บทที่สิบสาม
ความสัมพันธ์วัยเด็ก
ไม่นาหลังจากที่หวังข่ายกลับมาเขาก็พบว่าบุตรสาวของเจ้ากรมการคลังหลิวผิงผิงมารอพบเขาเขาอยู่ที่หน้าประตูจวน เมื่อพ่อบ้านเปิดประตูให้นางก็วิ่งเข้ามาหาเขาทันทีพร้อมด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้น
"หวังข่าย…เจ้ากลับมาแล้ว" หลิวผิงผิงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่หวานหยดย้อยพลางยิ้มอย่างสดใส "ข้าเห็นว่าเจ้ากลับมาเหนื่อย ๆ เลยรีบมาหาทันที ข้าเตรียมอาหารไว้ให้เจ้าแล้ว"
"ผิงผิง…ขอบคุณที่เป็นห่วงข้า" หวังข่ายตอบกลับด้วยน้ำเสียงสุภาพ
"ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปกินข้าวกันเถอะ" หลิวผิงผิงชวน
"อืม" หวังข่ายตอบรับอย่างยินดี
เมื่อเห็นว่าหวังข่ายยอมรับความปรารถนาดีของนางหลิวผิงผิงก็ยิ้มอย่างปลื้มปิติ นางรีบนำเข้าไปที่ห้องรับแขกและจัดอาหารที่เตรียมมาไว้บนโต๊ะ อาหารที่จัดมาเต็มโต๊ะล้วนแสดงถึงความพยายามของนางที่จะทำให้เขาพึงพอใจ
หลิวผิงผิงแอบชอบหวังข่ายมาตั้งแต่เด็ก ความรู้สึกนั้นก่อตัวขึ้นในหัวใจของนางเมื่อครั้งที่บิดาพามาเที่ยวเล่นที่จวนอัครเสนาบดีในวัยเยาว์ ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาเริ่มต้นขึ้นด้วยความเป็นสหาย ทั้งสองเล่นด้วยกัน วิ่งเล่นในสวนและพูดคุยกันอย่างสนิทสนม หลิวผิงผิงรู้สึกอบอุ่นและปลอดภัยเมื่ออยู่ใกล้หวังข่ายในขณะที่หวังข่ายเองกลับมองว่านางเป็นเพียงสหายผู้หนึ่ง
เวลาผ่านไปหลิวผิงผิงเติบโตเป็นหญิงสาวที่งดงามและมีเสน่ห์ แต่ความรู้สึกในใจของนางต่อหวังข่ายยังคงเหมือนเดิม ทุกครั้งที่บิดาพามาที่จวนอัครเสนาบดีนางจะรอคอยอย่างใจจดใจจ่อและมักจะทำอาหารที่เขาชอบนำมาให้เขาชิมด้วยความหวังว่าเขาจะรู้สึกถึงความใส่ใจและความรักที่นางมีต่อเขา
วันนี้หลี่รุ่ยหลินมีเรื่องสำคัญที่จะขอคำปรึกษาจากคนรักนางจึงมาที่จวนของเขาโดยที่ไม่ได้บอกล่วงหน้า เมื่อหลี่รุ่ยหลินก้าวเข้าสู่ห้องโถงของจวนนางก็สังเกตเห็นบรรยากาศที่ผิดปกติในทันที กลิ่นอาหารที่ยังคงหอมกรุ่นลอยตลบอบอวลในอากาศและเสียงพูดคุยอย่างเบาๆ ทำให้หลี่รุ่ยหลินหยุดชะงัก ก่อนจะก้าวไปข้างใน จนเมื่อมาถึงหน้าประตูจึงเห็นภาพที่ทำให้หัวใจของนางเต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้
หลิวผิงผิงนั่งอยู่ข้างหวังข่าย ทั้งสองกำลังรับประทานอาหารร่วมกันในบรรยากาศที่ดูอบอุ่นและใกล้ชิด หลี่รุ่ยหลินรู้สึกได้ถึงความอึดอัดที่เกิดขึ้นในใจทันที นางพยายามควบคุมความรู้สึกที่ถาโถมเข้ามาแต่กลับทำได้ยากนัก
หลิวผิงผิงเมื่อเห็นหลี่รุ่ยหลินก็หยุดชะงักเล็กน้อย ดวงตาของนางฉายแววเยาะเย้ยและสะใจเล็กๆ นางรู้ว่าหลี่รุ่ยหลินคือผู้ที่หวังข่ายให้ความสำคัญ และนางก็พอใจที่จะทำให้หลี่รุ่ยหลินรู้สึกถึงความไม่พอใจในสถานการณ์นี้
บรรยากาศในห้องโถงเริ่มเคร่งเครียดขึ้น หวังข่ายสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงนี้ทันที เขาเงยหน้าขึ้นจากชามอาหารและพบว่าหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ที่ประตู
"รุ่ยหลิน" หวังข่ายเอ่ยขึ้นน้ำเสียงอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความเป็นห่วงกลัวว่านางจะรู้สึกไม่ดีที่เห็นเขาอยู่กับหลิวผิงผิง
หลี่รุ่ยหลินนิ่งเงียบสักพักก่อนจะเอ่ยขึ้นเสียงเรียบๆ "ข้ามีเรื่องที่สำนักคุ้มภัยจะมาปรึกษา"
หวังข่ายรีบลุกขึ้นจากที่นั่งและก้าวเข้าไปหา “รุ่ยหลิน…ให้ข้าอธิบายทุกอย่างให้เจ้าฟังก่อน”
ในขณะที่หลี่รุ่ยหลินพยายามควบคุมความรู้สึกที่ปะทุขึ้นก็เห็นสายตาของหลิวผิงผิงที่มองมาที่นาง เป็นสายตาที่เต็มไปด้วยความเยาะเย้ยและท้าทาย หลี่รุ่ยหลินจึงไม่ยอมให้ตนเองแสดงความอ่อนแอออกมา นางตอบกลับไปด้วยสายตาที่แข็งกร้าวและเยือกเย็น
ทั้งสองต่างมองกันอย่างไร้คำพูดแต่ในสายตานั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกที่ยากจะบรรยาย หลิวผิงผิงรู้ดีว่าตนเองมีความได้เปรียบในสถานการณ์นี้จึงจงใจแสดงความอ่อนโยนและใส่ใจต่อหวังข่ายเพื่อให้หลี่รุ่ยหลินรู้สึกถูกคุกคาม
ในที่สุดหลี่รุ่ยหลินก็หันหลังกลับเตรียมจะจากไป นางรู้สึกถึงความอึดอัดที่ไม่สามารถอยู่ในห้องนี้ต่อไปได้ หัวใจของนางเต็มไปด้วยความหึงหวงและความเศร้า แต่ก่อนที่นางจะก้าวออกจากห้องหวังข่ายก็รีบคว้ามือของนางไว้
“รุ่ยหลิน…ได้โปรดรอก่อน ข้าขอพูดให้เจ้าเข้าใจ” หวังข่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงใจ
หลี่รุ่ยหลินไม่พูดอะไรแต่มองหวังข่ายและหลิวผิงผิงด้วยสายตาที่เฉียบคม ก่อนจะเดินออกไปพร้อมกับหวังข่ายที่ยังจับมือของนางไว้
"รุ่ยหลิน…ข้าขอโทษที่ทำให้เจ้ารู้สึกไม่สบายใจ" หวังข่ายกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจังขณะที่ทั้งสองเดินไปยังสวนเล็กๆ ในจวน "เรื่องระหว่างข้ากับผิงผิงนั้นไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่าคำว่าสหาย ข้าไม่เคยคิดจะมีความสัมพันธ์อื่นนอกจากสหายกับนาง"
หลี่รุ่ยหลินหยุดเดินและหันไปมองเขา ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความสับสนและความกังวลใจ "แต่ข้ารู้สึกว่านางไม่ได้มองท่านเพียงแค่สหาย นางแสดงออกชัดเจนว่าชอบท่านและข้าก็ไม่อาจไว้ใจนางได้"
"ข้าเข้าใจความกังวลของเจ้า แต่ข้าอยากให้เจ้าเชื่อมั่นในตัวข้า ข้ายืนยันได้ว่าใจของข้ามีเพียงเจ้าเท่านั้น" หวังข่ายกล่าว
คำพูดของหวังข่ายทำให้หลี่รุ่ยหลินรู้สึกอุ่นใจขึ้น แต่ความไม่สบายใจเกี่ยวกับหลิวผิงผิงยังคงมีอยู่ "ข้าเข้าใจแต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดี"
