่ยเข้ามาเป็นสะใภ้บ้านแม่ทัพใหญ่ พ่อและแม่สามีแสนจะรักใคร่นางมากกว่าบุตรชายของพวกเขาแล้ว เพราะหลังจากนางได้พ่อครัวแม่ครัวมือดีที่คนของท่านยายหามาให้ คนในครอบครัวเหมือนได้กินอาหารในวังทุกวันก็ว่าได้ ไหนจะเรื่องร้านค้าที่มีปัญหาของแม่สามี ชิวเพ่ยเพ่ยยังให้คนไปจัดการเสียจนได้กำไรมากมาย แม่ทัพใหญ่และฮูหยินไม่เคยห้ามปรามชิวเพ่ยเพ่ย เมื่อใดที่นางต้องการกลับบ้านเดิม พวกเขารู้ว่านางเป็นบุตรสาวคนเดียวก็คงต้องกลับไปดูแลผู้อาวุโสบ้าง นางมักจะไปค้างสัปดาห์ละครั้ง บุตรชายก็จะไปด้วยทุกครั้งเช่นกัน พวกเขาสองคนจึงไม่ห่วงอันใดมากมายนัก อีกอย่างที่จวนแม่ทัพไม่มีผู้อาวุโสเหลืออยู่แล้วด้วย ชิวเพ่ยเพ่ยก็ชอบใจกับความใจกว้างของพ่อแม่สามี ที่พวกเขาปล่อยให้นางทำสิ่งใดก็ได้ตามใจ ไม่เหมือนบ้านขุนนางคนอื่นที่คอยแต่จะจิกใช้สะใภ้จนคล้ายกับบ่าวไปเสียนั่น นางที่รู้ปัญหาของจวนแม่ทัพเรื่องเลี้ยงดูคนอยู่มากมาย จึงคอยให้คำปรึกษาพวกเขาไปด้วย ทำให้ตอนนี้คนของพวกเขา นอกจากฝึกฝนเพื่อสู้ศึกแล้ว ในเวลาว่างยังช่วยกันดูแลร้านค้าให้นายท่านของพวกเขาด้วย ฮูหยินเฟยเห็นว่าวิธ
สัปดาห์ต่อมา ชิวเพ่ยเพ่ยได้รับข่าวว่าที่ตำหนักมีปัญหาใหญ่เข้ามา พวกเขาไม่กล้าตัดสินใจจึงอยากให้นางไปช่วยดูให้สักหน่อย ชิวเพ่ยเพ่ยที่เห็นสามียังไม่กลับมาเสียที นางจึงเขียนจดหมายวางเอาไว้ให้เขาที่โต๊ะน้ำชาหน้าเตียงนอน โดยนางคิดว่าเขาน่าจะเห็นได้อย่างชัดเจนหลังเข้าห้องเหมือนเช่นทุกวัน ชิวเพ่ยเพ่ยให้คนของท่านยายไปแจ้งท่านแม่สามีให้นางก่อนจะขี่ม้าออกจากจวนแม่ทัพไปอย่างรวดเร็ว นางคิดว่าจะรีบไปรีบมาจึงใช้ม้าแทนรถม้าในครานี้ ส่วนเสื้อผ้านางไม่จำเป็นต้องนำไปด้วย ที่นั่นมีเสื้อผ้าของนางมากมายที่ท่านยายผู้รักหลานสาวสั่งคนเตรียมเอาไว้ให้ สองวันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยไปถึงตำหนักเมฆาดับ นางจัดการงานไปหลายอย่างตั้งแต่ไปถึง ท่านตาท่านยายยังเป็นห่วงหลานสาวที่ต้องเหนื่อยยากในวัยเพียงเท่านี้ แต่ชิวเพ่ยเพ่ยผู้รักเงินทองเพียงบอกพวกท่านให้อย่ากังวล นางมียาสารพัดจะบำรุงและยังส่งขวดยาที่นางปรุงเองให้ท่านตาท่านยายบำรุงร่างกายเพิ่มเสียอีก สองเฒ่าชราได้แต่เชื่อฟังหลานสาวบังเกิดเกล้าตรงหน้าและเลิกรบกวนนาง เฟยหยุนที่กลับจวนแล้วไม่พบภรรยาออกมารอรับดังเช่นปกติ เขากลับเรือนไปดูเผื่อว