หวังข่ายยิ้มเล็กน้อยและจับมือนางเบาๆ "ข้าสัญญาว่าจะดูแลความรู้สึกของเจ้า จะไม่ให้สิ่งใดมาเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ของเราได้"
นางพยักหน้ารับ เมื่อทั้งสองกลับไปที่ห้องอาหารหวังข่ายจึงชวนหลี่รุ่ยหลินนั่งร่วมโต๊ะอาหารกับหลิวผิงผิง “เจ้านั่งก่อนเถอะ กินข้าวด้วยกัน”
หลี่รุ่ยหลินพยายามที่จะวางตัวอย่างสงบ นั่งลงที่โต๊ะและยิ้มเล็กน้อย แต่หลิวผิงผิงที่นั่งอยู่ก่อนแล้วกลับทำหน้าบึ้งตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัดแต่ก็พยายามปิดบังความไม่พอใจด้วยการยิ้มตอบอย่างเสแสร้งเช่นที่นางทำเป็นประจำ
“แม่นางหลี่” หลิวผิงผิงเอ่ยขึ้นก่อนด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูสุภาพ แต่แฝงด้วยความเจ้าเล่ห์ “ข้าเพียงแค่อยากจะบอกกับเจ้าว่าข้าสนิทกับหวังข่ายมาตั้งแต่เด็ก เราเล่นด้วยกัน โตมาด้วยกันและข้ารู้จักเขาดีมาก”
เมื่อได้ฟังคำพูดนั้นแล้วหลี่รุ่ยหลินก็รู้สึกถึงความข่มเหงที่แฝงอยู่ในคำพูดของหลิวผิงผิง แต่นางไม่แสดงอาการใดๆ เพียงแค่ยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับด้วยน้ำเสียงสงบ "ข้ารู้ว่าความสัมพันธ์ตั้งแต่เด็กนั้นสำคัญ แต่ก็เชื่อว่าความรักและความเข้าใจในปัจจุบันสำคัญยิ่งกว่า"
คำพูดของหลี่รุ่ยหลินทำให้หลิวผิงผิงรู้สึกหงุดหงิด นางรู้ว่าหลี่รุ่ยหลินต้องการจะบอกว่าสิ่งที่หลิวผิงผิงมีในอดีตไม่ได้หมายความว่านางจะมีในปัจจุบันหรือในภายภาคหน้า
หลิวผิงผิงพยายามควบคุมอารมณ์ของตนเองแต่นางก็ไม่สามารถปิดบังความไม่พอใจได้ ดวงตาของนางวูบไหวด้วยความโกรธแต่กลับพูดอะไรไม่ออก แม้จะรู้ว่าหลี่รุ่ยหลินกำลังท้าทายนางและความพยายามที่จะข่มเหงหลี่รุ่ยหลินในครั้งนี้กลับไม่ได้ผลตามที่นางคาดคิด
ในขณะที่บรรยากาศเริ่มจะตึงเครียดขึ้นหวังข่ายก็กลับมาจากการไปเข้าห้องน้ำ เขาสังเกตเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปและรู้ได้ทันทีว่าทั้งสองคงจะมีการพูดคุยกันบางอย่าง
“ผิงผิง…ข้าต้องขอโทษด้วย ข้าต้องขอตัวไปสนทนากับรุ่ยหลินต่อ พวกเรามีธุระที่สำคัญที่ต้องคุยกัน เจ้ากลับไปก่อนเถิดวันหลังเราค่อยพบกัน” หวังข่ายเอ่ยขึ้นพร้อมกับยิ้มอย่างสุภาพ
หลิวผิงผิงพยายามยิ้มตอบ แม้ในใจนางจะเต็มไปด้วยความไม่พอใจนางไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องทำตาม
“พวกเจ้าตามสบายเถอะ ไว้วันหลังข้าจะมาใหม่” นางกล่าวด้วยน้ำเสียงที่พยายามสงบแม้จะมีความไม่พอใจแฝงอยู่
เมื่อกล่าวจบหลิวผิงผิงก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ นางมองหลี่รุ่ยหลินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหมั่นไส้และอิจฉา แม้จะพยายามยิ้มและวางตัวอย่างผู้ดีแต่ก็ไม่สามารถปิดบังความรู้สึกขุ่นเคืองในใจได้ นางชักสีหน้าเล็กน้อยก่อนจะเดินออกจากห้องไป
หลี่รุ่ยหลินที่เห็นท่าทางของหลิวผิงผิงก็เพียงแค่ยิ้มเล็กๆ นี่เป็นเพียงแค่การเริ่มต้นของการท้าทายระหว่างนางกับหลิวผิงผิง นางพร้อมที่จะเผชิญหน้ากับสิ่งที่อาจเกิดขึ้นและเชื่อมั่นในความสัมพันธ์ของนางกับหวังข่าย ต่อให้หลิวผิงผิงพยายามเท่าไรก็ไม่สามารถทำลายความสัมพันธ์ของพวกเขาได้
บทที่สิบสี่เจ้าแย่งเขาไปจากข้า หลิวผิงผิงกลับไปที่จวนของตัวเองด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความอิจฉาและความแค้น ความคิดที่ว่าหลี่รุ่ยหลินได้แย่งหวังข่ายไปจากนางทำให้รู้สึกโกรธเคืองจนแทบจะระงับอารมณ์ไม่อยู่ นางคิดถึงทุกสิ่งที่นางทำเพื่อพยายามเข้าหาหวังข่าย ตั้งแต่การเป็นสหายที่ดี การทำให้เขาเห็นถึงความทุ่มเทและการแสดงออกถึงความรักความเอาใจใส่ แต่ทุกอย่างก็กลับถูกทำลายลงเพราะการปรากฏตัวของหลี่รุ่ยหลินนางยืนมองตัวเองในกระจก มองรูปลักษณ์ที่งดงามและถูกอบรมมารยาทอย่างดีจากตระกูลผู้ดี ทุกคนล้วนกล่าวว่านางเป็นหญิงสาวที่เพียบพร้อม แต่เหตุใดหวังข่ายถึงไม่เห็นค่านาง เหตุใดหัวใจของเขาถึงเลือกหลี่รุ่ยหลินแทนที่จะเป็นนางความคิดนี้ยิ่งทำให้รู้สึกโกรธมากขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดความคิดที่จะทำร้ายหลี่รุ่ยหลินก็เริ่มก่อตัวขึ้นใ
บทที่สิบห้าเต็มไปด้วยความรัก เมื่อทุกอย่างถูกจัดการเรียบร้อย หวังข่ายรู้สึกถึงความโล่งใจที่ไม่ต้องกังวลเรื่องหลิวผิงผิงอีกต่อไป แต่ด้วยความเป็นห่วงที่ยังอยูในใจกลัวว่านอกจากหลิวผิงผิงแล้วจะยังมีเรื่องอื่นมาทำให้หลี่รุ่ยหลินคนรักของเขาไม่สบายใจอีก เขาจึงได้ตัดสินใจทำสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตในช่วงเช้าของวันหนึ่งท้องฟ้าแจ่มใสและมีแสงแดดอ่อน ๆ อาบลานหน้าสำนักคุ้มภัย หวังข่ายตัดสินใจที่จะไม่รอช้าอีกต่อไป เขารู้ว่าเขาอยากจะใช้ชีวิตร่วมกับหลี่รุ่ยหลินไปตลอดและไม่ต้องการให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาถูกชะงักอีกหวังข่ายเดินทางไปยังสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน เมื่อเขามาถึงบรรยากาศที่สำนักคุ้มภัยเต็มไปด้วยพี่น้องในสำนักที่ต่างกำลังฝึกซ้อมและเตรียมตัวสำหรับงานต่าง ๆ ที่พวกเขาจะต้องทำ แต่เมื่อเห็นหว