หนึ่งสัปดาห์หลังจากชิวเพ่ยเพ่ยไปเยี่ยมท่านตาท่านยาย เฟยหยุนที่เริ่มทำใจได้แล้วกับการไม่ได้นอนกอดภรรยา เขากลับมาทำงานอย่างคร่ำเคร่งดังเช่นเดิมแล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยเพิ่งได้รับงานจากแคว้นหานเช่นกัน นางตั้งใจจะไปดูสาขานั้นพร้อมรับงานให้สมาชิกในสาขาดูเป็นขวัญตา นางไม่ได้แสดงบารมีมานานตั้งแต่แต่งงาน ครั้งนี้ไหน ๆ ได้ออกมาเที่ยวเล่น ชิวเพ่ยเพ่ยจึงอยากจัดการทุกอย่างให้เรียบร้อย จากตำหนักเมฆาดับในแคว้นหนาน ชิวเพ่ยเพ่ยใช้เวลาเดินทาง 10 วัน กว่าจะไปถึงสาขาหนึ่งในแคว้นหาน ดีที่งานครั้งนี้เป็นการปราบโจรบนภูเขา ราชสำนักแคว้นหานเคยส่งคนมาปราบโจรเหล่านี้หลายครั้ง แต่ทุกครั้งล้วนล้มเหลวไม่เป็นท่า ฮ่องเต้รู้สึกสงสัยว่าโจรอะไรทำไมจึงร้ายกาจได้ขนาดนี้ เขาจึงนำเงินส่วนพระองค์สั่งให้ขันทีคนสนิทไปว่าจ้างตำหนักเมฆาดับของสาขาแคว้นหาน จากนั้นข่าวของงานนี้ถูกส่งตามสาขาต่าง ๆ จนไปถึงสาขาใหญ่ที่แคว้นหนานนั่นแล ชิวเพ่ยเพ่ยให้คนหาข่าวทั้งหมดของกลุ่มโจรให้นางก่อนหน้าที่นางจะเดินทางไปถึงตำหนักเมฆาดับสาขาชายแดนแคว้นหาน นางยังคงปลอมตัวเป็นหนุ่มน้อยหน้ามนคนหน้าหล่อเช่นเคย ชิวเพ
กลางดึกคืนนั้น ชิวเพ่ยเพ่ยล้างหน้าล้างตาเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดดำพร้อมเสื้อคลุมเจ้าตำหนักสุดเท่ของนาง กลางลานบ้านหลังร้าน สมาชิกทั้ง 50 คนของตำหนักเมฆาดับสาขาชายแดนแคว้นหาน ยืนรออย่างเป็นระเบียบ พวกเขาทราบข่าวจากสาขาแคว้นเยี่ยว่าได้รับทรัพย์สินไม่น้อยจากที่เจ้าตำหนักไปจัดการงานคราก่อน ดังนั้นหัวหน้าสาขาจึงพาเหล่าลูกน้องรอรับทรัพย์เช่นเดียวกัน ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นคนทั้งหมดก็ได้แต่ถอนหายใจยาว นางไม่รู้ว่าจะได้อะไรติดมือมาบ้างน่ะสิ แต่ในเมื่อพวกเขาอยากไปวิ่งเล่น นางก็จะตามใจพวกเขาก็แล้วกัน ชิวเพ่ยเพ่ยส่งสัญญาณให้พวกเขาตามนางให้ทัน นางดูแผนที่บนภูเขาจนจดจำได้แล้ว และเรื่องค่ายคูประตูกลนางเก่งกาจไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้า แค่ค่ายกลกระจอก ๆ ของค่ายโจรจะสามารถขวางทางนางได้อย่างไรกัน ด้วยคนจำนวนมากแถมยังฝีมือเปรียบไม่ได้กับองครักษ์เงาของนาง ชิวเพ่ยเพ่ยจึงเดินทางอย่างช้า ๆ ด้วยกลัวว่าพวกเขาจะตามไม่ทัน ชิวเพ่ยเพ่ยทำลายกับดักหลายแห่งบนภูเขาไปตลอดทาง กระทั่งไปถึงหน้าค่ายโจรในเวลาหนึ่งชั่วยาม ที่นางช้าเพราะต้องรอพวกเขาหรอกหนา หากนางมาคนเดียว ป่านนี้ค่ายโจรคงถูกเผาวอดไป
“ฝ่า..ฝ่าบาท” ขุนนางที่เมื่อกี้ิเชิดหน้าชูคอใส่ชิวเพ่ยเพ่ยเข่าอ่อนในทันใด เขารีบคุกเข่าทำความเคารพฮ่องเต้พร้อมคนอื่น ๆ ที่เขาพามา ฮ่องเต้ไม่แม้แต่จะมองและสั่งให้พวกเขาลุกขึ้น เขาจะปล่อยให้พวกมันคุกเข่าไปฟังไปแบบนี้นี่แหละ ช่างหาเรื่องให้เขาเสียหน้ากับผู้มีพระคุณนัก“คารวะท่านเจ้าตำหนัก ข้าเพิ่งรู้ว่าท่านมาแคว้นเยี่ยจึงเสียมารยาทที่ไม่ได้มาต้อนรับท่านด้วยตัวเอง หวังว่าท่านจะไม่ถือโทษโกรธข้าหรอกนะ” ฮ่องเต้ที่อาวุโสกว่าชิวเพ่ยเพ่ยหลายปีรีบขอโทษนางก่อนอย่างไม่อายใคร“ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องมากมารยาทกับข้า ข้ากับสามีเพียงอยากมาทำบุญที่แคว้นเยี่ย แต่ดูท่าทางแล้วคนในแคว้นของท่านคงไม่ชอบเรื่องดี ๆ เช่นนี้นัก วันนี้ข้าจึงต้องลงมือจนทำให้ท่านลำบาก ข้ากับสามีต้องขอโทษท่านเช่นกัน” ชิวเพ่ยเพ่ยไม่จำเป็นต้องใช้ราชาศัพท์กับเขา นางพูดกับเขาเหมือนคนสนิทที่เคยพบปะกันมา ทั้งที่จริงนางแค่เคยพูดคุยและติดต่อกับเขาทางจดหมายหลังถล่มจวนอ๋องไปเมื่อคราวนั้นเท่านั้น“อืม ขอบคุณท่านมากที่ไม่ถือสา ส่วนคนที่สร้างปัญหาให้ท่าน ข้าอยากขอให้ท่านจัดการแทนข้าได้หรือไม่ อีกอย่าง ข้ามีเรื่องอยากปรึกษาท่านกับสามีด้ว
“คุณชาย ท่านช่วยข้าด้วยสิเจ้าคะ ข้ายินดีตอบแทนท่านด้วยร่างกายอันสดใหม่ หากท่านช่วยข้าจากผู้หญิงเลวคนนี้ ฮึก” นางแพศยานี่ยังกล้ามาขอให้เขาช่วยอีกหรืออย่างไร ช่างไม่รู้จักตายเสียจริง ๆ เฟยหยุนมองผู้หญิงเสแสร้งตรงหน้าเขาตาขวาง เขาไม่เคยรู้จักนางมาก่อน ทำไมนางคนนี้ถึงได้มาหาเรื่องเขาแบบนี้ เขาอยากรู้มากจริง ๆ ว่าใครมันหาเรื่องให้ข้า!!! ชิวเพ่ยเพ่ยหรี่สายตามองสามีนางและหญิงสาวที่ยังคงเล่นละครอย่างไม่อายใคร กระทั่งเฟยหยุนทนความกดดันไม่ไหวเขารีบสั่งคนจับนางอ้าปากแล้วให้พวกเขายัดอาหารที่หญิงผู้นี้นำมาเข้าไปจนหมด เขาหมดความอดทนแล้วจริง ๆ แถมยังไม่อยากอยู่ใกล้ผู้หญิงน่าขยะแขยงเช่นนี้แม้สักนิด ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกระดึ๊บ กระดึ๊บมาหานางหลังสั่งคนจัดการนังตัวดีแล้ว นางแอบยิ้มอย่างสมใจ หึ นับว่าเจ้ายังรู้ว่าอะไรดีนะสามี ไม่อย่างนั้นล่ะก็… เจ้าหน้าที่เห็นเหตุการณ์และกำลังจะเข้าไปช่วยผู้หญิงคนนั้น แต่คนของตำหนักเมฆาดับมากกว่าสิบคนไม่รู้มาจากไหน พวกเขายืนปิดกั้นเจ้าหน้าที่ไม่ให้ผ่านทางไปช่วยคนได้ เมื่อเห็นท่าไม่ดีแล้ว เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรีบบอกให้คนของเขาไปตามเจ้านายม
วันที่สองที่ชิวเพ่ยเพ่ยเปิดการตรวจรักษา วันนี้ชาวบ้านน้อยกว่าเมื่อวานเกือบครึ่งหนึ่ง แต่นางยังคงตรวจรักษาพวกเขาตามปกติ เฟยหยุนยังคงคอยช่วยนางอยู่ข้าง ๆ ดังเช่นทุกครั้ง หลังจากรักษาคนไปหลายสิบคนจนใกล้จะถึงเวลาทานอาหารเที่ยง อยู่ดี ๆ ก็มีเสียงแหลมสูงมาเข้าหูให้ชิวเพ่ยเพ่ยจนระคายโสตประสาท“คุณชาย ข้านำอาหารทำเองมาให้ท่านทานเจ้าค่ะ ท่านลองดูสิว่าถูกปากหรือไม่” ไม่รู้ว่าเป็นแม่นางจากบ้านใด ถึงได้กล้าเข้ามาพูดคุยกับสามีของท่านหมอใจดีอย่างหน้าด้าน ๆ เช่นนี้ เรื่องที่เฟยหยุนเป็นสามีของหมอหญิงใจบุญต่างมีข่าวออกมานานมากแล้ว ทำให้ไม่เคยมีหญิงหรือชายคนใดกล้าล่วงเกินสองผัวเมียคู่นี้มาก่อน นี่นับว่าเป็นครั้งแรกตั้งแต่ชิวเพ่ยเพ่ยเดินทางแล้วพบเข้ากับเหตุการณ์แบบนี้ นางขมวดคิ้วอย่างไม่พอใจที่ใครก็ไม่รู้เข้าหาสามีนางอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า นางได้กลิ่นยาปลุกกำหนัดมาก่อนหน้านี้แล้ว แต่ไม่คิดว่าจะมาจากในอาหารที่อยู่ตรงหน้าสามีของนาง“ข้าไม่ต้องการอาหารของเจ้า ไสหัวไป!!!” เฟยหยุนไม่คิดไว้หน้าหญิงสาวตรงหน้าเขาแม้แต่นิดเดียว เขาเห็นแล้วว่าภรรยาสุดที่รักชักไม่พอใจ ใครเล่าจะอยากหาเรื่
ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนเดินทางโดยปลอมเป็นหมอตั้งแต่วันแรก นางเปิดรักษาชาวบ้านฟรีโดยให้พวกเขาไปซื้อยาจากร้านยาเมฆาดับเอาเอง หากใครยากจนจริง ๆ ชิวเพ่ยเพ่ยจะส่งคนไปแจ้งที่ร้านให้แจกยาพวกเขาแล้วเก็บเงินจากนาง นางทำเช่นนี้ไปตลอดทางที่พวกเขาท่องเที่ยว ไม่ว่าจะผ่านหมู่บ้านกันดารเพียงใด สองสามีภรรยาก็ยังคงมีรอยยิ้มแต่งแต้มไปทั่วใบหน้าอยู่เสมอ จนผู้คนที่ได้รับการรักษาจากสองสามีภรรยาต่างขนานนามพวกเขาว่าคู่รักหมอใจบุญกันเลยทีเดียว แม้ว่าเฟยหยุนจะรักษาใครไม่เป็น แต่เขาช่วยทำแผล ใส่ยาให้คนไข้ชายและดูแลพวกเขาช่วยภรรยาจนหายขาดมาตลอด ฉายาที่พวกเขาได้รับจึงไม่นับว่ามากเกินไป ชิวเพ่ยเพ่ยที่เลือกวิธีการนี้ในการท่องเที่ยวพักผ่อน ก็เพราะนางเคยฆ่าคนมาไม่น้อย พออายุมากขึ้นนางจึงอยากจะทำบุญใหญ่รักษาคนไข้ยากจนบ้างก็เท่านั้น ไหน ๆ ครอบครัวนางก็ร่ำรวยอยู่แล้ว กับอีแค่การรักษาคนทั้งห้าแคว้นฟรีไม่นับว่าเหนือบ่ากว่าแรงของนางหรอกหนา บรรดาหัวหน้าสาขาต่าง ๆ ที่ควบคุมกิจการร้านค้า พวกเขาทราบดีว่าท่านเจ้าตำหนักคนเก่ากำลังออกเดินทางรักษาคนไปทั่วทั้งห้าแคว้นแล้วโดยที่ไม่ต้องมีใครมาส่
หนึ่งปีผ่านไป ชิวเพ่ยเพ่ยและเฟยหยุนก็ยังไม่กลับมาจากการท่องเที่ยว เฟยซินเยว่เริ่มจัดการตารางเวลาการทำงานของเขาได้ดีขึ้นมาก เขาจะพักทุกสองสัปดาห์หลังจากทำงานอย่างหนัก แล้วจะเดินทางไปพักกับท่านทวดและท่านปู่ท่านย่าของเขาที่จ้วงจื่อครั้งละสามสี่วัน จากนั้นก็จะกลับไปลุยงานต่อ เป็นเช่นนี้มาตลอดทั้งปี ส่วนเฟยหยางกวงก็ฝึกทหารและศึกษาตำราพิชัยสงครามไม่ได้ขาด ส่วนการไปดื่มสุราและแต่งกลอนกับสหาย เขาเลิกไปตั้งแต่วันลาสหายแล้ว เขายังเชิญสหายมาเที่ยวที่จวนโหวได้หากต้องการ สหายทั้งสามของเขาเป็นเพียงครอบครัวธรรมดาที่ไม่ได้ร่ำรวยมากมายอันใด แต่พวกเขาล้วนคบหากันด้วยใจมาตลอดสิบปีที่รู้จักกัน ซึ่งตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา เฟยหยางกวงส่งเทียบเชิญสหายมาร่วมงานวันเกิดของเขากับพี่ชาย ไหนจะจัดงานเลี้ยงวันเกิดให้กับสหายทุกคนในวันเกิดของพวกเขา ทำให้ทั้งสี่คนยิ่งสนิทสนมกันมากขึ้นไปอีก สหายของเขาทั้งสามเพิ่งสอบขุนนางได้ในปีนี้ด้วย เขาจึงจัดงานฉลองให้พวกเขาที่จวนโหวอีกงานหนึ่ง เฟยซินเยว่ไม่เคยห้ามน้องชายของเขา เขารู้ทุกอย่างเรื่องน้องชายและน้องสาว เขาเพียงมองพวกเขาอยู่ห่าง ๆ หากมีสิ่ง