บทที่หนึ่งการสมรสที่ไม่ต้องการเช้าตรู่ที่หมอกบางๆ ลอยอ้อยอิ่งเหนือเมืองหลวง หลี่ฟางตวนบิดาของหลี่รุ่ยหลินออกมายืนหน้าประตูจวน กวาดตามองไปยังบุตรสาวและภรรยาที่รออยู่ สายตาของเขาสั่นคลอนเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเศร้าสร้อยที่จะต้องจากไปทำงานใหญ่ครั้งนี้“รุ่ยหลิน…ดูแลแม่ของเจ้ากับสำนักของเราตอนที่พ่อกับพี่ชายของเจ้าไม่อยู่ให้ดี แล้วก็อย่าปฏิเสธงานมากจนเกินไปเล่า ประเดี๋ยวจะไม่มีเงินเลี้ยงดูเหล่าพี่น้องของเรา” บิดากล่าวเสียงแผ่วเบาแต่เต็มไปด้วยความหนักแน่น“เจ้าค่ะท่านพ่อ” หลี่รุ่ยหลินตอบอย่างไม่ลังเล ดวงตาของนางฉายแววความมุ่งมั่น ทุกครั้งที่บิดากับพี่ชายไม่อยู่นางในนามของคุณหนูเล็กก็จะได้เลื่อนขึ้นมาเป็นหัวหน้าสำนักรักษาการณ์ในทันทีและนางก็ชื่นชอบหน้าที่นี้เป็นอย่างมากหลี่เว่ยตงพี่ชายของหลี่รุ่ยหลินยืนอยู่ข้างบิดา เขาวางมือลงบนบ่าของน้องสาวเบาๆ “อย่าลืมฝึกวิชาที่พี่สอนเจ้าไว้ มันจะมีประโยชน์ในยามคับขัน”“ข้าจะฝึกอย่างไม่ขาดตกบกพร่องเลยเจ้าค่ะ” หลี่รุ่ยหลินรับคำด้วยน้ำเสียงจริงจัง“ไปเถิด อย่าให้คหบดีเจียงต้องคอยนาน” หลี่ฮูหยินพูดขึ้น ถึงแม้ว่าจะบอกให้สองพ่อลูกรีบไปทว่าดวงตาของนางก็เต็มไป
บทที่สองช่วงเวลาแห่งการสูญเสียเสียงฝีเท้าม้าวิ่งมาอย่างเร่งรีบหยุดลงที่หน้าประตูสำนักคุ้มภัยต้าอันฉวน ร่างที่เต็มไปด้วยเลือดของพี่น้องสำนักคุ้มภัยคนหนึ่งร่วงลงมาจากหลังม้า คนที่เฝ้าประตูอยู่รีบไปประคองเขาทันที ทั้งเนื้อทั้งตัวของเขามีแต่คราบเลือดเต็มไปหมดทั้งยังมีบาดแผลอีกมากมาย เขารอดมาจนถึงสำนักได้นั้นก็ถือว่าโชคดีมากแล้ว"พี่ซีหยาง…เกิดเรื่องอันใดขึ้น" นายประตูถาม"พาข้าไปหาฮูหยินกับคุณหนู…ตอนนี้" เขากล่าวด้วยเสียงที่แผ่วเบานายประตูทั้งสองคนรีบหามร่างที่บาดเจ็บสาหัสของซีหยางเข้าไป เขาไม่ยอมไปรักษาตัวยืนยันว่าถึงอย่างไรก็ต้องพบฮูหยินกับคุณหนูก่อน พวกเขาจึงพาไปยังห้องหนังสือ ที่นั่นหลี่รุ่ยหลินนั่งทำงานอยู่อย่างเคร่งเครียด เหลือก็แต่เพียงหลี่ฮูหยินมารดาของนางที่กำลังรีบมา"พี่ซีหยางเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดท่านถึงได้กลับมาในสภาพเช่นนี้" หลี่รุ่ยหลินกล่าวด้วยความตกใจ จากนั้นลุกขึ้น
บทที่สามจุดพลิกผันสู่เจ้าสำนักน้อยเมื่อจัดการพิธีศพเรียบร้อยแล้วก็ไม่มีเวลาให้พวกเขาได้โศกเศร้าเสียใจมากนักเนื่องจากมีงานคั่งค้างที่ต้องสะสางอีกมากมาย ทั้งเรื่องเงินชดเชยที่จะต้องมอบให้กับบิดามารดาของพี่น้องที่เสียชีวิตไปและเรื่องงานที่รับจ้างไว้ก่อนหน้าที่หลี่ฟางตวนจะเสียชีวิต ทำเอาหลี่รุ่ยหลินวุ่นวายไปหมด"พี่ซีหยาง…นี่พวกเราถูกยกเลิกเลิกงานมากมายถึงเพียงนี้เลยหรือ" หลี่รุ่ยหลินถามอย่างประหลาดใจเมื่อเห็นบัญชีรายชื่อลูกค้าที่จ้างงานถูกขีดฆ่าชื่ออกไปมากมายซีหยางยิ้มแหย ๆ ให้กับนางเพราะไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไรดีให้กระทบกระเทือนจิตใจของหัวหน้าสำนักน้อยผู้นี้ให้น้อยที่สุด "เอ่อ…คือว่าลูกค้าของพวกเราหายไปราว ๆ เจ็ดส่วนขอรับคุณหนู เอ้ย…ขอรับนายหญิง"ด้วยความที่ยังไม่เคยชินที่จะเรียกหลีรุ่ยหลินว่านายหญิงพี่น้องสำนักคุ้มภัยต่างก็