ระหว่างที่ชิวเพ่ยเพ่ยกับเฟยหยุนออกไปท่องเที่ยว เฟยซินเยว่กำลังตาลายกับสมุดบัญชีที่เขาได้รับมาตรวจสอบเป็นจำนวนมาก เขานับถือท่านแม่ของเขาจริง ๆ ที่นางสามารถจัดการบัญชีจำนวนมากได้โดยไม่มีอาการเบื่อหน่ายเช่นที่เขาเป็น ยิ่งตอนนี้ร้านของตำหนักเมฆาดับรวมทั้งห้าแคว้นอาจมีมากกว่า 500 ร้านค้าแล้ว นางยังคงสามารถตรวจสอบได้อย่างละเอียดจนไม่มีใครกล้าโกงนางแม้แต่อีแปะเดียว หลังจากเฟยซินเยว่หัวหมุนวุ่นวายอยู่เกือบสองสัปดาห์ วันนี้ท่านตาทวดมาเยี่ยมเขาถึงเรือนอย่างน่าแปลกใจ เฟยซินเยว่รีบหยุดงานที่กำลังทำอยู่แล้วเดินไปพยุงท่านตาทวดเข้ามานั่งอย่างห่วงใย ตอนนี้ท่านตาทวดอายุมากแล้ว เขายังจำได้ว่าตอนเด็ก ๆ ท่านมักเล่นกับเขาอย่างสนุกสนานและดูแลเขาเป็นอย่างดี เวลาเขาถูกท่านแม่พาซ้อมวรยุทธจนบอบช้ำก็เป็นท่านตาที่มานั่งทายาแล้วบ่นท่านแม่ให้เขาฟัง จนเขาหายจากอาการเจ็บช้ำไปเลย“ท่านตาทวดมาได้อย่างไรขอรับ” หลังพาท่านตาทวดนั่งแล้วเขารีบสอบถามอย่างสงสัย“อืม ข้าเป็นห่วงกลัวว่าเจ้าจะทำงานหนักไม่ไหวน่ะสิ แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้างอาเยว่”“ข้าสบายดีขอรับท่านตา งานเหล่านี้ท่านแม่สอนข้ามานานแล้วขอรับ
วันเดียวกันนั้นเอง มีราชโองการไปที่ค่ายทหารแต่งตั้งเฟยหยางกวงเป็นแม่ทัพเมืองหลวงแทนเฟยหยุน บรรดาทหารตั้งแต่บนลงล่างที่รู้จักเขามาตั้งแต่อายุ 5 ขวบ ไม่มีใครคัดค้าน พวกเขารู้ดีถึงความสามารถของชายหนุ่มผู้เป็นลูกชายแม่ทัพคนเก่าว่าเขาเก่งกาจขนาดไหน ส่วนคนอื่น ๆ ในราชสำนักนั้นพวกเขาไม่คิดจะสนใจ ถึงอย่างไรก็ไม่เกี่ยวอะไรกับการงานของพวกเขาอยู่ดี ข่าวลือในเมืองหลวงแพร่กระจายไปทั่วทุกหัวมุมหลังราชโองการประกาศได้เพียงวันเดียว คราแรกขุนนางหน้าใหม่ที่ไม่รู้เรื่องในอดีตคิดกีดกันเฟยหยางกวงและคิดว่าเขาใช้เส้นสายเพื่อรับตำแหน่งแทนบิดาจึงคัดค้านกันหัวชนฝา แต่พอท่านเสนาบดีกรมโยธาเล่าประวัติความเป็นมาของหลานชายคนรองกลางท้องพระโรงเสียยืดยาว พร้อมตบท้ายว่าหลานชายคนโตของเขาคือเจ้าตำหนักเมฆาดับในตำนานเท่านั้นแหละ ขุนนางเหล่านั้นต่างหุบปากฉับกับแทบไม่ทัน พวกเขาเกือบหาเรื่องตายแล้วไหมเล่า ทำไมขุนนางแก่ ๆ พวกนั้นไม่บอกกันก่อนล่วงหน้า เฮ้อ ฮ่องเต้พอเห็นว่าขุนนางเหล่านั้นกลัวตำหนักเมฆาดับมากกว่าเขาเสียอีกก็นึกขำ ไอ้พวกโง่ที่ไม่รู้ดีชั่ว เขาเกือบต้องลำบากจัดสอบขุนนางใหม่อีกแล