บทที่สี่ประเดิมงานแรกเมื่อสองพ่อลูกขึ้นรถม้าไปแล้วหลีรุ่ยหลินกับไป๋ฮ่าวเทียนหัวหน้าหน่วยย่อยของสำนักคุ้มภัยก็เดินตรวจตราขบวนเดินทาง ระยะทางจากเมืองหลวงไปยังเมืองบ้านเกิดของอดีตอัครเสนาบดีหวังนั้นไกลพอสมควร ดังนั้นการตรวจขบวนเดินทางให้เรียบร้อยจึงสำคัญเป็นอย่างยิ่ง ขบวนเดินทางค่อนข้างใหญ่มีข้าวของมากมายอาจจะทำให้การเดินทางล้าช้าไปบ้าง ไป๋ฮ่าวเทียนจึงคิดว่ากำลังคนที่เตรียมมาในครั้งนี้ไม่น่าจะพอ"นายหญิงแน่ใจแล้วหรือขอรับว่าจะไม่เรียกคนมาเพิ่ม จากที่ตรวจดูรายชื่อสมบัติและมูลค่าของที่ต้องคุ้มกันค่อนข้างสูงอยู่นะขอรับ" ไป๋ฮ่าวเทียนกล่าวไป๋ฮ่าวเทียนเคยนำขบวนคุ้มกันด้วยตนเองมาก่อน จากประสบการณ์ของเขาแล้วขบวนยาวถึงเพียงนี้ใช้คนคุ้มกันเพียงแค่สามสิบคนถือว่าน้อยเกินไป เพราะทุกครั้งที่เขาออกเดินทางหากว่าไม่ได้ไปกับนายท่านและคุณชายแล้วละก็จะต้องมีพรรคพวกไปด้วยไม่ต่ำกว่าห้าสิบคน ครั้
บทที่ห้าน้ำใจจากคุณชายหน้าขาว จุดหมายต่อไปที่พวกเขาจะเดินทางไปก็คือเมื่องเอี๋ยนเสียง แต่กว่าจะถึงเมืองเอี๋ยนเสียงนั้นยังคงต้องนอนในในป่ากันอีกราว ๆ สองคืนหากว่าเดินทางเร็ว แต่เท่าที่คาดการณ์แล้วคงเดินทางเร็วเกินไปไม่ได้เพราะท่านผู้เฒ่าหวังอดีตอัครเสนาบดีนั้นเริ่มชราแล้ว ระหว่างที่เดินทางสามวันสามคืนในป่านั้นทุกอย่างก็ปกติดี อัครเสานบดีหวังเองก็ไม่ได้อ่อนแออย่างที่คิด เขายังเดินเหินไปมาได้สะดวกทั้งยังใจดีทำอาหารแจกจ่ายให้กับบ่าวรับใช้และคนของสำนักคุ้มภัยด้วย หลี่รุ่ยหลินเองก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนดีถึงเพียงนี้ น่าเสียดายที่ราชสำนักไม่เห็นค่าคนดี ๆ เช่นเขา ส่วนคุณชายหน้าขาวนั้นก็หาได้เป็นภาระอะไรไม่ ผิดกับที่หลี่รุ่ยหลินคาดการณ
บทที่หกคิดจะลองดีกับต้าอันฉวนอย่างนั้นหรือพวกเขาออกจากเมืองเอี๋ยนเสียงในตอนเช้ามุ่งหน้าเข้าสู่เขตของเทือกเขาเถาซานซึ่งมีระยะทางยาวราวสามร้อยลี้ คณะเดินทางจะต้องพักแรมกันในเทือกเขาแห่งนี้ราวเจ็ดถึงสิบวันขึ้นอยู่กับความรวดเร็วในการเดินทาง ถนนหนทางในหุบเขาค่อนข้างจะลำบาก ไหนอาจจะมีเหตุที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีก ระยะทางต่อจากนี้เป็นช่วงที่อันตรายยิ่ง เพราะต้องเดินทางผ่านหุบเขาอันคดเคี้ยว จากนั้นก็พื้นที่ป่าไม่สะดวกสบายเหมือนเส้นทางที่ผ่านมา ไหนจะลมหนาวที่หนาวเย็นมากขึ้น หมอกที่ปกคลุมอยู่ตลอดทั้งวัน และพื้นที่ช่วงนี้เป็นช่วงที่ต้องระวังความปลอดภัยมากที่สุดเพราะเกิดการดักปล้นชิงกันอยู่บ่อยครั้ง ระหว่างที่เดินทางนั้นหลี่รุ่ยหลินกับหวังข่ายมองกันไปมาด้วยสายตาที่ไม่ค่อยพอใจนัก