สองปีต่อมาหลังชิวเพ่ยเพ่ยมอบตำหนักเมฆาดับให้บุตรชายคนโตดูแล นางเห็นว่าตำแหน่งของเขามั่นคงแล้วจึงปล่อยให้เขาจัดการงานทั้งหมดด้วยตัวเอง องครักษ์เงาของเขาก็เป็นนางที่ไปพบเข้ากับเด็กกำพร้าขอทานแล้วนำมาฝึกฝนร่วมกันตั้งแต่ยังเด็ก ทุกวันนี้คนอื่น ๆ ก็ดูแลบุตรชายคนรองกับบุตรสาวนางอย่างลับ ๆ ไม่ว่าพวกเขาจะทำสิ่งใดนางรู้ทุกอย่าง เพียงแค่นางไม่จำเป็นต้องบอกพวกเขา ชิวเพ่ยเพ่ยเห็นสามีกลับมาก็รีบลากเขาเข้าห้องเพื่อปรึกษาสิ่งที่นางคิดเอาไว้สักพักแล้วทันที เฟยหยุนคิดว่าภรรยารักจะให้เขาชื่นใจจึงเข้าห้องไปอย่างเริงร่า แต่พอเห็นภรรยาสั่งเขานั่งลงดี ๆ เขาจึงรู้ว่าสิ่งที่เห็นไม่ได้เป็นอย่างที่เขาคิดสักนิด ฮือ ภรรยาใจร้าย“ท่านพี่จะลาออกเมื่อไหร่กัน”“หืม ทำไมเจ้าถามอีกแล้วล่ะเพ่ยเพ่ย มีอะไรหรือเปล่า”“ถ้าท่านยังไม่ลาออกเสียที ข้าจะหนีไปเที่ยวคนเดียวสักสองสามปีน่ะสิ ตอนนี้ลูกโตกันหมดแล้ว ข้าก็อยากลองไปเที่ยวอย่างอิสระดูบ้างอย่างไรเล่า ท่านก็รู้ว่าข้าดูแลตำหนักเมฆาดับมาตั้งแต่ยังเด็ก จึงไม่เคยมีวัยเด็กอย่างคนอื่นเขา” นางมุ่ยหน้าพูดตามความจริง“อ่า ภรรยาอยากไปเที่ยวกับสามีเหรอ” เฟยหยุน
ชิวเพ่ยเพ่ยที่สอนบุตรชายคนโตในทุกสิ่งที่นางเรียนรู้มาตลอดชีวิตตั้งแต่เขาอายุห้าขวบ นางเห็นว่าตอนนี้เขาน่าจะดูแลตำหนักเมฆาดับแทนนางได้แล้ว ชิวเพ่ยเพ่ยส่งจดหมายไปบอกท่านตาที่พักผ่อนกับท่านยายที่จ้วงจื่อนอกเมืองมาตลอดสองสามปีที่ผ่านมา พวกท่านชมชอบบรรยากาศธรรมชาติที่มีน้ำพุร้อนที่นั่นมากนัก ยิ่งมีคนมาพักผ่อนพอให้ท่านได้พูดคุยคลายเหงาก็ยิ่งไม่อยากจากไปไหน นางได้รับจดหมายตอบกลับจากท่านในช่วงเย็นของวันพอดี ท่านตาบอกว่าแล้วแต่นางจะตัดสินใจ หากเห็นว่าหลานชายคนโตเหมาะสม ท่านก็ไม่คัดค้าน เพียงแค่ให้นางช่วยดูแลอยู่ห่าง ๆ ก่อนจะปล่อยมือเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทางแล้วก็พอ ชิวเพ่ยเพ่ยอ่านจดหมายที่คนของนางส่งมาให้แล้วก็ยิ้มอย่างสบายใจได้เสียที ตำหนักเมฆาดับนี้เป็นท่านตาที่ส่งมอบให้นางมา ตอนนี้นางต้องการมอบให้ลูกชายคนโตเช่นกัน อย่างไรการเคารพท่านตาคือสิ่งที่นางทำมาตลอดตั้งแต่เด็กแล้ว วันต่อมาชิวเพ่ยเพ่ยบอกสามีนางว่าจะพาบุตรชายเดินทางไปสาขาใหญ่ตำหนักเมฆาดับบนภูเขาสักหลายวัน เฟยหยุนได้แต่ทำหน้างอคอหักด้วยไม่อยากจากภรรยารักแม้แต่นิดเดียว ชิวเพ่ยเพ่ยจึงต้องใช้ไม้ตายว่ากลับ